โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ ซิตี้ จอมเทียน เปิดใจ หลังนำร่องเข้าร่วมเป็นสถานกักตัวของรัฐเกือบ 1 ปี ด้วยการทำงานบนมาตรฐานสาธารณสุข และการเสียสละของพนักงานโรงแรม พร้อมแจงประเด็นถูกวิจารณ์หลายด้าน เป็นไปตามข้อจำกัดของกฎระเบียบสาธารณสุขและงบประมาณที่จำกัดจากรัฐ มั่นใจการให้บริการอาหารเป็นไปบนมาตรฐานความสะอาดและความปลอดภัย ด้วยการมีแหล่งผลิตอาหารเอง ทั้งฟาร์มผักออร์แกนิกส์ และบ่อเลี้ยงปลา ลั่นไม่ถอดใจแม้ถูกมองลบ ยังมุ่งมั่นช่วยรัฐนำคนไทยกลับบ้าน
เมื่อวันที่ 25 ก.พ.นางสาวสุภาสิณี อิมะนันทน์ ผู้จัดการฝ่ายห้องพัก โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ ซิตี้ จอมเทียน เปิดเผยว่า การระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้คนไทยที่อาศัยอยู่ต่างประเทศมีความประสงค์เดินทางกลับมายังประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ทำให้รัฐบาลต้องอำนวยความสะดวกในการจัดหาสถานที่กักของของรัฐ ด้วยเหตุนี้ทางรัฐบาลจึงได้ขอให้ผู้ประกอบการโรงแรมให้ความร่วมมือในการเปิดโรงแรมให้เป็นสถานที่กักตัวของรัฐ ซึ่ง แอมบาสซาเดอร์ ซิตี้ จอมเทียน ได้เข้าร่วมโครงการเมื่อเดือน เม.ย. 2563 ด้วยแนวคิดต้องการมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือสังคม เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ CSR ต้องการช่วยพาคนไทยกลับบ้าน เป็นการช่วยเหลือโดยไม่หวังผลกำไร และเพื่อให้พนักงานของโรงแรมได้มีงานทำ
โดยในส่วนของ แอมบาสซาเดอร์ ซิตี้ จอมเทียน นั้น อาคารที่ถูกรัฐบาลคัดเลือกใช้เป็นสถานกักตัวของรัฐ คือ อาคาร เดอะ การ์เด้น ซึ่งเป็นอาคารที่เคยถูกออกแบบให้เป็นตึกพยาบาล จึงมีความเหมาะสมสำหรับเป็นสถานกักตัวของรัฐ เนื่องจากเป็นอาคารที่ปูพื้นกระเบื้องไม่ใช้พรม มีระบบระบายอากาศที่เหมาะสม มีพื้นที่ส่วนกลางกว้างขวางพอที่จะเข็นเตียงผู้ป่วย ประตูทางออกกว้างพอสำหรับการเข็นเตียงเข้า-ออกได้ อีกทั้งเป็นตึกที่ตั้งอยู่ด้านหน้าสุดจึงสะดวกต่อการส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลโดยทันที นอกจากนี้ ภายในห้องมีเตียง 2 เตียงสำหรับให้สลับนอนสัปดาห์ละเตียง มีจุดจอดรถแยกออกมาจากอาคารอื่นและรองรับการจอดรถบัสพร้อมกันจำนวนหลายคัน จากความพร้อมทั้งหมดนี้จึงเป็นเหตุผลให้รัฐบาลเลือกใช้อาคาร เดอะ การ์เด้น ในการเป็นสถานกักตัวของรัฐ โดยตลอดระยะเวลาที่ได้เข้าร่วมโครงการ อาคาร เดอะ การ์เด้น รับดูแลผู้กักตัวมาแล้วกว่า 4,200 ราย ถือเป็นความภูมิใจของทางโรงแรมที่ได้มีส่วนช่วยคนไทยกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย ไม่พบว่ามีผู้ติดเชื้อจากการมากักตัวที่ อาคาร เดอะ การ์เด้น ทั้งผู้กักตัว เจ้าหน้าที่ของรัฐ และพนักงาน ล้วนได้รับความปลอดภัยจาก COVID-19 ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญที่สุดในความเข้าร่วมเป็นสถานกักตัวของรัฐ
สำหรับการเข้าเป็นสถานกักตัวของรัฐในส่วนของ อาคาร เดอะ การ์เด้น นั้น เข้าร่วมเป็นสถานกักตัวของรัฐในรูปแบบของผู้กักตัวไม่เสียค่าใช้จ่ายในการกักตัว (อาคารอื่นๆไม่ได้เข้าร่วมเป็นสถานกักตัวของรัฐ) รัฐจ่ายเพียง 1000 รวมอาหาร 3 มื้อ ตลอด 15 วัน คือ 15,000 บาท ทั้งโรงแรมยังสำรองจ่ายให้ก่อน เนื่องจากรัฐบาลมีงบประมาณจำกัด และมีขั้นตอนมากในการเบิกจ่าย จากเครดิต 30 วัน ก็ยาวเป็น 180 วัน แม้ปัจจุบันก็ยังไม่สามารถเบิกจ่ายคืนได้ แต่ทางโรงแรมเข้าใจและพร้อมให้ความร่วมมือช่วยเหลือประเทศชาติ ส่วนการกักตัวแบบเสียค่าใช้จ่ายด้วยตัวเองได้ (ASQ:Alternative State Quarantine) จะมีค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 30,000-100,000 บาท โดยประมาณ ซึ่งค่าตอบแทนที่โรงแรมได้รับนั้นถึงแม้จะไม่คุ้มทุนแต่ทางโรงแรมก็ยินดีให้ความร่วมมือเนื่องจากต้องการพาคนไทยกลับบ้านและต้องการให้พนักงานมีงานทำ ส่วนกฎระเบียบของการปฏิบัติงานนั้นทางโรงแรมจะต้องดำเนินการตามสาธารณสุขอย่างเข้มงวด
ส่วนเรื่องอาหารของโรงแรมนั้น ทางโรงแรมได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เสมอมา โดยเฉพาะความสดใหม่และความปลอดภัยของอาหาร ซึ่งทางโรงแรมมีฟาร์มผักออร์แกนิกส์ของโรงแรมบนพื้นที่กว่า 1,000 ไร่ และมีทะเลสาบสำหรับเลี้ยงปลาจำนวนกว่าแสนตัว ดังนั้น ผู้ที่มากักตัว หรือนักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการและรับประทานอาหารที่เดอะ การ์เด้น สามารถมั่นใจได้ว่าได้รับบริการอาหารที่สดใหม่และให้ความสำคัญกับความปลอดภัยอย่างแท้จริง อีกทั้งอาหารของทางโรงแรมนั้นเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ทั้งแพทย์ พยาบาล และทหาร ที่มาปฏิบัติหน้าที่ก็รับประทานอาหาชุดเดียวกันกับที่นำไปให้บริการผู้กักตัวจึงมั่นใจได้ว่ามีความปลอดภัยได้มาตรฐาน ส่วนภาชนะใส่อาหารต้องเป็บแบบใช้แล้วทิ้ง
ทั้งนี้ สถานกักตัวที่รัฐออกค่าใช้จ่ายให้ผู้กักตัวนั้นจะแตกต่างจากสถานกักตัวที่ผู้กักตัวออกค่าใช้จ่ายเอง โดยมีเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และทหาร เป็นผู้ควบคุมการทำงาน และออกกฎระเบียบทุกอย่าง พนักงานของโรงแรม ทั้งช่างซ่อมบำรุงและแม่บ้านไม่สามาถเข้าห้องผู้กักตัวได้ ผู้กักตัวจะต้องใช้ชีวิตในห้องพัก 24 ชั่วโมง ตลอด 14 วัน ดังนั้น ผู้กักตัวต้องรักษาความสะอาดภายในห้องพักของตนเอง พนักงงานทำความสะอาดทำได้เพียงเก็บขยะถุงแดงหน้าห้องผู้กักตัวทุกวัน ทางโรงแรมจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าใน 14 วัน สภาพในห้องพักของผู้กักตัวจะเป็นอย่างไร อีกทั้งหลังจากที่ผู้กักตัวออกจากห้องไปแล้วของใช้ทุกอย่างภายในห้องจะกลายเป็นขยะติดเชื้อที่ต้องกำจัดทิ้งตามมาตรฐานของสาธารณสุข
“เราเข้าร่วมโครงการเป็นโรงแรมแรกของชลบุรี ตอนนั้นโรงแรมขนาดใหญ่ยังไม่มีใครกล้าเปิดเป็นสถานกักตัวของรัฐ เพราะตอนนั้นทุกคนกลัว COVID-19 ไม่มีใครอยากเปิดบ้านต้อนรับเชื้อโรค เราเองก็เป็นห่วงพนักงานเพราะหากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมามันหมายถึงชีวิตทั้งชีวิตของเขา แต่เมื่อภาครัฐขอความร่วมมือเราก็ได้สอบถามความเห็นพนักงาน หากพนักงานไม่เอา เราก็จะไม่ทำ และเมื่อรัฐบาลได้เข้ามาอธิบายขั้นตอนการทำงานว่ามีความปลอดภัยพนักงานจึงพร้อมใจให้ความร่วมมือ ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าพนักงานคือผู้เสียสละ เพราะตลอดระยะเวลาการทำงาน พนักงานต้องใช้ชีวิตอยู่ที่โรงแรม ไม่สามารถกลับบ้านไปอยู่กับครอบครัวได้ ต้องสวมชุดป้องกันตลอดเวลาในการปฏิบัติงาน จึงถือว่าพนักงานโรงแรมที่ต้องรับภารกิจในโซนสถานกักตัวของรัฐเป็นผู้ปิดทองหลังพระที่สังคมไม่เคยรับรู้” นางสาวสุภาสิณี กล่าว