เพจ “Street Hero Project” โพสต์สรุป 6 ข้อ เกี่ยวกับเหตุการณ์สลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจกับม็อบ 3 นิ้ว เมื่อวันที่ 13 ก.พ. หลังมีกระแสดรามาเกี่ยวกับประเด็น “ตำรวจกระทืบหมอ” จนกลายเป็นที่วิจารณ์ในโลกโซเชียล
จากกรณีกิจกรรม “นับ 1 ถึงล้าน คืนอำนาจให้ประชาชน” ของกลุ่มราษฎร เคลื่อนขบวนด้วยการเดินเท้าจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ราชดำเนินกลาง มุ่งหน้าไปยังศาลหลักเมือง เพื่อทำพิธีทวงจิตวิญญาณเมืองกลับมาเป็นของราษฎร ต่อมาสมาชิกทวิตเตอร์ “@VolunteerMedTH” บุคลากรทางการแพทย์ และอาสาสมัคร ได้โพสต์คลิปวิดีโอความยาว 20 วินาที เผยให้เห็นนาทีที่หนึ่งในทีมแพทย์ พยายามหนีออกมาจากจุดเกิดเหตุ แต่สตาร์ทรถจักรยานยนต์ไม่ติด ก่อนที่ทางตำรวจควบคุมฝูงชน จะมีการควบคุมตัวไป และได้เกิดเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนเข้าล้อมรถทีมแพทย์อาสาและจับกุมได้ล็อกตัวและกดลงกับพื้น จนมีภาพหลุดออกมาในโลกโซเชียล จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ต่อมา ดร.กิตติธัช ชัยประสิทธิ์ นักวิชาการอิสระ และอาจารย์ด้านสถาปัตยกรรม สอนพิเศษด้าน ปรัชญาการเมือง ได้ออกมาโพสต์คลิปอีกด้าน ที่อาจทำให้คดีพลิกเมื่อพบว่า แพทย์อาสา ที่โซเชียลแห่แชร์ว่า ถูกทำร้ายจากตำรวจ ได้ถูกกลุ่มผู้ชุมนุมขว้างปาสิ่งของใส่ ขณะพยายามขับรถจักรยานยนต์หลบหนี ขณะที่ทีมพยาบาลอาสาที่อยู่บนรถอีกคันพยายามตะโกนห้าม แต่ไม่มีใครฟัง ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะเข้าไปกันตัวชายกั๊กเขียวออกมา
อ่านข่าวประกอบ - คดีอาจพลิก “ดรามา ทีมแพทย์อาสา” พบถูกปาของใส่โดยผู้ชุมนุมด้วยกันเอง (ชมคลิป)
อย่างไรก็ตาม วันนี้ (15 ก.พ.) เพจ “Street Hero Project” ได้ออกมาโพสต์ข้อความสรุปเหตุการณ์ที่กลุ่มม็อบ 3 นิ้ว เรียกว่า “ตำรวจกระทืบหมอ” ให้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น
“ตำรวจกระทืบหมอ ภาค 2
วันนี้น่าจะมีความชัดเจนเรื่องนี้เพิ่มเติม ผมได้สรุปเหตุการณ์จากข้อมูลที่มีอยู่ ณ. ตอนนี้ว่าอะไรคือข้อเท็จจริง อะไรที่ยังไม่ชัดเจนเกี่ยวกับบุคคลในภาพกันครับ ข้อความด้านล่างอาจขัดใจลูกเพจบ้างแต่ผมอยากให้ช่วยกันคิดตามว่าเป็นจริงหรือไม่
1. บุคคลในภาพชื่อ ปุรพล อายุ 19 ปี อยู่ในทีมแพทย์อาสาจริง ไม่ใช่หมอ หรือพยาบาล แต่แจ้งว่า กำลังเรียนต่อด้านการแพทย์ฉุกเฉินอยู่ที่สถาบันแห่งหนึ่ง ไม่ได้บอกว่าที่ไหน
2. ตำรวจแจ้งล่วงหน้า 30 นาที ให้สลายการชุมนุม แต่กลุ่มมอเตอร์ไซค์ไม่ยอมสลายตัว กับบีบแตรและเบิ้ลเครื่องยั่วยุตำรวจอยู่ตลอด เป็นเหตุให้ตำรวจต้องวิ่งไล่ผู้ชุมนุมที่ขี่มอเตอร์ไซค์เพื่อจับกุม
3. แล้วน้องปุรพลไปอยู่อะไรตรงนั้น น้องให้การว่าจะไปช่วยผู้ชุมนุมที่รถเสียและโดนแก๊สน้ำตา จึงได้ขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์แทนคนเจ็บ เป็นเหตุให้ตำรวจเข้าจับกุม เรื่องนี้คลุมเครือ ต้องไปตามผู้ชุมนุมคนนั้นมาเป็นพยาน เนื่องจากตำรวจแจ้งว่าไม่ได้ใช้แก๊สน้ำตา แล้วเขาโดนแก๊สน้ำตาจากไหน พร้อมกับพิสูจน์ว่ารถเสียจริงหรือไม่ และรถเป็นของใคร ในสถานการณ์ที่ตำรวจกำลังวิ่งไล่กลุ่มมอเตอร์ไซค์ที่ยั่วยุ แล้วเห็นคนกำลังเปลี่ยนคนขับรถมอเตอร์ไซค์เพื่อหลบหนี ณ เสี้ยววินาทีนั้นอะไรคือสิ่งที่ตำรวจพึงกระทำ
4. น้องโดนตำรวจจับกุมจริง โดนกระบองฟาดจนล้มลงและมีเท้าผสมบ้างแม้จะไม่มีคลิป แต่แอดเชื่อว่าจริงเพราะตำรวจไม่ได้ปฏิเสธ เพียงแต่ว่า
5. น้องโดนรุมกระทืบจมกองเลือดต้องเข้า ICU หรือไม่ตามที่เพจการ์ตูนวาดหรือเพจเชียร์ม็อบนำเสนอให้ดรามา
เรื่องนี้โกหก ดูจากคลิปไม่นานน้องเดินออกจากพื้นที่พร้อมตำรวจได้อย่างไม่ลำบาก ไม่มีรอยเลือด ส่วนผลการรักษาจาก รพ. มีเพียงรอยฟกช้ำและบวมบางจุดที่โดนกระบอง
6. น้องมีอาวุธหรือไม่ อันนี้คลุมเครือ เพราะตำรวจแจ้งว่าน้องพกอาวุธในกระเป๋าและรู้เห็นกับผู้ก่อเหตุ
แต่น้องแจ้งว่ามีเพียงกรรไกรทางการแพทย์ ดังนั้น ต้องไปพิสูจน์กันว่าใครโกหก และอาวุธที่ตำรวจว่าคืออะไร นอกจากกรรไกรและน้องรู้จักกับกลุ่มผู้ก่อเหตุหรือไม่
สรุป น้องปุรพล อายุ 19 เป็นอาสาสมัครทางการแพทย์ อยู่ในวิถีการสลายการชุมนุมของตำรวจที่แจ้งล่วงหน้า 30 นาที
โดยไปอยู่ในตำแหน่งขี่มอเตอร์ไซค์แทนผู้ชุมนุมคนอื่น เป็นเหตุให้ตำรวจเข้าจับกุมด้วยการใช้กระบอกฟาดและโดนรุมด้วยเท้าบาดเจ็บเล็กน้อย มีรอยฟกช้ำและบวมตามร่างกาย ในกระเป๋าพบกรรไกรและอาวุธอื่นที่รอตำรวจชี้แจง และมีความสนิทสนมกับกลุ่มมอเตอร์ไซค์ที่เป็นผู้ก่อเหตุหรือไม่ หากเรื่องนี้เป็นไปตามคำให้การทั้งหมดและไม่มีการนำมาโหนทางการเมือง อาจจบลงด้วยการเจรจาปรับความเข้าใจกันทั้ง 2 ฝ่าย
แต่ในเมื่อมันถูกนำมาใช้โจมตีทางการเมือง มีผู้หวังผลจากเคสนี้ เรื่องคงไม่จบลงง่ายๆ อย่างแน่นอน สุดท้าย ไม่อยากให้นักข่าวเพิกเฉยต่อเคสที่การ์ดขว้างก้อนหินและระเบิดเข้าใส่ตำรวจจนเป็นเหตุให้ผู้ชุมนุมและนักข่าวได้รับบาดเจ็บมากกว่าน้องปุรพลหลายเท่า พวกเขามาด้วยใจเช่นเดียวกัน แต่กลับโดนพวกเดียวกันทำร้ายและไม่มีใครสนใจเพียงเพราะไม่สามารถโหนโจมตีตำรวจและทำให้ม็อบดูแย่
แต่ด้วยจรรยาบรรณของสื่อและการเรียกร้องความเท่าเทียมของม็อบ การเพิกเฉยต่อเรื่องนี้เหมือนการถ่มน้ำลายรดฟ้า และเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจเป็นอย่างมาก”