คนสมุทรสาครโวย ศบค.จัดสรรวัคซีนเดือนกรกฎาคม ให้เฉลี่ยแค่ 7 หมื่นโดส เหมือนจังหวัดที่ไม่ระบาด ทั้งที่ยังคงพื้นที่สีแดง และมีผู้ติดเชื้อติดอันดับ 1 ใน 10 ประธานหอการค้า เผย จังหวัดยอมลดโควตามา 3 ครั้ง บอกให้เรารอ จะได้ 3.3 แสนโดส ในเดือนนี้ เผยวันนี้ยอดผู้ป่วยยากเกินกว่าจะต้านทานไหว
วันนี้ (19 มิ.ย.) จากกรณีที่ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เปิดเผยเกณฑ์การจัดสรรวัคซีนในแต่ละจังหวัด โดยมีเป้าหมายให้บริการวัคซีน 10 ล้านโดสในเดือนกรกฎาคม 2564 โดยแบ่งประเภทการจัดสรรวัคซีนของแต่ละจังหวัด ได้แก่ 1. จังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดในระดับควบคุมสูงสุด เข้มงวด และจังหวัดเศรษฐกิจท่องเที่ยว 5 จังหวัด รวม 30% ได้แก่ กรุงเทพมหานคร รวมที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) และประกันสังคม 2.5 ล้านโดส, นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ รวม 6 แสนโดส, ภูเก็ต 2 แสนโดส
2. จังหวัดที่มีชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน หรือ พื้นที่ควบคุมสูงสุด หรือ มีความเร่งด่วนในการเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ภายหลังการระบาด จำนวน 23 จังหวัด 25% เฉลี่ยจังหวัดละ 1 แสนโดส ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ ตาก หนองคาย สระแก้ว ระนอง นราธิวาส ยะลา ปัตตานี สงขลา ตรัง ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี นครปฐม พระนครศรีอยุธยา ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี บุรีรัมย์ สุราษฎร์ธานี (เกาะสมุย เกาะพงัน เกาะเต่า) พังงา และกระบี่ รวม 2.5 ล้านโดส 3. จังหวัดที่เหลือของประเทศไทย 49 จังหวัด 35% เฉลี่ยจังหวัดละ 7 หมื่นโดส และ 4. อื่นๆ ได้แก่ หน่วยฉีดส่วนกลาง องค์กรภาครัฐ และสำรองส่วนกลางสำหรับตอบโต้การระบาด 10% หรือ 1 ล้านโดส
รายงานข่าวจากจังหวัดสมุทรสาคร แจ้งว่า จากการที่ ศบค. เปิดเผยแผนกระจายวัคซีนดังกล่าว ทำให้ประชาชนในจังหวัดสมุทรสาครเกิดความไม่พอใจเป็นจำนวนมาก เนื่องจากที่ผ่านมาจังหวัดสมุทรสาครถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด หรือพื้นที่สีแดงมาอย่างยาวนาน แม้กระทั่งการปรับระดับพื้นที่สถานการณ์ล่าสุด ยังคงกำหนดให้อยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด 11 จังหวัด แต่กลับได้รับการจัดสรรวัคซีนเพียงแค่ 70,000 โดสเท่านั้น เหมือนกับพื้นที่สีเขียว ทั้งๆ ที่ผ่านมายอดผู้ติดเชื้อในจังหวัดสมุทรสาครติด 1 ใน 10 อันดับมาโดยตลอดเป็นหลักร้อยคน และมีผู้ติดเชื้อสะสมเป็นอันดับ 7 อยู่ที่ 4,956 คน
นายชาธิป ตั้งกุลไพศาล ประธานหอการค้าจังหวัดสมุทรสาคร โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ระบุว่า “วันนี้เราจะไม่ยอมอยู่นิ่งๆ เราถูกประกาศเป็นพื้นที่สีแดง แต่ได้รับจัดสรรวัคซีนเท่ากับพื้นที่สีเขียว วัคซีนจากที่ให้เรารอ บอกจะได้ 330,000 โดสในเดือนกรกฎาคม ขอให้อดทน ยอมลดโควตามา 3 ครั้ง ตั้งแต่เดือนเมษายน พฤษภาคม และมิถุนายน ทั้งๆ ที่เราควรได้รับการแก้ไขปัญหา อย่างเร่งด่วน เพราะ 6 เดือนเต็มๆ ของคนสมุทรสาครที่อดทนแก้ไขปัญหา วันนี้ตัวเลขเรายากที่จะต้านไหวแล้ว ตัวเลขกลับมา 3 หลักต่อเนื่อง และมีแนวโน้มที่จะเอาไม่อยู่
เจ้าหน้าที่สาธารณสุข หมอ พยาบาล ทำงานแบบไม่มีวันหยุดมา 6 เดือนเต็ม โรงพยาบาลสนาม โรงพยาบาลรัฐ และเอกชน ถูกขอร้องให้ช่วยพื้นที่อื่นมาตั้งแต่เมษายน ซึ่งเราพร้อมรับ และช่วยเหลือเสมอมา แต่วันนี้ พวกเราทุกคน ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด ท่านวีระศักดิ์ (วิจิตร์แสงศรี) ท่านรองผู้ว่าฯ และ ผู้บริหารในจังหวัดอีกหลายๆ ท่าน รวมถึงพวกเราภาคเอกชน ล้วนแล้วแต่ไม่สามารถยอมรับกับการจัดสรรวัคซีนในครั้งนี้ได้ และจะพยายามอย่างถึงที่สุด เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม ความเหมาะสม ในการจัดสรรวัคซีนให้กับคนสมุทรสาคร”
ด้าน นายชวพล วัฒนพรมงคล นักธุรกิจชาวจังหวัดสมุทรสาคร โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ระบุว่า “ต้องช่วยกันส่งเสียงจากชาวสมุทรสาครครับ การจัดสรรวัคซีนควรดูความรุนแรงในแต่ละพื้นที่ และจัดสรรวัคซีนเพื่อลดอัตราการติดเชื้อ จังหวัดสมุทรสาครมีจำนวนผู้ติดเชื้อเยอะและถูกจัดอยู่ในพื้นที่สีส้ม แต่ได้รับการจัดสรรจำนวนวัคซีนพอๆกับจังหวัดที่มีการติดเชื้อน้อย จังหวัดเราเป็นจังหวัดที่ติดกรุงเทพฯและอีกหลายจังหวัดที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเยอะ ที่ผ่านมาจังหวัดเราก็ช่วยรองรับผู้ติดเชื้อที่มากักตัวจากพื้นที่จังหวัดอื่น ดังนั้น ผมคิดว่าจังหวัดสมุทรสาครจึงควรได้รับการจัดสรรวัคซีนในปริมาณที่มากกว่าปัจจุบันครับ”
ขณะที่ชาวสมุทรสาครต่างแสดงความคิดเห็น อาทิ “คิดถึงวันที่สมุทรสาครโดนรังเกียจไปทั่วประเทศ คิดถึงวันที่ผู้ว่าฯ ทำงานจนติดเขื้อไปด้วย แล้วดูสิ่งที่เขาให้มา”
“สมุทรสาครกำลังร้องไห้”
“พื้นที่สีแดงมาตลอดตั้งแต่ก่อนปีใหม่ เพื่อนที่กรุงเทพฯ เข้าใจว่าเราได้รับวัคซีนนานแล้ว #savesamutsakhon”
“ปล่อยคนที่เรารับมาออกไป ใครอยู่จังหวัดไหน ส่งกลับไปให้หมด ใครมาจาก กทม. ส่งกลับไปให้หมด ไม่ต้องไปมีน้ำใจ... ส่งพวกเขากลับไป ไปหาที่อยู่จากแหล่งที่มา แล้วรอวัคซีนกันให้เพียงพอ #อย่าแกงสมุทรสาคร”
“จังหวัดสมุทรสาครเสียสละมามากแล้ว คนในจังหวัดหลายภาคส่วนดูแลกันเองมาโดยตลอด การจัดสรรวัคซีน ควรมีความเป็นธรรมด้วย”
“ที่ผ่านมาก่อนนี้ พวกเราสู้มาอย่างเดียวดาย และไม่มีมาตรการเยียวยาใดๆ ที่เฉพาะเจาะจงเลย”