xs
xsm
sm
md
lg

ร.๕ กับการเลิกบ่อนการพนัน! ที่ว่าไม่สนุกนั้นไม่จริงเลย ฉันเป็นคนไม่เล่นเบี้ยยังรู้สึกสนุก!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: โรม บุนนาค



ในสมัยก่อน ระบบการเก็บภาษียังไม่กว้างขวางพอที่จะหาเงินมาใช้ในการพัฒนาประเทศ บ่อนการพนันจึงเป็นอีกทางหนึ่งของรายได้รัฐ และได้มากเสียด้วย แต่การพนันก็ทำให้คนลุ่มหลงได้ง่าย จนไม่ยอมทำมาหากิน เป็นหนี้เป็นสิน เสียผู้เสียคน ทำให้ครอบครัวต้องเดือดร้อน และยังส่งผลถึงสังคมด้วย

เมื่อคราวที่เสด็จประพาสยุโรป พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงไม่ละโอกาสที่จะเสด็จไปศึกษาบ่อนการพนันแหล่งใหญ่ของยุโรปที่เมืองมอนติคาโล ทรงส่งชิปที่ใช้เล่นกันในราคา ๑๐๐ ฟรังก์มาพระราชทานสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ๓ เหรียญเป็นที่ระลึก พร้อมพระราชหัตถ์เลขามีความตอนหนึ่งว่า

“ได้เรียนตำราเล่นเบี้ยอย่างฝรั่งเข้าใจแล้ว ข้อซึ่งเข้าใจกันว่าเล่นไม่น่าสนุกนั้นไม่จริงเลย สนุกยิ่งกว่าอไรๆ หมด ถ้าชาวบางกอกรู้ได้ไปเล่นแล้ว ฉิบหายกันไม่เหลือ ถ้าหากว่าไปถึงเมืองเราเข้าเมื่อไร จะรอช้าสักวันเดียวก็ไม่ควร ต้องห้ามทันที ถ้ารู้ถึงผู้ดีเล่นเบี้ยของเรา น่ากลัวอย่างยิ่ง จะดื่มไม่เงย แต่ฉันเปนคนไม่เล่นเบี้ยเลย ยังนึกรู้สึกสนุก ...”

ในรัชสมัยของพระองค์ การเก็บอาการบ่อนเบี้ยยังมีอยู่ และเก็บได้มากกว่าทุกรัชกาลถึงปีละ ๖๐๐,๐๐๐ บาท เพราะการพนันขยายตัวออกไปเป็นจำนวนมาก แต่พระองค์ก็ทรงยอมสละรายได้ของรัฐจำนวนนี้ เพราะทรงพิจารณาเห็นว่า “ได้ไม่คุ้มเสีย”

และยังทรงพระราชนิพนธ์ใน “พระราชพิธีสิบสองเดือน” กำชับให้พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ประชาชนไว้ว่า

“...การเล่นเบี้ยนั้น เป็นที่ไม่ต้องพระอัธยาศัยมาทุกๆพระเจ้าแผ่นดิน เพราะฉะนั้นควรที่พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการ ผู้ซึ่งมีความนับถือเคารพต่อพระบารมีและพระเดชพระคุณพระเจ้าแผ่นดินสืบๆกันมา ควรจะคิดตริตรองให้เห็นโทษเห็นคุณตามจริง และงดเว้นการสนุก และการหาประโยชน์ในเรื่องเล่นเบี้ยนี้เสีย จะได้ช่วยกันรับราชการสนองพระเดชพระคุณบำรุงแผ่นดิน เพิกถอนความชั่วในเรื่องเล่นเบี้ยซึ่งอบรมอยู่ในสันดานชนทั้งปวงอันอยู่ในพระราชอาณาเขต เป็นเหตุเหนี่ยวรั้งความเจริญของบ้านเมืองให้เสื่อมสูญไป...”

แต่การเลิกบ่อนทันทีทันใดก็จะส่งผลกระทบในวงกว้าง เพราะยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่มีอาชีพรับจ้างทำงานกับบ่อน และที่ใดมีบ่อนก็มักจะกลายเป็นที่ชุมนุมชน มีลิเก งิ้ว ไปเปิดการแสดง มีพ่อค้าแม่ค้านำสินค้าไปขาย ไม่ได้มีแต่นักพนัน ถ้าเลิกบ่อนก็จะส่งผลกระทบต่อการครองชีพของคนเหล่านี้ จึงทรงใช้วิธีจัดโซนลดจำนวนบ่อนลงจนกว่าจะเลิกได้โดยเด็ดขาด วิธีการเดียวกับการเลิกทาส

ทรงประกาศในปี ๒๔๓๐ ให้เลิกบ่อนเบี้ยตามหัวเมืองในมณฑลต่างๆให้ลดจำนวนก่อน เพราะมีข้อมูลว่าส่งผลเลวร้ายกว่ากรุงเทพฯมาก ต่อมาในปี ๒๔๓๒ จึงเริ่มลดในกรุงเทพฯ จนบ่อนเบี้ยทั่วประเทศลดจำนวนลงมาก จนเกือบไม่เหลือ

ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๖ จึงทรงมีพระราชบัญญัติในวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๖๐ เป็นของขวัญปีใหม่ ห้ามมีบ่อนถั่วโปอีกต่อไปทั่วพระราชอาณาจักร ต่อมาได้มีการปรับปรุงรวบรวมกฎหมายการเล่นการพนันประเภทต่างๆ จนมาเป็นพระราชบัญญัติการพนันในปัจจุบัน

หลังจากการประกาศให้เลิกบ่อนเบี้ยไปแล้วหลายแขวง กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ได้มีโทรเลขไปถึงเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) ซึ่งตอนนั้นยังเป็นพระยาสุขุมนัยวินิต ข้าหลวงมณฑลนครศรีธรรมราช ที่ประกาศเลิกบ่อนเบี้ยไปแล้ว ว่าเกิดผลอะไรขึ้นบ้าง เมื่อพระยาสุขุมนัยวินิตรายงานมาแล้ว จึงได้มีหนังสือกราบทูล พระเจ้าน้องยาเธอ กรมสมมตอมรพันธ์ ราชเลขานุการ ลงวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๔๘ มีความว่า

“ด้วยตั้งแต่เวลาที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศเลิกการพนันในมณฑลนครศรีธรรมราช แลมณฑลอื่นบางมณฑลแล้ว วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ศก ๑๒๒ (พ.ศ.๒๔๔๗) เกล้าฯได้มีโทรเลขถามไปยังมณฑลนครศรีธรรมราชว่า ตั้งแต่ออกประกาศให้เลิกเล่นการพนันแล้ว การโจรผู้ร้ายในเมืองสงขลาแลเมืองนครศรีธรรมราชเปนอย่างไรบ้าง

บัดนี้ เกล้าฯได้รับใบบอกพระยาสุขุมนัยวินิต ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราช ที่ ๓๑๖/๕๑๑ ลงวันที่ ๒๔ ธันวาคม ศก ๑๒๒ ชี้แจงมา ใจความว่า ตั้งแต่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หยุดการพนัน ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ศก ๑๒๒ มา การโจรผู้ร้ายลักเล็กลักน้อยสงบไปมาก ทั้งลักโคกระบือก็ค่อยสงบลงด้วย แต่เรื่องลักโคกระบือนี้ พระยาสุขุมนัยวินิตยังสงไสยอยู่ ด้วยความปรกติในเวลาระดูมรสุมเคยน้อยทุกปี เพราะฉนั้นเฉพาะเรื่องโคกระบือต้องรอดูไปอิกก่อน ส่วนการขายตัวเปนทาษเปนลูกจ้างน้อยลงไปในทันที แลเรื่องผัวเมียที่เคยวิวาทร้องอย่ากันเดือนละ ๑๑-๑๒ คู่ด้วย เรื่องเล่นไพ่นั้นก็สงบลงเหมือนกัน ยังคงเหลืออยู่แต่ธรรมเนียมเดือนละคู่ ๒ คู่

อนึ่ง เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคมศก ๑๒๒ พระยาสุขุมนัยวินิตได้ประชุมหัวน่าพ่อค้าหลายคนไต่สวนดูว่า ในระหว่างที่เปิดให้เล่นการพนันกับเวลาหยุดเล่น ได้ผลหรือเสียผลในการค้าขายอย่างไรบ้าง ก็ตอบเปนอย่างเดียวกันว่า พวกพ่อค้าตามแขวงตามตำบลมารับสินค้าไปนั้น พูดจาค่อยมั่นคงขึ้น รับสัญญาว่าจะนำสินค้าซึ่งจะแลกเปลี่ยนมาส่งเมื่อใด ก็นำมาส่งตามกำหนด พวกพ่อค้ากลางเมืองยอมให้รับสินค้าเชื่อไปจำหน่ายได้มากขึ้น ไม่เหมือนเมื่อกำลังเปิดให้เล่นการพนันอยู่ มักจะพากันเหลวไหลไปเสียมาก จนไม่อยากให้รับเชื่อของไป รวมใจความก็เห็นได้ว่าการค้าขายดีขึ้น...”

นอกจากนี้ พระยาสุขุมนัยวินิตได้เล่าว่า เมื่อไปเยี่ยมญาติที่เมืองสุพรรณบุรีและไปเที่ยวที่พระปฐมเจดีย์เมืองนครไชยศรี ได้สังเกตเห็นว่าการค้าขายทั้งสองเมืองนั้นต้องอาศัยโรงบ่อนเป็นเครื่องล่อ โดยพวกที่ไปค้าขายเป็นคนจีนไปจากที่อื่น พวกนี้ที่ร่ำรวย ส่วนพวกที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ในท้องที่พากันจนไปทั่วหน้าเพราะเล่นเบี้ย ที่เมืองสุพรรณบุรีก่อนจะมีบ่อน บ้านเรือนเป็นฝาไม้กระดานมั่นคงเรียบร้อย แต่พอมีบ่อนเบี้ยเกิดขึ้น แม้แต่ฝาไม้กระดานก็หายไป กลายเป็นเรือนเล็กเรือนน้อย เพราะพากันเข้าบ่อนทั้งผู้หญิงผู้ชาย พวกที่ออกไปทำนาอยู่นอกเมือง เมื่อเอาข้าวเข้ามาขาย ได้เงินเท่าไรก็มักพกไปไม่ถึงบ้าน หมดไปในบ่อนนั่นเอง การมีบ่อนจึงไม่มีผลดีแต่อย่างใด มีแต่ผลเสีย นอกจากการหย่าร้างกันแล้ว ยังมีลักเล็กขโมยน้อยไปทุกหย่อมหญ้า ที่ร้ายกว่ากรุงเทพฯก็ตรงที่ขโมยง่ายกว่า เลยชุกกว่านั่นเอง

แม้ในยุคนั้นจะเป็นการปกครองในระบบสมบูรณาญาสิทธิราช พระเจ้าแผ่นดินทรงอำนาจโดยเด็ดขาด แต่ก็ทรงบริหารประเทศด้วยจุดมุ่งหมายอยู่ที่ความผาสุกของประชาชนและความมั่นคงของประเทศชาติ แม้จะไม่มีราษฎรคนใดกล้าถวายความคิดเห็นหรือข้อเรียกร้อง แต่ก็ทรงสอดส่องดูแลทุกข์สุขของราษฎรทุกตำบลในทุกมณฑล โดยผ่านข้าราชการที่ทำหน้าที่ต่างพระเนตรพระกรรณ ซึ่งได้ดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยาสาบาณว่าจะถวายความจงรักภักดีต่อแผ่นดินแล้ว จึงเชื่อได้ว่าเป็นความจริงที่เกิดขึ้นโดยไม่มีการบิดเบือน หรือมีคนคอยขัดแข้งขัดขาถ่วงความเจริญ กว่าจะได้ก้าวไปแต่ละก้าวอย่างยากเย็นเหมือนในวันนี้








กำลังโหลดความคิดเห็น