xs
xsm
sm
md
lg

ย้อนรอยคดี "ลวงเด็กชาย" ขายภาพละเมิดทางเพศ ดีเอสไอตามคนร้ายเกือบ 4 ปี ก่อนโยงถึง "โมเดลลิ่งดัง"

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ย้อนรอยคดีล่อลวงทางเพศเด็กชาย ดีเอสไอตามกลุ่มคนร้ายเกือบ 4 ปี หลังได้เบาะแสจากอินเตอร์โพล พบกระจายอยู่ทั่วประเทศ แกะรอยจากไฟล์ภาพผู้ต้องหาก่อนหน้านี้ ก่อนโยงถึงคดีล่าสุด "เนเน่ โมเดลลิ่ง" ขายภาพลามกอนาจาร


รายงานพิเศษ


“เมื่อช่วงกลางปี 2560 อินเตอร์โพล (องค์การตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศ) ส่งคลิปเด็กผู้ชายคนหนึ่งถูกล่วงละเมิดทางเพศมาให้เรา เป็นคลิปการร่วมเพศกับเด็ก คนร้ายปกปิดใบหน้าตัวเอง เรามั่นใจว่าเป็นเหตุการณ์ในประเทศไทย เพราะคนร้ายใส่สายรัดข้อมือที่เป็นสัญลักษณ์ของเหตุการณ์ในไทยในช่วงนั้น แต่เสียงของเด็กเป็นสำเนียงภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาไทย เราจึงเริ่มปฏิบัติการค้นหาที่ใช้ชื่อว่า Operation Black Wrist”


ร.ต.อ.เขมชาติ ประกายหงส์มณี รอง ผอ.กองกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) หัวหน้าทีมที่สืบสวนคดีนี้ เปิดเผยว่า คดีนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการที่ดีเอสไอจับกุม นายดนุเดช แสงแก้ว หรือ “เนเน่ โมเดลลิ่ง” เมื่อ 11 ก.พ. 2564

แต่เป็นต้นทางของการสืบสวนเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศเด็กชาย และมีการขายภาพอาจารของเด็กไทยในโลกออนไลน์ออกไปในหลายประเทศทั่วโลก

ปฏิบัติการในปี 2560 เริ่มขึ้นด้วยวิธีการที่ ร.ต.อ.เขมชาติ เรียกว่า “เดินดิน” เป็นวิธีการทำงานของนักสืบแบบดั้งเดิม คือ วิธีการสืบสวน โดยทำความเข้าใจทางพฤติกรรมศาสตร์ของอาชญากร จึงตั้งสมมติฐานและลงไปหาแหล่งที่มาของคลิปตามสมมติฐาน

โดยดูจากอัตลักษณ์ต่างที่อยู่ในคลิป เช่น เสียง ภาษา ลักษณะของสถานที่ ลักษณะของหลังคาบ้าน โดยมีหลักที่ใช้สืบสวนในคดีล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กอยู่ว่า “เหยื่อ” กับ “คนร้าย” มักอยู่ใกล้ชิดกัน เพราะคนร้ายส่วนใหญ่จะใช้ “บ้าน” ของตัวเอง เป็นสถานที่ก่อเหตุ ดังนั้นถ้ารู้ตัวเหยื่อ ก็จะพบตัวคนร้าย

“ทีแรกเราคิดว่าอาจจะเป็นเด็กกลุ่มชาติพันธุ์ เพราะภาษาไม่คุ้น จึงไปหาที่เชียงราย แต่ก็พบว่าไม่ใช่ จนเรามีข้อมูลว่า อาจจะเป็นภาษาที่ใช้กันในจังหวัดสุรินทร์ จึงลงไปที่นั่น และมาพบบ้านที่มีลักษณะเหมือนในคลิป ดูจากหน้าจั่วหลังคาบ้าน มีผ้าม่านสีแดงลายหัวใจ ที่หน้าบ้านมีรองเท้าเด็กถอดวางไว้หลายคู่ และติดตั้ง Wi–Fi แบบไฮสปีด เพราะคนร้ายรายนี้ ใช้ “เกมส์” เป็นเครื่องมือในการชักชวนเด็กให้มาที่บ้าน ชุมชนนี้เป็นชุมชนที่ใช้ภาษา “กวย” เป็นภาษาถิ่น”
ร.ต.อ.เขมชาติ เปิดเผย

เมื่อได้หลักฐานสถานที่เปรียบเทียบตรงกับในคลิป ทีมสืบสวนของดีเอสไอ จึงเข้าจับกุมตัวนายมนตรี เจ้าของบ้าน และพบวิธีการที่คนร้ายเริ่มเข้าเด็กด้วยการไปเตะฟุตบอลกับเด็กตามโรงเรียนประถม ทำทีเป็นคนที่สนับสนุนให้เด็กเล่นกีฬาจนผู้ปกครองเชื่อใจ จากนั้นจึงชวนเด็กไปเล่นเกมส์ที่บ้าน

เมื่อล่วงละเมิดเด็กและได้เงินจากการขายภาพและคลิป ก็นำเงินมาซื้อของให้เด็ก เช่น โทรศัพท์ไอโฟน เพื่อให้เด็กพึงพอใจ


การตรวจค้นบ้านของนายมนตรี พบหลักฐานภาพถ่ายและคลิปขณะทำอนาจารเด็กอายุระหว่าง 9-11 ปีหลายร้อยภาพ ซึ่งคนร้ายถ่ายด้วยตัวเอง โดยภาพและคลิปเหล่านี้ถูกส่งไปขายผ่านเว็บไซต์ที่นิยมในแถบยุโรป เปิดห้องแชท ร่วมเพศกับเด็กตามคำขอของสมาชิกในห้อง มีรูปแบบการจ่ายเงินผ่านระบบวอลเล็ต (Wallet)

ดีเอสไอจึงประสานกับ สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐอเมริกา (FBI) เพื่อให้ตรวจสอบผู้ให้บริการของเว็บไซต์ที่ใช้ขายภาพ จนสามารถระบุตัวจนแอดมินที่เป็นชาวไทยได้อีกคน ชื่อ นายฤชา วัย 31 ปี อยู่ที่นครแอดิเลท ประเทศออสเตรเลีย

จึงประสานต่อไปยังตำรวจออสเตรเลีย และบุกค้นจับนายฤชาได้เช่นกัน พบภาพถ่ายกว่า 12,000 ภาพ คลิปวิดีโอ 650 คลิป ร่วมทเพศกับเด็ก 13 คน หนึ่งในนั้นเป็นเด็กที่มีอายุเพียง 15 เดือน

คดีของนายมนตรี ศาลพิพากษาจำคุก 146 ปี รับสารภาพ ลดเหลือ 73 ปี คงโทษจำคุกสูงสุด 50 ปี ชดใช้ค่าเสียหายกับเหยื่อ 5 ราย รายละ 250,000 บาท

ส่วนนายฤชา ศาลออสเตรเลียพิพากษาจำคุก 40 ปี โดยในช่วง 28 ปีแรก ไม่สามารถขอลดหย่อนโทษหรือขอคุมประพฤติได้



จากการจับกุมตัวนายฤชา ทำให้ตำรวจออสเตรเลียขยายผลต่อ พบแฟนของนายฤชา ชื่อ นายสุทธิพงษ์ อยู่ที่จังหวัดลำปาง และยิ่งน่าตกใจ เพราะนายสุทธิพงษ์มีอาชีพดูแลเด็กในเนอสเซอรี่

เมื่อข้อมูลนี้ถูกส่งกลับมาที่ประเทศไทย เจ้าหน้าที่ดีเอสไอและตำรวจกองบังคับการปราบปราม จึงไปตรวจค้น และพบว่ามีพฤติกรรมล่วงละเมิดทางเพศเด็กผ่านทางสื่อออนไลน์เช่นกัน ตั้งแต่การถ่ายทอดสดอาบน้ำคู่กับเด็กผู้ชายอายุ 6-7 ขวบ พร้อมทำอนาจารเด็กไปด้วยและยังพบคลิปการรุมโทรมเด็ก

ศาลตัดสินจำคุกนายสุทธิพงษ์ตลอดชีวิต แต่รับสารภาพเหลือโทษจำคุก 36 ปี 6 เดือน ชดใช้ให้เหยื่อ 2 คน เป็นเงินรวม 400,000 บาท

จากข้อมูลของผู้กระทำความผิดแฟ้มเดียวกันในประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเชื่อมโยงมาจากข้อมูลในคอมพิวเตอร์ของนายฤชาและนายสุทธิพงษ์ ยังนำมาให้เจ้าหน้าที่ของไทยไปพบคนร้ายอีกหนึ่งคน

โดยในคลิปที่ล่วงละเมิดเด็ก คนร้ายสวมหมวกผ้าสีขาว เพื่ออำพรางตัวให้ถูกเข้าใจว่าเป็นชาวมุสลิม แต่เคสนี้ตำรวจกองปราบปรามไปพบตัวที่จังหวัดพัทลุง โดยการแกะรอย เริ่มจากชื่อไฟล์ที่ใช้ในการเผยแพร่

“JAEMEE” คือ ชื่อไฟล์ที่คนร้ายรายนี้ใช้ในการเผยแพร่ภาพการกระทำอนาจารเด็ก ซึ่งตำรวจออสเตรเลีย ส่งมายังหน่วยงานในประเทศไทย เป็นร่องรอยคนร้ายที่ทางไทยพยายามตีความไปหลายทาง

“ทีแรกก็พยายามแปลกันไป มันมีความหมายอะไร จนมาสรุปได้ว่า “JAEMEE” หมายถึง “จ่าหมี” ทั้งตำรวจทั้ง DSI ก็ออกไปค้นหาตามค่ายทหารทางภาคใต้เลย หาทุกคนที่ชื่อ จ่าหมี แต่ก็ยังไม่มีใครตรงกับลักษณะคนร้ายในคลิป เราก็เปลี่ยนไปค้นหาจากฝ่ายตำรวจบ้าง จนมาเจอ “จ่าหมี” คนนี้ ชื่อ ด.ต.ประภาส ก็เลยรู้ว่าเขาใส่หมวกเพราะต้องการปิดบังอัตลักษณ์ที่ศรีษะล้าน ไม่ใช่ชาวมุสลิม เมื่อเจอคนร้าย เราก็เจอเหยื่อเป็นลูกชายของแม่บ้านที่เป็นแรงงานข้ามชาติ จ่าหมีเข้าถึงเด็กและล่วงละเมิดได้ โดยอาศัยบุญคุณที่ไปเดินเรื่องขอใบอนุญาตทำงาน”
ร.ต.อ.เขมชาติ เล่าถึงการค้นหาตัวคนร้ายรายนี้ ซึ่งต้องใช้เวลานานหลายเดือน

จ่าหมี ยังพยายามใช้วิธีขอไกล่เกลี่ยกับแม่ของเด็ก นำเงิน 250,000 บาท มาจ่ายให้แม่ของเด็ก แต่ศาลก็ไม่ปราณี ถือว่าเป็นเพียงแต่ส่วนของคดีแพ่ง 

จึงพิพากษา รวมจำคุก 142 ปี 16 เดือน ให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่ง รวมจำคุก 71 ปี 8 เดือน แต่ลงโทษจำคุกสูงสุด 50 ปี


ไฟล์ข้อมูลไฟล์เดียวกัน ทำให้เชื่อมโยงเครือข่ายของคนร้ายทางโลกไซเบอร์ได้ ทำให้จับกุมตัวคนร้ายที่มีพฤติกรรมล่วงละเมิดทางเพศเด็กผู้ชายได้ทั้งที่ สุรินทร์ ออสเตรเลีย ลำปาง พัทลุง ซึ่ง ร.ต.อ.เขมชาติ เรียกว่า “องค์กรอาชญากรรม”

แม้ว่าคนร้ายจะไม่ได้รู้จักเชื่อมโยงกันทุกคน ไม่มีหัวหน้า ไม่มีลูกน้อง แต่ก็พบเส้นทางของ "ไฟล์ภาพการทำอนาจารกับเด็ก" ไม่ว่าจะเป็นของคนร้ายคนใดคนหนึ่ง จะถูกแชร์ต่อมาอยู่ในไฟล์ของคนอื่นๆคล้ายเป็นกลุ่มเดียวกัน และเป็นต้นตอที่ทำให้เกิดการประสานงานกับหน่วยงานในต่างประเทศ จนดีเอสไอสามารถขยายผลจับกุมคนร้ายอื่นๆ ต่อไปได้อีก

และภาพจากเครือข่ายในโลกไซเบอร์ของนายฤชา ยังนำไปสู่การพบภาพเด็กถูกล่วงละเมิด ที่ทำให้ DSI ติดตามจับกุม “นายหมี” (คนละคนกับจ่าหมี) ผู้ที่ล่อลวงเด็กส่งต่อไปถึง “เนเน่ โมเดลลิ่ง” ซึ่งเป็นการจับกุมครั้งใหญ่ในเวลาต่อมา

อ่านประกอบ : เบื้องลึก "ดีเอสไอ" จับ "โมเดลลิ่งดัง" ล่อลวง-ขายภาพลามกเด็กชาย ผงะ! ใช้โรงเรียนเข้าหาเหยื่อ


ร.ต.อ.เขมชาติ ยังย้ำว่า การทำคดีของ DSI ยังไม่จบเพียงเท่านี้ ยังต้องติดตามเส้นทางการเงินเพื่อขยายผลไปหาเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมทางเพศข้ามชาติต่อไป

“ยังมีอีกภารกิจที่สำคัญที่สุดคือ DSI กำลังพยายามติดตามเด็กที่ตกเป็นเหยื่อให้ครบทุกคน ต้องบอกให้ผู้ปกครองของเด็กทุกคนรู้ความจริงว่าลูกถูกล่วงละเมิดทางเพศ เพราะมีข้อมูลที่ชัดเจนว่า เด็กที่เคยถูกล่วงละเมิดทางเพศส่วนหนึ่ง มีอาการป่วย มีพฤติกรรมทำร้ายตัวเองเมื่อโตขึ้น อีกบางส่วนโตขึ้นกลายเป็นผู้ก่ออาชญากรรมทางเพศกับเด็กเหมือนกับที่ตัวเขาเองเคยถูกกระทำมา ดังนั้นจำเป็นต้องค้นหาเหยื่อ นำเด็กทุกคนเข้าสู่กระบวนการบำบัดเยียวยาอย่างถูกต้องโดยเร็ว ซึ่ง DSI ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและองค์กรพัฒนาเอกชนให้ช่วยดำเนินการในขั้นตอนบำบัดไว้แล้ว”















กำลังโหลดความคิดเห็น