เอ๊ะยังไง! ส.ส.เท่าพิภพ พรรคก้าวไกล อ้างเจ้าหน้าที่สภา เซ็นให้รับเครื่องราชฯ หากไม่รับจะผิดระเบียบ หงายการ์ดตามรุ่นพี่ อย่าตกหลุมพรางไอโอ แต่ย้อนกลับไป “หมอสุกิจ” ที่ปรึกษาประธานสภา บอกมีอดีต ส.ส. 2 คน ไม่ส่งแบบฟอร์ม แค่ไม่ได้รับเครื่องราชฯ ไม่ได้บอกว่าผิดระเบียบ
วันนี้ (29 ม.ค.) นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล ชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว กรณีได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ระบุว่า “จากเหตุการณ์ที่มีกลุ่มไอโอ (สื่อถึงฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล) พยายามกล่าวหาเรื่องผมขอรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ จนเกิดเป็นกระแส ทำให้หลายท่านเกิดความสับสน เคลือบแคลงใจ บางท่านที่ทักมาถามส่วนตัว ผมก็ได้อธิบายไปเบื้องต้นแล้ว และจะขอมาชี้แจงอย่างละเอียดในโพสต์นี้ครับ
ผมขออธิบายความหมายของเครื่องราชฯ ก่อนนะครับ เครื่องราชอิสริยาภรณ์คือเหรียญหรือตราประดับยศ พระราชทานแก่ข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐ หรือบุคคลทั่วไปที่ทำประโยชน์แก่ประเทศชาติ ไม่เฉพาะประเทศไทย แต่ประเทศอื่นๆ หลายประเทศก็มีเช่นกัน เรียกได้ว่าเป็นธรรมเนียมที่จะได้รับตามตำแหน่งงาน ระยะเวลา หรือผลงานที่ได้ทำประโยชน์ต่อสาธารณะ
ส่วนกระบวนการขอเครื่องราชฯ ในกรณีที่มีเอกสารออกมาว่าผมเป็นคนกรอกนั้น ด้วยตำแหน่งแล้วทางเจ้าหน้าที่สภา ต้องทำเรื่องขอเครื่องราชฯ ให้ตามระเบียบประจำปี ซึ่งเจ้าหน้าที่แจ้งว่าหากไม่รับ ไม่ลงชื่อแล้ว อาจจะผิดระเบียบได้ ทางตัวเจ้าหน้าที่ก็อาจจะโดนตำหนิไปด้วย สำหรับผม ผมมองว่าในเมื่อเป็นประเพณีที่ทุกคนได้รับเป็นปกติ ก็ถือไม่เหนือบ่ากว่าแรง เจ้าหน้าที่จะได้ทำงานให้เสร็จเรียบร้อย อีกทั้งเมื่อมีงานราชพิธี รับเสด็จฯ หรืองานรัฐพิธีรับแขกบ้านแขกเมือง ต้องแต่งตัวเต็มยศ ถ้าไม่มีติดก็จะไม่เหมาะสม
ผมต้องขอโทษทุกท่านที่ออกมาชี้แจงเรื่องนี้ช้า เนื่องจากตอนแรกคิดว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้มีประเด็นอะไร และหากจะออกมาชี้แจงก็ต้องกล่าวโดยละเอียดรอบคอบในทุกมุมมอง เพราะเหรียญมีสองด้านเสมอ แล้วแต่มุมมอง ไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็ต้องรับผลกระทบที่ตามมา
ผมจึงขอฝากทำความเข้าใจเรื่องนี้ด้วยเหตุและผล พูดคุยกันบนฐานของความเข้าใจกฎเกณฑ์ อย่าตกหลุมพรางไอโอที่ต้องการยุฝั่งประชาธิปไตยให้แตกแยกกัน ดังจะเห็นได้ว่าประเด็นนี้มีการเตรียมการมาอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเอกสารที่หลุดมาจากสภา และเป้าหมายที่เลือกโจมตี หากเราใช้อารมณ์โดยไม่ได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน หาข้อมูลเพิ่มเติมจนแน่ชัดก็จะตกเป็นเหยื่อของอีกฝ่ายได้ง่ายๆ
สุดท้ายแล้วผมขอให้ทุกคนเชื่อมั่นว่า ตัวผม อุดมการณ์ และนโยบายต่างๆ ยังคงเหมือนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนไปอย่างแน่นอน ผมยังคงเป็นเท่าพิภพคนเดิม ขี่มอเตอร์ไซค์คันเก่า คนธรรมดาที่เข้าวงการการเมืองมาเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศให้ดีขึ้นสำหรับทุกคน จากข้อความมากมายที่บอกว่าผิดหวังในตัวผม ก็ทำให้ใจเสียอยู่ไม่น้อย เส้นทางการต่อสู้นี้ยังอีกยาวไกล ผมยังคงต้องการแรงสนับสนุนจากทุกท่าน ผมทำคนเดียวไม่ได้ เราต้องขีดเขียนอนาคตไปร่วมกัน”
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 27 ม.ค. นพ.สุกิจ อัถโถปกรณ์ ที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎร แถลงข่าวถึงการเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) โดยระบุว่า ตามที่ราชกิจจานุเบกษาได้มีการประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก และเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติติยศยิ่งมงกุฎไทย ประจำปี 2563 โดยมีผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ได้แก่ ส.ส. 340 คน ประธานคณะกรรมาธิการสามัญประจำสภาผู้แทนราษฎร 19 คน ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่ง ส.ส. 8 คน โดยการเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก และเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย พ.ศ. 2563 และระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
โดยผู้มีคุณสมบัติทั้งหมด สภาผู้แทนราษฎรได้เสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ประจำปี 2563 ไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเมื่อเดือนเมษายน 2563 ที่ผ่านมา ต่อมาสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้มีหนังสือด่วนที่สุดที่ นร.0508/ท.5504 ลงวันที่ 23 ก.ย. 2563 เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรดำเนินการให้ผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆ ข้างต้นรับรองคุณสมบัติตามแบบรับรองคุณสมบัติ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาการเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ซึ่ง ส.ส. ได้รับรองคุณสมบัติของตนเองทั้งหมด ยกเว้นผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่ง ส.ส. จำนวน 2 คน ไม่ส่งแบบรับรองคุณสมบัติ อย่างไรก็ตาม สภาผู้แทนราษฎรได้รวบรวมแบบรับรองคุณสมบัติทั้งหมดส่งกลับไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 ก.ย. 2563 เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาการเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์
อย่างไรก็ตาม ในการแถลงข่าวดังกล่าว ไม่พบว่า นายสุกิจ กล่าวถึงประเด็นที่ 2 อดีต ส.ส. ไม่ส่งแบบรับรองฯ แล้วจะมีความผิด หรือผิดระเบียบแต่อย่างใด ต่างจากที่นายเท่าพิภพ อ้างว่า เจ้าหน้าที่แจ้งว่า หากไม่รับ ไม่ลงชื่อแล้ว อาจจะผิดระเบียบได้