พล.ท.สรภฎ นิรันดร บุตรชาย “ขุนนิรันดรชัย” แถลงข่าวพร้อมประกอบพิธีขอพระราชทานอภัยโทษต่อพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาล ๗ รัชกาลที่ ๘ และรัชกาลที่ ๙ แทนบิดาที่ได้กระทำการมิบังควรขณะเป็นกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 และได้เสียน้ำพิพัฒน์สัตยาในฐานะเป็นข้าราชการทหาร แต่ไม่มีโอกาสได้ขอพระราชทานอภัยโทษด้วยตัวเอง เพราะเป็นอัมพาตและเสียชีวิตไปก่อน
วันนี้ (26 ธ.ค.) ที่โรงแรม INTERCONTINENTAL BANGKOK เมื่อเวลา 13.30 น. พล.ท.สรภฎ นิรันดร บุตรชายของ พ.ต.เสวก นิรันดร หรือขุนนิรันดรชัย สมาชิกคณะราษฎรสายทหารบก ที่ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ. 2475 ได้แถลงข่าวสำนึกผิดแทนบิดาที่ได้กระทำการมิบังควร นำทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มาเป็นของตนเองโดยมิชอบ
พล.ท.สรภฎกล่าวว่า บิดาของตนได้รับพระราชทานราชทินนามว่า ขุนนิรันดรชัย จบจากโรงเรียนนายร้อย รับราชการเป็นทหารปืนใหญ่ สังกัดปืน 1 รักษาพระองค์ ขณะที่มียศเป็นร้อยโทได้ร่วมกับผู้บังคับบัญชา คือ พ.ต.แปลก พิบูลสงคราม ซึ่งก็คือ จอมพล ป.พิบูลสงคราม และพระยาฤทธิอัคเนย์ ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองในนามของคณะราษฎร 2475 สายทหารบก ต่อมาเมื่อรับราชการมียศเป็นพันตรี ได้ลาออก เนื่องจากคณะราษฎรได้แต่งตั้งให้เป็นแม่กองสร้างอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และอาคารสองฟากถนนราชดำเนิน ผลจากการทำงานนี้ก็ได้สร้างตึกที่อยู่อาศัยของท่านเองเป็นตึก 4 ชั้น อยู่ตรงข้ามวังสวนจิตรลดา ปัจจุบันตระกูลนิรันดรได้ให้โรงเรียนเซนต์แอนดรูว์เช่า
พล.ท.สรภฎกล่าวอีกว่า บิดาของตนได้เป็นคณะกรรมการตรวจสอบสมบัติของพระคลังข้างที่และทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่ปี 2475-2491 ในขณะที่เป็นคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั้น ผู้แทนราษฎรในสมัยนั้นของจังหวัดอุบลราชธานีได้อภิปรายในสภาถึงความไม่โปร่งใสของคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ บิดาของตนและพรรคพวกก็จับ ส.ส.คนนั้นโยนน้ำหน้าตึกรัฐสภาเลย
“ต่อมาคุณพ่อก็ได้ร่วมกับหลวงธำรงค์นาวาสวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี และเป็นคณะราษฎรสายทหารเรือ ได้ก่อตั้งธนาคารนครหลวงไทยขึ้นมา และต่อมาคุณพ่อก็ได้เป็นประธานธนาคารนครหลวงฯ”
"พล.ท.สรภฎกล่าวต่อว่า ประเด็นสำคัญที่อยากเรียนให้ทราบก็คือว่า ก่อนเสียชีวิต คุณพ่อได้สำนึกในความผิดว่า เรื่องแรกที่สำคัญที่สุดสำหรับชีวิตของท่าน คือ ท่านเป็นข้าราชการทหาร ท่านได้เสียน้ำพิพัฒน์สัตยาต่อพระมหากษัตริย์
“ประการต่อไป ท่านเป็นกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ท่านก็ได้ทำเรื่องบางเรื่องที่มิบังควร ท่านก็สั่งเสียว่าท่านต้องการที่จะขอพระราชทานอภัยโทษ แต่คุณพ่อไม่มีโอกาส ปรากฏว่าท่านได้เสียชีวิตไปก่อนด้วยโรคความดันโลหิตสูง แล้วก็เป็นอัมพาต
"เวลาก็ผ่านไป ผมก็นำเรื่องนี้ปรึกษากับพี่ชายต่างมารดา คือ คุณธรรมนูญ นิรันดร พี่ธรรมนูญก็บอกว่า ดีนะ เป็นโอกาสอันดีที่เราควรจะทำการ แม้แต่นามสกุลนิรันดรก็เป็นนามสกุลที่ได้รับพระราชทาน แต่ท่านไม่มีโอกาส ท่านได้เสียชีวิตเมื่อกลางปี 63 นี่เอง ด้วยโรคคล้ายๆ คุณพ่อ
"ลูกคุณพ่อขณะนี้เหลืออยู่ 4 คน 3 ท่านนี่ก็นั่งรถเข็นแล้ว เหลือผมที่ยังพอไปได้อยู่ ก็เลยรั้งรอไม่ได้แล้ว ประกอบกับผมเป็นทายาทบุตรชายซึ่งเป็นนายพลของกองทัพบก เป็นคนเดียวในตระกูลนิรันดร เพราะฉะนั้น ผมก็ต้องทำตามความประสงค์ของบิดาซึ่งได้สั่งเสียไว้ก่อนชีวิต” พล.ท.สรภฎกล่าว
หลังจากนั้น พล.ท.สรภฎได้ประกอบพิธีขอพระราชทานอภัยโทษแทนบิดา โดยได้กล่าวขอพระราชพระบรมราชานุญาตกล่าวขอพระราชทานอภัยโทษแทนบิดา คือ พ.ต.เสวก นิรันดร สมาชิกคณะราษฎร 2475 ต่อเบื้องพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล และพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อให้วิญญาณขุนนิรันดรชัยจะได้ไปสู่สุคติ และความเป็นสิริมงคลจะได้มาสู่ตระกูลนิรันดร
หลังจากนั้น พล.ท.สรภฏ ได้แถลงเพิ่มเติมว่า สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่คู่กับประเทศไทยมาช้านาน อยากให้น้องๆ เยาวชนได้ศึกษาประวัติศาสตร์ให้ถ่องแท้ สถาบันพระมหากษัตริย์กับชนชาติไทยอยู่คู่กันมาตั้งแต่พ่อขุนบรมสร้างบ้านสร้างเมืองด้วยกันมาตราบเท่าทุกวันนี้ แม้แต่ย้อนอดีตไปถ้าศึกษาประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 ปรากฏว่าประเทศไทยแพ้สงคราม กองทัพสัมพันธมิตรเข้ามาสู่ประเทศไทยเต็มหมด โดยพระบารมีของล้นเกล้ารัชกาลที่ 8 ท่านได้เป็นประธานในการสวนสนามต่อกองทัพสัมพันธมิตรเป็นเกียรติประวัติกับประเทศไทย เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ชัด ก็อยากให้น้องๅ เยาวชนได้ยึดถือพระราชดำรัสของล้นเกล้ารัชกาลที่ 9 ว่าการจะปฏิบัติต่อสื่อ การรับรู้ข่าวสารต่างๆ ก็ควรใช้สติรู้คิด ใช้ปัญญา รู้ตัว อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ เพราะน้องๆ เยาวชนทั้งหลายนี่เป็นอนาคตของประเทศไทย ปวงชนชาวไทยที่จะต้องดูแลและรักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ตราบชั่วฟ้าดินสลาย
เมื่อถามถึงความเห็นต่อการปฏิวัติของคณะราษฎร พล.ท.สรภฏ กล่าวว่า อันนี้เป็นเรื่องเฉพาะตัว บิดาตนซึ่งเป็น 1 ในคณะราษฎรก็เสียชีวิตก็มีความสำนึกผิดในสิ่งที่ได้กระทำ สมัยตนเป็นนักเรียน ร.ร.เซนต์คาเบรียล นายบุรชิต เชวงศักดิ์สงคราม เพื่อนตนซึ่งเป็นบุตรชายของ พ.อ.ช่วง เชวงศักดิ์สงคราม (หลวงเชวงศักดิ์สงคราม) สมาชิกคณะราษฎร บอกว่าบิดาก็ได้พูดว่าสำนึกผิดต่อการกระทำก่อนเสียชีวิต ก็อยากจะทำตามคำสั่งเสียของบิดา แต่ก็ไม่ได้มีโอกาสอย่างตน
“สำหรับคุณพ่อผมท่านเป็นหนึ่งในคณะราษฎร ก่อนเสียชีวิตท่านก็มีความสำนึกผิดในสิ่งที่ท่านได้กระทำแล้วเรื่องที่ผมไม่สามารถกล่าวแทนผู้อื่นได้ ผมเป็นนักเรียนเซนต์คาเบรียล มีเพื่อนผม บุรชิต ลูกหลวงเชวงศักดิ์สงครามที่เป็นหนึ่งในคณะราษฎร บุรชิตเคยพูดกับผมว่าคุณพ่อก็พูดว่าสำนึกผิด อยากจะกระทำ(ขอพระราชทานอภัยโทษ) แต่คุณพ่อก็ได้เสียชีวิต บุรชิตก็อยากกระทำตามคำสั่งเสียของคุณพ่อ แต่บุรชิตก็ไม่มีโอกาสอย่างผม”พล.ท.สรภฏ กล่าว
เมื่อถามถึงข้อเรียกร้องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ของกลุ่มคณะราษฎร 2563 พล.ท.สรภฏ กล่าวว่า ตนมองว่าเยาวชนมีความรักต่อสถาบันฯ แต่การแสดงออกนี้ตนก็ไม่เข้าใจ แต่ก็ยังเชื่อว่ามีความรักต่อสถาบันฯ เพราะเป็นอนาคตของคนรุ่นตนที่จะต้องทะนุถนอมสถาบันฯ ให้อยู่ต่อไป เพราะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สถาบันฯ ถูกทำลายไปหมดยกเว้นไทย
เมื่อถามถึงกรณีที่ พล.ท.สรภฏ ฟ้องร้องนายธรรมนูญ ในฐานะผู้จัดการมรดกของขุนนิรันดรชัย รวมทั้งภรรยาและบุตร ต่อศาลแพ่งและอาญาในข้อหายักยอกทรัพย์ พล.ท.สรภฏ กล่าวว่า เป็นเรื่องภายในครอบครัว ในปี 2561 ตนได้ฟ้องร้องแต่ตอนหลังก็ได้ถอนฟ้องในปี 62 ด้วยความเข้าใจกันคดีก็จบไป
“เป็นเรื่องภายในของครอบครัว ก็เรียนให้ทราบว่าในปี 61 ผมได้ฟ้องต่อพี่ชาย คือพี่ธรรมนูญ ซึ่งตอนนั้นท่านยังไม่เสียชีวิตและก็หลานๆ คือคุณเยาวณี และก็น้องคุณเยาวณี พี่ปราณี ตอนหลังผมก็ถอนฟ้อง ในปี 62 คือเรามีความเข้าใจกันและความเป็นพี่เป็นน้องแล้วก็พูดกัน และก็ถอนฟ้องหมด คดีก็จบไป”
เมื่อถามว่า ที่ดินพระคลังข้างที่ที่ขุนนิรันดรชัย ได้ซื้อมามีที่ใดบ้าง พล.ท.สรภฏ กล่าวว่า บิดาได้บอกแต่เพียงสำนึกผิด แต่เมื่อตนโตขึ้นจนจึงเห็นโฉนดจากการเปิดเผยของนายธรรมนูญ โดยที่ดินใน กทม.มีเกือบ 80 แปลง ที่สำคัญๆ คือ ถ.สาทร 3 ไร่กว่า, ที่ดินตรงข้ามพระราชวังสวนจิตรลดาอีก 3 ไร่กว่า และที่ดินติดพระราชวังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ 3 ไร่ครึ่ง
“ผมในฐานะเป็นลูก ถ้าจะชี้แจงอันนีัต้องคุยกันส่วนตัว ถ้าอยู่ๆ เอาคุณพ่อมาพูดในทางลบ มันเป็นเรื่องที่บุตรไม่ควรทำแต่เราก็ทราบตอนคุณพ่อยังมีชีวิตอยู่ คุณพ่อบอกว่าได้สำนึกผิดในการที่ได้กระทำในขณะที่เป็นกรรมการของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ แต่คุณพ่อไม่ได้บอกรายละเอียด เราไม่รู้ แต่เมื่อเราโตขึ้นและมีพี่ชายคือพี่ธรรมนูญเป็นผู้จัดการมรดก เราก็เห็นโฉนดซึ่งจากการสัมภาษณ์ของพี่ธรรมนูญซึ่งท่านได้เสียชีวิตไปแล้วก็หาอ่านได้จากหนังสือ ผมไม่ก้าวล่วงที่จะพูดเอง
“ที่ดินของตระกูลนิรันดรในกรุงเทพมีอยู่เกือบ 80 แปลง แล้วก็แปลงที่สำคัญๆ คือแปลงที่ถนนสาธรจำนวน 3 ไร่กว่าซึ่งขณะนี่ที่ดินบริเวณสาธรไม่มีที่ดินที่ไหนจะใหญ่เท่านี้แล้วและที่ดินบางแปลงอยู่ตรงข้ามพระราชวังสวนจิตรลดา ก็ 3 ไร่กว่าๆ อีกแปลงหนึ่งเป็นที่ดินติดพระราชวังไกลกังวลด้านฝั่งทะเล 3 ไร่ครึ่ง ก็เรียนให้ทราบตามนั้น”
เมื่อถามว่า ครอบครัวขุนนิรันดรชัย มีความเห็นอย่างไรบ้าง พล.ท.สรภฏ กล่าวว่า ตนไม่ทราบความเห็นโดยเฉพาะหลานเนื่องจากยังมีความเกี่ยงงอนกันอยู่ แต่ถ้าเขามีความเข้าใจในสิ่งต่างๆ ตนว่าไม่มีอะไรที่จะมาขัดข้องหรอก
เมื่อถามถึงการคืนทรัพย์สินดังกล่าว พล.ท.สรภฏ กล่าวว่า โดยส่วนตัวก็ควรจะกลับไป แต่ต้องบริสุทธิ์ผ่องใส จะกลับไปตนไม่ได้ขัดข้องแต่ตนต้องถามความเห็นของหลานๆ
“คือขณะนี้ลูกของคุณพ่อเหลือกันเพียง 4 คน เป็นผู้หญิง 2 ผู้ชาย 2 ทั้ง 3 ท่านนั่งรถเข็นหมดแล้ว และก็เหลือผม ซึ่งยังพอไปได้อยู่ นอกนั้นก็มีรุ่นหลาน 12 คน หลานนี่ก็เราไม่ทราบจิตใจเขา ก็ยังมีการเกี่ยงงอนอะไรกันอยู่ แต่ถ้าเขามีความเข้าใจในสิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็ไม่มีอะไรขัดข้อง นี่ผมอาจจะคิดไปเอง เอาตัวผมเป็นไม้บรรทัด ซึ่งอาจจะไม่ถูกต้อง
“ในส่วนตัวผมกับญาติพี่น้องบางคนนี่ ก็เห็นว่าควรจะกลับไป แต่ของที่กลับไปควรบริสุทธิ์ผ่องใส หมายความว่าอนาคตเรื่องที่ดินสำหรับผมจะกลับไปผมไม่ได้ขัดข้องอะไรเลย แต่ผมจะต้องถามความเห็นของหลานๆ เพราะในส่วนตัวของผมอย่าว่าแต่ที่ดินที่จะกลับไปเลย แม้แต่ชีวิตผมก็สละได้ เพราะในอดีตผมผ่านมา 2 ศึก 4 ปีรบอยู่ในลาว อีก 1 ปีเป็นผู้การทหารพราน รบอยู่ชายแดนด้านเขมร ตาพระยาจดจังหวัดตราด และมีโอกาสรู้จักคนดีๆ หลายคน อ้างในที่นี้ก็ได้ ในสมัยทีท่านพลากร (พลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี) เป็นนายอำเภออยู่ตาพระยา ท่านเป็นลูกผู้ใหญ่แต่ท่านก็เป็นนายอำเภอนักบู๊ อยู่ชายแดนด้วยกันมา”
ต่อมา พล.ท.สรภฏ ได้กล่าวภายหลังด้วยน้ำตาว่า บิดาตนได้เสียตั้งแต่ตนอายุ 14 ปี แต่ที่ตนรู้เรื่องเพราะบิดาเล่าให้มารดาฟังในเรื่องเบื้องหน้าเบื้องหลังคณะราษฎร ซึ่งตนทราบบางเรื่องไม่สามารถถ่ายทอดทางสาธารณะได้เพราะเป็นในทางลบและเสียหายต่อตนซึ่งเป็นบุตรชาย ตนก็ได้แต่มีความเห็นว่ามีเหตุผลสมควรอย่างยิ่งที่บิดาสำนึกผิด ได้กระทำหลายอย่างที่ไม่ถูกต้อง และเมื่อจะขอพระราชทานอภัยโทษก็ไม่มีโอกาสแล้วเพราะเป็นอัมพาต พูด เขียน ไม่ค่อยได้ ได้แต่นอนร้องไห้ บอกกับมารดาว่าที่เป็นอย่างนี้เพราะเสียน้ำพิพัฒน์สัตยา และทำสิ่งที่มิบังควรต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งตนไม่สามารถจะเรียนให้ทราบได้
“วันนี้ถ้าวิญญาณของพ่อท่านล่วงรู้ ท่านก็คงไปสู่สุคติ ผมก็ได้ทำหน้าที่แทนคุณพ่อ คุณพ่อเสียตอนผมอายุ 14 แต่ที่ผมรู้เรื่องต่างๆ มากมาย ก็เพราะคุณแม่ ที่จบธรรมศาสตร์ เป็นเตรียมธรรมศาสตร์รุ่นที่ 3 จึงรู้เรื่องการเมืองเยอะ คุณพ่อมีอะไรก็จะเล่าให้ฟัง เบื้องหน้าเบื้องหลังของคณะราษฎร ซึ่งผมทราบหลายๆ เรื่องจากที่คุณแม่เล่าให้ฟัง ที่คุณพ่อเล่าให้คุณแม่ และคุณแม่เล่าให้ผมฟัง ซึ่งบางเรื่องไม่สามารถถ่ายทอดออกมาในทางสาธารณะได้ เพราะมันเป็นในทางลบ และมันก็เสียสำหรับผมซึ่งเป็นบุตรชาย ซึ่งไม่ถูกต้อง
“ผมก็ได้แต่มีความเห็นว่า มีเหตุผลสมควรอย่างยิ่งที่คุณพ่อสำนึกผิด เพราะว่าคุณพ่อเป็นหนึ่งในคณะราษฏร คุณพ่อได้ทำอะไรไว้หลายประการที่ไม่ถูกต้อง และบั้นปลายเมื่อท่านสำนึกผิด และจะขอพระราชทานอภัยโทษ ท่านไม่มีโอกาสแล้ว เพราะท่านเป็นอัมพาต พูดก็ไม่ค่อยจะได้ ได้แต่นอนร้องไห้ ผมเห็นกะตา แล้วคุณพ่อก็พูดกับคุณแม่บอกว่า ที่ท่านเป็นอย่างนี้ เพราะท่านเสียน้ำพิพัฒน์สัตยา แล้วท่านทำสิ่งที่ไม่บังควรต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งรายละเอียดเรื่องเหล่านี้ผมไม่สามารถจะเรียนให้ทราบได้”
เมื่อถามถึงการถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พล.ท.สรภฏ กล่าวว่า จบแล้ว เพราะเราขอพระราชทานอภัยโทษกับพระมหากษัตริย์ทั้ง 3 พระองค์ในสมัยนั้น
อ่านเรื่องเกี่ยวเนื่อง
-ชำแหละสมบัติ “ขุนนิรันดรชัย” ในวันที่ทายาทสำนึกผิดแทน “พ่อ”