xs
xsm
sm
md
lg

หนักกว่าโควิด ๑๙ ไทยก็เคยเผชิญมาแล้ว! มีพลเมืองแค่ ๘,๔๗๘,๕๖๖ ป่วย ๒,๓๑๗,๖๖๒ ตาย ๘๐,๒๒๓!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: โรม บุนนาค



จะว่าโลกอันสวยสดงดงามใบนี้เป็นโลกอันปลอดภัยอยู่ได้อย่างสบายหายห่วง ก็ไม่น่าใช่ นานทีก็มีโรคระบาดร้ายแรงคร่าชีวิตผู้คนไปเป็นล้านๆ แม้ความก้าวหน้าทางการแพทย์จะปราบปรามโรคระบาดหลายโรคจนราบคาบสาบสูญไปแล้ว อย่างเช่น อหิวาต์ ฝีดาษ กาฬโลก แต่ใน ๑๔๐ ปีมานี้ก็ยังมีโรคสายพันธุ์ใหม่ระบาดขึ้นมาอีกถึง ๕ ครั้ง โดยเฉพาะเมื่อ ๑๐๐ ปีที่ผ่านมาในสมัยรัชกาลที่ ๖
 
ขณะนั้นประเทศไทยมีพลเมืองแค่ ๘,๔๗๘,๕๖๖ มีคนป่วยถึง ๒,๓๑๗,๖๖๒ และตาย ๘๐,๒๒๓ รวมทั้งเจ้าฟ้าที่เกือบได้ขึ้นครองราชย์ ส่วนทั่วโลกครั้งนั้นตายไปกว่า ๔๐ ล้านคน บ้างก็ว่าถึง ๑๐๐ ล้าน

การระบาดใน ๕ ครั้งนี้ล้วนแต่เป็นไข้หวัดใหญ่ทั้งนั้น แต่มีชื่อต่างๆกันไปคือ ไข้หวัดใหญ่สเปน ไข้หวัดใหญ่เอเชีย ไข้หวัดใหญ่ฮ่องกง ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ๒๐๐๙ และไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ซึ่งเป็นแขกประจำมาเยี่ยมทุกปีในฤดูฝน

ที่ถือว่าร้ายแรงที่สุดของโลกและของไทยด้วย เกิดขึ้นในปี ๒๔๖๑-๒๔๖๓ มีชื่อว่า “ไข้หวัดสเปน” เพราะเกิดจากสเปนก่อนแล้วกระจายไปทั่วยุโรปจนถึงทั่วโลก คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า ๕๐ ล้านคน บางสถิติก็ว่าถึง ๑๐๐ ล้านคน เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H1N1 มาถึงไทยโดยทหารที่อาสาไปรบในสงครามโลกครั้งที่ ๑ ที่ยุโรป นอกจากตายที่นั่นกันหลายคนแล้ว คนที่กลับมายังนำเชื้อติดมาด้วย

เมื่อทหารไทยไปถึงฝรั่งเศส ขึ้นฝั่งที่เมืองมาร์เซย์ทางตอนใต้ ไข้หวัดสเปนได้ระบาดอยู่ทางเหนือแถวเมืองเบรสต์ และเมื่อทหารไทยเคลื่อนกำลังขึ้นไปทางเหนือสู่สมรภูมิ ก็ไม่มีใครคิดถึงการระบาดของโรค เพราะต่างมุ่งอยู่ที่การรบ เมื่อมีคนได้รับเชื้อติดโรคเกิดอาการที่ปอดจนเสียชีวิต ก็คิดว่าเป็นนิวมอเนีย หรือโรคปอดบวมเพราะอากาศหนาว

ในหนังสือที่ทหารไทยกลับมาเขียนเล่าไว้นั้นกล่าวว่า ในสงครามโลกครั้งที่ ๑ ไม่มีทหารไทยเสียชีวิตจากการรบเลย บางคนบาดเจ็บเข้าโรงพยาบาล ได้รับการรักษาจนบาดแผลหายแล้ว แต่ก็มาป่วยตายเพราะนิวมอเนีย ซึ่งอาการเกิดขึ้นที่ปอดเช่นเดียวกับโควิด ๑๙

ส่วนคนที่ยังไม่มีอาการ เมื่อกลับมาไทยก็ได้นำไข้หวัดสเปนกลับมาด้วย โดยเริ่มระบาดในไทยปี ๒๔๖๑ และยังแผลงฤทธิ์ต่อไปจนถึง ๒๔๖๓ มีผู้ติดเชื้อถึง ๒,๓๑๗,๖๖๒ คิดเป็น ๓๖.๖ เปอร์เซ็นต์ของประชากร แต่เสียชีวิตประมาณ ๑ เปอร์เซ็นต์ของประชากร หรือ ๓.๔๖ เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วย ในจำนวนนี้เป็นที่น่าเสียใจอย่างยิ่งก็คือ จอมพล เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งอาจจะได้ขึ้นครองราชย์ถ้าไม่มีชายาเป็นหม่อมต่างด้าวเสียก่อน ขณะที่พระองค์เสด็จประพาสทางทะเลในปี ๒๔๖๓ เมื่อเสด็จเลียบฝั่งทะเลด้านตะวันตกไปได้วันเดียว ก็มีอาการประชวรเป็นไข้ และกลายเป็นพระปับผาสะเป็นพิษ อีก ๔ วันต่อมาเมื่อไปถึงสิงคโปร์ทรงได้รับการถวายการรักษาอย่างดี แต่ไม่ถึงสัปดาห์ก็สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๔๖๓ ซึ่งเข้าใจกันว่าเป็นโรคปอดบวม แต่ต่อมาก็ฉุกใจว่าน่าจะเป็นไข้หวัดใหญ่สเปน ซึ่งยังระบาดช่วงท้ายในตอนนั้น

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับบรรดาโรคระบาดในยุคนั้นว่า

“...ไม่มีเหตุใดจะเปรียบเทียบได้กับกาฬโรคเมื่อ พ.ศ.๒๔๖๐ หรือไข้หวัดใหญ่ พ.ศ.๒๔๖๑ หรืออหิวาตกโรคเมื่อ พ.ศ.๒๔๖๒...”

ขณะนี้กาฬโรค แม้ยังไม่มีวัคซีนป้องกันและยังพบบ้างในบางทวีป แต่การกักโรคและการรักษา ก็ป้องกันการแพร่ระบาดได้ ส่วนอหิวาต์และไข้ทรพิษ ถูกกำจัดจนเกือบศูนย์พันธุ์ไปแล้วด้วยวัคซีนและการปลูกฝี ถือได้ว่าโรคร้ายแรง ๓ ชนิดที่โบราณเรียกกันว่า “โรคห่า” คือ กาฬโรค อหิวาต์ และไข้ทรพิษนั้น หมอเอาอยู่หมด แต่ไข้หวัดใหญ่กลายเป็นโรคประจำฤดูยังมาทุกปีในฤดูฝน ตอนนี้ก็ถึงระยะที่ต้องฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่กันอีกแล้ว แม้จะไม่มีการระบาดมาหลายปี เพื่อความไม่ประมาทก็ยังต้องฉีดวัคซีนป้องกันไว้จนกว่าหมอจะมั่นใจว่าสาบสูญไปอีกโรค

ส่วนโควิด ๑๙ ก็คือสายพันธุ์หนึ่งของไวรัสโคโรนา ซึ่งเป็นไวรัสวงศ์ใหญ่ที่ทำให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจ ตั้งแต่โรคหวัดธรรมดาจนถึงโรคที่มีอาการรุนแรง โควิด ๑๙ เป็นสายพันธุ์ใหม่ที่เพิ่งพบในปี ๒๐๑๙ มานี้และเพิ่งคิดค้นวัคซีนฉีดป้องกันได้ แม้โควิด ๑๙ กำลังเขย่าโลกทำให้ชีวิตและเศรษฐกิจเป็นใบไม้ร่วงอยู่ในขณะนี้ ก็เชื่อว่าคงแผลงฤทธิ์ไปได้อีกไม่นาน ก็ต้องหมดฤทธิ์ไปเหมือนอหิวาต์ ไข้ทรพิษ และไข้หวัดใหญ่ ด้วยวัคซีน
 
ความจริงการฉีดวัคซีนครั้งแรกในประเทศไทย มีมาตั้งแต่วันที่ ๒ ธันวาคม ๒๓๗๘ ในสมัยรัชกาลที่ ๓ แล้ว โดยหมอบรัดย์ มิชชันนารีอเมริกัน ร่วมกับหมอหลวง นำหนองฝีจากผู้ป่วยมาปลูกป้องกันไข้ทรพิษขณะมีการระบาดจนเป็นผลสำเร็จ ต่อมาในปี ๒๓๘๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้สั่งหนองฝีป้องกันไข้ทรพิษเข้ามาจากอเมริกาเพื่อบริการประชาชน ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ จึงโปรดเกล้าฯให้ทำพันธุ์หนองฝีขึ้นเอง แม้จะมีบริการปลูกฝีป้องกันให้แล้ว แต่ก็ยังมีคนบางกลุ่มไม่เข้าใจจึงไม่ยอมเข้ารับการปลูกฝี ซึ่งนอกจากจะเป็นอันตรายต่อตัวเองแล้วยังไปแพร่โรคให้คนอื่นด้วย ในสมัยรัชกาลที่ ๖ จึงโปรดเกล้าฯให้ตราพระราชบัญญัติจัดการปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษขึ้นในปี ๒๔๕๖ กำหนดให้ทุกคนต้องปลูกฝี ผู้ฝ่าฝืนมีโทษปรับเป็นเงินไม่เกิน ๑๐ บาท

ปัจจุบันประเทศไทยมีการใช้วัคซีนพื้นฐาน ๘ ชนิด ได้แก่ วัณโรค คอตีบ ไอกรน บาดทะยัก โปลิโอ หัดเยอรมัน คางทูม ตับอักเสบบี และไข้สมองอักเสบ ทำให้หลายโรคสูญหายไปจากโลก ที่ยังพอเหลืออยู่ก็ไม่มีพิษสงที่จะระบาดได้

การให้วัคซีนเป็นวิธีหนึ่งในการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย เพื่อต่อสู้เชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย แม้จะติดเชื้อมีอาการ ก็ไม่หนักหนาถึงขั้นเสียชีวิต ยังพอรักษาได้ แต่ปัจจุบันการเมืองเหนือการแพทย์ สิทธิเสรีภาพของประชาชนเป็นเรื่องใหญ่ การเข้ารับบริการทางสาธารณสุขถือว่าเป็นสิทธิของประชาชน ไม่ใช่หน้าที่ของประชาชน ฉะนั้นผู้ที่ปฏิเสธการเข้ารับวัคซีนจึงไม่ถือว่ามีความผิด อีกทั้งแพทย์ที่จะทำการรักษาผู้ป่วยก็ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ป่วยหรือผู้มีส่วนได้เสียโดยตรง เช่น บิดามารดา บุตร หรือคู่สมรส เป็นต้น นอกจากกลุ่มผู้มีความเสี่ยงสูงและบุคคลที่ต้องพบปะกับผู้คนจำนวนมาก รัฐจึงมีอำนาจที่จะบังคับใช้กฎหมายได้

ตอนนี้การฉีดวัคซีนโควิด ๑๙ ซึ่งเป็นของใหม่ที่เพิ่งค้นพบ กำลังมีปัญหาที่มีคนบางกลุ่มไม่ยอมฉีด ยังทั้งพูดชักนำด้อยค่าวัคซีนจนหลายคนเกิดความลังเลไม่กล้าไปฉีด ทำให้โรคร้ายไม่หมดพิษสงไปง่ายๆ ยังมีคนตายไปทุกวัน ซึ่งคนที่ไม่ฉีดและคนรอบข้างนั่นแหละที่จะมีโอกาสมากกว่าคนที่ฉีด

ไทยเราฉีดวัคซีนมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๓ แล้ว ยังไม่เคยมีข่าวว่าคนตายเพราะวัคซีนแม้แต่รายเดียว มีแต่โรคร้ายหลายโรคหายสาบสูญไปเพราะวัคซีน และวัคซีนโควิด ๑๙ เขาก็ฉีดกันทั่วโลกรวมทั้งหมอและระดับผู้นำประเทศ ยังไม่มีคนตายเพราะวัคซีนโควิด ๑๙ เลย ที่ตายกันทุกวันนี้ก็เพราะยังไม่ทันได้ฉีดวัคซีนทั้งนั้น

ทั้งๆที่ควรจะแย่งกันไปฉีด เพราะรัฐเอาของแพงมาฉีดให้ฟรีๆเพื่อรักษาชีวิต กลับมีคนชักชวนคนที่ไม่เข้าใจไม่ให้ไปฉีด ใจช่างโหดร้ายอำมหิตจริงๆ เอาชีวิตคนสนองตัณหาของตัวได้ลงคอ

วัคซีนที่ก่อนจะออกมาให้ฉีด บริษัทผู้ผลิตเขาก็ต้องทดลองจนมั่นใจ องค์กรอนามัยโลกก็ต้องรับรองก่อนจะให้ใช้ ของเรา อ.ย.ก็ต้องรับรองด้วย ทั้งหมอที่จะเอามาฉีดก็ต้องศึกษาจนมั่นใจ และพยายามอธิบายถึงคุณประโยชน์ของวัคซีนที่จะช่วยคุ้มครองชีวิตผู้คนได้ แต่หลายคนกลับไปเชื่อคนบ่อนทำลาย จนมีคนอดรนทนไม่ได้ออกมาถามสั้นๆว่า

“จะเชื่อหมอ หรือเชื่อหมา”

จะเชื่อใครก็พิจารณาเอาเองเถิดนะโยม...เจริญพร








กำลังโหลดความคิดเห็น