xs
xsm
sm
md
lg

เบื้องลึก "ดีเอสไอ" จับ "โมเดลลิ่งดัง" ล่อลวง-ขายภาพลามกเด็กชาย ผงะ! ใช้โรงเรียนเข้าหาเหยื่อ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เผยเบื้องลึกกรมสอบสวนคดีพิเศษจับ “เนเน่ โมเดลลิ่ง” ล่อลวงทางเพศ ขายภาพลามกเด็กชาย พบคนร้ายใช้โรงเรียนเป็นช่องทางเข้าหาเหยื่อ อย่างน้อย 5 โรงเรียนดัง ต้องการคนดังเป็นจุดขาย โดยที่ผู้ปกครองไม่เอะใจมาก่อน


รายงานพิเศษ

จากเหตุการณ์กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) บุกจับโมเดลลิ่งชื่อดัง นายดนุเดช แสงแก้ว หรือ “เนเน่ โมเดลลิ่ง” เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 2564 ที่บ้านพักซึ่งใช้เป็นโมเดลลิ่ง ใน อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี และพบหลักฐานภาพถ่ายลามกอนาจารที่กระทำต่อเด็กอายุไม่เกิน 13 ปี ถึงประมาณ 5 แสนภาพ พร้อมพบว่าเป็นภาพถ่ายที่ถูกเผบแพร่ผ่านระบบคอมพิวเตอร์ไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก เพื่อซื้อ-ขายทำธุรกิจ

ทีมข่าว MGR Online เจาะลึกประเด็นนี้ พบหนึ่งในประเด็นสำคัญ คือ คนร้าย มีศักยภาพส่งเด็กผู้ชายเข้าสู่วงการบันเทิงได้จริง จึงสามารถเข้าหาเด็กที่ตกเป็นเหยื่อผ่านทางโรงเรียน และสามารถเข้าไปคุยกับเด็กถึงบ้าน ทำหน้าที่รับ-ส่ง

โดยที่ผู้ปกครองไม่เคยรู้มาก่อนว่า “ลูกชายกำลังตกเป็นเหยื่อ ถูกล่อลวงทางเพศ” โดยเหยื่อทั้งหมด เรียนอยู่ชั้นอนุบาล 3 - ป.5 เท่านั้น

“เคสนี้เกิดขึ้นในปี 2563 เริ่มจากทางตำรวจออสเตรเลีย ส่งภาพเด็กชายคนหนึ่งมาให้เครือข่ายในหลายประเทศดู เป็นภาพเด็กผู้ชายคนหนึ่งนั่งเล่นคอมพิวเตอร์ในบ้านหลังหนึ่ง ในกางเกงขาสั้นสีดำคล้ายกางเกงว่ายน้ำ มีมือแหวกอยู่ที่กางเกงของเด็ก ที่มือมีรอยสักเป็นรูปดาวห้าแฉก พอเราดูก็เห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเป็นประเทศไทย เพราะภาพถูกส่งมาจากไฟล์กลุ่มเดียวกันของคนร้ายชาวไทยอีกคนหนึ่งที่ถูกจับกุมไปแล้วที่เมืองแอดิเลด ในออสเตรเลีย จึงเริ่มแกะรอยจากภาพนี้”

ร.ต.อ.เขมชาติ ประกายหงส์มณี รอง ผอ.กองกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ ดีเอสไอ หัวหน้าชุดปฏิบัติการที่ติดตามคดีการล่วงละเมิดทางเพศเด็กผ่านสื่อออนไลน์ข้ามชาติมาตั้งแต่ ปี 2560 อธิบายถึงความเชื่อมโยงที่นำไปสู่การจับกุมครั้งสำคัญ

ร.ต.อ.เขมชาติ ประกายหงส์มณี
เขาบอกว่า จุดแรกที่พยายามแกะรอย คือ แผ่นกระดาษเล็กๆ 2-3 แผ่น บนกำแพงที่เป็นฉากหลังของภาพที่เด็กนั่งเล่นคอมพิวเตอร์อยู่ แต่พยายามใช้เทคโนโลยีเพื่อซูมภาพดูเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถระบุได้ว่า ตัวอักษรในภาพเป็นภาษาไทยหรือไม่

กุญแจสำคัญที่ ดีเอสไอ ใช้แกะรอยต่อ คือ เทคโนโลยีในการระบุตัวตนตนร้ายจากสัญลักษณ์ต่างๆ ทั้งรอยสัก ลายเสื้อ กางเกง โต๊ะคอมพิวเตอร์

เด็กนั่งเล่นคอมพิวเตอร์

รอยสักของนายหมี ใช้มือแหวกกางเกงเด็ก
จนกระทั่งมาพบภาพ “รอยสักบนมือของชายในภาพ” ในภาพอีกใบหนึ่ง และพบเด็กคนเดียวกัน ใส่เสื้อตัวเดียวกัน กำลังนั่งรถเมล์ มองออกไปที่หน้าต่าง ด้านนอกหน้าต่างเห็นเพียงเกาะกลางถนน ซึ่ง ร.ต.อ.เขมชาติ เล่าว่า เราสามารถระบุสถานที่นั้นได้อย่างเหลือเชื่อ


“ลูกน้องเก่าผมคนหนึ่ง เห็นรูปนี้แล้วบอกทันทีว่า นั่นคือถนนลาดพร้าว เป็นเกาะกลางถนนที่หน้าโรงพยาบาลลาดพร้าว ตรงข้ามกับซอยมหาดไทย (ลาดพร้าว 122) เพราะจำได้ว่า จุดนั้นเป็นจุดเดียวที่เกาะกลางถนนวางอิฐเป็นขอบปูนเล็กๆ ขอบเดียว ต่างจากจุดอื่น และเมื่อส่งทีมงานลงไปดู ก็เจอว่า ใช่จริงๆ ผมยังตกใจเลยว่าลูกน้องผมเห็นแค่นี้รู้ได้ยังไง แต่ก็ทำให้เราได้โลเคชั่นเบื้องต้นว่า เด็กคนนี้ต้องอยู่แถวๆ ลาดพร้าวหรือใกล้เคียง เพราะคนร้ายพาเด็กนั่งรถเมล์ ไม่น่าจะเดินทางมาจากจุดที่ไกลมาก” ร.ต.อ.เขมชาต กล่าว

เปรียบเทียบฉากหลังตรงกับสถานที่ก่อเหตุล่วงละเมิดเด็ก

เด็กนั่งรถเมล์ วิวคือถนนลาดพร้าว บริเวณโรงพยาบาลลาดพร้าว
การสืบสวนต่อเนื่องยังเป็นไปในทางลับ ดีเอสไอ เริ่มได้ข้อมูลของคนร้ายและพบว่าชื่อ “นายหมี” แต่เบาะแสที่ทำให้ระบุตัวตนคนร้ายได้ มาจากเด็กอีกคน โดยดีเอสไอ ใช้สมมติฐานเปรียบเทียบกับคดีอื่นๆ ที่เป็นอาชญากรรมเฉพาะด้าน เช่น แก๊งปล้นเซฟ ซึ่งคนร้ายที่ใช้ความเชี่ยวชาญเช่นนี้ มักจะไม่ก่อเหตุครั้งเดียว ต้องไปก่อเหตุที่อื่นอีก

ด้วยสมมติฐานนี้ ทำให้ ดีเอสไอ ประสานงานกับตำรวจสากล (INTERPOL) และสำนักงานสอบสวนกลาง (FBI) ของสหรัฐอเมริกา เพื่อร่วมค้นหาว่า คนที่มีรอยสักเดียวกันนี้ ไปถ่ายรูปกับเด็กคนอื่นอีกหรือไม่ จนมาพบภาพที่เห็นหน้าคนร้ายชัดเจน


“เราต้องค้นหาหมด จนมาเจอภาพเด็กอีกคนหนึ่ง ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับเด็กคนที่นั่งรถเมล์เลย ภาพที่เราเจอไม่ใช่ภาพลามกของเด็ก เป็นภาพเด็กยืนทำกับข้าว นั่งเล่นกีตาร์ และมีหนึ่งภาพที่ “นายหมี” ซึ่งมีรอยสักดาวห้าแฉกที่มือ ถ่ายภาพเซลฟี่กับเด็ก”

ภาพนี้สำคัญมาก เพราะนอกจากจะระบุตัวตนคนร้ายได้ ยังทำให้ ดีเอสไอ สืบสวนไปต่อได้อีก เพราะเด็กในภาพใส่ชุดนักเรียน เห็นส่วนหนึ่งของโลโก้โรงเรียนบนหน้าอกเสื้อของเด็ก ซึ่งตรวจสอบต่อพบว่า เป็นโรงเรียนเอกชนชื่อดังในกรุงเทพมหานครฝั่งตะวันออก

คนร้ายถ่ายเซลฟี่กับเด็กอีกคนในชุดนักเรียน
ปฏิบัติการไล่ล่านายหมี เริ่มขึ้นทันที เจ้าหน้าที่ ดีเอสไอ เดินทางไปสืบต่อที่โรงเรียนเอกชนแห่งนั้น เพื่อจะระบุตัวตนของเด็ก เพราะคาดว่า เมื่อนายหมีมีพฤติกรรมล่วงละเมิดทางเพศเด็กคนหนึ่ง ต้องมีคนอื่นๆ ด้วยอย่างแน่นอน

เมื่อไปถึงโรงเรียนก็ได้ข้อมูลว่า เด็กคนนี้ลาออกจากโรงเรียนไปแล้ว (ด้วยเหตุผลอื่นของผู้ปกครอง) แต่ก็ได้ข้อมูลของแม่เด็กมาจากโรงเรียน และมาพบข้อมูลที่น่าตกใจยิ่งขึ้น


“เมื่อเรารู้ว่าแม่เด็กเป็นใคร เราก็ไปค้นจากโซเชียลมีเดียของแม่เด็ก ไล่ดูภาพไปเรื่อยๆ จนไปพบภาพ “นายหมี” ไปทำตัวเนียนอยู่ในบ้านของเด็ก อยู่ในครอบครัวของเขาเลย และยังพบว่า คนร้ายมีภาพที่พาเด็กไปถ่ายในโมเดลลิ่ง มีฉากคล้ายสตูดิโอ มีช่างแต่งหน้า มีเด็กหลายคน จึงได้สมมติฐานเพิ่มเติมว่า ต้องมีค่ายโมเดลลิ่งเด็กเข้ามาเกี่ยวข้อง”

เมื่อเห็นความเชื่อมโยงไปที่โมเดลลิ่ง ร.ต.อ.เขมชาติ ใช้วิธีตั้งข้อสังเกตว่า ผู้ปกครองที่ส่งเด็กเข้าสู่โมเดลลิ่ง จะต้องมี “สังคมในโลกออนไลน์” ร่วมกัน เช่น กรุ๊ปแชท ไลน์กลุ่ม จึงมุ่งไปหาข้อมูลต่อจากสังคมในโลกออนไลน์ของแม่

จนมาพบจุดร่วมกัน คือ มีสังคมออนไลน์เดียวกับผู้ปกครองของ “เด็กที่มีภาพนั่งรถเมล์” จึงรู้ว่า เด็กคนนั้นเป็นใครในที่สุด ซึ่งก็มีบ้านอยู่แถวลาดพร้าวจริงๆ

ปฏิบัติการขั้นต่อไป เริ่มต้นขึ้นจากการเชื่อมโยงระหว่างเด็กกับคนร้าย ซึ่ง ดีเอสไอ เริ่มจากเด็กที่ห่างจากคนร้ายมาพอสมควรแล้ว เลิกติดต่อกับคนร้ายแล้ว นั่นคือ เด็กที่นั่งรถเมล์ เพราะโดยหลักการแล้ว ถ้าผู้ปกครองยังติดต่อกับคนร้ายอยู่ อาจโกรธแค้น ไปโวยวายใส่คนร้าย เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ปฏิบัติการล้มเหลวได้

มาถึงขั้นตอนที่ยากที่สุด นั่นคือ “การแจ้งข่าวร้ายกับผู้ปกครอง” เพราะที่ผ่านมา ผู้ปกครองไม่เคยรู้เลยว่า ลูกของเขาถูกล่วงละเมิดทางเพศ


“เคสของนายหมี เป็นเคสพิเศษ ทำให้เราได้พบรูปแบบใหม่ของคนร้าย เพราะจากประสบการณ์ที่ทำคดีล่วงละเมิดทางเพศเด็กมานาน คนร้ายทุกคน จะใช้บ้านของตัวเองเป็นฐานทัพ จะพาเหยื่อมาที่บ้าน แต่เคสนี้ คนร้ายเข้าไปหาเหยื่อโดยอ้างเป็นโมเดลลิ่ง หรือใช้วิธีทักทายไปทางเฟซบุ๊ก มาหาเหยื่อที่บ้าน เข้าไปคลุกคลีกับครอบครัว พาไปถ่ายงานจริง ได้เงินจริงจากการถ่ายงาน และมีศีกยภาพส่งเด็กเข้าสู่วงการบันเทิงได้จริง ในขณะที่มีการล่วงละเมิดทางเพศเด็กไปด้วยอยู่ตลอด เด็กบางราย แม่ออกจากบ้านไปซื้อของ 15 นาที เด็กถูกล่วงละเมิดไปแล้วที่บ้านของตัวเอง” ร.ต.อ.เขมชาติ อธิบายถึงรูปแบบการติดต่อเด็กที่เขาพบว่าต่างไปจากที่เคยพบมา

จากนั้นจึงไปจับกุมนายหมี ซึ่งมีอาชีพขายน้ำปั่นอยู่ที่ตลาดนัด ควบคู่ไปกับการหาเด็กเข้าโมเดลลิ่ง พร้อมรับจ้างและสอนวาดรูปแก่เด็ก มีเพจในเฟซบุ๊ก ซึ่งเต็มไปด้วยภาพวาดเด็กผู้ชาย บางภาพส่อไปทางลามกอนาจาร

เมื่อถูกจับกุม นายหมี รับสารภาพว่า ได้ล่วงละเมิดทางเพศเด็กชายมาแล้วประมาณ 50 คน ซึ่ง ดีเอสไอ เชื่อว่า มีมากกว่านั้น และยังพบว่า นายหมี ไปล่อลวงเด็กอายุ 12 ปีคนหนึ่ง ซึ่งแม่เป็นแรงงานต่างด้าว และมีลักษณะการคบหากับเด็กชายคนนี้โดยจินตนาการว่าเป็นคู่รัก จนถึงขั้นที่แม่ของเด็กพาเด็กหนีไปอยู่ต่างจังหวัด นายหมีก็ไปตามหาจนพบ

มาถึงขั้นตอนที่ ดีเอสไอ เชื่อมโยงไปที่ “เนเน่ โมเดลลิ่ง” ซึ่งเป็นแหล่งที่นายหมี ใช้อ้างอิงเพื่อเข้าหาเหยื่อและส่งเด็กไปถ่ายงานในสตูดิโอได้จริง เมื่อเข้าไปสอบปากคำนายดนุ หรือ เนเน่ ในทีแรกในฐานะพยาน เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ได้ขอตรวจค้นข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ของนายเนเน่ และพบภาพลามกอนาจารของเด็กเป็นจำนวนมาก แต่จับกุมในฐานครอบครองภาพลามกเท่านั้นก่อน พร้อมถ่ายรูปสถานที่ในบ้านที่แปรสภาพเป็นโมเดลลิ่งของนายเนเน่ไว้อย่างละเอียด


“เมื่อเราได้หลักฐานทั้งภาพ คลิป จากคอมพิวเตอร์ของนายเนเน่ เราก็นำภาพมาเปรียบเทียบกับพื้นที่ต่างๆในบ้าน เพื่อดูว่า ภาพและคลิปไหน มีสถานที่ตรงกับมุมต่างๆในบ้านบ้าน เช่นโต๊ะคอมพ์ ขอบผนัง ห้องนอน หมอน และพบภาพที่ตรงกันจำนวนมาก จึงสรุปได้ว่า โมเดลลิ่งแห่งนี้ถูกใช้เป็นสถานที่ทำอนาจารเด็ก และพบว่า คลิปและภาพ ถูกนำไปเผยแพร่ ในลักษณะการแลกเปลี่ยนซื้อขายในสื่อสังคมออนไลน์เฉพาะกลุ่ม ที่เป็นแพลตฟอร์มของประเทศนิวซีแลนด์ และสหรัฐอเมริกา ไม่เป็นที่รู้จักในประเทศไทย”

หลังถูกจับกุมด้วยข้อหาร้ายแรงเพิ่ม นายเนเน่ รับสารภาพว่า ไปล่อลวงเด็กมาจากกลุ่มพ่อแม่ที่ยากจนตามตลาดนัด โดยการเสนอว่าจะพาไปเข้าโมเดลลิ่ง มีรายได้จำนวนมากมาช่วยครอบครัว

พฤติกรรมคนร้ายเข้าไปเลือกเด็กในโรงเรียน
แต่ต่อมาดีเอสไอสอบสวนนายเนเน่เพิ่มเติมอย่างเข้มข้น และพบข้อมูลที่น่าตกใจ เพราะคนร้ายสารภาพว่า “เขาไปเลือกเด็กอีกจำนวนหนึ่งมาจากการเข้าไปติดต่อผ่านโรงเรียนโดยตรง อย่างน้อย 5 โรงเรียน ล้วนเป็นโรงเรียนชื่อดัง”


“คนร้ายมีจุดแข็งคือ เป็นโมเดลลิ่ง ที่สามารถจ่ายงานให้เด็กได้จริง ได้เงินค่าตอบแทนจริง จึงทำหนังสือไปที่โรงเรียนดังๆ เพื่อขอเข้าไปดูตัวเด็ก และโรงเรียนมีจุดอ่อนคือ การที่โรงเรียนมักต้องการจุดขายว่ามีนักเรียนเป็นดารา เป็นคนดัง จะช่วยสร้างชื่อเสียงให้โรงเรียน ช่วยเพิ่มความต้องการที่ผู้ปกครองอยากจะส่งเด็กเข้าโรงเรียน และช่วยเพิ่มมูลค่าในการนำเด็กเข้าโรงเรียนไปด้วย นั่นเท่ากับว่า คนร้ายเข้าไปเดินช็อปปิ้งเด็กได้เลย โดยมีโรงเรียนเป็นใบรับรองความปลอดภัย ผู้ปกครองส่วนใหญ่จึงไม่เอะใจเลยว่า นี่เป็นช่องทางที่ลูกของตัวเองกำลังถูกล่อลวงไปล่วงละเมิดทางเพศ” นี่เป็นข้อความสำคัญที่ ร.ต.อ.เขมชาติ ย้ำกับทีมข่าว เพื่อให้ส่งสารไปถึงโรงเรียนและผู้ปกครอง

ส่วนรูปแบบการซื้อขายแลกเปลี่ยนภาพลามกอนาจารเด็กของนายเนเน่ ร.ต.อ.เขมชาติ เปิดเผยว่า นายเนเน่ จะใช้วิธีสร้างห้องแชทลับ และเป็นการแลกเปลี่ยนกับลูกค้าในต่างประเทศเท่านั้น ให้ลูกค้าที่ต้องการภาพส่งเลขบัตรเครดิตมา พร้อมส่งรหัสผ่านใช้ครั้งเดียว (One Time Password หรือ OTP) มาด้วย เพื่อให้นายเนเน่นำเลขบัตรเครดิต และรหัส OTP ใช้สั่งซื้อสินค้าออนไลน์แทนเงิน โดยคิดราคาแล้วแต่ระดับความแรงของภาพตามที่ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงกัน

ซึ่งดีเอสไอ กำลังพิจารณาหลักฐานการซื้อขายภาพและข้อกฎหมาย เพราะมั่นใจว่าพฤติกรรมนี้จะเข้าข่ายความผิดฐาน “ค้ามนุษย์”


“โมเดลลิ่งนี้ ผมค้นข้อมูลดู พบว่าถูกจัดเป็นโมเดลลิ่งอันดับ 3 ในประเทศไทย เรากำลังสนใจว่า มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเปิดโมเดลลิ่งอย่างไรบ้าง มีการจดทะเบียนหรือกลไกการควบคุมอะไรบ้าง เพราะเป็นอาชีพที่ใกล้ชิดเด็กมากๆ กฎหมายควรจะต้องมีกระบวนการตรวจสอบคนที่มีอาชีพที่ต้องใกล้ชิดเด็กมากๆ ก่อนจะอนุญาตประกอบอาชีพหรือไม่ เพราะที่ผ่านมา เราเคยเจอคนร้ายในคดีล่วงละเมิดทางเพศเด็ก มีทั้งเจ้าหน้าที่เนอสเซอรี่ (สถานรับเลี้ยงเด็ก) ตำรวจที่ทำหน้าที่สอนเด็กในโรงเรียน ครูสอนดนตรี ครูสอนศาสนา หรือแม้แต่เคยพบคนร้าย เป็นชาวต่างชาติที่เข้ามาสมัครเป็นครูในโรงเรียน 2 ภาษา ซึ่งได้รับการออกใบอนุญาตทำงานในไทย ทั้งที่เราไปตรวจพบประวัติเคยกระทำความฐานล่วงละเมิดเด็กมาก่อนในประเทศของเขาเอง” ร.ต.อ.เขมชาติ กล่าวทิ้งท้าย

ยังมีคดีที่เกี่ยวพันเชื่อมโยงกับคดีนี้อีกหลายคดี ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2560 ทีมข่าว MGR Online จะนำเสนอในรายงานชิ้นต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น