1.“บิ๊กตู่” ประกาศเตรียมเปิดประเทศใน 120 วัน ยอมรับตัดสินใจบนความเสี่ยง แต่เพื่อความอยู่รอดของ ปชช.!
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในไทยสัปดาห์ที่ผ่านมา ยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่รายวันยังสูง โดยเมื่อวันที่ 13 มิ.ย. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2,804 ราย เป็นผู้ติดเชื้อจากเรือนจำ 409 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 18 ราย, วันที่ 14 มิ.ย. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 3,355 ราย เป็นผู้ติดเชื้อจากเรือนจำ 784 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 17 ราย, วันที่ 15 มิ.ย. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 3,000 ราย เป็นผู้ติดเชื้อจากเรือนจำ 640 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 19 ราย, วันที่ 16 มิ.ย. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2,331 ราย เป็นผู้ติดเชื้อจากเรือนจำ 26 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 40 ราย, วันที่ 17 มิ.ย. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 3,129 ราย เป็นผู้ติดเชื้อจากเรือนจำ 457 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 30 ราย, วันที่ 18 มิ.ย. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 3,058 ราย เป็นผู้ติดเชื้อจากเรือนจำ 459 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 22 ราย ล่าสุด (19 มิ.ย.) พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 3,667 ราย เป็นผู้ติดเชื้อจากเรือนจำ 435 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 32 ราย
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 16 มิ.ย. ถึงการจัดหาวัคซีนเพื่อฉีดให้ประชาชนว่า ได้มีการลงนามในสัญญาจองหรือสัญญาซื้อไปแล้ว 105.5 ล้านโดส ทำได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้สำหรับปีนี้ โดยทั้งหมดจะทยอยส่งมอบเข้ามาภายในปีนี้ และจะทยอยฉีดต่อไป รวมทั้งจะเดินหน้าหาวัคซีนเพิ่มเติมอีกสำหรับปีหน้า
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า หากวัคซีนส่งมาเพียงพอในแต่ละเดือน เราจะสามารถฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้เฉลี่ยประมาณเดือนละกว่า 10 ล้านโดส และประมาณต้นเดือน ต.ค.จะมีประชาชนที่ได้รับการฉีดวัคซีนอย่างน้อยเข็มแรกแล้ว 50 ล้านคน และว่า ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องมองไปในอนาคตที่ไกลขึ้นคือ การเปิดประเทศและรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศไทยอีกครั้ง
“วันนี้ผมขอแจ้งให้ทุกท่านทราบว่า ผมตั้งเป้าไว้ว่า ประเทศไทยจะต้องเปิดประเทศทั้งประเทศให้ได้ภายใน 120 วัน นับจากวันนี้ ส่วนเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญๆ หากพร้อมได้เร็วกว่า ก็ควรทยอยเปิดให้ได้เร็วกว่านั้น นักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนครบโดสเรียบร้อยแล้ว ควรเดินทางเข้าประเทศไทยได้ โดยไม่ต้องกักตัว และไม่ต้องมีเงื่อนไขข้อห้ามที่สร้างความยากลำบาก รวมทั้งคนไทยที่เดินทางไปต่างประเทศ หากเป็นคนที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว ก็ควรที่จะสามารถเดินทางกลับเข้าประเทศของตัวเองได้โดยไม่ต้องกักตัวเช่นเดียวกัน...”
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า “จะเริ่มนำร่องที่ จ.ภูเก็ต ที่เตรียมผ่อนคลายบางมาตรการ และเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้ามาแบบ Sandbox ผมได้เร่งรัดให้นำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาและอนุมัติในช่วงสัปดาห์หน้า เพื่อจะได้เดินหน้าทำให้เกิดขึ้นจริงตามแผน เป็นการเตรียมการเพื่อเปิดประเทศในระยะต่อไป”
“ผมรู้ดีว่า การตัดสินใจของผมวันนี้ มาพร้อมกับความเสี่ยง เพราะเมื่อเราเปิดประเทศ ไม่ว่าเราจะเตรียมการป้องกันขนาดไหนก็ตาม ก็ยังมีความเป็นไปได้ว่า อาจจะทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นบ้าง แต่เมื่อเราประเมินสถานการณ์ และคิดถึงความอยู่รอดในการทำมาหากินของพี่น้องประชาชน ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วครับ ที่เราจะต้องยอมรับความเสี่ยงร่วมกันบ้าง หากความเสี่ยงนั้น เราได้ประเมินอย่างรอบคอบแล้วว่า อยู่ในระดับที่พอจะรับได้...”
ด้านที่ประชุม ศบค. เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. ได้มีมติปรับพื้นที่ตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และมีมาตรการผ่อนคลายหรือคลายล็อกให้กับกิจกรรมและสถานที่ต่างๆ โดยการจัดแบ่งโซนพื้นที่ ศบค.กำหนด 4 ระดับ สำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) มี 4 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ
พื้นที่ควบคุมสูงสุด 11 จังหวัด (สีแดง) ประกอบด้วย ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ตรัง นครปฐม ปัตตานี เพชรบุรี สงขลา สมุทรสาคร สระบุรี ยะลา และนราธิวาส พื้นที่ควบคุม มี 9 จังหวัด (สีส้ม) ประกอบด้วย จันทบุรี นครศรีธรรมราช ประจวบคีรีขันธ์ พระนครศรีอยุธยา ระนอง ระยอง ราชบุรี สระแก้ว และสมุทรสงคราม ส่วนอีก 53 จังหวัด เป็นพื้นที่เฝ้าระวังสูง (สีเหลือง)
สำหรับมาตรการผ่อนคลายของแต่ละพื้นที่นั้น พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) ให้รวมกลุ่มทำกิจกรรมได้ไม่เกิน 50 คน ร้านอาหารเปิดได้ไม่เกิน 23.00 น. (งดจำหน่ายและงดดื่มสุราในร้าน) และร้านที่ติดแอร์ นั่งได้ไม่เกิน 50% , สถานที่แข่งขันกีฬา ที่เล่นกีฬา ยังปิด ยกเว้นการเล่นกลางแจ้ง หรือที่มีอากาศถ่ายเท
พื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดง) รวมกลุ่มทำกิจกรรมได้ไม่เกิน 100 คน ร้านอาหารเปิดได้ไม่เกิน 23.00 น. (งดจำหน่ายและงดดื่มสุราในร้าน) สถานที่แข่งขันกีฬาเปิดได้ทุกประเภท ไม่เกิน 21.00 น.
พื้นที่ควบคุม (สีส้ม) รวมกลุ่มทำกิจกรรมได้ไม่เกิน 150 คน บริโภคในร้านอาหารได้ เปิดได้ตามปกติ (งดจำหน่ายและงดดื่มสุราในร้าน) สถานที่แข่งขันกีฬาเปิดยริการได้ทุกประเภท
พื้นที่เฝ้าระวังสูงสุด (สีเหลือง) ห้ามจัดกิจกรรมรวมกลุ่มมากกว่า 200 คน บริโภคในร้านอาหารได้ เปิดได้ตามปกติ
ทั้งนี้ ทุกพื้นที่ยังคงปิดสถานบริการต่างๆ สถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะทั่วประเทศ
2."ลุงวิศวะ" รอดคุก ศาลฎีกาพิพากษาแก้ โทษจำคุก 3 ปี 4 เดือน รอลงอาญา คดียิงเด็ก ม.4 ดับ ชี้ผู้ตายมีส่วนผิดด้วย!
เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. ศาลจังหวัดชลบุรีได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีที่พนักงานอัยการจังหวัดชลบุรี และ น.ส.มณีพร ผึ่งผาย โจทก์และโจทก์ร่วม ยื่นฟ้องนายสุเทพ โภชนสมบูรณ์ เป็นจำเลย ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา พาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุสมควรและโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จากกรณีที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงนายนวพล หรือปอนด์ ผึ่งผาย ถึงแก่ความตาย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2560 ที่บริเวณแยกครกใหญ่ ต.อ่างศิลา อ.เมือง จ.ชลบุรี ซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพในความผิดฐานพาอาวุธปืนฯ ส่วนความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนานั้น จำเลยให้การต่อสู้อ้างเหตุป้องกันตัว
คดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานพาอาวุธปืนฯ และฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามฟ้อง โดยฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จำคุก 15 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืน ปรับ 4,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงปรับ 2.000 บาท รวมจำคุกจำเลยเป็นเวลา 10 ปี ปรับ 2,000 บาท และให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จำนวน 340,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี หลังจากนั้น โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ต่อมา ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จำคุก 10 ปี ปรับ 2,000 บาท และให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จำนวน 340,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี หลังจากนั้น จำเลยยื่นฎีกา
เมื่อถึงวันนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา นายวันชัย แสงสุวรรณ์ ทนายความฝ่ายผู้เสียหาย และนางมณีพร ผึ่งผาย มารดาของผู้เสียชีวิต เดินทางฟังคำพิพากษา ส่วนนายสุเทพ จำเลย หลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษา
ทั้งนี้ ศาลฎีกาพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า มูลเหตุคดีเริ่มต้นเมื่อพวกของผู้ตายจอดรถยนต์ตู้ซ้อนคันกับรถยนต์ของจำเลย โดยไม่ได้สนใจว่า รถยนต์ของจำเลยที่จอดริมฟุตปาทจะออกไปได้หรือไม่ เมื่อภริยาจำเลยแจ้งให้ทราบว่า รถยนต์ของจำเลยกำลังจะออก แต่พวกของผู้ตายไม่ขยับให้ กลับบอกให้รอก่อน
ซึ่งศาลมองว่า การจอดรถซ้อนคันขวางทางออกถนนของรถยนต์คันอื่น ทั้งมิยอมรีบขยับรถให้รถคันที่ตนจอดขวางอยู่ออกไปได้ มิใช่เรื่องที่คนทั่วไปกระทำกัน เหตุการณ์เช่นนี้ คนทั่วไปไม่ว่าใครก็ตามพบเจอ ย่อมต้องรู้สึกโกรธเป็นธรรมดา จำเลยกล่าวถ้อยคำหยาบคายหลายครั้ง แต่มีเพียงถ้อยคำเดียวที่พวกของผู้ตายได้ยิน ก่อนที่จะพากันขึ้นรถยนต์ตู้ไป ส่วนถ้อยคำหยาบคายอื่น จำเลยกล่าวในรถยนต์ของตนเอง ไม่น่าเชื่อว่า จะทำให้พวกของผู้ตายรู้สึกว่าจะต้องเอาเรื่องกับจำเลย
ทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพียงแต่ทำให้จำเลยเสียเวลาไปบ้างเล็กน้อย จึงมิใช่เรื่องใหญ่โตถึงขนาดต้องฆ่ากัน เชื่อได้ว่า ในขณะที่รถยนต์ของทั้งสองฝ่ายเคลื่อนออกจากบริเวณหน้าร้านขายอาหารทะเลแห้ง ทั้งสองฝ่ายไม่ได้มีความคิดที่จะเอาเรื่องอีกฝ่าย เพราะเหตุจากการมีปากเสียงกัน
ส่วนเหตุการณ์ระหว่างทางตั้งแต่รถยนต์ของทั้งสองฝ่ายออกจากร้านขายอาหารทะเลแห้งจนถึงเวลาก่อนจะถึงแยกครกใหญ่ พวกของผู้ตายเพียงแต่เปิดไฟสูงใส่จำเลย ไม่ได้ขับแข่ง ขับแซง หรือปาดหน้า ทั้งที่อยู่ในวิสัยที่สามารถกระทำได้โดยง่าย ส่วนฝ่ายจำเลย พฤติการณ์ภายในรถแสดงให้เห็นได้ว่า ภายหลังออกจากหน้าร้านขายอาหารทะเลแห้งไม่นาน จำเลยและภริยาต่างระงับความโกรธได้ และเกรงว่าจะถูกฝ่ายผู้ตายทำร้าย จึงมีความคิดจะไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าพนักงานตำรวจหรือบุคคลอื่น
เมื่อรถยนต์ของทั้งสองฝ่ายไปถึงแยกครกใหญ่ จำเลยมิได้ขับรถปาดหน้ารถของผู้ตาย เพื่อไปจอดรถที่ริมฟุตปาท และมีได้มีพฤติการณ์ยั่วยุให้คนในกลุ่มผู้ตายมาวิวาทต่อสู้กันอีก เมื่อมีคนในกลุ่มของผู้ตายหลายคนอยู่ ล้อมรอบรถยนต์ของจำเลย ผู้ตายมุดศีรษะเข้ามาในรถยนต์ของจำเลย พูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดว่า “มึงจะรบป่าว” หลายครั้ง และมีความเป็นไปได้สูงที่ผู้ตายจะเข้ามาทำร้ายจำเลยในชั่วเวลาอีกไม่นาน
ขณะเดียวกัน จำเลยยังถูกพวกของผู้ตายชกต่อยจากทางด้านหลัง ย่อมถือได้ว่า มีอันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้าย อันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะเกิดขึ้นแก่ชีวิตและร่างกายของจำเลยแล้ว ประกอบกับจำเลยนั่งอยู่ที่ที่นั่งคนขับ อันเป็นการอยู่ในที่จำกัดและเคลื่อนไหวร่างกายได้ยาก การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงออกไป จึงเป็นทางเดียวที่จะให้จำเลยพ้นจากการถูกทำร้ายโดยผู้ตายและพวกได้
ถือได้ว่า การกระทำของจำเลย เป็นการกระทำเพื่อป้องกันตนให้พ้นภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้าย อันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง แต่เมื่อจำเลยเห็นอยู่แล้วว่า ผู้ตายและพวกไม่มีอาวุธ หากจำเลยเพียงนำอาวุธออกมาขู่ว่าจะยิง หรือยิงออกไปโดยไม่จำเป็นต้องให้ถูกผู้ตาย หรือยิงไปที่อวัยวะอื่นที่ไม่สำคัญของผู้ตาย ก็ย่อมเพียงพอที่จะยับยั้งมิให้ผู้ตายและพวกเขามาทำร้ายได้แล้ว แต่จำเลยกลับใช้อาวุธปืนยิงไปที่หน้าอกซ้ายของผู้ตาย แม้ยิงเพียงนัดเดียวก็ไม่เป็นการได้สัดส่วนกับภยันตรายที่เกิดขึ้น หรืออาจเกิดขึ้นกับจำเลย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ
อย่างไรก็ตาม ไม่ปรากฏว่า จำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน เหตุคดีนี้เกิดจากฝ่ายผู้ตายจอดรถยนต์ขวางทางรถยนต์ของจำเลย จนเหตุการณ์ลุกลามบานปลาย อันเป็นความผิดของฝ่ายผู้ตายด้วยส่วนหนึ่ง การรอการลงโทษให้แก่จำเลย น่าจะเป็นประโยชน์แก่จำเลยและสังคมส่วนรวม มากกว่าการลงโทษจำคุกไปเสียทีเดียว
พิพากษาแก้เป็นว่า ฐานฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ จำคุก 5 ปี ลดโทษให้หนึ่งสาม คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน เมื่อรวมกับโทษในความผิดฐานพาอาวุธปืนฯ แล้ว รวมจำคุก 3 ปี 4 เดือน และปรับ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 3 ปี คุมความประพฤติ 2 ปี รายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือน ให้จำเลยไปเข้ารับการฝึกอบรมที่เกี่ยวกับการระงับควบคุมอารมณ์ที่เกิดจากการใช้รถใช้ถนน และให้ทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์มีกำหนด 30 ชั่วโมง
อนึ่ง การอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาครั้งนี้ เป็นการอ่านลับหลังจำเลย เนื่องจากจำเลยยื่นฎีกา แต่ไม่มาฟังคำพิพากษาตั้งแต่นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 พ.ค.ที่ผ่านมา และเจ้าหน้าที่ไม่สามารถจับกุมจำเลยมาฟังคำพิพากษาได้ภายใน 1 เดือน
ด้านนางมณีพร มารดาของผู้เสียชีวิต กล่าวเพียงสั้นๆ หลังฟังคำพิพากษาว่า น้อมรับคำพิพากษาของศาล เพราะเหนื่อยมาก สู้มา 5 ปี และอโหสิกรรมให้ฝั่งนายสุเทพไปตั้งนานแล้ว
3. “พปชร.” เลือก กก.บห.ชุดใหม่ “บิ๊กป้อม” นั่งหัวหน้าพรรคอีกสมัย “ธรรมนัส” เลขาฯ พรรค มั่นใจเลือกตั้งสมัยหน้า ได้เป็นแกนนำจัดตั้ง รบ.!
เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี ครั้งที่ 1/2564 ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จ.ขอนแก่น หรือไคซ์ โดยมีนายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค พปชร. เป็นประธานการประชุม ซึ่งมีคณะกรรมการบริหารพรรค และสมาชิกพรรค เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง ภายใต้มาตรการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเข้มงวด และไม่อนุญาตให้ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง รวมทั้งสื่อมวลชนเข้าไปภายในห้องประชุม
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาการลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งที่ประชุมรับทราบและลงมติรับรอง และตามระเบียบข้อบังคับ เมื่อหัวหน้าพรรคลาออก ส่งผลให้คณะกรรมการบริหารพรรคพ้นจากตำแหน่งทันที โดยประธานที่ประชุมให้เลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ทันทีโดยวิธีการลงคะแนนลับ
มีรายงานว่า ที่ประชุมมีมติปรับลดจำนวนกรรมการบริหารพรรค จาก 27 คน เหลือ 26 คน พร้อมมีมติเลือกผู้ดำรงตำแหน่ง ดังนี้ 1.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ แบบไร้คู่แข่ง เพราะมีการเสนอเพียงรายชื่อเดียว 2.ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นเลขาธิการพรรค 3.นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เป็นเหรัญญิกพรรค 4.นายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ เป็นนายทะเบียนพรรค
สำหรับกรรมการบริหารพรรค จำนวน 22 คน ได้แก่ 1.นายสันติ พร้อมพัฒน์ 2.นายวิรัช รัตนเศรษฐ 3.นายไพบูลย์ นิติตะวัน 4.นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ 5.นายสมศักดิ์ เทพสุทิน 6.นายอนุชา นาคาศัย 7.นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ 8.นายสุพล ฟองงาม 9.นายนิโรธ สุนทรเลขา 10.นายไผ่ ลิกค์ 11.นายสัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ 12.นางประภาพร อัศวเหม 13.นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ 14.นายอิทธิพล คุณปลื้ม
15.นายสุชาติ ชมกลิ่น 16.นายยงยุทธ สุวรรณบุตร 17.นายสุชาติ อุสาหะ 18.นายรงค์ บุญสวยขวัญ 19.นายจักรพันธ์ พรนิมิตร 20.นายสุรสิทธิ์ นิธิวุฒิวรรักษ์ 21.นายอรรถกร ศิริลัทธยากร 22.นายสมเกียรติ วอนเพียร
รายงานแจ้งว่า พล.อ. ประวิตรได้รับเลือกให้กลับมาเป็นหัวหน้าพรรค ด้วยคะแนน 582 คะแนน ส่วน ร.อ.ธรรมนัส ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคด้วยคะแนน 556 คะแนน แม้จะมี ส.ส. กลุ่มสามมิตรเสนอชื่อนายอนุชาให้กลับไปรับหน้าที่เดิม แต่เจ้าตัวขอถอนตัว โดยให้เหตุผลว่า ทำหน้าที่มาปีกว่าแล้ว ขอเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้เข้ามาทำงาน ขณะที่กลุ่มสามมิตรยังมีชื่อปรากฏเป็นกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ครบทั้ง 3 คน
ด้านนายสมศักดิ์กล่าวหลังประชุมพรรคว่า หัวหน้าพรรคตัดสินใจปรับเปลี่ยนแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับหัวหน้าพรรค เพราะเราให้ความไว้วางใจหัวหน้าพรรค
ขณะที่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวหลังได้รับเลือกเป็นเลขาธิการพรรคว่า หลังจากวันนี้จะนัดประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค เพื่อกำหนดทิศทางเตรียมการสู่การเลือกตั้งในครั้งต่อไป ซึ่งที่อาจจะเป็น 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ วันนี้มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรค พปชร. และมีรองหัวหน้าพรรคทั้ง 4 คน จะร่วมกันทำงานเพื่อกำหนดนโยบายของพรรค ซึ่งมีประเด็นสำคัญคือ จะทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองและประชาชน โดยเฉพาะในสถานการณ์บ้านเมืองที่ไม่ปกติ ต้องกำหนดทิศทางให้ชัดเจน ที่ผ่านมา พรรคเราถูกมองว่าแตกแยก แต่หลังจากนี้จะไม่มี เราจะไปด้วยกัน ทำงานเพื่อประชาชน ชาติบ้านเมือง รักษาไว้ซึ่งสถาบัน
เมื่อถามว่า หลังจากนี้ จะไม่มีการเคลื่อนไหวเรื่องตำแหน่งในพรรคและในคณะรัฐมนตรีใช่หรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า การจะเดินไปข้างหน้าจะต้องปรึกษาหัวหน้าพรรคและเดินไปด้วยกัน ฉะนั้น เรื่องที่จะเกิดปัญหาเหมือนที่ในอดีต ตนมั่นใจว่า คณะกรรมการบริหารชุดใหม่ จะไม่มีอีกต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า หลายคนมองว่าเลขาธิการพรรค ส่วนใหญ่จะไม่เป็นแค่รัฐมนตรีช่วยว่าการ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า เรื่องการบริหารพรรคกับตำแหน่งทางการเมืองคนละเรื่องกัน ตนอยู่ตรงนี้พร้อมทำงานในฐานะเลขาฯ พรรค เพื่อนำพาพรรคและสมาชิกพรรค ส่วนตำแหน่งทางการเมืองเป็นคนละเรื่องกัน
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า การสู้ศึกเลือกตั้งในครั้งหน้า คิดว่าจะชนะหรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ที่ผ่านมา ในการเลือกตั้งซ่อม เราไม่เคยแพ้ และคิดว่า การเลือกตั้งซ่อมหรือการเลือกตั้งในอนาคต มั่นใจว่า หัวหน้าพรรคและสมาชิกสามารถเดินไปข้างหน้า และจะเป็นพรรคใหญ่ที่มั่นคง จะเป็นพรรคอันดับหนึ่งได้ เมื่อถามย้ำว่า ตำแหน่งเลขาธิการพรรคส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่ปั้นนายกรัฐมนตรี ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า เราเป็นพรรคใหญ่ มั่นใจว่า จะได้ ส.ส.มากกว่านี้ และจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ต่อไป
4. "ธนาธร-ปิยบุตร" ปลุก ปชช.เข้าชื่อ 5 หมื่น เสนอแก้ รธน.รื้อระบอบประยุทธ์ ด้าน "บิ๊กตู่" ยันกลางสภาทำงานทุกวัน "ยิ่งไล่ยิ่งสู้"
ความเคลื่อนไหวทางการเมืองสัปดาห์ที่ผ่านมา มีความคืบหน้าการยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเมื่อวันที่ 16 มิ.ย. พรรคร่วมฝ่ายค้าน ซึ่งประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อชาติ พรรคเสรีรวมไทย พรรคประชาชาติ พรรคพลังปวงชนไทย และพรรคไทยศรีวิไลย์ ได้ร่วมกันยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ รวม 5 ร่าง นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย เผยว่า 5 ร่างดังกล่าว ประกอบด้วย 1.ร่างแก้ไขมาตรา 256 ให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) มาร่างรัฐธรรมนูญ 2.มาตรา 272 เรื่องอำนาจ ส.ว.ในการเลือกนายกฯ 3.ร่างเกี่ยวกับสิทธิของประชาชน 4.ร่างเกี่ยวกับระบบเลือกตั้ง 5.ร่างอื่นๆ ที่เกี่ยวกับอำนาจ คสช.ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
นายประเสริฐ กล่าวว่า ร่างที่ทุกพรรคร่วมฝ่ายค้านร่วมกันลงชื่อโดยพร้อมเพรียงกันคือ ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 272 ส่วนอีก 4 ร่างที่เหลือ ทุกพรรคฝ่ายค้านลงชื่อร่วมกันยื่นเสนอ มีเพียงพรรคก้าวไกลพรรคเดียวที่ไม่ได้ร่วมลงชื่อ
วันเดียวกัน นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยนายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย และนายนิกร จำนง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทยพัฒนา ได้เป็นตัวแทนพรรคร่วมรัฐบาล 3 พรรค ยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 8 ร่าง ต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ เช่นกัน
โดยเป็นของพรรคประชาธิปัตย์ 6 ร่าง ได้แก่ 1.ประเด็นแก้ไขมาตราว่าด้วยสิทธิของประชาชน 2.ระบบเลือกตั้ง ให้มี ส.ส.เขต 400 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน เลือกตั้งโดยบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ 3.เรื่องที่มาของนายกรัฐมนตรี 4.ประเด็นแก้ไขมาตรา 256 5.ประเด็นการตรวจสอบการกระทำที่ผิดจริยธรรมของ ป.ป.ช. 6.การกระจายอำนาจให้ท้องถิ่น
ขณะที่พรรคภูมิใจไทย เสนอ 2 ร่าง คือ เรื่องปากท้องของประชาชน แก้ 1 มาตรา เพื่อให้รัฐมีบทบาทเพิ่มขึ้นในเรื่องหลักประกันรายได้ถ้วนหน้าให้ประชาชน ส่วนเรื่องมาตรา 272 อำนาจของ ส.ว. มีหลักการเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ จึงรวมเป็นร่างเดียวกัน
ทั้งนี้ ผลประชุมร่วมของวิป 3 ฝ่าย คือ วิปรัฐบาล วิปฝ่ายค้าน และวิปวุฒิสภาเมื่อวันที่ 17 มิ.ย.สรุปว่า การประชุมร่วมรัฐสภาระหว่างวันที่ 22-24 มิ.ย.นี้ วันที่ 22 มิ.ย. จะเป็นการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ และจะเริ่มพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันที่ 23 มิ.ย. โดยแบ่งเวลาอภิปรายฝ่ายละ 6 ชั่วโมง ส่วนการลงมติจะมีขึ้นในวันที่ 24 มิ.ย. โดยเป็นการลงมติแบบเปิดเผยขานชื่อ
ด้านนายเสรี สุวรรณภานนท์ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กล่าวถึงการยื่นญัตติแก้รัฐธรรมนูญรายมาตราของพรรคฝ่ายค้านและพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรค ที่เสนอแก้ไขมาตรา 272 ตัดอำนาจ ส.ว.ในการเลือกนายกฯ ว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญสามารถทำได้ แต่ต้องมีเนื้อหาเหมาะสม ไม่ใช่ทำเพื่อประโยชน์ของตัวเอง ไม่เกิดประโยชน์ต่อประชาชน ถ้าเป็นเช่นนี้ ส.ว.ไม่ร่วมมือด้วยแน่นอน โดยเฉพาะการตัดอำนาจ ส.ว.ในการโหวตเลือกนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 เป็นการลุแก่อำนาจ ไม่เห็นด้วย
เป็นที่น่าสังเกตว่า นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า และนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ได้ออกมาเคลื่อนไหวเรื่องแก้รัฐธรรมนูญเช่นกัน โดยนายปิยบุตร ได้กล่าวระหว่างการเปิดแถลงของกลุ่ม Re-Solution ถึงเวลารัฐธรรมนูญใหม่ เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. ที่อาคารไทยซัมมิททาวเวอร์ โดยชวนให้ประชาชนเข้าชื่อแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อรื้อระบอบประยุทธ์ โดยอ้างว่า รัฐธรรมนูญ 2560 มีปัญหาตั้งแต่ที่มา กระบวนการ กลายเป็นเครื่องมือสืบทอดอำนาจของ คสช. จึงเห็นว่า จำเป็นต้องจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ แต่พรรคการเมืองหลายพรรคเริ่มพูดกันว่า จะเร่งเสนอญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา แสดงให้เห็นว่า แผนการที่วางไว้กำลังเดินหน้า ด้วยเหตุนี้ ทางกลุ่มฯ จึงรณรงค์ให้ประชาชนเข้าชื่อให้ครบ 5 หมื่นรายตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด
ขณะที่นายธนาธร กล่าวว่า สิ่งที่ต้องเร่งทำคือ พิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประชามติ หลังจากนั้นจึงทำประชามติสอบถามประชาชน และนำมาสู่การแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับได้ แต่ผู้มีอำนาจกลับเสนอแก้รัฐธรรมนูญแบบรายมาตราที่ว่าด้วยระบบเลือกตั้ง นี่คือการสืบทอดอำนาจครั้งที่ 2 อยากชวนให้ประชาชนที่รักความยุติธรรม เสมอภาค สิทธิ เสรีภาพและประชาธิปไตย ช่วยสนับสนุนกลุ่ม Re-Solution ดังนั้น 1 เสียง ของทุกคนช่วยได้ จะผลักดันร่างรัฐธรรมนูญของกลุ่ม Re-Solution ที่มุ่งขจัดต้นตอของปัญหาสืบทอดอำนาจ
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวตอนหนึ่งในการประชุมวุฒิสภา เพื่อพิจารณา พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโควิด-19 เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.ว่า “...ผมจำเป็นต้องแก้ปัญหาทุกเรื่อง นำไปสู่การแก้ปัญหาที่พะรุงพะรัง รวมถึงการฟ้องร้องคดีที่ผ่านมา และมีอีกร้อยคดีที่ฟ้องร้อง ผมพร้อมสู้ ที่ผ่านมา ผมไม่เคยนึกถึงตัวเอง ผมทำงานทุกวัน ฝันก็ยังเป็นงาน ไม่เคยฝันเป็นอย่างอื่น อยากจะฝันก็ไม่ได้ และยิ่งไล่ผมยิ่งสู้”
5. ผลสืบสวนชัด "สรศักดิ์" อดีตเลขาฯ สภา คุกคามทางเพศ ขรก.สาว ผิดวินัยร้ายแรง โทษถึงขั้นไล่ออก-ปลดออก!
วันนี้ (19 มิ.ย.) นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เผยว่า ได้รับหนังสือจากสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ลงวันที่ 31 พ.ค. 2564 แจ้งว่า จากการที่ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ขอทราบข้อเท็จจริงผลการสืบสวนกรณีนายสรศักดิ์ เพียรเวช อดีตเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร กระทำผิดวินัยร้ายแรงคุกคามทางเพศข้าราชการสาว ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา เมื่อวันที่ 10 มี.ค. 2564 นั้น บัดนี้ ผลการสืบสวนเสร็จสิ้นแล้ว เห็นว่า มีมูลควรกล่าวหานายสรศักดิ์ว่าได้กระทำผิดวินัยร้ายแรง และจะได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
โดย พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการรัฐสภา พ.ศ.2554 มาตรา 72 วรรค 1 ระบุว่า "ข้าราชการรัฐสภาสามัญผู้ใดกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ให้ลงโทษปลดออก หรือไล่ออกตามความร้ายแรงแห่งกรณี ถ้ามีเหตุอันควรลดหย่อนจะนำมาประกอบการพิจารณาลดโทษก็ได้ แต่ห้ามมิให้ลดโทษลงต่ำกว่าปลดออก"
ทั้งนี้ นายวัชระได้ขอบคุณนายนัฑ ผาสุข เลขาธิการวุฒิสภา ผู้ทำหน้าที่ประธานกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ตามคำสั่งสภาผู้แทนราษฎรที่ 39/2562 ลงนามโดยนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 2562 ได้ทำการสืบสวนข้อเท็จจริงตรงไปตรงมาสรุปว่า นายสรศักดิ์ เพียรเวช เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรในขณะนั้นทำการคุกคามทางเพศข้าราชการสาวผู้ใต้บังคับบัญชาจริง และทำรายงานสรุปเสนอนายชวน หลีกภัย เพื่อตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงนายสรศักดิ์
นายวัชระ เผยด้วยว่า ปัจจุบันนายสรศักดิ์ได้รับการแต่งตั้งจากสภาผู้แทนราษฎรให้เป็นคณะกรรมการบริหารโครงการเสริมสร้างบ้านเมืองสุจริต ซึ่งเคยทำหนังสือคัดค้านถึงความไม่เหมาะสมไปแล้วเมื่อวันที่ 30 มี.ค.ที่ผ่านมา และในสัปดาห์หน้าจะไปยื่นหนังสือร้องเรียนต่อศูนย์ประสานการป้องกันและแก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศหรือคุกคามทางเพศในการทำงาน (ศปคพ.) กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อให้ช่วยคุ้มครองสิทธิของข้าราชการหญิงผู้เสียหายรายนี้ต่อไป
นายวัชระ เผยอีกว่า นอกจากเรื่องคุกคามทางเพศแล้ว นายสรศักดิ์ยังถูกร้องเรียนเรื่องเบิกค่ารถยนต์ประจำตำแหน่งแล้วใช้รถยนต์ราชการตลอด 4 ปี และเป็นผู้อนุมัติให้บริษัทผู้รับเหมาสร้างสภาฯ แห่งใหม่ขยายเวลาก่อสร้างจากเดิม 900 วันขยายออกไปถึง 4 ครั้ง รวม 1,864 วัน ซึ่งเป็นการขัดมติคณะรัฐมนตรี ขณะนี้ทั้ง 2 เรื่องค้างอยู่ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.)
สำหรับนายสรศักดิ์ เพียรเวช ขึ้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2559 ในยุคนายพรเพชร วิชิตชลชัย เป็นประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จนเกษียณอายุราชการเมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2563