นายภัทร เหมสุข นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความแสดงความเป็นห่วงวิกฤตการแพร่ระบาดของ โควิด-19 ใน จ.สมุทรสาคร อาจทะลักเข้ามาใจกลางกรุงเทพฯ แนะผู้มีอำนาจ semi-lockdown กรุงเทพฯ 7 วัน เชื่อ ได้รับความร่วมมือเต็มที่ โกรธ กลุ่มลักลอบเข้าประเทศ ระบุ จับได้ต้องกุดหัวคาชายแดนอย่างเดียวเท่านั้น
จากกรณีที่จังหวัดสมุทรสาคร พบผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ เป็นหญิงไทย อายุ 67 ปี เจ้าของแพปลาในตลาดกุ้งจังหวัดสมุทรสาคร เริ่มป่วยวันที่ 13 ธ.ค. 2563 ด้วยอาการปวดเมื่อย จมูกไม่ได้กลิ่น เวลา 18.00 น. มารักษาที่แผนกผู้ป่วยโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง แพทย์เก็บตัวส่งตรวจหาเชื้อโควิด-19 ผู้ป่วยกลับไปรอผลที่บ้าน และเวลา 22.00 น. ผลตรวจพบเชื้อ ติดตามผู้ป่วยมาแยกกักที่โรงพยาบาลสมุทรสาคร กระทั่งเวลา 08.00 น.วันที่ 17 ธ.ค. ส่งตรวจยืนยันอีกครั้งที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 5 สมุทรสงคราม ผลพบเชื้อ ตามที่ได้นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
ต่อมา พบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร โดยวานนี้ (19 ธ.ค.) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค พร้อมด้วย พล.ต.ท.ธนา ชูวงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 และ นายวีระศักดิ์ วิจิตรแสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ร่วมกันแถลงข่าวระบุว่า มีการพบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 516 ราย ในเวลาเพียงหนึ่งวัน
อย่างไรก็ตาม นายภัทร เหมสุข นักวิชาการอิสระ โพสต์เฟซบุ๊ก “Pat Hemasuk” เกี่ยวกับสถานการณ์การระบาดของเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร โดยได้ระบุข้อความว่า
“สิ่งที่ผมเขียนเอาไว้เพียงข้ามวันก็เป็นจริงอย่างที่ผมกลัว จาก 7 คนตอนที่ผมเขียนหลายเป็นห้าร้อยกว่าคนในช่วงข้ามวัน นั่นคือ เสียงระฆังของเรือไททานิกก่อนชนภูเขาน้ำแข็งอย่างที่ผมเขียนเอาไว้ตอนจบเมื่อวันก่อน แต่นั่นคือ การสุ่มตรวจแรงงานต่างชาติเพียงพันกว่าคนแล้วมีอัตราการติดเชื้อ 43% สมการคณิตศาสตร์ยกกำลังสองของการติดเชื้อกำลังทำงานอยู่ในเวลานี้ ถ้าจะให้คำนวณย้อนหลังไปถึงวันระบาดเริ่มแรกแบบเงียบๆ ก็เพียงสองสัปดาห์กว่าๆ มานี้เองที่คนต้นเชื้อกลุ่มแรกกระจายเชื้อออกมา ซึ่งสัมพันธ์กับเวลาของเชื้อกำลังระบาดหนักในพม่า ผมคงไม่ต้องอธิบายอะไรมากกว่านี้ เพราะคนที่มีหน้าที่คงจะเข้าใจดีกว่าผมถึงสมการกำลังสองของระบาดวิทยาตัวนี้ ถ้าจะเอาคนที่ติดเชื้อในกรุงเทพฯเข้าไปรวมด้วย รายที่ไปซื้อของที่มหาชัยก็จะใกล้เวลาที่ผมประเมินการเริ่มต้น
นั่นหมายความว่า ในชุมชนแรงงานในย่านนั้น ถ้ามีการตรวจเชื้อแล้วยึดถือตัวเลข 43% เป็นฐานคำนวณคนกลุ่มใหญ่ นั่นหมายถึงคนหลักพันหลักหมื่นหรือหลายหมื่นที่อาจจะต้องเจอว่าติดเชื้อในพื้นที่นั้น นั่นคือ การระบาดเวฟที่สองอย่างสมบูรณ์แบบแล้วที่มหาชัยในชั่วโมงนี้ ผมเชื่อว่า เจ้าหน้าที่ก็รู้เรื่องนี้ดีกว่าผมอีกเช่นกัน ดังนั้น การติดตามไทม์ไลน์ของผู้ติดเชื้อคงไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว สิ่งที่ต้องทำในตอนนี้ คือ ล็อกดาวน์สมุทรสาคร เพื่อเซฟกรุงเทพฯเอาไว้ไม่ให้เป็นแบบหลายประเทศที่รักษาเมืองหลวงและเมืองใหญ่ใกล้เคียงเอาไว้ไม่ได้ ตัวอย่างของ กรุงมะนิลา กรุงจาการ์ตา กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองย่างกุ้ง กรุงฮานอย และที่อื่นๆ คงเป็นตัวอย่างที่ดีในการทำงานวันพรุ่งนี้ ว่า เราจะไม่เป็นแบบนั้นและในทำนองเดียวกันต้อง semi-lockdown กรุงเทพฯตั้งแต่พรุ่งนี้ก็ควรทำได้แล้วสัก 7 วัน เพื่อดูจำนวนผู้ติดเชื้อในกรุงเทพฯ ถ้ายังไม่หยุดก็คงต้อง Full Lockdown กันยาวขึ้นเหมือนตอนเดือนเมษา-พฤษภา ที่ผ่านมา มันช่วยไม่ได้จริงๆ ที่ต้องทำแบบนี้ เพราะเวฟสองมันจู่โจมเร็วมากแบบตั้งตัวไม่ทัน และใกล้กรุงเทพฯมาก จนน่าวิตกของการระบาดข้ามจังหวัดมา แรงงานพม่านับแสนคนที่นั่นต้องมีสักส่วนหนึ่งที่เข้ามาในกรุงเทพฯกันบ้าง จากการทำงานส่งสินค้าประจำวัน หรือไม่ก็มาพักผ่อนวันหยุด นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะอ้างเหตุผลในการ semi-lockdown ในวันพรุ่งนี้ ถ้ายังจำได้ว่าผมเคยพูดว่าผู้หญิงอาชีพพิเศษไม่กี่คน ทำเศรษฐกิจเชียงใหม่เชียงรายพินาศในช่วงพีคของฤดูการท่องเที่ยวหน้าหนาวนับหลายร้อยล้านบาท หรือชนพันล้านก็เป็นไปได้ และในการระบาดเวฟสองในครั้งนี้ พวกแก๊งหิ้วคนข้ามฝั่ง รวมถึงนายจ้างเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนไม่กี่คน ทำเศรษฐกิจของสมุทรสาครพังหลายพันล้าน และถ้าการระบาดจากสมุทรสาครเข้ามาถึงกรุงเทพฯได้นั้นคือความเสียหายหลายหมื่นล้านที่ต้องจ่ายไปในครั้งนี้ที่เริ่มจากพวกที่เห็นแก่ตัวไม่กีคน
ผมได้แต่หวังให้ผู้มีอำนาจเกี่ยวข้องสั่ง Full Lockdown สมุทรสาคร ในวันพรุ่งนี้ พร้อมกับตะลุยปูพรมหาผู้ป่วยทั้งพื้นที่ให้ขยายวงมากกว่านี้ และไม่ต้องมาพูดหรือทำอะไรที่ดูซอฟอ่อนนุ่มแบบที่ออกทีวีรวมการเฉพาะกิจในคืนเมื่อวานนี้ ควรสั่งการเด็ดขาดไปเลยว่าถ้าไม่มีอะไรก็ไม่ต้องออกมาจากบ้านเหมือนล็อกดาว์นอู่ฮั่น และควรจะต้องหยุดกรุงเทพฯบางส่วน semi-lockdown สัก 7 วัน เพื่อดูผลของผู้ติดเชื้อ ถ้าทุกอย่างคลายตัวลงแล้วค่อยกลับไปสภาพเดิม แต่ถ้ามันมีตัวเลขผู้ติดเชื้อที่สถานการณ์ดูเลวลงก็จัดเต็มกรุงเทพฯ Full Lockdown ไปได้เลย ผมคิดว่าประชาชนเข้าใจในสิ่งนี้ดีพอสมควรว่าต้องทำเพราะเราไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
ผมหวังว่า พรุ่งนี้ผมจะได้ยินข่าวคำสั่งหยุดกิจกรรมบางส่วนในกรุงเทพฯ ห้าง สถานบันเทิง สถานศึกษา ไว้สัก 7 วันเสียก่อน เรื่องนี้น่ากลัวกว่าที่คิดครับ และผมคิดว่าคนกรุงเทพฯเข้าใจถึงเหตุผลการทำ semi-lockdown ดี และจะให้ความร่วมมือเต็มที่ไม่ต่างกับครั้งก่อน
เวฟสองในครั้งนี้มันมาจากพวกพระยาจักรีขายชาติไม่กี่คนที่เปิดประตูเมืองให้พวกอังวะบุกเข้าเผาเมืองไม่ต่างกับเมื่อสองร้อยกว่าปีก่อน ครั้งหน้าจับได้ต้องกุดหัวคาชายแดนอย่างเดียวเท่านั้น”