ทุกคำด่ามีราคาต้องจ่าย หนุ่มชาวลพบุรีวัย 37 ปี มาที่ สน.ทองหล่อ พร้อมแม่และน้องชาย หลังผู้ประกาศข่าวหญิง สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมช่องหนึ่งฟ้องหมิ่นประมาทเรียกค่าเสียหาย กรณีโพสต์ข้อความรุนแรงบนโซเชียล บอกตอนทำก็ใส่ไฟแล้วพิมพ์ส่งก็พอ ไม่คิดว่าจะโดนหมายเรียก สุดรันทดแม่ต้องไปยืมเงินเพื่อนบ้าน 2 หมื่นจ่ายค่าเสียหาย
วันนี้ (31 พ.ค.) รายงานข่าวแจ้งว่า ที่สถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ กรุงเทพฯ ศูนย์ช่วยเหลือด้านกฎหมายผู้ถูกล่วงละเมิด bully ทางสังคมออนไลน์ (ศชอ.) นำโดย นายนพดล พรหมภาสิต และนางแน่งน้อย อัศวกิตติกร ได้พบกับ นายณัฐพล (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 37 ปี อาชีพค้าขาย (ช่วยแม่ขายผัดไทยและอาหารตามสั่ง) ชาวจังหวัดลพบุรี ผู้ต้องหาตามหมายเรียกในข้อหาหมิ่นประมาท พร้อมกับมารดาและน้องชาย ในคดีที่ผู้ประกาศข่าวหญิงของสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่องหนึ่ง มอบหมายให้ ศชอ. ฟ้องในข้อหาหมิ่นประมาท หลังผู้ต้องหาเป็นหนึ่งในผู้ที่โพสต์ความคิดเห็น กล่าวหาผู้ประกาศข่าวหญิงคนดังกล่าวในทางเสียหาย ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง เหตุเกิดเมื่อประมาณต้นปี 2564 ที่ผ่านมา
ผู้ต้องหารายดังกล่าวเปิดเผยว่า ถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาท เพราะไปแสดงความคิดเห็นบนโซเชียลมีเดียในลักษณะที่รุนแรง โดยที่ไม่รู้จักผู้เสียหายมาก่อน ยอมรับว่าได้เข้ากลุ่มผู้สนับสนุนม็อบราษฎร ไปสนุก ไปเย้วกับเขา ก็มั่วไปเรื่อย ไปเอาข้อมูลตรงนั้นตรงนี้มาด่าเขาไปเรื่อย สนุกจนไม่คิดว่าจะโดนหมายเรียกหมิ่นประมาท ยอมรับว่าจำไม่ได้ว่าไปด่าอะไรมาบ้าง กระทั่งฝ่ายผู้เสียหายได้แคปข้อความจึงยอมรับว่าเป็นตนเอง และยอมรับผิดว่าด่าด้วยถ้อยคำที่รุนแรง ตอนทำก็ใส่ไฟแล้วพิมพ์ส่งก็พอ แล้วไปดูอย่างอื่น ไม่คิดว่าจะโดนคดีหมิ่นประมาท หลังจากได้รับหมายเรียกก็กินไม่ได้ นอนไม่หลับมาหนึ่งสัปดาห์
“ผลจากกระทำที่ไปว่าเขา ก็มาอยู่ตรงนี้ โดนดำเนินคดีเรียกค่าเสียหายเป็นล้านบาท ผมไม่มีปัญญาจ่าย เงินในบัญชียังไม่มีเลย ผมเข็ดเลย ผมกลัว ไม่เอาเลย ผมไม่เข้าเลยโซเชียลตอนนี้ ไม่เอา ไม่ดูอะไรทั้งนั้นเลย ตอนนี้ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน ขนาดขายของก็ไม่มีกะจิตกะใจจะขายเลย โดนหมายเรียกตั้งแต่วันที่ 20 พ.ค. ที่ผ่านมา ตำรวจมาถามก่อนว่ารู้จักคนนี้ไหม รู้สึกช็อก ตำรวจเขาว่าไปเล่นเฟซบุ๊ก ไปหมิ่น เขาให้มาเซ็นว่ารับหมายแล้ว ให้ไปตามนัด ในวันนั้นครอบครัวอยู่กันครบ หลังทราบเรื่องก็ไม่มีกะจิตกะใจจะขายของ ขายอาหารตามสั่ง ที่ผ่านมาพอเวลาว่างก็เข้าเฟซบุ๊กไปด่าคนที่ไม่รู้จักกัน ผมไม่ด่าใครทั้งนั้นตอนนี้”
ด้านมารดาของ นายณัฐพล กล่าวว่า เสียใจมาก ทุกวันนี้ก็ต้องทำมาหากิน เหนื่อยมากจริงๆ กู้หนี้ยืมสินมาค้าขาย เช่าบ้านอยู่ โดยที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยว่าลูกไปทำแบบนี้ ตนขอโทษผู้ประกาศข่าวคนดังกล่าว และขอโทษทุกฝ่ายโดยที่จะไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้อีก ถ้าจะทำแทนลูกได้ยินดี ยินยอมทุกอย่าง เพราะลูกทำผิดจริงๆ ขอโทษแทนลูกโดยที่ไม่ได้มีอะไรตอบแทนนอกจากคำขอโทษจริงๆ เพราะทุกวันนี้อาศัยเขาอยู่จริงๆ ถ้าไม่เชื่อไปดูได้ที่ลพบุรี ทุกวันนี้ตนไม่มีสตางค์ ต้องกู้หนี้ยืมสินมาค้าขายด้วยความบริสุทธิ์ใจ และจะไม่ให้ลูกทำผิดแบบนี้อีก จะคอยสั่งสอนเขา เพราะทุกวันนี้ไม่มีอะไรจะเหลือนอกจากชีวิตแก่ๆ ที่รักลูกและไม่อยากให้ลูกทำผิดตรงนี้อีก ถ้าตนทำอะไรให้ผู้เสียหายคนนี้ได้ก็จะยินดีทำให้ลูก และขอโทษแทนลูก
“ลูกๆ ทั้งหลาย เด็กๆ ทั้งหลายที่เล่นโซเชียล ถ้าเล่นที่มีดีๆ ก็เล่นไปเถอะ ถ้าไม่ดีแบบนี้อย่าไปเล่น เพราะคดีแบบนี้ทำให้พ่อแม่เดือดร้อน ติดคุกติดตะราง ทำให้ประวัติเสื่อมเสีย อย่าไปคิดเล่นแบบนี้อีก อย่าไปคิดเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง มันเป็นสิ่งที่ไม่ดี ถ้าออกห่างได้ก็ออกห่างซะ ทำมาหากินด้วยสุจริตดีกว่า อย่าไปเล่นโซเชียลฯ ที่ทำลายอนาคตตัวเอง อย่าไปคิดด่าใคร อย่าไปคิดว่าใคร เพราะลูกถูกดำเนินคดีแล้วเป็นตัวอย่าง ทุกข์ยิ่งกว่าอะไร กินไม่ได้ นอนไม่หลับเป็นอาทิตย์ ทุกวันนี้ขายของก็ลำบาก โควิดก็มา ขายก็ไม่ค่อยดี ต้องไปกู้หนี้ยืมสิน บอกจากใจจริงว่าไม่ได้มีเงิน ทุกวันนี้มีหนี้อย่างเดียว คือกู้หนี้รายวันมาขายของ”
จากนั้นได้ส่งมอบค่าเสียหายจำนวน 20,000 บาท ที่มารดานายณัฐพลยืมมาจากเพื่อนบ้าน มามอบให้ผู้ประกาศข่าวรายดังกล่าว เพื่อขอโทษและขอไม่ให้ดำเนินคดีทางทางกฎหมาย โดยมีนางแน่งน้อยเป็นตัวแทน ศชอ.รับมอบเงินดังกล่าว
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 27 พ.ค. หญิงรายหนึ่งชาว อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว หนึ่งในผู้ต้องหาที่ได้รับหมายเรียกในคดีหมิ่นประมาทผู้ประกาศหญิงคนดังกล่าว เดินทางมาที่ สน.ทองหล่อ เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ระบุว่าเป็นคนยากจน ขอความเมตตาขอให้ยกโทษ และจะไม่ทำอีกแล้ว ฝ่ายผู้เสียหายจึงได้ลดค่าเสียหายเหลือ 50,000 บาท ก่อนที่จะมอบเงินสดจำนวน 50,000 บาทเป็นค่าเสียหาย ซึ่งผู้ประกาศข่าวหญิงคนดังกล่าวประสงค์ที่จะมอบเงินบริจาคให้นายพศุตม์ บานแย้ม หรืออาร์ต ดารานักแสดงนำไปซื้อชุดพีพีอี (PPE) ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ทาง ศชอ. จึงได้ส่งมอบเงินไปแล้วในวันเดียวกัน ทั้งนี้ คดีดังกล่าวมีผู้ต้องหาอีกประมาณ 30 ราย ซึ่งตำรวจ สน.ทองหล่ออยู่ในระหว่างทยอยออกหมายเรียกเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาต่อไป