“ตั้ว ชุติมา กุมาร” โพสต์แชร์ประสบการณ์ขณะเข้ารักษาตัวจากเชื้อไวรัสโควิด-19 พร้อมแนะให้รัฐบาลนำเสนอข่าวในด้าน “หากเกิดกรณีติดเชื้อไวรัส covid-19 แล้ว จะต้องทำอย่างไร” เพื่อเป็นประโยชน์ให้กับประชาชน
เมื่อวันที่ 11 เม.ย. มีผู้ใช้เฟซบุ๊ก “Chutima Kumarn” โพสต์เล่าประสบการณ์การรักษาหลังตนติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งผู้โพสต์แนะให้รัฐบาลนำเสนอข่าวในด้าน “หากเกิดกรณีติดเชื้อไวรัส covid-19 แล้ว จะต้องทำอย่างไร” เพื่อเป็นประโยชน์ให้กับประชาชน โดยระบุข้อความว่า “Day3 ของการรักษา covid-19 ยังคงรับแค่ยาแก้ไอ กับยาแก้ผื่นคัน...เท่านี้จริงๆ ค่ะ เนื่องจากเชื้อไม่ลงปอด เลยไม่มีความจำเป็นต้องรับยาต้านไวรัส กักตัวสังเกตอาการจนกว่าหมอจะสั่งให้กลับบ้านได้
แต่ในฐานะที่ตั้วเคยเป็นสื่อมาก่อน และปัจจุบันก็ได้ร่วมงานการเมืองอยู่ในรัฐสภา จึงอยากจะวิงวอนสื่อมวลชนและรัฐบาลช่วยนำเสนอข่าวในด้าน “หากเกิดกรณีติดเชื้อไวรัส covid-19 แล้ว จะต้องทำอย่างไร” เสียมากกว่า. ดีกว่ามาเล่นเรื่องตัวเลข แล้วก็ไปไล่ว่าใครติดจากไหนไปไหน นำเสนอแบบนี้มีประโยชน์กับประเทศน้อยมากค่ะ
Covid-19 ไม่ได้รุนแรงอย่างที่คิดหรอกค่ะ คุณหมอบอกกับตั้วว่า ร้อยละ 80 ของผู้ติดเชื้อ จะหายได้เอง ส่วน 20 เปอร์เซ็นต์ จะมีอาการเชื้อลงปอด เคสเหล่านี้ถึงจะมีอาการแน่นหน้าอก ระดับออกซิเจนต่ำกว่า 98 (ใครมีเครื่องวัดลองวัดดู) และ สาเหตุที่ต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะ 1. เข้าเครื่อง X-ray ตรวจเช็กปอด ว่าปกติดีอยู่หรือไม่ 2. เพื่อกักตัว สังเกตอาการ และไม่ให้ไปแพร่เชื้อที่ไหน ฉะนั้น วิธีการจัดการกับตัวเองเบื้องต้นเพื่อไม่ให้ร่างกายรับเชื้อตัวนี้ คือ
1. ล้างมือให้สะอาด
2. กินอาหารเสริมจำพวกวิตามินซี/zinc/น้ำมันตับปลา หรือสมุนไพรตัวไหนก็ได้ที่คิดว่าไล่หวัดลงคอได้ ทานไปเลยค่ะ
3. ยาแก้ไอ (ถ้ามีอาการไอ)
4. ยาพ่นคอ คุณหมอจ่ายคามิโลซานให้ตั้ว
5. ยาแก้ผื่นคัน
6. ดื่มน้ำร้อนเยอะๆ
7. น้ำเกลือกลั้วคอ หรือน้ำมะนาวคั้นสด ทานไปเลยค่ะ เพื่อไล่หวัดให้ลงกระเพาะ
สุดท้ายตั้วขอนะคะ อย่าตื่นตระหนก อย่ารังเกียจคนติดเชื้อ อย่าโทษสังคมอย่าพาลว่า ใครนำเชื้อมาติด ไม่มีใครอยากติดหรอกค่ะ แต่ติดแล้ว มีทางเดียวคือรักษา ไม่มีทางเลือกอื่น/อย่าซ้ำเติมให้ผู้ติดเชื้อ และผู้เสี่ยงติดเชื้อประสาทแดกไปมากกว่านี้เลยค่ะ คนติดเชื้อเท่านั้นจึงจะเข้าใจ ว่ามันไม่ได้รุนแรงอย่างที่คิด คำพูดของหลายๆคนที่พูดว่า มันคือไข้หวัดธรรมดา คำพูดนี้คือเรื่องจริง เพราะหมอที่รักษาตั้วก็พูดประโยคนี้เหมือนกันค่ะ”