ไม่ใช่ข่าวปลอมนะครับ ขอยืนยันว่าเป็นข่าวจริง แต่จริงเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๘๒
ตอนนั้นสงครามโลกครั้งที่ ๒ เริ่มเปิดฉากขึ้นแล้วยุโรป รัฐบาลในยุคจอมพล ป.พิบูลสงคราม ก็คาดการณ์ว่าสงครามอาจจะลามมาถึงเอเซียได้ จึงพยายามส่งเสริมให้ประชาชนปลูกผักสวนครัวกันไว้ หากเกิดสงครามขึ้นจะได้ไม่ขาดแคลนอาหาร โดยเสนอสภาผู้แทนราษฎรออกเป็น “พระราชบัญญัติการสวนครัว และการเลี้ยงสัตว์ เพื่อประโยชน์แห่งครัวเรือน พุทธศักราช ๒๔๘๒”
พ.ร.บ.ฉบับนี้กำหนดให้เจ้าบ้านที่ครอบครองที่ดินที่อยู่นอกเขตเทศบาลนครหรือเทศบาลเมือง ต้องปลูกผักสวนครัวและเลี้ยงสัตว์ให้มีปริมาณพอเพียงแก่การบริโภคหรือขายเป็นรายได้พอเพียงแก่ครัวเรือน และยังให้มีเจ้าพนักงานคอยสอดส่องตรวจตราให้เจ้าบ้านปฏิบัติตามคำสั่ง ถ้าเจ้าบ้านไม่ปฏิบัติตาม ก็ให้ตักเตือนเป็นหนังสือ พร้อมกำหนดเวลาให้ปฎิบัติตามคำสั่งนั้น หากเจ้าบ้านไม่ปฏิบัติตามคำตักเตือนนี้ตามกำหนดระยะเวลา ก็จะมีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกิน ๑๒ บาท และทำคำรับรองไว้ด้วยว่า จะปฏิบัติตามคำสั่งนั้นภายในระยะเวลาไม่ต่ำกว่า ๓ เดือน แต่ไม่เกิน ๖ เดือนตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่จะได้กำหนดโดยคำนึงถึงสภาพที่เจ้าบ้านนั้นจะต้องทำ ถ้าถึงกำหนดเวลานี้แล้วยังไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนี้อีก ก็ให้นำความในวรรคก่อนมาบังคับเริ่มกันอีก
จะว่าไปแล้ว การให้ทำสวนครัวแบบนี้ก็เป็นผลดีแก่ประชาชน แต่ใช่ว่าทุกครัวเรือนมีความพร้อมจะทำได้ ด้วยสาเหตุต่างๆกันไป จึงมีคนไม่ปฏิบัติตามจำนวนมาก ในวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๖ ซึ่งสงครามลามมาถึงประเทศไทยแล้ว รัฐบาลจึงเสนอขอปรับปรุงพระราชบัญญัติฉบับนี้ใหม่ จะเพิ่มค่าปรับเป็น ๕๐ บาท ทั้งยังถูกนำตัวไปทำงานโยธาด้วย จึงได้รับการคัดค้านจาก ส.ส.จำนวนมาก ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีแบ่งเป็นฝ่ายค้านฝ่ายรัฐบาล
ส.ส.บางคนได้อภิปรายว่า นโยบายเรื่องนี้ในปีแรกที่มีการประกวดชิงเหรียญพิบูลสงครามก็คึกคักกันดี ต่อมาไม่ได้รับความสนใจใยดีจากทางราชการก็เลยเนือยๆกันไป ฉะนั้นก่อนที่จะไปเพิ่มค่าปรับ ไปกวดขันเจ้าหน้าที่ของรัฐเองเสียก่อนจะดีกว่า
ส.ส.ที่ใกล้ชิดกับราษฎรก็อธิบายว่า ประชาชนไม่ได้ขัดขืน แต่พืชที่ปลูกนั้นมีฤดูกาล เมื่อผ่านฤดูเก็บเกี่ยวไปแล้วเจ้าหน้าที่มาตรวจ ประชาชนก็ถูกปรับ หาว่าไม่ได้ปลูก เรื่องเลี้ยงสัตว์ก็เหมือนกัน เมื่อมีโรคระบาดเกิดขึ้นเป็ดไก่ตาย เจ้าหน้าที่มาตรวจไม่พบก็ถูกปรับอีก
บ้างก็เปิดโปงว่า รัฐบาลบอกว่าให้เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ แต่ไม่มีสัตวแพทย์มาช่วยตอนเกิดโรคระบาด เป็ดไก่จึงตายลงมาก ส่วนเลี้ยงหมูลูกหมูก็ราคาแพงขึ้นมาก อีกทั้งรำที่รัฐบาลส่งไปช่วยก็ถูกนายอำเภอแย่งหมูกิน ครั้นเมื่อเลี้ยงหมูจนโตก็ถูกกดราคาจากคนซื้ออีก ประชาชนโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง
ในที่สุดพระราชบัญญัติฉบับนี้ก็ตกไป แม้จะอยู่ในยุคของรัฐบาลเผด็จการก็ตาม เพราะ ส.ส.ทำหน้าที่เป็นผู้แทนของปวงชน ไม่ใช่ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลมีหน้าที่ยกมือลูกเดียว ส.ส.ฝ่ายค้านก็จ้องขัดขาทุกเรื่องไป อย่างในวันนี้
ความจริงการปลูกผักสวนครัวก็เป็นวิถีชีวิตของคนไทยอยู่แล้ว ทุกวันนี้ไม่มีกฎหมายบังคับ แต่ไม่ใช่แค่นอกเขตเทศบาล บนดาดฟ้าตึกกลางกรุงก็ยังปลูกผักสวนครัวกัน โดยเฉพาะในยุคที่คนห่วงใยเรื่องสุขภาพ และไม่ค่อยไว้ใจความสะอาดของผักจากตลาด การทำสวนครัวยังเป็นส่วนหนึ่งในแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง มีความสำคัญยิ่งขึ้นในยุคโควิด ๑๙ ที่สำคัญคือความอุดมสมบูรณ์ของผืนแผ่นดินไทยเหมาะอย่างยิ่งในการปลูกพืช เอาอะไรปักลงไปในดินแล้วเอาน้ำรดก็งอก เมื่อตอนที่นักวิชการเกษตรอิสราเอลจะมาสอนการทำการเกษตรให้ไทย พอมาเห็นดินเมืองไทยก็บอกว่า ถ้าเอาเก้าอี้ไม้ไปนั่งคุยกันบนดิน ก็อาจจะงอกรากได้
เมืองไทยมีหลายๆอย่างที่คนชาติอื่นเขาอิจฉา แต่ที่ต้องอายเขาก็คือ เอารำส่งไปช่วยราษฎรก็ยังแย่งหมูกิน ส่งเสริมให้ปลูกรั้วกินได้ ก็กินรั้วเสียเอง นี่สิ เมื่อไหร่จะเอาอยู่กันเสียที
นี่คือการเตรียมพร้อมรับสถานการณ์เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ ๒
มีการตั้งข้อสังเกตกันไว้ในสมัยก่อนว่า หากเกิดความขัดแย้งกระทบกระทั่งกันระหว่างประเทศ ต่างฝ่ายต่างตั้งหน้าจะเข้าประสานงากัน ก็เชื่อได้เลยว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะถ้าเอากันจริงตอนนั้นก็จะเจ็บหนักด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่ถ้าหากเรื่องขัดแย้งเงียบไปเฉยๆโดยยังตกลงกันไม่ได้ ก็ให้ระวังได้เลยว่าไม่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด หรือทั้งสองฝ่ายคิดตรงกัน ที่จะทำให้อีกฝ่ายตายใจแล้วชิงความได้เปรียบ
ตอนเกิดสงครามมหารเอเซียบูรพาญี่ปุ่นก็ใช้วิธีนี้ เมื่อถูกอเมริกาบีบคั้นทางเศรษฐกิจ ญี่ปุ่นขอเจรจาทางการทูตให้ตายใจ พอเตรียมตัวพร้อมก็ส่งฝูงบิน ๓๕๓ ลำเข้าถล่มเพิร์ลฮาร์เบอร์ ฐานทัพเรือใหญ่ที่สุดของอเมริกาทางแปซิฟิกจนราบ โดยไม่ได้ประกาศสงครามก่อน การกระทบกระทั่งกันในทะเลจีนใต้ขณะนี้ ถ้าเกิดเงียบไปเฉยๆก็ระวังไว้ให้ดี
ฉะนั้นการทำสวนครัวเตรียมตัวรับสงครามโลกครั้งที่ ๓ ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าละเลยนะจะบอกให้