“สนธิ”ติง“เจี๊ยบ นครปฐม”ให้ท้ายม็อบเด็กชักศึกเข้าบ้าน ชูธง-ตะโกนเรียกร้องเอกราชให้ฮ่องกง สนับสนุนกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในจีน แล้วยังแก้ตัวให้เด็ก พร้อมเปรียบเทียบ “เรดการ์ด” ในประเทศจีนเมื่อ 40 กว่าปีก่อน ไม่ต่างจาก “เยาวชนปลดแอก” ในไทยตอนนี้ และเมื่อวิเคราะห์ 10 ข้อเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบัน พบว่าจุดประสงค์ที่ซ่อนอยู่ในแต่ละข้อคือนำไปสู่การล้มล้างสถาบัน เช่น การแก้ รธน.มาตรา 6 เปิดช่องให้ฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ได้ การยกเลิกมาตรา 112 ยกเลิกส่วนราชการในพระองค์ คนที่อยู่เบื้องหลังข้อก็คือ “สมศักดิ์ เจียมฯ”และนักวิชาการอีกหลายคนที่มีความแค้นต่อสถาบันมาตั้งแต่เหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 19 ย้ำ “คณะราษฎร”ที่เปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 ส่วนใหญ่ไม่ต่างจาก “คณะโจร” เพราะร่วมก่อการเพื่อหวังความก้าวหน้าในตำแหน่งและทรัพย์สินเงินทอง หลังจากนั้นก็หักหลังแย่งชิงอำนาจกันเอง พร้อมเผยเรื่องราวที่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศมหาอำนาจตัดสินใจให้ไทยมีสถาบันกษัตริย์ต่อไป เพราะหวังว่าในหลวงรัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9 ซึ่งขณะนั้นยังทรงพระเยาว์และเติบโตในประเทศทางตะวันตกจะนำประเทศไทยอยู่ข้างโลกตะวันตก ต่อมาสหรัฐฯ ได้เข้ามาสนับสนุนในหลวงเพื่อให้ประเทศไทยช่วยป้องกันลัทธิคอมมิวนิสต์ แต่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็สามารถทรงสร้างพระบารมีด้วยตนเองจนเป็นที่รักและศรัทธาของคนทั้งประเทศ และมีแนวพระราชดำริเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งเป็นการตัดการพึ่งพาจากสหรัฐฯ แต่สหรัฐฯ ก็ยังต้องการครอบงำประเทศไทยเพื่อคานอำนาจจีน หลังจากตนเองสูญเสียอิทธิพลในฮ่องกง จึงเข้ามาอยู่เบื้องหลังความปั่นป่วนของสถานการณ์ในไทยปัจจุบันนี้
วันที่ 30 ต.ค.63 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ และช่องยูทูป Sondhitalk โดยวันนี้จะมาพูดถึงเรื่องคณะราษฎร 2475 ที่คนรุ่นใหม่เอามาเป็นต้นเเบบในการต่อสู้ จริงๆ เเล้วเป็นอย่างไร รวมถึงเรื่องขบวนการล้มเจ้าเกิดขึ้นมาตั้งเเต่เมื่อไหร่ มีใครอยู่เบื้องหลัง? รู้ทันการชุมนุมที่เรียกร้อง 10 ข้อ เป็นการปฏิรูปหรือล้มล้าง ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.57 “2475 คณะราษฎร หรือคณะโจร”
คำต่อคำ SONDHI TALK [30 ต.ค. 63] : "2475 คณะราษฎร หรือ คณะโจร ?"
วันนี้ผมจะมาบอกให้ฟังว่าช่องทางการติดต่อของ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK ได้ทางไหนบ้าง ทางแรกคือทางเฟซบุ๊ก ให้กด Like หรือกด Follow แล้วกดติดตาม แล้วเลือก See First ไปเลยในเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เมื่อชมแล้วก็ช่วยกันแชร์ออกไปมากๆ เพื่อให้บางคนที่ยังไม่ได้อยู่ดูได้ความรู้กับสิ่งที่ผมพูด แล้วเดี๋ยวนี้เราก็ไลฟ์สดผ่านยูทูปเช่นกัน ให้เข้าไปใน YouTube ค้นหาคำว่า SONDHI TALK กด Subscribe เอาไว้ เปรียบเสมือนห้องสมุดเคลื่อนที่ รวบรวมทุกอย่างตั้งแต่รายการในอดีต "มองโลก มองเรา กับสนธิ" "บันทึกลับบ้านพระอาทิตย์" จนมาถึงรายการ "SONDHI TALK"
สำหรับแฟนรายการคนไหนอยากดูเนื้อหา ตลอดจนการถอดคำพูดเป็น text ก็ให้เข้าไปที่ www.sondhitalk.com เพราะจะรวมไว้ในเว็บไซต์โดยแยกเป็นแต่ละหมวดหมู่ครบทุกเรื่องทีเดียวครับ
สุดท้าย สำหรับท่านผู้ชมที่ไม่อยากเห็นหน้าผม แต่อยากฟังเสียงผม อยากฟังเรื่องราวที่ผมพูด ก็เข้ามาฟังที่ podcast ถ้าท่านที่ใช้ iPhone - iOS ก็เข้าไปที่แอปฯ podcast เมื่อกดเข้าไปแล้วก็ search คำว่า SONDHI TALK ก็จะมีให้ทุกรายการ ส่วนท่านผู้ชมที่ใช้โทรศัพท์ระบบ android ก็กดเข้าไปเหมือนกัน แต่จะมีคำว่า Podbean แล้วก็กดเข้าไป
สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2563 เหลืออีกไม่กี่วันก็จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ หรืออาจจะคนเก่า ระหว่างนายโจ ไบเดน กับนายโดนัลด์ ทรัมป์ หรือที่ผมเรียกว่า ทรัมป์บ้า แต่ว่าเรื่องของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกานั้น รอไว้ให้เขาเลือกตั้งเสร็จเราค่อยมาฟังมาวิเคราะห์ของผมกันใหม่ วันนี้เป็นวันสำคัญมากที่ผมอยากจะสรุปเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเรื่องขบวนการล้มเจ้า 2475 คณะราษฎร ว่าเป็นคณะราษฎร หรือว่าเป็นโจร ฟังให้ดีๆ ตามผมมา ถ้าตามมาตั้งแต่ต้นจนจบวันนี้แล้ว ผมเชื่อว่าอย่างน้อยที่สุดจะเข้าใจเหตุการณ์ได้ดีมากพอสมควร
ท่านผู้ชมครับ เมื่อวันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2563 ผมมีเรื่องบางเรื่องที่ต้องเล่าให้ฟังนิดหนึ่ง ในการประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญเพื่อหาทางออกให้กับประเทศ มี ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคก้าวไกลท่านหนึ่ง คือคุณอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล
ท่านออกมาให้ท่านรองนายกรัฐมนตรีวิษณุ เครืองาม ถอนคำพูดในเรื่องประเด็นบางประเด็น ในเรื่องเกี่ยวกับว่า ท่านรองฯ วิษณุ ท่านบอกว่าในเรื่องข้อเรียกร้องหลายๆ ข้อที่เรียกร้องมานั้นมันเกี่ยวกับประเทศไทย แต่มีอยู่หลายข้อที่ไม่ได้เกี่ยวกับประเทศไทย ไม่รู้จะทำอย่างไร คุณอมรัตน์ ก็เลยขอให้รองนายกฯ วิษณุ เครืองาม ถอนคำพูด โดยพูดอย่างนี้ครับ "ท่านได้ใส่ร้ายผู้ชุมนุมที่ไม่ได้มีโอกาสเข้ามาชี้แจงในที่นี้ โดยท่านได้พูดว่าในที่ชุมนุมมีการเรียกร้องอิสรภาพให้ฮ่องกง ซึ่งดิฉันไปสังเกตการณ์ทุกครั้ง ดิฉันไม่เห็นมีการเรียกร้องอิสรภาพให้ฮ่องกงในที่ชุมนุมเลย อาจเป็นเพียงเพราะป้ายเล็กๆ ของผู้ชุมนุมที่มีหลากหลายที่อาจจะพูดถึงฮ่องกงบ้าง ก็เป็นธรรมดา แต่ดิฉันยืนยันว่าไม่ใช่ข้อเรียกร้องหลักของม็อบตั้งแต่แรกไม่มีข้อเรียกร้องนี้ ถือว่าเป็นการใส่ร้ายม็อบผู้ไม่มีโอกาสที่จะได้เข้ามาชี้แจงในที่นี้ ขอให้ถอนคำพูดด้วย"
ท่านผู้ชมครับ ผมไม่รู้ว่าคุณอมรัตน์ ทำไมถึงห้าวเป้งเช่นนี้ มีคนเขาบอกว่าคุณอมรัตน์ กับคุณปารีณา เป็นผีกับโลงคู่กัน ผมเดิมทีฟังแล้วยังไม่เข้าใจ แต่พอเห็นคุณอมรัตน์ แสดงออกวันนี้แล้ว ผมรู้สึกว่าเริ่มจะเห็นด้วย
คุณอมรัตน์ครับ ในการชุมนุมของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า คณะราษฎร 2563 ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2563 ประมาณ 19.45 น. คุณอมรัตน์ครับ ผู้ร่วมชุมนุมตะโกนว่า "ฮ่องกงเป็นประเทศ คืนเอกราชให้ฮ่องกง คืนเอกราชให้ฮ่องกง คืนเอกราชให้ฮ่องกง" นอกจากนั้นแล้ว ในการชุมนุมของม็อบคณะราษฎรในหลายสถานที่ เช่น อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย สี่แยกราชประสงค์ ยังปรากฏมีธงฮ่องกง ทิเบต ไต้หวัน รวมทั้งสัญลักษณ์ของสาธารณรัฐเตอร์กิสถานตะวันออก ธงสีฟ้า มีจันทร์เสี้ยว และดาว ซึ่งผมจะเอารูปขึ้นให้ท่านผู้ชมดู
ซึ่งเป็นความพยายามของกลุ่มสนับสนุนการแบ่งแยกดินแดนซินเจียงของประเทศจีน ท่านผู้ชมครับ ความเคลื่อนไหวดังกล่าว แน่นอนว่าทางฝั่งจีนเขาไม่พอใจแน่นอน เขาไม่พอใจอย่างรุนแรงเลย แต่รัฐบาลปักกิ่งยังใช้ความอดทนอดกลั้นอยู่ เพราะทางหนึ่งเขามองว่าเด็ก เป็นการกระทำของคนกลุ่มหนึ่งและผู้ประท้วงบางส่วน แต่จริงๆ แล้วมันเป็นพันธมิตรชานม คือมีฮ่องกง ประเทศไทย และไต้หวัน เข้ามาร่วมกัน คือเป็นการสนับสนุนการแบ่งแยกดินแดนของจีนนั่นเอง ซึ่งไทยไม่ควรไปเกี่ยวข้องด้วยเลย แต่นักการเมืองบางกลุ่ม และต่างชาติ ให้จับมาโยงกัน โดยปั่นหัวเด็กๆ และเยาวชนให้นำเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกันมาเกี่ยวข้องกัน
คุณอมรัตน์ครับ ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่คุณทำ หรือสิ่งที่เด็กทำนั้น อาจจะทำให้เกิดความอ่อนไหวทางนานาชาติได้ คุณก็รู้อยู่แล้วว่าประเทศจีนเขามีความอ่อนไหวมากในเรื่องของไต้หวัน ในเรื่องของฮ่องกง และในเรื่องของซินเจียง แล้วคุณจำได้หรือเปล่า คุณมีความจำสั้นหรือเปล่า 2562 อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ของคุณ คือคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2562 เพียงแค่ถ่ายรูปกับนายโจชัว หว่อง แกนนำม็อบฮ่องกง ในงาน Open Future Forum ที่จัดขึ้นโดยนิตยสาร The Economist ที่ฮ่องกง ก็ทำให้เกิดความร้าวฉานในความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนอย่างมากมาย ภาพดังกล่าวทำให้สถานทูตจีนต้องออกมาประณามอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นครั้งแรก ซึ่งประเทศจีนไม่เคยเข้ามายุ่งในเรื่องพวกนี้ ความไม่ประสีประสา ความอ่อนหัด หรืออาจจะเกิดความจงใจของนายธนาธร ได้สร้างปัญหาระหว่างไทยกับระดับนานาชาติ
คุณอมรัตน์ครับ สิ่งที่คุณพูดนั้น โกหกพกลม เพราะว่าผมมีหลักฐานพิสูจน์ชัดเจน มีคลิปด้วยว่าบนเวทีมีคนขึ้นเวทีแล้วก็ประกาศให้กลุ่มม็อบนั้นพูดตาม "ประเทศฮ่องกงเป็นประเทศเอกราช คืนเอกราชให้ฮ่องกง" แล้วก็มีคนทวนคำพูดนี้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นแล้ว ผมไม่อยากให้คุณอมรัตน์ ไร้เดียงสามากจนเกินไป ถ้าคุณอมรัตน์ เป็นกังวลในเรื่องแบบนี้ ผมก็เรียนถามคุณว่า กลุ่มนักประท้วงขบวนเสด็จ ที่มีผู้ชาย ที่มีอยู่ในภาพเห็นชัดเจน ยกนิ้วกลางให้ขบวนเสด็จ ซึ่งอยู่ห่างจากรถพระที่นั่งของพระราชินีเพียงไม่กี่ก้าว ผมคิดว่าไม่เกิน 3 ก้าว ทำไมคุณอมรัตน์ ไม่พูดเรื่องนี้บ้าง คุณจะปกป้องม็อบพวกนี้มากจนเกินไป หรือว่าพรรคก้าวไกล คุณแสดงจุดยืนมา ก็ต้องการล้มสถาบันกษัตริย์ด้วยใช่หรือไม่ โดยใช้เด็กออก แล้วใช้พวกคุณเป็นเครื่องมือใช้ในสภาที่จะมาปกป้องเด็กพวกนี้
เพราะฉะนั้นแล้ว จะเห็นได้ชัดว่า ในขณะนี้มีปัญหามาก ผมจะเล่าให้ฟังว่า ทางจีนเขาได้เขียนบทวิเคราะห์ออกมาชิ้นหนึ่ง ซึ่งน่าสนใจมาก คุณอมรัตน์ ถ้าสนใจ ตั้งใจฟังให้ดีๆ ผมรู้ว่าคุณจบธรรมศาสตร์ คณะบัญชี คุณเป็นลูกกำนัน คุณเป็นคนนครปฐม คุณอาจจะไม่รู้เรื่องต่างประเทศมากมายเท่าไรนัก แต่ผมจะแนะนำให้ฟัง ว่าสิ่งที่ม็อบเด็กที่คุณกำลังหนุนหลัง ทำอยู่นี้ กำลังสร้างความพินาศฉิบหายในเรื่องความสัมพันธ์ และทุกวันนี้ผมยังยืนยันได้ คุณไปถามใครก็ได้ว่าตะวันตก ประเทศทางตะวันตก สหรัฐอเมริกา ทางยุโรป อังกฤษ อยู่เบื้องหลังและมีส่วนเกี่ยวข้องกับม็อบนี้ มีบทวิเคราะห์บทหนึ่ง เขียนโดยนายหยู ฉุน ซึ่งเขาเป็นรองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยนโยบายการทหารและการทูตแห่งมหาวิทยาลัยในประเทศจีน เขาเขียนออกมา เขาวิเคราะห์เรื่องที่น่าสนใจในหลายประเด็น สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลจีนและฝ่ายความมั่นคงของจีนเขามองเหตุการณ์และสถานการณ์ทั่วไทยอย่างไร
คุณอมรัตน์ครับ ขอยืนยันหน่อยนะครับว่า นี่เป็นความเห็นของเขา ไม่ใช่ความเห็นของผม เขาบอกชัดเจนว่า ประเด็นแรก เขาบอกการชุมนุมครั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาว ซึ่งต่างจากม็อบเสื้อเหลือง และเสื้อแดง ก่อนหน้านี้ ประเด็นที่สอง การจัดการชุมนุมทำได้เป็นระเบียบ ทำให้ไม่น่าสงสัยเลยว่ากลุ่มผู้ชุมนุมน่าจะได้เงินสนับสนุนจากบุคคลหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่งข้างหลัง นอกจากนี้ ในช่วงหลังยังมีการแจกจ่ายเครื่องป้องกัน ไม่ว่าจะเป็นหมวกกันน็อก แว่นตากันน้ำ ร่ม อุปกรณ์ต่างๆ อย่างครบครันให้กับผู้ชุมนุม เป็นที่ชัดเจนว่าเป็นเรื่องยากที่นิสิต นักศึกษา นักเรียนปกติจะหาเงินเพื่อซื้ออุปกรณ์เหล่านี้มาได้จากไหน
นอกจากนั้นแล้ว คุณอมรัตน์ ตั้งใจฟังให้ดีๆ นี่เป็นบทวิเคราะห์ของเขานะครับ เขายังวิเคราะห์ว่า ยังมีช่างภาพที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม เพื่อเก็บภาพ ช่างภาพที่เขาส่งมาโดยเฉพาะ เพื่อเก็บภาพที่โดนใจ ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Touching โอ๊ย โดนใจจังรูปนี้ เด็กยืนชูสามนิ้ว น้ำตาไหลพราก แล้วก็ถ่ายออกไป พวกนี้จะเป็นช่างภาพมืออาชีพ ซ่อนตัวอยู่ในกลุ่ม แล้วก็พยายามหาภาพที่มันโดนใจ ดูแล้วมีความรู้สึกเศร้าโศก อินไปด้วยกับภาพ เขาถ่ายภาพนี้เพื่ออะไร ? เพื่อการใช้ภาพเหล่านี้เพื่อประโยชน์ในการประชาสัมพันธ์ผ่านสังคมสื่อออนไลน์ ให้สังคมสื่อออนไลน์เห็นใจ โดยใช้ภาพนี้เป็นตัวแสดงออก
นายหยู ฉุน ยังวิเคราะห์ต่อว่า นอกจากนี้แล้ว แกนนำม็อบฮ่องกงอย่างโจชัว หว่อง ก็ยังให้การสนับสนุนกลุ่มผู้ประท้วงอย่างเปิดเผย และสม่ำเสมอ ซึ่งการกระทำดังกล่าวได้ย้ำเตือนให้คนนึกถึงภาพถ่ายคู่กันระหว่างโจชัว หว่อง และนายธนาธร ที่เคยดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ก่อนที่พรรคจะถูกยุบด้วย
คุณอมรัตน์ครับ เขายังวิเคราะห์ต่อว่า รัฐบาลและสื่อกระแสหลักไทยเชื่อว่ามีการจับมือกันระหว่างกลุ่มผู้ประท้วงกับสหรัฐอเมริกา รวมถึงชาติตะวันตกบางชาติ ในการใช้เด็กและเยาวชนเพื่อมุ่งเป้าไปในการล้มระบอบการเมืองปัจจุบันของประเทศไทย โดยมุ่งเป้าจะให้มีหุ่นเชิดทางการเมืองฝั่งนิยมตะวันตกขึ้นมาปกครองประเทศในแบบตะวันตก
คุณอมรัตน์ครับ ไม่จำเป็นต้องเชื่อผม แต่นี่เป็นบทวิเคราะห์ของนายหยู ฉุน ผมจะเรียนให้คุณอมรัตน์ทราบว่าจริงๆ แล้วเรื่องตะวันตกอยู่เบื้องหลังการชุมนุม ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย ทุกแห่ง เป็นความจริงที่ตะวันตกไม่กล้าปฏิเสธ อย่างเช่น NED (National Endowment for Democracy) ที่ผมเคยพูดออกไปหลายครั้งแล้ว เป็นผู้ให้เงินสนับสนุน รวมทั้งเว็บไซต์ประชาไท ก็คือได้เงินของตะวันตกมา ทุกอย่าง เดี๋ยวผมจะพูดต่ออีกหลายเรื่อง แต่เอาเป็นว่า คุณอมรัตน์ คุณไร้เดียงสา หรือว่าคุณแกล้งโง่ หรือคุณแกล้งไม่รู้ ประเด็นนี้คุณพูดว่าไม่เห็นมี มี เยอะแยะไปหมด ภาพที่เห็น และที่สำคัญที่สุดเลย ในการชุมนุมมีเหตุผลอะไรต้องเอาธงฮ่องกงมา จะต้องเอาธงของอุยกูร์มา จะต้องเอาธงของประเทศโน้นประเทศนี้มา แล้วสนับสนุน พูดจาให้ท้ายไป
คุณอมรัตน์ เหมือนกับการเรียกร้องประชาธิปไตยวันนี้ที่เรียกร้องกัน แต่ที่แฝงเอาไว้ ก็คือประเด็นหลัก คือต้องการที่จะล้มสถาบันกษัตริย์ โดยเอาประเด็นการล้มสถาบันกษัตริย์นั้นแทรกเข้ามาในการเรียกร้องประชาธิปไตย ผมรู้ว่าคุณรักพรรคก้าวไกล แต่ผมขอให้รักประเทศไทยมากขึ้นกว่าเก่าได้ไหม ถึงแม้คุณอาจจะไม่รักประเทศไทยตามที่คุณคิดก็ได้ แต่อย่างน้อยที่สุด คุณอย่าชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน ประเทศจีนเขาไม่ได้แคร์ประเทศไทยเช่นกัน เขาคิดว่าถึงวันๆ หนึ่งถ้าอเมริกาเข้ามาแทรกแซงถึงจุดที่ไม่สามารถคุมสถานการณ์ได้ ผมเชื่อว่าประเทศจีนก็อาจจะเข้ามาแทรกแซงเช่นกัน เพราะว่าถ้าประเทศไทยถูกอเมริกามาทำให้ป่วน และถ้าคุณอมรัตน์ เรียนประวัติศาสตร์ และเรียนการเมืองระหว่างประเทศ และเข้าใจประวัติศาสตร์ร่วมสมัย ถ้าคุณไม่เข้าใจ คุณไปศึกษามาให้ดีๆ หน้าที่ของสหรัฐอเมริกานั้นคือหน้าที่ทำให้ทุกประเทศที่เขามีความสนใจที่จะเข้าไปยึดครอง ป่วนไปหมด ให้มีการแตกแยกให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แล้วอเมริกาจะได้เข้าแทรกแซง
ลำพังแค่รูปที่ส่งช่างภาพมืออาชีพหลายๆ คนเข้ามาแทรกในม็อบ แล้วถ่ายรูปที่เขาเรียกว่า Touching ดูแล้วโดนใจ แล้วก็แพร่ออกไปในสื่อออนไลน์ สื่อมวลชน ทั้งหมดนี้คุณอมรัตน์ คุณยังไม่รู้ หรือคุณแกล้งโง่ ว่าการชุมนุมทั้งหมดนี้มีการวางแผนอย่างดี มีการวางแผนอย่างดีเลย มีการบงการ มีการกำหนดทิศทาง เพราะฉะนั้นแล้ว การที่คุณมาบอกว่าคุณไม่เห็นเลยแม้แต่นิดเดียวที่จะมีการประท้วง หรือมีการที่จะต่อต้านประเทศจีนในเรื่องของฮ่องกง มีสิครับ บนเวทีเขายังพูดกันเลย เอ้า! พวกเราพูดพร้อมกัน คุณอมรัตน์ คุณบอกว่าคุณไปม็อบทุกวัน คุณไปอย่างไร ผมอยากจะฝากเอาไว้อย่างนี้
เดิมทีผมยังคิดว่าคุณเหนือกว่าคุณปารีณา ไกรคุปต์ แต่วันนี้ผมคิดว่าคุณแย่กว่าคุณปารีณา ไกรคุปต์ แล้วครับ ผมประหลาดใจที่คนจบคณะบัญชี ธรรมศาสตร์ ลูกกำนัน ผมรู้ว่าคุณพ่อของคุณ อดีตกำนัน และเป็นมือเป็นเท้าให้กับตระกูลสะสมทรัพย์ จนกระทั่งแตกหน่อออกมา และคุณก็ทำตัวเป็นอิสระจากตระกูลสะสมทรัพย์ ไม่เป็นไรครับ ถือว่าผมเตือนคุณตรงนี้ก็แล้วกัน
ผมคิดว่าเรามาคุยในเชิงปรัชญาเล็กๆ ไม่ต้องลึกซึ้ง แต่ผมคิดว่าพวกเราทุกคนคงจะเข้าใจดีหมด เรื่องที่ผมอยากจะคุยตอนนี้คือเรื่อง ศรัทธา ศรัทธาสำคัญแค่ไหน ? ท่านผู้ชมอาจจะอยู่กับศรัทธาทุกวันโดยท่านผู้ชมอาจจะไม่รู้ตัวก็ได้ ทุกวันนี้เราอยู่ที่บ้านเรา อย่างน้อยที่สุดหลายคนก็อาจจะศรัทธาคุณพ่อ คุณแม่ ศรัทธาคุณพ่อ คุณแม่ เพราะว่าคุณพ่อเป็นคนดี คุณแม่รักลูก คุณพ่อขยันทำมาหากิน เป็นหัวหน้าครอบครัว เอาเงินเอาทองที่หาได้มาเลี้ยงดูครอบครัว คุณแม่ก็ทำงานข้างนอก กลับมาก็ดูแลลูกด้วยความจริงใจ เต็มใจ และสบายใจที่ได้ทำ นั่นคือศรัทธาที่มีต่อครอบครัวหรือคุณพ่อ คุณแม่ ในขณะเดียวกัน เราก็อาจจะศรัทธาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์กับสังคมไทย หรือแม้กระทั่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์กับสังคมโลก ไม่เคยแยกจากกันเลย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือศาสดาองค์ใดก็ตามที่อยู่ในโลกนี้ เราศรัทธาพระพุทธศาสนา เราศรัทธาพระธรรมคำสั่งสอน แต่ท่านผู้ชมบางท่านก็อาจจะศรัทธาตัวบุคคล ศรัทธาทั้งพระพุทธเจ้า และศรัทธาทั้งพระสงฆ์องค์เจ้าซึ่งเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ที่นำเอาคำสั่งสอนมาสอนพวกเรา เหมือนอย่างผมศรัทธาหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
หลวงตาท่านก็ศรัทธาในตัวพระพุทธเจ้า หลวงตาก็เอาคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาสอนผมต่อไป ผมศรัทธาหลวงตา เพราะหลวงตาศรัทธาคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็เปรียบเสมือนผมเองก็ศรัทธาต่อพระพุทธเจ้าเช่นกัน ฉันใดฉันนั้น คนที่นับถือศาสนาอิสลามก็ศรัทธาต่อพระอัลเลาะห์ คนที่นับถือศาสนาคริสต์ก็ศรัทธาต่อพระเยซู หรือพระแม่มารี สุดแล้วแต่ความศรัทธามี
พลังของศรัทธาแรงมาก ท่านผู้ชมจำพระองค์หนึ่งได้ไหม ที่ตอนนี้สึกไปนานแล้วเพราะมีเรื่องมีราว คือพระยันตระ สมัยก่อนทำไมคนศรัทธาพระยันตระเยอะ
พระยันตระหาเงินหาทองได้มหาศาล เพราะศรัทธา เพราะคนมีความรู้สึกว่าคนดีแบบนี้ เอาเงินเอาทองไปให้ และในที่สุดแล้ว ตัวตนที่แท้จริงของพระยันตระ ก็โผล่ออกมาว่าเป็นคนที่มักง่ายในกาม เสพเมถุน จนในที่สุดหนีไปต่างประเทศและไปสึกในต่างประเทศ ตอนนี้ก็กลับมาเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง
เช่นเดียวกับเณรคำ ท่านผู้ชมคงจำได้ เณรคำได้รับความศรัทธามาก แต่เป็นการศรัทธาในทางที่ผิด เพราะศรัทธาเณรคำตรงที่ว่า เณรคำนั้นศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเณรคำ ศักดิ์สิทธิ์ตรงไหน อาจจะมีจุดใดจุดหนึ่งที่ประชาชนที่ศรัทธาเณรคำ รู้สึกว่าเณรคำศักดิ์สิทธิ์ เณรคำก็เลยร่ำรวยมหาศาล มีเงินมีทอง คนถวายเงินเป็นล้านๆ ว่ากันว่ามีเป็นหลักหลายร้อยล้าน จนอาจจะถึงพันล้านเสียด้วยซ้ำ
ในที่สุดแล้ว ศรัทธาดี ก็ดีแตก ตั้งแต่มีรูปเณรคำนั่งเครื่องบินส่วนตัวที่เช่าไป ใช้กระเป๋าหลุยส์ วิตตอง ใส่แว่นตาเรย์แบน ก็เลยทำให้คนหลายคนเริ่มสงสัยในศรัทธาที่ตัวเองมีในตัวเณรคำ และในที่สุดความจริงก็โผล่ออกมาว่า เณรคำ ก็คือนักหลอกลวง นักต้มตุ๋น ที่ใช้ผ้าเหลืองคลุมตัว
ฉันใดฉันนั้น หลายคนศรัทธาธัมมชโย ธรรมกาย แต่มาตอนหลังสาวกของธรรมกายและธัมมชโยก็ลดน้อยลงไปเยอะ เหตุผลก็เพราะว่า ความจริงเมื่อสัจธรรมปรากฏแล้ว ก็พิสูจน์ชัดว่าธัมมชโย ไม่ได้เป็นอย่างที่เราเคยคิดว่าธัมมชโย เป็น
ท่านผู้ชมถามว่าผมศรัทธาอะไร ตัวบุคคล บางทีเราศรัทธาคนบางคนที่ไม่ใช่พ่อเรา ไม่ใช่แม่เรา ไม่ใช่พระพุทธเจ้า ไม่ใช่พระอรหันต์ หรือไม่ใช่หลวงพ่อ หลวงตา หลวงปู่ แต่เราศรัทธาคนๆ นี้เพราะเขาเป็นคนดี อย่างวันนี้ผมศรัทธาใคร คนดี ? ผมศรัทธา พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เพราะผมคิดว่าเขาเป็นคนดี ทำไมผมคิดว่าเขาเป็นคนดี ? เพราะว่าระยะเวลาผ่านมาเป็นสิบๆ ปี พล.ต.จำลอง ศรีเมือง พิสูจน์ให้เห็นชัดว่า พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ไม่เคยเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งสิ้นในความเป็นสมถะ และในความตรงไปตรงมา และในความที่ไม่มีนอกมีในกับใครทั้งสิ้น และเป็นคนที่บริสุทธิ์ใจต่อชาติบ้านเมือง ผมถึงศรัทธาคุณจำลอง ศรีเมือง ส่วนเรื่องอาบน้ำวันละ 3 ขัน เดินเท้าเปล่า นั่นเป็นองค์ประกอบ แต่ที่สำคัญที่สุด ผมศรัทธาในจิตใจของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง
ท่านผู้ชมครับ เช่นเดียวกัน ถามว่านอกจาก พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แล้ว ผมศรัทธาใครอีก ? ผมศรัทธาพระมหากษัตริย์ ผมศรัทธาสถาบันกษัตริย์ แต่ผมอาจจะไม่บ้าคลั่งถึงขนาดเรียกว่าจะต้องออกมาตายแทนกษัตริย์ โน่นนี่นั่น ไม่ใช่ แต่ผมคิดว่าความศรัทธาของผมนั้น อยู่ที่คุณงามความดีที่สถาบันกษัตริย์ได้ทำให้กับประชาชน แต่ไหนแต่ไรมาแล้ว มีบทพิสูจน์มา ตั้งแต่วันแรกที่รัชกาลที่ 9 ขึ้นครองราชย์ ไล่มาเรื่อยๆ จนถึงวันนี้ และผมคิดว่าสถาบันกษัตริย์นั้นเป็นศูนย์รวมที่รวมคนศรัทธาในสถาบันกษัตริย์ ในตัวพระมหากษัตริย์ มารวมอยู่ ศรัทธาตรงนี้ลึกซึ้งไหม ? ลึกซึ้ง ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นในวันนี้หรือเมื่อวาน ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อรัชกาลที่ 10 ขึ้นมาครองราชย์ เกิดขึ้นมานานแล้ว เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยที่พระองค์ท่าน หรือสมัยยุคก่อนที่พระองค์ท่านจะมา เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 7 สมัยรัชกาลที่ 6 รัชกาลที่ 5 รัชกาลที่ 4 ศรัทธาพวกนี้ค่อยๆ สร้างและสั่งสมมาเรื่อยๆ เขาถึงบอกว่าเวลาเรามีความสุข เราประสบความสำเร็จหลายต่อหลายอย่างในชีวิต ที่มีคนรักคนชอบเรา คนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของเราและทำให้คนมีศรัทธากับเรานั้น ไม่ใช่ภรรยาของเราตามที่เข้าใจกัน ภรรยาเป็นองค์ประกอบองค์หนึ่ง แต่คนที่มาชื่นชมความสำเร็จของเรานั้น ทั้งหมดมันเกิดขึ้นจากรากฐานที่บรรพบุรุษของเราเป็นคนสร้างขึ้นมา แล้วเราก็ต่อยอดจากรากฐานที่บรรพบุรุษของเราได้สร้างขึ้นมา ทำให้เรามาเป็นตัวเราในวันนี้
เมื่อคนที่ศรัทธาในตัวสถาบันกษัตริย์นั้นมีมากมายเหลือเกิน ซึ่งผมเชื่อว่าไม่ต้องทำประชามติอะไรที่มันสลับซับซ้อนนัก เอาแค่ว่า ถามประชาชนทุกคนในประเทศไทย ลูกเล็กเด็กแดงได้หมด จนกระทั่งผู้เฒ่าผู้แก่ ว่าถ้าให้เลือกระหว่างประเทศไทยมีสถาบันกษัตริย์ กับไม่มีสถาบันกษัตริย์ ผมเชื่อว่า 90 เปอร์เซ็นต์ เลือกว่าควรจะมีสถาบันกษัตริย์
ในขณะเดียวกัน ในยุคโซเชียลยุคใหม่ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นติ๊กต่อก (TikTok) ไม่ว่าจะเป็นทวิตเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นอินสตาแกรม ซึ่งคนรุ่นใหม่พากันเล่น ได้สร้างโลกของตัวเองขึ้นมา ซึ่งเป็นโลกที่ไม่มีราก เป็นโลกที่ค่อนข้างที่จะสัมผัสอะไรเป็นรูปธรรมไม่ได้ เพราะสิ่งที่คุณสัมผัสได้ก็แค่คำพูดที่โดนใจคุณ แต่นั่นไม่ใช่ศรัทธาที่แท้จริง เพราะว่าคุณถูกใจมากกว่า
"ถูกใจ" กับ "ศรัทธา" ไม่เหมือนกันนะท่านผู้ชม ศรัทธา คือความเชื่อ เชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจ และศรัทธานั้นจะมีส่วนในการผ่านการพิสูจน์มาแล้ว
ท่านผู้ชมครับ ในขณะนี้คนรุ่นใหม่มีปัญหาเรื่องวิกฤตศรัทธา ทำไมผมบอกว่าคนรุ่นใหม่มีปัญหาเรื่องวิกฤตศรัทธา ? ก็เพราะว่าคนรุ่นใหม่มองแค่กะพี้ มองแค่เปลือก เปลือกจากคนที่เป็นศาสดา อย่างเช่นนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล โพสต์เฟซบุ๊กมา อธิบายเรื่องโน้นเรื่องนี้ จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ไม่ใช่พระพุทธเจ้าที่เป็นสัพพัญญู และสิ่งที่สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล พูด หรือผมพูดนั้น มันต้องเข้าหลักกาลามสูตร มันต้องพิสูจน์ว่าเป็นความจริงหรือเปล่า แต่วันนี้เนื่องจากว่าบทบาทของสื่อมวลชน โซเชียลมีเดีย มีอิทธิพลอย่างสูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเครื่องมือทางเทคโนโลยีทางโซเชียลมีเดียใหม่ๆ อย่างเช่น ทวิตเตอร์ TikTok หรืออินสตาแกรม มันทำให้คนรุ่นใหม่ที่เข้ามานั้นเป็นคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้พิจารณาถึงรากของตัวเอง และไม่ได้พิจารณาถึงข้อเท็จจริงและสัจธรรม กลับผิวเผิน ดูแค่แฮชแท็ก
เหมือนกับวันนี้ กลายเป็นศัพท์ยอดฮิตของวัยรุ่นที่ตั้งใจจะด่านายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตั้งใจจะด่าว่า (ขอประทานโทษ) ไอ้เหี้ยตู่ แต่ก็ไปคิดคำภาษาอังกฤษว่า I Here Too
นี่ผมยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเป็นอย่างไรก็ตาม จะเข้ามามีอำนาจโดยที่ถูกต้องหรือไม่ถูกต้องก็ตาม แต่ในความเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เขาก็มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี และเขาก็ได้ทำคุณประโยชน์ให้กับชาติบ้านเมืองเช่นกัน หลายๆ ประการ ถึงแม้หลายๆ ประการอาจจะไม่ใช่ แต่หลายๆ ประการก็จะใช่ เหมือนกับคำพังเพยที่บอกว่าเหรียญมีสองด้าน ท่านผู้ชมจะดูด้านไหนล่ะ ถ้าท่านผู้ชมจะดูด้านที่เข้ามาด้วยอำนาจ ด้วยปลายปากกระบอกปืน แล้วเขาสนับสนุนพี่น้องของเขา พรรคพวกของเขา ให้กุมอำนาจและสืบทอดต่ออำนาจ อันนั้นก็ดูได้มิติหนึ่ง แต่อีกด้านหนึ่ง คุณงามความดีที่เขาทำให้ก็มี ใช่ไหม ? เอาล่ะ เราไม่ต้องพูดให้มาก พูดไปแล้วมันก็ซ้ำซาก คือการแก้ไขปัญหาโควิด-19 เขาก็ทำได้สำเร็จ ใช่ หรือไม่ใช่ ?
ในขณะเดียวกัน เขามีความจริงใจ ในวันที่เขายืนในสภาแล้วเขาบอกว่า เขาไม่ลาออก เพราะภารกิจของเขายังไม่จบ ในด้านหนึ่ง คนที่ไม่ชอบเขาก็อาจจะบอกว่า ไอ้นี่ตอแหล จริงๆ แล้วอยากมีอำนาจต่อใช่ไหม แต่ผมพยายามมองเขาในแง่ดีว่า จริงๆ แล้วเขามีความจริงใจ แสดงออกว่าเขาต้องการทำงาน และเขาบริสุทธิ์ใจ และเขามีความรู้สึกว่าเขามีภารกิจ แต่ยังไม่จบ ใช่ไหมท่านผู้ชม ขึ้นอยู่กับมิติมุมมองของท่านผู้ชม กับอีกฝ่ายหนึ่ง มองกันอย่างไร
เหมือนกับวันนี้ มีมิติมุมมองที่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์ กับมิติอีกมุมมองหนึ่งที่บอกว่าไม่เอาสถาบันกษัตริย์ ท่านผู้ชมครับ ทำไมผมต้องพูดเรื่องนี้ เพราะผมเกรงว่าศรัทธาจอมปลอมที่เด็กๆ ได้จากสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เป็นศรัทธาที่ผิวเผิน เมื่อมามองกับศรัทธาของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่ศรัทธาต่อสถาบันกษัตริย์นั้นมันต่างกันเหลือเกิน
ผมไม่ได้กังวล ทานอาหารเช้ากันเมื่อเช้านี้ พรรคพวกที่ทำงานกัน ทีมงานหลายคนก็บอกว่า พระราชทานปริญญาบัตรที่ธรรมศาสตร์ มีคนเข้าไปซ้อมประมาณครึ่งหนึ่ง ถ้าเป็นฝ่ายที่ตรงข้ามกับสถาบันกษัตริย์ก็จะบอกว่า เห็นไหม มีคนไม่เอากษัตริย์ตั้งครึ่งหนึ่ง แต่ในข้อเท็จจริง ในการพระราชทานปริญญาบัตรทุกปีก็จะมีคนอยู่จำนวนหนึ่งที่ไม่มา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ไปเรียนต่อต่างประเทศ โน่นนี่นั่น ไม่ได้เห็นความสำคัญของการพระราชทานปริญญาบัตร แต่การไม่เห็นความสำคัญไม่ได้แปลว่าไม่มีศรัทธาต่อสถาบันกษัตริย์ หรือมองอีกมุมหนึ่ง อีกมิติหนึ่ง ก็ยังดีนะ ที่มาซ้อมครึ่งหนึ่ง แสดงว่าเด็กที่จะรับปริญญา อย่างน้อยที่สุดก็มี 50 เปอร์เซ็นต์ ที่ยังเอากษัตริย์อยู่ ฉะนั้นเด็กที่ไม่เอากษัตริย์ ถ้าวัดธรรมศาสตร์เป็นตัวหลัก อาจจะ 50 เปอร์เซ็นต์ ของคนที่รับปริญญา ผมถือว่าเป็นตัวเลขที่ไม่เลวนักสำหรับคนรุ่นใหม่ แต่คนรุ่นเก่า ผมเชื่อว่า 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ บอกว่าอย่างไรก็ตามต้องปกป้อง รักษาสถาบันกษัตริย์ด้วยชีวิต ไม่ยอม ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมที่สวนลุมฯ เมื่อ 1-2 วันที่ผ่านมา ซึ่งมีคนใส่เสื้อเหลืองเป็นจำนวนมาก หรือการออกมาแสดงฉันทามติว่าเราต้องการปกป้องสถาบันกษัตริย์ตามจังหวัดต่างๆ สุไหงโก-ลก ออกมาทั้งอำเภอเลย ออกมาด้วยความเต็มใจ เพราะสุไหงโก-ลก เคยเป็นคนที่อยู่พรรคคอมมิวนิสต์มาลายา แล้วเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของพระมหากษัตริย์ไทย แล้วได้รับการอนุญาตให้ตั้งหมู่บ้าน อย่างเช่นหมู่บ้านจุฬาภรณ์ หมู่บ้านที่ 1 ถึงหมู่บ้านที่ 15 และอีกทั่วๆ ไปหลายจังหวัด ตรงนี้ต่างหากที่ผมกำลังกังวล
ผมกำลังกังวลว่า ฝ่ายหนึ่งซึ่งอยู่ฝ่ายข้างหลังเด็ก วางยุทธศาสตร์และใช้ยุทธวิธีเพื่อยั่วยุให้อีกฝ่ายหนึ่ง คือฝ่ายที่ต้องการจะปกป้องสถาบันกษัตริย์ ออกมาและดำเนินการด้วยความรุนแรง และเป็นเหตุก่อให้เกิดการปราบปรามได้ ตรงนี้ต่างหากที่ผมกลัว ผมก็เลยอยากจะบอกว่า อะไรไม่น่ากลัวเท่ากับการต่อสู้กันในเรื่องความศรัทธา น่ากลัวมาก แต่คำถามผมมีอยู่ว่า ...
เหมือนผม ตอนเช้าตื่นขึ้นมา ก่อนผมจะออกจากบ้าน ผมเอาสร้อยพระเข้ามา ผมก็จะเอาสร้อยพระใส่มือผม แล้วผมก็จะตั้งนะโมฯ 3 จบ เมื่อตั้งนะโมฯ 3 จบ เสร็จ ผมก็ระลึกถึง ตั้งจิตอธิษฐานถึงคุณพระศักดิ์สิทธิ์ คุณพระบารมีของหลวงปู่ทวด หลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน สมเด็จโต พรหมรังษี วัดระฆัง หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ จ.ชลบุรี หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง หลวงพ่อญาท่าน วัดกุดโพนทัน จ.หนองบัวลำภู ซึ่งเป็นพ่อแม่ครูอาจารย์ที่ผมห้อยคออยู่ และผมขอพรท่าน ผมขอความเป็นสิริมงคลให้กับตัวผม ผมขอให้ผมจงประสบความสำเร็จ ฟันฝ่าอุปสรรคไปได้ทุกเมื่อ ถามว่านี่คืออะไร ? ศรัทธา ถามว่ามีท่านผู้ชมหลายคนทำแบบผมไหม ? ไม่จำเป็น หลายท่านอาจจะไม่สนใจ หลายท่านไม่แขวนแม้กระทั่งพระ ไม่ไหว้แม้กระทั่งพระพุทธรูป ไม่สวดมนต์แม้กระทั่งบทเดียว ไม่เคยแม้กระทั่งตั้งนะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต ถามว่าท่านผิดไหม ท่านไม่ผิด เพราะท่านอาจจะละเลยความศรัทธาตรงนี้ แต่ผมศรัทธา และผมเชื่อ ว่าคุณงามความดีที่พ่อแม่ครูอาจารย์สอนผม และผมตั้งใจจะทำความดีให้กับตัวผมเอง ให้กับครอบครัวของผม ให้กับสังคมไทย ให้กับประเทศชาติ ตรงนี้จะเป็นอานิสงส์ ส่งให้ผมได้รับบุญบารมีจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะผมเชื่อว่ามันมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริง และผมคิดว่าความคิดของผมแบบนี้ไม่ใช่ผมคนเดียวนะ ในประเทศไทยเยอะไปหมด แล้วในประเทศไทยที่เยอะไปหมดนั้น เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ ที่เยอะไปหมด ล้วนแล้วแต่มีความคิด เชื่อว่าสถาบันกษัตริย์มีความจำเป็นมากกับสังคมไทยที่จะต้องมีอยู่
ลองดูซิว่าศรัทธาที่เรามีอยู่ต่อสถาบันกษัตริย์ สามารถที่จะอธิบายเป็นเรื่องเป็นราวได้ไหม เหตุการณ์ 14 ตุลาฯ ที่ประชาชนและนักศึกษาประท้วง จอมพล ถนอม จอมพล ประภาส แล้วถูกปราบปราม หนีไปเลยที่วังสวนจิตรฯ ขอเข้าไปหลบภัยในวัง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พระองค์ท่านสั่งให้เปิดวังและให้ทุกคนเข้าไปข้างในเพื่อหลบภัย ถามว่าการกระทำของพระองค์ท่าน ทำให้ประชาชนศรัทธาไหม ? แน่นอน ประชาชนศรัทธาที่พระเจ้าอยู่หัวเป็นห่วงเป็นใยประชาชนของพระองค์ท่าน ถามว่าปี 2535 เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ที่ พล.อ.สุจินดา คราประยูร และรุ่น 5 ที่จับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่ชุมนุมอยู่ เตรียมตัวเอาขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปเพื่อที่จะสังหารโดยถีบตกลงมาจากเฮลิคอปเตอร์
แต่ว่ามีคำสั่ง มีคำบัญชามาจากรัชกาลที่ 9 ในขณะนั้น เรียกให้ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และ พล.อ.สุจินดา คราประยูร พร้อม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เข้าเฝ้าฯ ด่วน ทันที พล.ต.จำลอง ไปในชุดม่อฮ่อม ถ้าผมจำไม่ผิด ใส่รองเท้าแตะไป พล.อ.สุจินดา คราประยูร และ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เข้าไปกราบพระบาทของพระองค์ท่าน แล้วพระองค์ท่านก็เลยสั่งสอนให้เอาความสงบสุขของบ้านเมืองเป็นเรื่องใหญ่ พวกท่านทะเลาะกันแล้วคนที่เดือดร้อนคือประชาชน ถามว่าเราศรัทธาไหมกับบทบาทที่พระองค์ท่านทำให้กับชาติบ้านเมือง ? นี่คือความศรัทธา
หรือกรณีที่เขมรเผาสถานทูตไทย จำได้ใช่ไหมในยุคที่คุณทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี จนกระทั่งประเทศไทยต้องส่งเครื่องบิน C-130 พร้อมหน่วยรบสงครามพิเศษติดตัวไปด้วย เพื่อไปเอาคนไทยกลับมา เหตุการณ์ก็เพราะว่ามีคนไปปั่นข่าวเท็จในเรื่องของการที่กบ สุวนันท์ ให้สัมภาษณ์ทีวี ดูถูกเหยียดหยามคนกัมพูชา แล้วก็อ้างว่า ถ้าจะไปเล่นละครในกัมพูชาครั้งนี้ กัมพูชาต้องคืนนครวัด นครธม ให้กับประเทศไทย นี่มันเป็นการปั่นข่าว ก็เลยเกิดจลาจลขึ้นในกัมพูชา สมเด็จฮุน เซน ก็เลยถือโอกาสปลุกความเป็นชาตินิยมขึ้นมา สถานทูตไทยถูกเผา ธุรกิจของคนไทยถูกม็อบมอเตอร์ไซค์เผา ทำร้ายคน แล้วมีผู้หญิงกัมพูชาเอาพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 9 มาฉีกและเอาเท้าขยี้ ก็เลยเป็นเหตุให้คนไทยที่อยู่ในเมืองไทยทนไม่ไหว เดินขบวนไปที่สถานทูตกัมพูชา ประท้วงหนัก และพร้อมที่จะทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง
แล้วจู่ๆ ตอนเข้าด้ายเข้าเข็ม พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในขณะนั้น เข้ามา แล้วบอกว่าท่านอาสา สารสิน ราชเลขาธิการของสำนักพระราชวัง แจ้งมาว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีดำรัสว่า เราชนะแล้ว เราเป็นพระเอก เราอย่าไปทำอะไรแบบนี้ พระองค์ท่านยุติความบ้าคลั่งของคนไทยที่จะล้างแค้นคนกัมพูชาที่ไปเหยียดหยามศักดิ์ศรีของพระเจ้าอยู่หัวของประเทศไทย เรื่องก็เลยสงบไป ท่านผู้ชมครับ และนี่คือความศรัทธาที่เรามีต่อสถาบันกษัตริย์ ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง
เพราะฉะนั้น ความศรัทธา 2 ศรัทธานี้ ศรัทาธาหนึ่งไม่เอากษัตริย์ ศรัทธาหนึ่งซึ่งมีจำนวนมากกว่าเยอะเลย ต้องการปกป้องกษัตริย์ ผมก็อยากจะขอร้องว่า ให้ใช้สติ ท่านผู้ชมที่อยู่ฝ่ายที่เอากษัตริย์ ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ใหญ่ทั้งนั้น เด็กๆ มีน้อย ให้มองเขาเหมือนลูกเหมือนหลาน ต้องใช้ขันติธรรม ถ้าเราจะออก เราออกเพียงโชว์พลังว่ามันมีนะ ที่ยังรักสถาบันกษัตริย์อยู่ มี มีมากด้วย มีทั่วประเทศไทย ไม่ใช่ไม่เอากษัตริย์แล้วมีแค่สี่แยกราชประสงค์ หรือมีแค่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ท่านผู้ชมครับ นี่คือศรัทธาที่น่ากลัว และในขณะเดียวกัน ก็เป็นศรัทธาที่น่ารัก ขึ้นอยู่กับว่าเราอยู่ฝ่ายไหน แต่เราจะอยู่ฝ่ายไหนก็ตาม เราต้องใช้สติ เหมือนอย่างที่ผมเรียนให้ทราบว่า ถ้าผมอาราธนาพระขึ้นคอ ท่านผู้ชมไม่อาราธนาก็ไม่เป็นไร แต่ท่านผู้ชมก็คงจะไม่มาเหยียดหยามผมมั้ง ไอ้สนธิโง่ เอาเศษก้อนอิฐมาแล้วก็ยกมือ พนมมือ ผมก็ไม่ได้เหยียดหยามท่านว่า ไอ้คนที่ไม่มีราก ไม่มีศาสนา ต่างคนต่างอยู่ แล้วให้บทพิสูจน์ว่า สิ่งที่ผมศรัทธา สิ่งที่คุณไม่ศรัทธา ในที่สุดแล้วมันจะเป็นอย่างไร
ท่านผู้ชมครับ ผมมีเรื่องในประวัติศาสตร์บางเรื่องที่อยากจะเล่าให้ท่านผู้ชมฟัง เป็นประวัติศาสตร์ร่วมสมัย ไม่นานนักหรอก ประมาณสัก 44-54 ปีที่แล้ว 2509 และเหตุการณ์เกิดขึ้นนานสิบปี 2509-2519 เหตุการณ์นี้คือการปฏิวัติวัฒนธรรมของประเทศจีน ก็คงไม่มีใครไม่รู้จักการรวมตัวของกลุ่มบุคคลที่มีฉายาว่า แก๊งสี่คน แล้วก็เป็นการปลุกระดมยุวชนแดง หรือที่เขาเรียกว่า Red Guards หรือที่ภาษาจีนเขาเรียกว่า หงเว่ยปิง
Red Guards เมื่อผมศึกษาประวัติศาสตร์ดูแล้ว ศึกษาองค์ประกอบแล้ว กับแก๊งสี่คน ทรชนแห่งประวัติศาสตร์จีน มันมีอะไรที่คล้ายๆ กับม็อบยุคนี้ไม่ผิด เพราะว่า Red Guards กับพวกม็อบนิสิต นักศึกษา และเด็กโรงเรียนมัธยมนั้นคล้ายๆ กัน และมีผู้นำซึ่งเป็นตัวการ ซึ่งมีอยู่เบื้องหลัง ใน Red Guards คือ เหมา เจ๋อตุง ในม็อบครั้งนี้ก็คือ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
เรากลับมาเรื่องนี้สักนิดหนึ่ง ในสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ มีการหยิบยกเอาม็อบเด็ก ไม่ว่าจะเป็นเยาวชนปลดแอก กลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุม กลุ่มคณะจุฬาฯ นักเรียนเลว หรือคณะราษฎร ว่าพฤติกรรมความก้าวร้าว คล้ายคลึงกับพฤติกรรมของ Red Guards หรือกลุ่มยุวชนแดง ในห้วงประวัติศาสตร์จีน ในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม ผมยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้ดู
Red Guards คือยุวชนแดง มีสโลแกนอยู่ 4 ข้อ เขาเรียกว่า พิฆาตสี่เก่า แปลว่าอะไร ? หนึ่ง ทำลายประเพณีเก่า สอง วัฒนธรรมเก่า สาม นิสัยเก่า สี่ ความคิดเก่า มันช่างละม้ายคล้ายคลึงกับวันนี้จริงๆ สโลแกนนี้ทำให้เกิดความคลุ้มคลั่งไปทั้่งแผ่นดินมังกร ท่านประธานเหมา เจ๋อตุง ที่เคยทำผิดพลาดในยุคก้าวกระโดดไปข้างหน้า
ยุคก้าวกระโดดไปข้างหน้า ยุคนั้นเป็นยุคที่ประธานเหมา เจ๋อตุง ต้องการจะเร่งให้ประเทศจีนก้าวกระโดดไกล ก็ให้มีอุตสาหกรรมครัวเรือนทั่วประเทศจีน เชื่อไหมครับ พยายามตั้งโรงงงานถลุงเหล็กในหมู่บ้านๆ หนึ่ง มันก็เลยเกิดความยากจน ความล่มสลายทางเศรษฐกิจพื้นบ้าน และมีคนตายเป็นสิบๆ ล้านคน คราวนี้เขากลับมาผงาดอีกครั้งหนึ่ง หลังจากล้มเหลวตรงนี้ไป เพราะเขามีความรู้สึกว่าเขาต้องทำลายของเก่าๆ ทิ้ง โดยเขาออกหนังสือเล่มหนึ่ง เขาเรียกว่า หนังสือปกแดง
เหมา เจ๋อตุง กลับมาครั้งนี้เหมือนสมมุติเทพอันล่วงละเมิดมิได้ ก็เหมือนกับใครล่ะ ? ก็เหมือนกับรูปสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ที่คนเอาไปติดเอาไว้ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เวลาคนรับปริญญา ก็ใส่ชุดครุยไปถ่ายรูปกับสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล แล้วพอวันรับปริญญาจริงๆ ก็ไม่เข้า แต่ขอให้ได้ใส่เสื้อครุยไปถ่ายรูปกับสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
นโยบาย "พิฆาตสี่เก่า" ของเหมา เหมือนอนุญาตให้กับพวก Red Guards เลย Red Guards ถูกป้อนด้วยอุดมการณ์ของเหมา อย่างที่ผมเรียนให้ทราบว่า โดยใช้หนังสือปกแดง เยาวชนทุกคนต้องอ่าน และท่องจำจนขึ้นใจ ถึงขั้นบูชาอุดมการณ์ของเหมา อย่างสูงสุด และพร้อมที่จะล้มล้างของเก่าด้วยกำลัง แล้วมันต่างอะไรกันกับข้อเขียนของสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ที่เยาวชนไทยถือว่าเป็นสาวก บูชา สมศักดิ์ พูดอะไร ถูกหมดทุกเรื่อง ทั้งๆ ที่พูดจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง เล่าความจริงไม่หมด เสริมความเท็จเข้าไป
กองกำลังเยาวชนติดอาวุธตอนนั้นคอยติดตามความเคลื่อนไหวบรรดาของเก่าทั้ง 4 ประการ ก็คือ ความคิดเก่า เก่า หมายถึงพวกปัญญาชนนั่นเอง คนที่มีความรู้ ถูกมองว่าต้องถูกกำจัด เพื่อให้สังคมอยู่ในอุดมการณ์ของเหมา อย่างเคร่งครัด บรรดาครูอาจารย์จึงเป็นเป้าปัญญาชนเป้าหมายกลุ่มแรกๆ ท่านผู้ชมครับ ไม่น่าเชื่อว่าเยาวชนจะลุกขึ้นมาขู่เข็ญ กรรโชก ทำร้าย ทุบตี ทรมานครูบาอาจารย์ของตัวเองได้ขนาดนั้น
ที่ไม่น่าเชื่อยิ่งกว่านั้น คือเยาวชนเหล่านี้ยึดมั่นในอุดมการณ์ของเหมา จากการอ่านหนังบสือปกแดง หรือเหมือนเยาวชนไทยทุกวันนี้ ที่ต้องการจะล้มกษัตริย์ ก็เพราะว่าอ่านข้อเขียนของสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ไม่ต่างกันนะท่านผู้ชม คล้ายไหม ? จากการอ่านหนังสือปกแดง และจากการปลุกระดม ถึงขนาดที่ว่า ใครก็ตามถ้าไม่เห็นด้วยกับอุดมการณ์ของเหมา จะต้องถูกลงโทษ ไม่เว้นแม้กระทั่งพ่อ แม่ และพี่น้องของตัวเอง
ท่านผู้ชมครับ สังคมจีนในช่วงนั้นจึงกลายเป็นสังคมที่ไม่มีใครไว้ใจใคร แม้กระทั่งคนในครอบครัวเดียวกัน เกรงว่าจะถูกรายงานพฤติกรรมหรือความคิด และถูกทำร้ายให้อับอายในที่สาธารณะ หรือแม้กระทั่งถูกฆ่าตายได้ ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของ Red Guards ภายใต้การบงการของแก๊งสี่คน (ซึ่งเดี๋ยวผมจะให้ชื่อว่าแก๊งสี่คนนั้นเป็นใคร) มีจำนวนมากมายมหาศาล ตั้งแต่ผู้ที่มีคุณูปการในการก่อตั้งประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ทหาร ประชาชน ศิลปิน กวี ครูบาอาจารย์ นักวิชาการ ท่านผู้ชมเชื่อไหมว่าในยุคนั้นแค่ท่านผู้ชมมีเปียโนในบ้าน มีไวโอลินสักอัน ก็ถูกจับแล้ว ควบคุมตัว เอาป้ายแขวนคอเลยนะ เดี๋ยวผมเอารูปขึ้นให้ดู
นั่งคุกเข่าให้เด็กถุยน้ำลายใส่ และต้องเขียนเรียงความสารภาพผิด ท่านผู้ชมเชื่อไหมครับ ผู้ใหญ่บางคนถึงกับฆ่าตัวตาย มีคนกระโดดตึกตาย ฆ่าตัวตาย ผูกคอตาย เพราะทนไม่ไหวกับการถูกเหยียดหยามแบบนี้
นอกจากนั้นแล้ว ในวัดวาอาราม พระพุทธรูปโบราณ โบราณวัตถุสำคัญ ทรัพย์สินล้ำค่าทางประวัติศาสตร์ของจีนมากมาย ยุคนี้ยังถูกทำลายและสูญหายไป ทั้งนี้ ว่ากันว่าตลอดทศวรรษความบ้าคลั่งนี้ มีคนตายถึง 1 ล้านล้านคน คณะราษฎรของกลุ่มม็อบเยาวชนทุกวันนี้ ก็มีศาสดานะท่านผู้ชม แต่ไม่ใช่เหมา เจ๋อตุง แต่เป็นสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล สำหรับปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นั้น เขาเรียกว่าเป็นคนเชียร์แขกมากกว่า
หลักๆ คือสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล คู่มือไม่ใช่หนังสือสมุดปกแดง (Little Red Book) แต่เป็นสื่อยุคใหม่อย่างโซเชียลมีเดีย เป็นทวิตเตอร์ เป็นเฟซบุ๊กกลุ่มรอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส ที่คุณปวิน เป็นคนสร้างมา ศาสดาอย่างสมศักดิ์ กับปวิน ที่อยู่ต่างประเทศ รวมทั้งนักวิชาการหลายๆ คนในประเทศ ก็ใช้สื่อสังคมออนไลน์เหล่านี้ในการเพาะบ่มความเกลียดชัง ให้ข้อมูลด้านเดียว และใช้คำว่า "ตาสว่าง" เอาข้อมูลจริงบ้าง เท็จบ้าง มาเล่า มาปั่นหัวให้เด็กรับทราบ รับฟัง
ท่านผู้ชมครับ พอถึงจุดๆ หนึ่งเด็กพวกนี้ก็เชื่อฝังใจ พ่อแม่พี่น้อง ครูบาอาจารย์ จะพูดอย่างไร อธิบาย ก็ไม่ฟังแล้ว คนที่ไม่เห็นด้วยกับสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เหมือนอย่างผมนี่ จะถูกเรียกว่า "ฝูงซอมบี้" ผมนี่กลายเป็นซอมบี้ไปแล้ว ท่านผู้ชมหลายท่านก็อาจจะเป็นซอมบี้ ใครเห็นต่าง ไม่ได้ ใครแสดงความรัก จงรักภักดีต่อสถาบัน ไม่ได้ ต้องจัดทัวร์ลง กรณีคุณปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก อดีตมิสยูนิเวิร์ส คุณบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ แม้กระทั่งลิซ่า Blackpink ลลิษา มโนบาล ศิลปินไทยที่ฝึกฝนจนไปโด่งดังในเกาหลี ที่เขาปฏิเสธไม่ออกมาแสดงความเห็นทางการเมือง หรือสนับสนุนม็อบ ก็มีคำสั่งให้จัดการ จัดทัวร์ไปลง ไปด่าทอ มันเป็นเรื่องที่ทุเรศและบัดซบมาก ไอ้เด็กพวกนี้ ผมคิดว่าผมหวังว่าพวกคุณจะเป็นอนาคตของชาติบ้านเมือง ในทางที่มีเหตุและมีผล แต่ผมเห็นปฏิกิริยาของพวกคุณแล้ว มันใช้ไม่ได้จริงๆ ทำให้ผมเริ่มสิ้นหวังกับอนาคตของประเทศไทยในอนาคตที่จะอยู่ภายใต้เงื้อมมือการทำงานของพวกคุณ
และผมเองก็ต้องตำหนิผู้หลักผู้ใหญ่ที่อวยเด็ก ท่านอาจารย์ ส.ศิวรักษ์ ที่ผมเคารพนับถือ ก็ใช้ไม่ได้ อวยเด็กเต็มที่ คือเด็กทำอะไรก็ถูกหมด มันไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น หรือใครก็ตามที่ออกมาว่า เขาเป็นเด็ก เขาควรที่จะมีความคิดอิสระเสรี คุณกำลังพูดให้ใครฟัง ถ้าเด็กไม่ก้าวร้าว ไม่ทุเรศทุรัง ไม่เอาคำพูดของสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล มาแล้วก็เชื่อไป 100 เปอร์เซ็นต์ ผมยังพอรับได้ แสดงว่าสิ่งที่สมศักดิ์ พูด ต้องถูก 100 เปอร์เซ็นต์ ใช่ไหม คนอื่นพูดไม่ได้เลย ใช่ไหม
ท่านผู้ชมครับ เรื่อง Red Guards และเรื่องม็อบเยาวชนปลดแอกกลุ่มราษฎร เป็นประเด็นที่กลุ่มปัญญาชนหรือคนที่อยู่เบื้องหลังม็อบเยาวชนปลดแอกในเมืองไทยกลัวมาก พยายามออกมาปฏิเสธว่าม็อบเด็กยุคนี้ไม่เหมือน Red Guards จะไม่เหมือนได้อย่างไร เหมือนกันเป๊ะ มันจะมีศาสดาอยู่คนหนึ่ง เด็ก Red Guards ยุวชนแดงมันก็จะมีคนที่คุม กำหนดทิศทางให้ แต่ว่ามันจะฟังสมุดปกแดงจากเหมา เจ๋อตุง ก็เหมือนเด็กพวกนี้กำลังฟังสมุดปกแดงจากสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ไม่ได้ต่างอะไรกันเลยแม้แต่นิดเดียว
ส่วนแก๊งสี่คน ที่ประเทศจีนมี ประกอบด้วย เจียง ชิง, เหยา เหวินหยวน, หวัง หงเหวิน และ จาง ชุนเฉียว เมืองไทยก็มี แต่อาจจะไม่ใช่แก๊งสี่คน อาจจะมากกว่านั้น มีธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ มีปิยบุตร แสงกนกกุล และมีอีกหลายคนที่ซ่อนเร้นอยู่ แอบฝังอยู่ ตลอดจนนักวิชการทั้งหลายที่เป็นเครือข่ายกัน ทำกันมานานแล้ว มีอีกหลายชื่อ เต็มไปหมด นิธิ เอียวศรีวงศ์ จากเชียงใหม่ หลายๆ คนที่เป็นอดีตอาจารย์ หรือเป็นอาจารย์ สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ ที่เสียชีวิตไปแล้ว เกษียร เตชะพีระ คนพวกนี้ เพราะฉะนั้นแล้ว พฤติกรรมเด็ก ม็อบเด็กในไทยปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการล้อเลียน ใส่ร้าย ดูหมิ่นผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ปัญญาชน ความก้าวร้าว ความหยาบคาย ละเมิดสิทธิผู้อื่น รวมไปจนถึงสถาบันกษัตริย์ เป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นมาได้ในประเทศไทยในขณะนี้ และที่สำคัญ เมื่อผมมาพิจารณาถึงพฤติกรรมต่างๆ และองค์ประกอบต่างๆ พวกนี้คือพวก Red Guards 2020 สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ก็คือเป็นเหมา เจ๋อตุง ส่วนแก๊งสี่คนนั้น ก็อย่างที่ผมเรียนให้ทราบว่าในเมืองไทยอาจจะมีมากกว่า 4 คน แต่เป็นแก๊งกลุ่มหนึ่งที่มีอิทธิพลสูงมาก
ประเทศจีน สมัยแก๊งสี่คน อย่างที่ผมเรียนให้ทราบ มี เจียง ชิง, เหยา เหวินหยวน, จาง ชุนเฉียว และ หวัง หงเหวิน มารวมตัวอย่างจริงจัง มาปฏิวัติวัฒนธรรม ดำเนินการไปช่วงหนึ่งแล้ว คือหลังจากที่ปฏิวัติวัฒนธรรมดำเนินไปช่วงหนึ่ง ก็อุปมาอุปไมยเหมือนคุณช่อ พรรณิการ์ หรือคุณปิยบุตร แสงกนกกุล ตลอดจนคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ มาตั้งพรรคก้าวไกล
ท่านผู้ชมรู้ไหม ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ เพราะความแค้น สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ก็แค้นในเรื่อง 6 ตุลาฯ ถึงกล่าวสัจจะวาจา สัตยาบันกับเพื่อนฝูง สนิทกับธงชัย วินิจกุล กับหลายคน ว่าจะต้องล้มสถาบันกษัตริย์ให้ได้ ทั้งๆ ที่หมอนี่ ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่าว่า ได้รับทุนไปเรียน ได้รับทุนเจ้าไป
ก็เหมือนยุคหนึ่ง ครั้งหนึ่ง ท่านผู้ชมจำนพดล ปัทมะ ได้ไหม ได้รับทุนอานันทมหิดล แล้วก็ไปเรียนกฎหมายที่อังกฤษ กลับมาแล้วก็ไปอยู่กับทักษิณ ชินวัตร ท่านผู้ชมที่เคยต่อสู้กับทักษิณ ชินวัตร ก็คงจะจำคุณนพดล ปัทมะ ได้
ท่านผู้ชมครับ แก๊งสี่คนที่มีในประเทศจีน ทำความเสียหายมาก เพราะว่าเป็นผู้บงการ บงการเด็กพวก Red Guards ก็เหมือนกับพวกเด็กยุวชนแดง 2020 ผมเรียกว่า "ยุวชนสยามแดง 2020" ที่ออกมาชูป้าย ผมขึ้นให้ดู ทั้งหมดนี้ ท่านผู้ชมโปรดอย่าเข้าใจผิด ผมเป็นคนที่วิพากษ์วิจารณ์ทั้งรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และวิพากษ์วิจารณ์เด็ก ผมมองเด็กในฐานะที่เป็นลูกหลาน ผมไม่ต้องการอวยเด็กเหมือนท่านอาจารย์ ส.ศิวรักษ์ หรือหลายๆ คนที่ต้องการทำคะแนนเสียงกับเด็ก ผมไม่ต้องการ แต่ผมคิดว่าอะไรที่ทำไม่ถูก ผมจำเป็นต้องพูด และเด็กพวกนี้ถ้าโตขึ้นไป สักพักหนึ่ง ผ่านระยะเวลานี้ เปลี่ยนผ่านไปสักพักหนึ่ง ย้อนหลังกลับมาฟังที่ผมพูด จะเห็นว่าที่ผมพูดนั้นไม่ผิด พอคุณเริ่มเรียนจบแล้ว พอคุณจะต้องไปหางานทำ คุณจะมาประท้วงกันทุกวี่ทุกวันได้อย่างไร พ่อแม่คุณเอาเงินที่ไหนมาให้คุณประท้วงได้ทุกวัน แล้วในที่สุดคุณก็ต้องก้าวเข้าไปสู่โลกแห่งความเป็นจริง ก็คือว่า การใช้ชีวิตดั่งมนุษย์คนหนึ่งซึ่งอยู่ในสังคมที่มีกรอบต่างๆ บังคับและล้อมตัวคุณเอาไว้ แล้วถ้าคุณจะต้องเปลี่ยนกรอบ คุณต้องหาทางเปลี่ยนด้วยวิธีสันติสุข แต่คุณต้องไม่ไปทำลายศรัทธาคน
เพราะฉะนั้นแล้วจะเห็นได้ชัดว่า ลักษณะของแก๊งสี่คน หรือ Red Guards กับม็อบในประเทศไทยนั้น ไม่ได้ต่างกันเลยแม้แต่นิดเดียว เป็นอย่างนั้นจริงๆ เมื่อ 2-3 วันที่แล้วผมออกรายการไป กับคุณนพรัฐ พรวนสุข รายการ News Talk คนเคาะข่าว ผมก็พูดให้ทุกคนทราบว่าในสังคมไทยนั้น ถ้าหากเราจะประท้วงกันจริงๆ แล้ว ผมคิดว่าเรายังมีข้อมูลที่ผิดเยอะมาก ในขณะเดียวกัน คนที่จะปกป้องเด็กจะอ้างว่าเด็กสมัยนี้เขาฉลาด เขาไม่ได้โง่เหมือนคุณสนธิ หรอก เขามีกูเกิล เขาสามารถจะเช็กได้ หนังสือต่างๆ เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทยที่เขียนโดยฝ่ายที่ต้องการล้มเจ้า หรือล้มสถาบันกษัตริย์ ขายดิบขายดี เด็กพวกนี้เอามาอ่าน แต่เคยมีใครคิดบ้างไหมว่าข้อมูลที่เขียนในหนังสือเล่มนั้นมันจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ต่างกรรมต่างวาระ บางที่เอาเหตุการณ์หนึ่งโยนขึ้นมา แล้วเอาอีกเหตุการณ์หนึ่งซึ่งเป็นคนละยุคคนละสมัยโยนขึ้นมา ขณะเดียวกัน เอาข้อมูล เอาจดหมาย เอาอีเมล ลงมา แต่ลงไม่หมด หลายๆ เรื่อง
แต่ผมไม่ได้กังวลนะท่านผู้ชม ถ้าท่านผู้ชมที่ดูรายการเมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมานี้ ในรายการคนเคาะข่าว กับคุณนพรัฐ พรวนสุข จะเห็นว่า ผมบอกว่าจริงๆ แล้วปรากฏการณ์ม็อบครั้งนี้มันไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่จะทำให้ผมตื่นตระหนก คุณนพรัฐ ถามผมว่า คนมาเยอะไหม ผมบอกว่าเยอะ ท่านผู้ชมครับ ผมพูดว่า "เยอะ แต่ มีอยู่แค่นั้น" เยอะ แต่ว่ามีอยู่แค่นั้น ถ้าเยอะของผมนะ ถ้าชุมนุมกันที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ถนนทั้งสี่สายที่วิ่งเข้าอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิต้องล้นไปด้วยคนหมดเลย ทั้งด้านหน้าที่จะไปทางพหลโยธิน ทั้งด้านที่จะไปทางด่วน หรือทางด้านที่จะไปราชวิถี คนจะต้องเต็มไปหมด นี่ไม่ เต็มเฉพาะด้านหน้า แล้วก็เยอะพอๆ กับที่สี่แยกราชประสงค์ เหมือนกัน แต่ ไม่ได้มากไปกว่านั้น
ท่านผู้ชมครับ เราจะทำอย่างไรกับคนอย่างสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ที่ทำตัวเป็นศาสดาแล้วก็ให้ข้อมูลที่จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง นี่เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก
และเด็กพวกนี้เมื่อดูไปจริงๆ แล้ว ไม่ได้ต่างไปกว่าขบวนการ Red Guards เมื่อ 40-50 ปีที่แล้วเลยแม้แต่นิดเดียว ทำลายสิ่งเก่าๆ ออกหมด ทำลายความเชื่อมั่น ทำลายประเพณีเดิม ทำลายศรัทธา ทำลายหมดทุกอย่างที่ตัวเองไม่เชื่อ และที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง เป็นเรื่องที่ผมสังเกตมา เด็กพวกนี้เชิดชูประชาธิปไตย แต่ผมไม่รู้ว่าเด็กพวกนี้เข้าใจประชาธิปไตยในประเทศทางตะวันตกที่เขาเชิดชูไหม ไปดูประชาธิปไตยในอเมริกาสิ ตอนนี้เป็นอย่างไร ไปดูความแตกแยก ความรังเกียจผิว ความกีดกันเชื้อชาติต่างๆ ในอเมริกา ระหว่างคนผิวขาวกับคนที่ไม่ใช่ผิวขาว ไปดูคนอเมริกันภายใต้ระบอบประชาธิปไตยของเขา ที่การรักษาพยาบาล ถ้าคนจนไม่มีประกัน เหมือนกับตายทั้งเป็น แต่ในขณะที่อยู่เมืองไทย มี 30 บาท รักษาทุกโรค ยังไม่มีใครที่ตายเพราะว่าไม่สามารถเข้าโรงพยาบาลได้ รักษาได้ แต่ว่าพวกนี้เทิดทูนอเมริกา
ไปดูอเมริกาที่เขาเทิดทูนมาก รุกรานไปทั่วโลก มีฐานทัพอยู่ 600-800 แห่ง ไปดูอเมริกาที่ต้องการเป็นเจ้าโลกแต่ผู้เดียว และนี่คือตัวอย่างประเทศ ตัวอย่างระบบ ที่เด็กๆ ใฝ่ฝันถึง เห็นว่าพวกนี้ อเมริกาคือบิดาตัวเอง ผมไม่ได้พูดว่าเผด็จการดี แต่ในสังคมทุกยุคทุกสมัยมันต้องมีส่วนผสม มีองค์ประกอบของวัฒนธรรม องค์ประกอบของประเพณี องค์ประกอบของสิ่งต่างๆ ในสังคม แล้วมาหลอมรวมกัน เพียงแต่ว่าเรายังหาสูตรออกมาไม่ได้ว่าสูตรที่แท้จริงนั้นควรจะเป็นเช่นไร คุณสมศักดิ์ มีความเคียดแค้นส่วนตัว กับกรณี 6 ตุลาฯ โดยกล่าวหาว่าเจ้าอยู่เบื้องหลังการฆ่าในเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ คือกล่าวหาเหมือนกับว่าสถาบันกษัตริย์นั้นคือฆาตกร นี่คือสิ่งที่สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และธงชัย วินิจกุล มีความเคียดแค้นอยู่ในใจ อาฆาตแค้น แล้วก็คนอย่างธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ปิยบุตร แสงกนกกุล ก็รับไม้ต่อมา
และคนพวกนี้สอนหนังสืออยู่ในธรรมศาสตร์ อยู่ในจุฬาฯ อยู่ในหลายที่ ในเชียงใหม่ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ก็มีบางคน คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ก็มีบางคน คนพวกนี้สอนมาเป็นสิบๆ ปี ปลูกฝังความคิดให้เด็กรุ่นหลัง ถูกบ้าง ผิดบ้าง แล้วแฝงไปด้วยความอาฆาตแค้น นี่ไงท่านผู้ชม เพราะฉะนั้นแล้ว วันนี้ก็คือวัตถุประสงค์ ไม่ใช่เรื่องการแก้รัฐธรรมนูญนะท่านผู้ชม การแก้รัฐธรรมนูญนั้นก็เป็นการแก้เพื่อที่จะให้พรรคก้าวไกลได้มีโอกาสเกิดใหม่ แต่ลึกๆ ที่เป็นกลเกมและวางหมากเกมไว้ ก็คือการล้มสถาบันกษัตริย์
ท่านผู้ชมครับ วันนี้เรามาพูดเรื่องที่เป็นเรื่องหลักเรื่องหนึ่ง ผมไม่เคยพูดเรื่องนี้เลย แต่ผมตัดสินใจต้องพูดแล้ว ก็คือ 10 ข้อเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบัน ที่ชูกันมาตลอดเวลา ท่านผู้ชม ถ้าตามเรื่องนี้มา ผมจะเล่าเป็นเหตุการณ์ให้ฟัง เป็นไทม์ไลน์ให้ฟัง
19 สิงหาคม การชุมนุมที่ลานพญานาค ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชูเรื่อง 10 ข้อการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ มีแต่ละข้อๆ ซึ่งประเดี๋ยวผมจะแจงให้ฟังเป็นข้อๆ หลังจากนั้นก็ต่อมาที่การชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย 10 ข้อนี้ไม่ได้ถูกพูดถึง แต่หลังจากนั้นแล้ว การชุมนุมครั้งต่อๆ ไป ปรากฏว่า 10 ข้อนี้โผล่ขึ้นมาเป็น 1 ใน 3 ข้อที่เรียกร้อง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้อยู่ใน 3 ข้อเรียกร้องเลย แสดงว่ามีการจงใจที่จะเอาเรื่องนี้เข้ามาเล่นงานสถาบันกษัตริย์
ท่านผู้ชมครับ ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องดูกันให้ดีๆ ปากของคนพวกนี้อ้างว่าจะปฏิรูปสถาบันให้อยู่กับระบอบประชาธิปไตยได้อย่างมีเสถียรภาพ นั่นคือเกมซ่อนกลเอาไว้ กลลวงครับ แต่พฤติกรรมการปราศรัยของผู้ชุมนุม รวมทั้งหลักฐานต่างๆ ที่ปรากฏมาเป็นจำนวนมาก ยกตัวอย่างเช่น เรียกร้องให้เป็นสาธารณรัฐไทย (Republic of Thailand) การใส่ร้ายสถาบันว่าเป็นฆาตกร การจาบจ้วง ชูนิ้วกลาง ขวางขบวนเสด็จของพระราชินี เหล่านี้ไม่ได้เกิดจากเด็กเพียงกลุ่มเดียว ท่านผู้ชม แต่คนที่คุมเกม บงการให้ท้ายอยู่เบื้องหลัง ใครล่ะ ? นักวิชาการ NGO สื่อมวลชนบางกลุ่ม นักการเมือง รวมทั้งคนที่ทำตัวเป็นอีแอบ กบดานอยู่ต่างประเทศ และอยู่ในประเทศ ต่างประเทศก็แน่นอน สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ มีอีกหลายคนอยู่ต่างประเทศ จรัล ดิษฐาอภิชัย ที่อยู่ฝรั่งเศส รวมทั้งที่กบดานอยู่ในประเทศไทย แสดงออกมาทั้งต่อหน้าและลับหลัง มีหมดครับ
คุณธงชัย วินิจกุล ซึ่งสอนหนังสืออยู่ที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน นิธิ เอียวศรีวงศ์ สมชาย ปรีชาศิลปกุล เกษียร เตชะพีระ เพราะฉะนั้นแล้ว เห็นได้ชัดเลยว่า เขาไม่ได้มองแค่ที่การปฏิรูป
การปฏิรูป คือคำอ้าง เป็นหมากกลที่เขาตั้งขึ้นมา เขาเรียกร้องให้ปฏิรูป แต่ลึกๆ แล้ว พออ่าน คนที่อ่านหนังสือภาษาไทยออก ก็จะเห็นชัดเจนว่า มีถ้อยคำที่ใส่ร้ายป้ายสี ดูถูก ดูหมิ่น รวมทั้งเกลียดชังพระมหากษัตริย์อย่างจริงจัง จนกระทั่งถัดๆ มา ในการประชุมครั้งต่อมา มีการลดข้อเรียกร้อง หลบเลี่ยงไปเป็น "หนึ่งความฝันใน 3 ข้อเรียกร้อง 2 จุดยืน"
เมื่อมันบานปลายขึ้นมา ก็เลยมีคำปราศรัยที่ออกมาอย่างชัดเจน ทำให้คนทั่วไปเห็นตัวตนที่แท้จริงของหมาป่าในคราบประชาธิปไตยที่แสดงความประสงค์อย่างชัดเจนว่าต้องการล้มล้างสถาบันหลักของประเทศ อย่างสถาบันพระมหากษัตริย์
วันที่ 24 ตุลาคม 2563 มีคนโพสต์เฟซบุ๊กตั้งข้อสังเกตว่า ข้อเรียกร้องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ 10 ข้อนั้น มันไปไกลกว่าการปฏิรูป ผมจะแจกแจงและเปรียบเทียบข้อเรียกร้องดังกล่าวให้เห็นชัดๆ เป็นข้อๆ ก็แล้วกัน ตามผมมมา ท่านผู้ชม เอาสติตั้ง ใช้ปัญญาคิดสิ่งที่ผมพูด
ข้อที่ 1 เขาจะขอให้ยกเลิกมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญ ที่ว่า ผู้ใดจะกล่าวหาฟ้องร้องกษัตริย์มิได้ แล้วเพิ่มบทบัญญัติให้สภาผู้แทนราษฎรสามารถพิจารณาความผิดของกษัตริย์ได้ เช่นเดียวกับที่เคยบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ฉบับคณะราษฎร 2475
ทำไมผมถึงพูดว่าข้อนี้เป็นการล้มล้างสถาบันกษัตริย์ ? ท่านผู้ชมครับ ถ้าเรายกเลิกมาตรานี้ไปแล้ว สมมุติว่าปิยบุตร ธนาธร สมศักดิ์ ปวิน หรือใครๆ กุเรื่องขึ้นมาฟ้องร้องต่อศาล ด้วยความเท็จใดๆ ทั้งความแพ่งและอาญา ในกระบวนการสู้คดี พระมหากษัตริย์ต้องมาประทับในคอกจำเลย ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมรับได้ไหม ? อีกอย่าง การต่อสู้คดีในศาลรวม 3 ศาล ก็ 10 ปี กว่าชนะคดีได้ ท่านจะกลายเป็นเป้าโจมตีนานมากกว่าจะพิสูจน์ความจริงได้ หรือ กลุ่มสมศักดิ์ ก็ตั้งลูกน้องทั้งหมดเลย ที่ไม่เอาเจ้า ไม่เอาสถาบันกษัตริย์ มารุมฟ้องกษัตริย์ ฟ้องไปเลยร้อยคดี พันคดี หมื่นคดี ขั้นต่อไป ใครมีตังค์ ได้ทุนจากต่างชาติ ที่หวังทำลายชาติ ก็แต่งทนายฟ้องท่านทุกๆ วัน ติดๆ กันเหมือนทัวร์ลงในโซเชียลมีเดีย พอจะนึกออกไหมครับ สาดสีกันแบบนี้ ท่านผู้ชมครับ อันนี้ถือว่าเป็นการล้มสถาบันกษัตริย์หรือเปล่า ? เป็นการล้มสถาบันกษัตริย์อย่างแน่นอน
ท่านผู้ชมตามผมมา ทุกประเทศ รวมทั้งประเทศที่เป็นสาธารณรัฐ ต่างมีกฎหมายคุ้มกันมิให้ฟ้องร้องประมุข ซึ่งเรียกว่า หลักว่าด้วยความไม่ต้องรับผิดชอบของประมุขของรัฐ นอกจากนี้ ตามหลักสากลแล้ว แม้กระทั่งในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบสาธารณรัฐ ที่พวกม็อบหลายคนต้องการให้ประเทศไทยเป็นสาธารณรัฐ ก็มีกฎหมายและบทคุ้มกันประมุขไม่ให้ถูกฟ้องร้องเช่นกัน เช่น สิงคโปร์ ฝรั่งเศส รวมถึงสหรัฐอเมริกา บทคุ้มกันประมุขรัฐ ผมจะยกตัวอย่างให้ดู ตามรัฐธรรมนูญของสิงคโปร์
สิงคโปร์ เป็นประเทศปกครองระบอบสาธารณรัฐ ในฐานะเป็นประธานาธิบดีและประมุขรัฐ จะได้รับการคุ้มกันจากการฟ้องร้อง ในการกระทำตามหน้าที่และฐานะส่วนตัว ตามมาตรา 22K (1), (2) บทคุ้มกันประมุขของรัฐ ประธานาธิบดีตามรัฐธรรมนูญสาธารณรัฐสิงคโปร์ มีคุณสมบัติ ประธานาธิบดีจะได้รับการคุ้มกันจากการฟ้องร้อง ทั้งในการทำหน้าที่และส่วนตัวด้วย
เอาล่ะ มาที่ฝรั่งเศส ในระบบการปกครอง ไม่ว่าจะเป็นในระบอบใด หลักว่าด้วยความไม่ต้องรับผิดชอบของประมุขของรัฐ (Le Principe d'irresponsabilite') ถือได้ว่าเป็นจารีตประเพณี และกฎหมายที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วไป สาธารณรัฐฝรั่งเศสก็เช่นกัน ในรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2563 ระบุหลักการว่าด้วยความไม่ต้องรับผิดชอบของประมุขของรัฐ
คุณปิยบุตร คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญประเทศฝรั่งเศส คุณควรจะรู้ใช่ไหมว่าในฝรั่งเศสที่คุณเรียนรู้ คุณเรียนรู้อย่างเดียว คือในยุคของการฆ่ากษัตริย์ฝรั่งเศส คุณแม่นในเรื่องนั้น แต่ทำไมอันนี้คุณไม่มาเล่าให้ประชาชนเขาฟังบ้าง มาตรา 68 บัญญัติว่า ประธานาธิบดีฝรั่งเศสไม่ต้องรับผิดชอบต่อการดำเนินการใดๆ ในการปฏิบัติหน้าที่ในขณะการดำรงตำแหน่ง แต่กรณีที่มีการทรยศต่อประเทศชาติอย่างร้ายแรง ประธานาธิบดีจะถูกกล่าวหาว่าการกระทำดังกล่าวได้ แต่ต้องมีมติของสภาทั้งสองที่ได้ออกคะแนนเสียงอย่างเปิดเผย
ในอเมริกา ผมจะยกตัวอย่างให้ฟัง ในอเมริกา ประเทศที่ทั้งธนาธร ทั้งพวกก้าวไกล ทั้่งพวกเด็กๆ พวกม็อบเทิดทูนบูชากัน ปี 2553 ศาลเมืองหลุยส์วิลล์ เมืองเคนทักกี จำคุกชายหนุ่มอายุ 28 ปี เป็นเวลา 33 เดือน ด้วยข้อหาข่มขู่นายบารัก โอบามา ซึ่งตอนนั้นดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดี นายคนนี้ชื่อ นายจอห์นนี่ โลแกน สเปนเซอร์ เป็นชาวเมืองหลุยส์วิลล์ ถูกศาลสั่งจำคุก เขาทำอะไรรู้ไหมท่านผู้ชม ? เขียนบทกวีข่มขู่ประธานาธิบดีเมื่อเดือนธันวาคม 2553 แค่เขียนกวีข่มขู่ นี่เด็กบ้า ไอ้สถุน ที่มายืนชูนิ้วกลางให้ขบวนเสด็จ สมควรไหม ไม่สมควรจะต้องโดนตำหนิ สมควรที่จะถูกกระทืบเสียด้วยซ้ำ นี่เขาแค่เขียนบทกวีในประเทศ ที่พวกคุณเทิดทูนว่าเป็นประเทศพ่อของคุณ คือสหรัฐอเมริกา เขียนแค่บทกวียังโดนจำคุกไป 33 เดือน
ท่านผู้ชมครับ ผู้พิพากษาโจเซฟ เอช. แมคคิลลีย์ จูเนียร์ ได้ตัดสินคำพิพากษา 33 เดือน ของนายโลแกน สเปนเซอร์ ว่า บทกวีเป็นสิ่งที่อันตรายอย่างยิ่งยวด แล้วหลังจากนั้นจะถูกคุมประพฤติอีก 3 ปี หลังพ้นการจำคุก เพราะฉะนั้นแล้ว บทกวีดังกล่าว ระบุ พรรณนาว่ามือปืนสาดกระสุนปลิดชีวิตทรราช ซึ่งต่อมาได้ระบุชัดเจนว่าเป็นประธานาธิบดี ทำให้เขาถูกตั้งข้อหาจากรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ว่ากระทำการข่มขู่ประธานาธิบดี และข่มขู่เอาชีวิต หรือทำร้ายร่างกายผู้เข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในข้อหาข่มขู่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นข้อหาที่ร้ายแรง มีโทษจำคุก 5 ปี ปรับสูงสุด 250,000 เหรียญ
ท่านผู้ชม ข้ามทะเลไปถึงประเทศอังกฤษ ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไป มีวัยรุ่นอังกฤษคนหนึ่งทะลึ่ง ปรากฏว่าหลังมีการเรียกนายบารัก โอบามา ว่าพริก ก็คือศิวลึงค์ ของลับ สื่อมวลชนอังกฤษได้รายงานเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2553 ว่า นายลุก แองเจล อายุ 17 ปี ม็อบนักศึกษาทั้งหลายนี่ก็อายุขนาดนั้น เมืองซิลโซ ในเบดฟอร์ดเชียร์ ได้ส่งอีเมลไปที่ทำเนียบขาว หลังจากที่เขาได้ดูรายการทีวีเกี่ยวกับผู้ก่อการร้ายโจมตีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 แล้วก็เรียกนายโอบามาว่า "A prick" เป็นแสลงของภาษาอังกฤษ นั่นก็คือของลับ อีเมลดังกล่าวได้ถูก FBI ดักตรวจได้ เลยส่งข้อมูลให้ตำรวจอังกฤษทำการสืบสวนสอบสวนต่อ และสามารถระบุถึงตัวตนคนส่งอีเมลได้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ดำเนินคดีกับเด็กวัยรุ่นชาวอังกฤษคนนี้ แต่หมอนี่ถูกขึ้นบัญชีดำ ห้ามเดินทางเข้าสหรัฐฯ ตลอดชีวิต
ท่านผู้ชมครับ นี่ลำพังประเทศสาธารณรัฐ บทคุ้มกันประมุขรัฐมิให้ถูกฟ้องร้องมีในรัฐธรรมนูญทุกประเทศ แม้จะเป็นรัฐที่เป็นสาธารณรัฐ มิได้จำกัดเฉพาะรัฐที่เป็นราชอาณาจักร หรือรัฐที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเท่านั้น จะมีข้อแตกต่างเพียงแต่ว่า ในระบบประธานาธิบดีจะมีกระบวนการถอดถอนออกจากตำแหน่ง แต่ในระบบราชอาณาจักรจะถอดถอนพระมหากษัตริย์ออกจากตำแหน่งไม่ได้ เพราะฉะนั้นแล้วท่านผู้ชมเห็นด้วยกับผมไหมว่า บทคุ้มกันประมุขของรัฐจึงเป็นหลักการสำคัญที่ต้องมีอยู่ในทุกรัฐ และนี่เป็นข้อหนึ่งที่พวกต้องการจะปฏิรูปบอกให้ยกเลิก เห็นหรือยังครับเจตนาที่แท้จริง ต้องการล้มสถาบันกษัตริย์ ไม่ใช่ต้องการปฏิรูป
ข้อที่สอง ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 รวมถึงเปิดให้ประชาชนได้ใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นต่อสถาบันกษัตริย์ และนิรโทษกรรมให้กับผู้ถูกดำเนินคดีเพราะวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ทุกคน ข้อนี้ทำไมถึงว่าล้มเจ้า ?
แสดงว่าลูกเล็กเด็กแดงสามารถโพล์บูลลี่ ใส่ร้ายป้ายสีพระมหากษัตริย์ได้ พาทัวร์ลงได้ทุกวันอย่างที่ทำกันอยู่ในเฟซบุ๊ก หรือในอินสตาแกรม ได้อย่างนั้นหรือ ? ทุกวันนี้ก็ทำกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ไปดูทวิตเตอร์ ไปดูอินสตาแกรมของเด็กรุ่นใหม่ แล้วอีกอย่าง ข้อเท็จจริง ท่านผู้ชมครับ กษัตริย์ทุกวันนี้ ท่านทรงพระกรุณาฯ ไม่ให้ดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 อยู่แล้ว เทียบกับบุคคลธรรมดาแล้ว โดยทั่วไป ถ้าคุณมาด่าผม คุณคอมเมนต์มาแล้วก็พูดจาหยาบคายกับผม ผมยังฟ้องเลย แล้วก็มากราบขอขมาผมตั้งหลายคน แล้วคุณลองนึกดู ท่านผู้ชมลองนึกดู ถ้าพระองค์ท่านต้องมอบอำนาจไล่ฟ้องเหมือนคนหมิ่นประมาทด้วยกฎหมายธรรมดา มันจะเหมาะหรือ ก็จะถูกใส่ร้ายป้ายสีว่ารังแกประชาชน และที่สำคัญ ศาลจะตัดสินอย่างไรถ้ามีการฟ้องร้องอย่างที่ว่าจริง เห็นหรือยังท่านผู้ชม ซ่อนเอาไว้
ข้อที่สาม ยกเลิกพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2561 และให้แบ่งทรัพย์สินออกเป็น ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกระทรวงการคลัง และทรัพย์สินส่วนพระองค์ที่เป็นของส่วนตัวของกษัตริย์อย่างชัดเจน ทำไมข้อนี้ถึงว่าล้มเจ้า ?
อธิบายอย่างภาษาชาวบ้านก็แล้วกัน คุณจะไปยึดทรัพย์สินของท่านเอามาแจกจ่ายประชาชนแบบโรบินฮูด แบบนี้ถือว่าล้มไหม ? แล้วท่านผู้ชมฟังให้ดีๆ นะ ตรงนี้ฟังให้ดีๆ ประวัติศาสตร์จากสมัยปฏิวัติ 2475 คณะราษฎร ที่พวกนี้เทิดทูนว่าเป็นผู้บังเกิดเกล้า สมาชิกคณะราษฎรก็ทำให้เห็นแล้ว สุดท้าย คุณก็ยึดทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์มา พวกคณะรัฐประหาร คนยึดอำนาจ เอามาแจกจ่ายกันเอง ไม่ได้เอามาพัฒนาประเทศอย่างที่คุณเอามาอ้างก่อนการปฏิวัติ
ข้อที่สี่ ตัดลดงบประมาณแผ่นดินที่จัดสรรให้กับสถาบันกษัตริย์ ให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ก็เช่น กันทำไมข้อนี้ผมถึงว่าล้มเจ้า ?
ภารกิจโครงการช่วยเหลือประชาชนของพระเจ้าอยู่หัวมีมากมาย คุณไปลดเงินตรงนี้ แล้วถ้าบางโครงการต้องลดคนทำงานลงไป แล้วคนที่ตกงานไม่ใช่คนหรือ ? แล้วโครงการที่มีอยู่ เป็นโครงการที่มีประโยชน์ สัมผัสได้ ไม่ใช่ไอ้บ้าคนหนึ่งมาโพสต์อินสตาแกรม หรือโพสต์เฟซบุ๊ก บอกว่าปลานิลที่รัชกาลที่ 9 ให้เลี้ยงนั้น สัมผัสไม่ได้ สัมผัสไม่ได้อะไรกัน คนกินกันทั่วประเทศไทย ไม่ใช่เพราะท่านเป็นคนริเริ่มหรือ ปลานิล เห็นหรือยัง
ข้อที่ห้า ยกเลิกส่วนราชการในพระองค์ หน่วยงานที่มีหน้าที่ชัดเจน เช่น หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ให้ย้ายไปสังกัดหน่วยอื่น และหน่วยงานที่ไม่มีความจำเป็น เช่น คณะองคมนตรี ให้ยกเลิก ก็อีกล่ะ ข้อนี้ทำไมถึงบอกว่าไม่ใช่เป็นการปฏิรูป แต่เป็นการล้มเจ้า ?
คุณจะลอบปลงพระชนม์พระองค์ท่านหรืออย่างไร นี่ขนาดมีอำนาจ มีกฎหมายอยู่ทุกวันนี้ ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร คุณยังยืนชูนิ้วกลางให้กับขบวนเสด็จของสมเด็จพระราชินี ถ้าหมดอันนี้ไปแล้ว เป็นไปได้ไหมว่าคุณจะลอบปลงพระชนม์ หลายประเทศไม่มีกษัตริย์ แต่มีผู้นำประเทศ ไปเช็กดูได้เลย ทุกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม เขามีหน่วยงานอารักขา VIP แยกเฉพาะออกจากหน่วยธรรมดา ป้องกันความลับในหมายกำหนดการการเดินทางต่างๆ เพื่อความปลอดภัย ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าที่อเมริกาเขาทุ่มงบมหาศาลคุ้มครอง VIP
ท่านผู้ชมครับ องคมนตรี คือตัวแทนกษัตริย์ ไปทำหน้าที่แทนกษัตริย์ในแต่ละวัน จึงจำเป็นต้องมี การเดินทาง องคมนตรีทุกคนมีงานทำกันหมด เดินทางไปจังหวัดโน้นจังหวัดนี้ พล.อ.ดาว์พงษ์ มีความจำเป็นที่จะต้องเดินทางไป เพราะว่าถูกมอบหมายให้ดูระบบมหาวิทยาลัยราชภัฏ ก็จะไปประชุมกับกรรมการสภาราชภัฏ อธิการบดีราชภัฏ หาทางปรับปรุง จะทำอย่างไรให้ดีขึ้น อีกหลายท่านก็เดินทางไปแจกผ้าห่ม อีกหลายท่านก็ไปดู ติดตามผลงานโครงการพระราชดำริซึ่งกำลังดำเนินการต่อเนื่อง
ท่านผู้ชม ผมจะยกตัวอย่างให้ฟัง 2560 ผมเอาข้อมูลนี้มาจากนิตยสารไทม์ สภาคองเกรสอนุมัติงบประมาณประจำปี จำนวน 120 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 3,750 ล้านบาท เพื่อจ่ายเฉพาะค่ารักษาความปลอดภัยของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เครื่องบินแอร์ฟอร์ซวัน ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ใช้เงินในการดำเนินการ เวลาบินไป 1 ชั่วโมง 6.5 ล้านบาท ถ้าบินไป-กลับ วอชิงตัน ดี.ซี. กับปาล์มบีช บ้านพักตากอากาศของนายทรัมป์ ใช้เวลาไป 2 ชั่วโมง กลับ 2 ชั่วโมง รวม 4 ชั่วโมง ค่าใช้จ่าย 26 ล้านบาท เพราะฉะนั้นแล้วจะเห็นได้ชัดว่า ไม่ใช่คุณไม่มีสถาบันกษัตริย์แล้ว คุณจะไม่มีค่าใช้จ่ายและไม่ต้องใช้งบประมาณด้านความมั่นคง ความปลอดภัยของผู้นำหรือประมุขรัฐ
ข้อที่หก ยกเลิกการบริจาคและรับบริจาคโดยเสด็จพระราชกุศลทั้งหมด เพื่อกำกับให้การเงินของสถาบันกษัตริย์ให้อยู่ภายใต้การตรวจสอบทั้งหมด ผมไม่รู้ว่าคนที่คิดอันนี้มา นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล คุณคิดออกมาได้อย่างไร คุณเก่ง ผมยอมรับ คุณปั่นหัวเด็กทั้งหลาย ข้อนี้ล้มเจ้าหรือเปล่า ? ยกเลิกการบริจาค
ถ้าประชาชนเขาศรัทธา แล้วเขาบริจาคให้สถาบันกษัตริย์ เพื่อนำไปประกอบสาธารณกุศล คุณไปยุ่งอะไร คุณกำลังละเมิดสิทธิ์ของท่านหรือเปล่า เวลาไปถวายเงินให้กับพระมหากษัตริย์ จะมีข้อตกลง ถวายโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย หมายความว่า เมื่อเงินก้อนนี้ให้พระองค์ท่านแล้ว พระองค์ท่านจะใช้เงินก้อนนี้เฉพาะในเรื่องงานการกุศลเท่านั้น อย่างเช่น ให้สมาคมการกีฬา ให้บ้านเด็กพิการ ให้บ้านเด็กกำพร้า โดยเสด็จพระราชกุศล แต่ถ้าถวายเป็นการส่วนพระองค์ นั่นก็เป็นเรื่องความพอใจของแต่ละคน
ท่านผู้ชม เวลาเราไปถวายเงินวัด เวลาผมเอาเงินไปถวายวัด ผมจะบอกว่า วันนี้ข้าพระพุทธเจ้าเอาเงินจำนวนนี้มามอบให้วัด สมมุติว่าวัดธรรมสถิต ที่ จ.ระยอง ผมบอกหลวงพ่อสุชินว่า หลวงพ่อครับ เงินก้อนนี้ขอถวายให้วัดเพื่อทำนุบำรุงศาสนสถานในวัดธรรมสถิต หลวงพ่อสุชินท่านได้รับมา ท่านก็ตั้งเป็นกองนี้ ซ่อมอุโบสถ ปูกระเบื้อง ก็ใช้เงินก้อนนี้ไป แต่ผมอาจจะไปหยิบมาอีกก้อนหนึ่งแล้วผมก็บอกว่า พระอาจารย์ครับ ค่าใช้จ่ายส่วนตัวของพระอาจารย์ก็มี ผมขอถวายให้อีกก้อนหนึ่ง 10,000-20,000 บาท ให้เป็นปัจจัยส่วนตัวกับพระอาจารย์ ท่านก็บอก อนุโมทนานะโยม หมายความว่าอย่างไร ท่านก็มีพระ ท่านก็มีลูก ท่านก็มีครอบครัว ท่านมีพ่อ มีแม่ มีพี่ มีน้อง น้องชายท่านก็อาจจะต้องการค่าเทอม จะได้เอาเงินก้อนนี้ที่ท่านได้รับเป็นปัจจัยส่วนตัวมา
ท่านผู้ชมครับ ที่สำคัญทุกโครงการ ทุกมูลนิธิ ต้องทำรายงานประจำปี ทูลเกล้าฯ นำเสนอรายรับ-รายจ่ายของแต่ละโครงการอยู่แล้ว ไปเช็กดูได้ แม้กระทั่งสภากาชาดไทยก็มี ทุกบาททุกสตางค์เข้าไปต้องมีรายรับ-รายจ่ายหมด มูลนิธิชัยพัฒนาก็มี ว่าเงินเข้ามาปีนี้เท่าไร แล้วใช้จ่ายไปทางไหนบ้าง นี่มันเกเรนะท่านผู้ชมเห็นหรือยัง เพราะว่าแฝงเจตนารมณ์ต้องการจะล้มสถาบันกษัตริย์
ท่านผู้ชมครับ แม้แต่ในอังกฤษ หรือญี่ปุ่น ที่ม็อบอ้างว่าอยากปฏิรูปสถาบันฯ ของไทยให้เป็นเหมือนอังกฤษ หรือญี่ปุ่น ควีนเอลิซาเบธที่ 2 ที่อังกฤษ เจ้าฟ้าชายชาร์ลส เจ้าชายวิลเลียมและเคธ มิดเดิลตัน ทุกคนมีมูลนิธิของตัวเองรับบริจาค ทำงานการกุศลของตัวเองทั้งนั้น คุณอ้างนักไม่ใช่หรือว่าอยากเป็นอย่างเขา แต่ทำไมคุณจะต้องไปเสนอข้อเรียกร้องสุดโต่งเพื่อเอาใจอย่างนี้ ที่คุณเสนออย่างนี้เพราะคุณต้องการล้มสถาบันกษัตริย์ โธ่ ไอ้สันขวาน! คุณคิดว่าผมไม่รู้เหรอ ผมรู้ ผมทนไม่ได้ ผมต้องอธิบายให้ฟัง เพราะเห็นเรื่องนี้พูดกันมาแล้ว ผมตัดสินใจต้องพูดเสียที
ข้อที่เจ็ด ยกเลิกพระราชอำนาจในการแสดงความเห็นทางการเมืองในที่สาธารณะ ทำไมข้อนี้ถึงบอกว่าล้มเจ้า ?
ปากของคุณเวลาชุมนุม ม็อบ บอกทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกทางความคิด จากข้อเรียกร้องที่ 2 ยังบอกเลย เปิดเสรีทางความคิดที่มีต่อสถาบัน แล้วข้อที่ 7 ที่คุณเสนอมาปฏิรูปนี้ ย้อนแย้ง ห้ามสถาบันแสดงความคิดเห็น แล้วจะเป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร อ๋อ คุณแสดงความคิดเห็นได้ แต่คุณไม่ให้กษัตริย์แสดงความคิดเห็นบ้างเหรอ
ข้อที่แปด ยกเลิกการประชาสัมพันธ์และการให้การศึกษาที่เชิดชูสถาบันกษัตริย์แต่เพียงด้านเดียวจนเกินงามทั้งหมด ข้อนี้ทำไมผมถึงบอกว่าล้มเจ้า ?
คุณห้ามรายงาน ไม่มีข่าวในพระราชสำนัก นี่คือการปิดกั้นสื่อ โลกนี้มีกฎหมายคุ้มครองสื่ออยู่ ในไทยก็มี ในรัฐธรรมนูญปี 2540, 2550, 2560 บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา การสื่อความหมายด้วยวิธีอื่น เอาล่ะ ยกตัวอย่างก็แล้วกัน ต่อไปถ้าเอาตามคุณบอก สื่ออย่าทำข่าวรายการโครงการในพระราชดำริต่างๆ ที่ก่อประโยชน์ต่อประชาชน เหมือนกับกรณี บริษัท สยาม ไบโอไซเอนซ์ ที่ผมพูดไปอาทิตย์ที่แล้วว่ากำลังจะได้รับสิทธิ์ในการผลิตวัคซีนโควิด-19 จาก บริษัท แอสตราเซเนกา ผมมีผู้สื่อข่าว จะไปทำข่าว ทำไม่ได้เหรอ กฎหมายห้ามนี่ เป็นประโยชน์กับประชาชน
ข้อที่เก้า สืบหาความจริงเกี่ยวกับการสังหารเข่นฆ่าราษฎรที่วิพากษ์วิจารณ์หรืรอมีความเกี่ยวข้องใดๆ เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ ท่านผู้ชมครับ คนที่คิดแบบนี้มันบ้าไปแล้ว สติไม่สมบูรณ์ คุณกำลังใส่ร้ายท่านว่าฆ่าคนตาย แค่เขียนข้อนี้ขึ้นมาก็เป็นการกล่าวหาแล้ว ถ้าปิยบุตร ธนาธร สมศักดิ์ ปวิน หรือใครๆ เกิดแจ้งตำรวจให้ดำเนินคดี กล่าวหากษัตริย์อย่างไรก็ได้ เห็นหรือยัง ถ้ายอมมันแต่ละข้อ อย่างมาตรา 6 นี่ แจ้งความ
ข้อที่สิบ ห้ามมิให้ลงพระปรมาภิไธยรับรองการรัฐประหารครั้งใดอีก ทำไมถึงเรียกว่าล้มเจ้า ?
การเขียนข้อเรียกร้องแบบนี้เพื่อจะใส่ร้ายสถาบันว่าสนับสนุนเผด็จการ การเขียนข้อเรียกร้องจากความเกลียดชัง มันสะท้อนเจตนาให้เห็นได้ชัดเจนมาก ถ้าเทียบคนพวกนี้กับคณะราษฎร ที่พวกนี้บูชาราวกับเป็นบิดาบังเกิดเกล้า ที่ร่างรัฐธรรมนูญ 2475 ของคณะราษฎรแล้ว รัฐธรรมนูญ 2475 ของคณะราษฎร ยังรู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ยังมีกลิ่นไอของการปฏิรูปให้เห็นบ้าง อย่างมาตรา 3 "องค์พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้" แต่ข้อเรียกร้องของสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ กลุ่มนักวิชาการทั้งหลาย ตลอดจนคนที่อยู่เบื้องหลังนิตยสาร "ฟ้าเดียวกัน" ทีมงานของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จรัล ดิษฐาอภิชัย และอีกหลายคน มุ่งล้างสมอง ให้ข้อมูลด้านเดียวกับเด็กๆ โดยมีกลิ่นไอของความเกลียดชัง อาฆาตแค้น ฝังอยู่ในทุกตัวอักษร
ท่านผู้ชมครับ ผมรับไม่ได้จริงๆ ฟังทุกอย่างที่ผมพูดด้วยเหตุด้วยผล คนที่ไม่เห็นด้วยกับผมไม่เข้าใจ เปิดคลิปนี้ย้อนกลับไป ฟังตั้งแต่ข้อที่หนึ่ง ฟังยกตัวอย่างของผมว่ามันเป็นอย่างนี้ๆๆ คุณอาจจะดวงตาเห็นธรรมก็ได้
ท่านผู้ชมได้ฟังการชี้แจงการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ 10 ข้อ ที่ผมอธิบายเป็นข้อๆ ไปแล้ว ท่านผู้ชมไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับผม แต่คิดตามเหตุผลที่ผมให้เป็นตัวอย่าง หลายๆ เรื่อง ท่านผู้ชมจะเห็นได้ว่า การเสนอการปฏิรูปสถาบันฯ 10 ข้อนั้น เป็นเกมกล เป็นหมากกลที่วางเอาไว้ แต่ทั้งหมดนี้เป็นความต้องการจะล้มสถาบันกษัตริย์ ซึ่งหมากกลตัวนี้ 10 ข้อนี้ คนที่ออกแบบ ผมแทบไม่อยากจะพูดอีก ก็คือสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
ท่านผู้ชมครับ ตอนนี้ผมจะพูดเรื่องบางเรื่องซึ่งอาจจะพูดได้ไม่ยาวนัก เพราะว่าข้อมูลมันเยอะเหลือเกิน แต่ผมจะสรุปให้ฟังสั้นๆ ก็แล้วกัน คือเรื่อง "คณะราษฎร 2475"
คณะราษฎร 2475 นั้น เป็นเรื่องราวที่ค่อนข้างจะกลายเป็นไอดอลของพวกคณะราษฎรปัจจุบัน คณะราษฎร 2563 พยายามบอกว่าตัวเองมาสืบทอดต่อปณิธานของคณะราษฎร 2475 ให้มันจบสิ้นในยุคเรา นั่นก็คือการล้มสถาบันกษัตริย์ในยุคเขา หมายความว่าในสมัยที่คณะราษฎร 2475 เกิดขึ้นมานั้น เปลี่ยนแปลงจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย แต่ในสายตาของคณะราษฎร 2563 คือพวกเพนกวิน พวกคุณรุ้ง พวกปิยบุตร แสงกนกกุล พวกธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แล้วอีกหลายพวกที่ร่วมมือกัน ต้องการที่จะกำจัดสถาบันกษัตริย์ให้หมดสิ้นไปในแผ่นดินไทย
แต่ก่อนที่เขาจะทำเช่นนี้ ผมยังสงสัยว่า พวกคนที่พยายามจะล้มสถาบันกษัตริย์ มองคณะราษฎร 2475 เป็นอย่างไร ? ผมมองอีกแบบหนึ่ง ก็เป็นสิทธิ์ที่เขาจะมองได้ ผมมองว่าคณะราษฎร 2475 นั้น เป็นกลุ่มคนที่ต้องการแสวงหาอำนาจ เพราะว่าคนที่เข้ามายึดอำนาจและเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ไม่มีโอกาสได้เจริญเติบโตในเส้นทางราชการ ในการทหาร เพราะสมัยก่อนต้องยอมรับความจริงว่า สมัยก่อนที่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จะล่มสลายไปนั้น มีแต่พวกเชื้อพระวงศ์เท่านั้นเอง ถึงจะมีสิทธิ์ที่จะเจริญเติบโตในเส้นสายทางการทหาร ในทางโน้นทางนี้ เพราะฉะนั้นแล้ว คนพวกนี้ต้องการจะมีตำแหน่ง มีอำนาจ มีบารมี เหมือนกับว่าวิ่งทางลัดเข้ามา แต่ว่าผลจากการที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วมาตั้งคณะราษฎรแล้ว ท่านผู้ชมเชื่อไหม ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ศึกษาให้ดีๆ มียืนยันได้ ไม่ใช่ของปลอม และผมเชื่อว่าไม่มีใครกล้าเถียงด้วย คณะราษฎรพวกนี้ คือคณะราษฎรที่เรี่ยราดเหมือนคณะเรี่ยราดชุดนี้ เหมือนกัน เรี่ยราดตรงไหน ? ตรงที่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว
แล้วท่านผู้ชมคิดไหม วันที่คณะราษฎร เปลี่ยนแปลงการปกครองสำเร็จแล้ว ขนาดเปลี่ยนแปลงการปกครองสำเร็จแล้ว ยังเข้ามาถวายพระเกียรติ นำดอกไม้ธูปเทียนขอเข้าเฝ้าฯ ขอพระราชทานอภัยโทษต่อในหลวง รัชกาลที่ 7 ที่ได้ใช้ถ้อยคำรุนแรงในการก่อการปฏิวัติ ท่านผู้ชมเชื่อไหม ขนาดเขาล้มล้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปแล้ว เขายังต้องเข้าไปเพื่อขอขมาลาโทษ ขออภัยโทษ ผมจะอ่านให้ฟัง คำขอโทษ
"การที่พวกข้าพระพุทธเจ้าได้ประกาศกล่าวข้อความในวันเปลี่ยนแปลงด้วยถ้อยคำรุนแรง กระทบกระเทือนถึงใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท และพระบรมวงศานุวงศ์ ก็ด้วยมุ่งถึงผลสำเร็จทันทีทันใดเป็นใหญ่" ก็คือพูดง่ายๆ ว่า ขอให้เปลี่ยนแปลงเสร็จ ระหว่างที่เปลี่ยนแปลงนั้น การที่เข้าไปยึดอำนาจนั้น พูดจาหยาบคาย พูดจาแบบไม่ให้เกียรติอย่างไร ขอให้เข้าใจ จำเป็นต้องทำเช่นนั้น "สมเด็จพระมหากษัตราธิราชในพระบรมราชวงศ์จักรี ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ ได้ทรงมีส่วนนำความเจริญมาสู่ประเทศสยามตามกาลสมัย" คณะราษฎรยังยอมรับว่ากษัตริย์ทุกองค์ ตลอดจนเชื้อพระวงศ์ ได้นำความเจริญมา
"บัดนี้ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พวกข้าพระพุทธเจ้ามาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย จึงขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสกราบบังคมทูลขอพระราชทานอภัยโทษอีกครั้งหนึ่งเป็นคำรบสองในถ้อยคำที่ได้ประกาศไป"
ท่านผู้ชมครับ คณะราษฎรพวกนี้ ตัวเองได้ไปศึกษามาจากต่างประเทศ แต่ไม่สามารถจะเติบโตในระบบราชการได้เหมือนกลุ่มพระบรมวงศานุวงศ์ ประกอบกับคณะราษฎรในยุคนั้น เป็นคนชั้นยศน้อย ไม่ได้กุมกำลังสำคัญ เพราะฉะนั้นแล้ว การปฏิวัติปี 2475 นั้น ทำไปเพื่อประโยชน์ในตำแหน่งหน้าที่ของตัวเองด้วย เบื้องหลังของคณะราษฎรในยุคนั้น จึงมีเป้าหมายที่แท้จริงไม่เหมือนกัน บางคนทำไปเพื่อตำแหน่งหน้าที่การงาน บางคนทำไปเพื่ออุดมการณ์และความฝัน บางคนทำไปเพื่อแสวงหาเงินทอง เพื่อความร่ำรวยของตนเอง
ท่านผู้ชมครับ มีข้อมูลอยู่ตัวหนึ่ง สองจุดที่ผมจะชี้ให้ทุกคนเห็น ในความคิดระหว่างสถาบันกษัตริย์ กับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พันตรี แปลก พิบูลสงคราม หรือจอมพล ป. พิบูลสงคราม
แล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็คือคนที่ทรยศต่อชาติบ้านเมือง ไปเข้ากับประเทศญี่ปุ่น ตอนที่ญี่ปุ่นบุกเข้ามาในเอเชียอาคเนย์ ในขณะที่ท่านปรีดี ก็ไปเข้ากับประเทศทางตะวันตก และร่วมกับพระบรมวงศานุวงศ์เพื่อจะลุกขึ้นมาต่อต้านญี่ปุ่น
และ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นี้ ก็คือไอดอลของนายเพนกวิน นายเพนกวิน เทิดทูน จอมพล ป. พิบูลสงคราม ท่านผู้ชมรู้ไหม ตั้งแต่ปี 2475 จนถึง 2485 คณะราษฎรหักหลัง ทรยศซึ่งกันและกัน ล้มล้างอำนาจของแต่ละฝ่าย ทั้งๆ ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ก็มาจากการยึดอำนาจเช่นกัน และก็ปราบปรามผู้ที่เห็นต่าง ที่ไม่เห็นด้วย ดำเนินคดีไม่มีการไต่สวน ไม่มีการสอบสวน จับคนเข้าคุมขัง ฆ่าคน จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 พระองค์ท่านรับไม่ได้ พวกนี้ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา เป็นนายกฯ ไม่พอใจ ก็ล้มล้างพระยามโนปกรณ์นิติธาดา
เสร็จเรียบร้อยแล้วก็เอาคนนี้ขึ้นมา คุณควง อภัยวงศ์ คือล้มล้างซึ่งกันและกันไปมา เอาพลเอกพหลพลพยุหเสนา ขึ้นมา แล้วก็มีจุดด่างพร้อยจุดหนึ่งซึ่งไม่มีใครพูด
คณะราษฎร พอมีอำนาจแล้ว ก็เอาที่ดินของตัวเองขายคืนให้พระคลังข้างที่ ในราคาแพง สมมุติว่าที่ดินของตัวเองราคาประมาณ 10 ชั่ง หรือ 800 บาท ก็ขายในราคา 100 ชั่ง 8,000 บาท เอาเงินส่วนต่างมา แล้วก็ไปยึดทรัพย์ของสถาบันกษัตริย์ ที่ดินของกษัตริย์ เอามาขายให้ตัวเองในราคาถูกๆ แล้วตัวเองก็เอาเงินที่ตัวเองเอาที่ราคาถูกของตัวเองขายคืนให้กับพระคลังข้างที่ เพื่อมาซื้อที่ราคาถูก ซึ่งยึดมาจากกษัตริย์ นี่ไงคือคณะราษฎร 2475 ไอดอลของพวกคุณ ไอดอลของพวกคณะราษฎร 2563
เชิดชูกันนัก ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี แท้ที่จริงแล้วก็คือกลุ่มโจรกลุ่มหนึ่งเท่านั้นเอง อาจจะยกเว้นท่านปรีดี พนมยงค์ และท่านพลเอกพหล พลพยุหเสนา นอกนั้นแล้วเป็นพวกปรสิต ปลิงเกาะเพื่อให้ตัวเองมีอำนาจ ซึ่งไม่ได้ต่างอะไรกับยุคนี้เลย ท่านผู้ชมตามผมมา เห็นหรือยัง รับไม่ได้จริงๆ
ในที่สุดแล้ว รัชกาลที่ 7 สละราชสมบัติ คณะราษฎรตัดสินใจให้รัชกาลที่ 8 ก็คือพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ขึ้นมาเป็นกษัตริย์ ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าเพราะอะไร ผมจะบอกให้ เพราะข้อเดียวเอง ผมจะบอกให้ เพราะพระองค์ท่านทรงพระเยาว์อยู่ เป็นเด็ก ถ้าพระองค์ท่านอายุมาก มีความคิดของพระองค์ท่านเอง ไอ้พวกนี้ไม่ตั้งหรอก
ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้มันจะต้องมีการพูดต่อไปในเรื่องของบทบาทของต่างประเทศที่มีต่อการปฏิวัติในเมืองไทย และที่มีต่อสถาบันกษัตริย์ ซึ่งเดี๋ยวผมจะพูดต่อ แต่เอาเป็นว่า ท่านผู้ชมอย่าไปเชื่อว่าคณะราษฎร 2475 นั้น ในสายตาเด็กนั้น มันคือคนที่เปลี่ยนแปลงประเทศ น่าจะได้รับการเทิดทูน เชิดชู แม้กระทั่งมีความพยายามจะปักหมุดครั้งใหม่ คณะราษฎร 2475 คณะราษฎร 2475 ยกเว้นคนบางคน นอกนั้นแล้ว โจรทั้งนั้น ไม่ได้ต่างกว่าโจรสมัยนี้เลย ที่อยู่ในการเมือง และในทหารบางคน สำหรับผมแล้ว โจรครับ
ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง ข้อมูลทางประวัติศาสตร์นั้น ถ้าเรียบเรียงให้ดี อย่าไปเรียบเรียงกระโดดไปกระโดดมา เหมือนที่นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล พยายามจะกระโดดไปกระโดดมา ไล่เรียงเหตุการณ์ให้ดี จะเข้าใจดี เหมือนอย่างที่ประเทศไทยในยุคนั้น ประเทศไทยแต่ก่อนนั้น อยู่ภายใต้อิทธิพลทางอ้อมและทางตรงจากจักรวรรดิอังกฤษ อังกฤษมีอิทธิพลทางอินเดีย มีอิทธิพลทางพม่า มีอิทธิพลทางมาเลเซีย ก็ย่อมที่จะมีอิทธิพลต่อมาในประเทศไทยเช่นกัน
แต่เผอิญในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ตอนนั้นอังกฤษอ่อนแอแล้ว อเมริกามีบทบาท ก็มีเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศของอเมริกาเข้ามาสำรวจประเทศไทย แล้วเขามีข้อสรุปว่า ประเทศไทยเหมาะที่จะเป็น ... เพราะประเทศไทยไม่ได้ขึ้นอยู่กับอังกฤษ ไม่ได้เป็นอาณานิคมของใคร ประเทศไทยเป็นดินแดนที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง สมควรที่ต่างประเทศอย่างประเทศอเมริการนั้น จะเข้ามาแสวงหาประโยชน์ เพราะประเทศไทยสามารถจะค้าโดยตรง โดยที่ไม่ต้องผ่านอังกฤษ ไปกับอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีบุก เรื่องยาง เรื่องทรัพยากรธรรมชาติ แล้วเขาก็พิจารณาต่อไปด้วยว่าประเทศไทย คนไทย เป็นคนนิสัยอย่างไรบ้าง และที่สำคัญก็คือว่า รักพระเจ้าอยู่หัว เมื่อรักพระเจ้าอยู่หัวแล้ว นั่นคือประเด็นสำคัญที่ทางสหรัฐอเมริกาตัดสินใจเด็ดขาดว่าต้องรักษาพระเจ้าอยู่หัวเอาไว้ และอเมริกาก็เลยใช้อำนาจอิทธิพลของตัวเองนั้น บีบให้ จอมพล ป. ต้องปล่อยให้พระเจ้าอยู่หัว ออกดำเนินทำพระราชกรณียกิจต่างประเทศ ในต่างจังหวัดทั่วไปเลย นี่ท่านผู้ชมเข้าใจหรือยัง
แต่ขณะเดียวกัน ผมจะเล่าเรื่องที่มันวิกฤตตอนนั้น ช่วงวิกฤตที่พันธมิตรชนะสงครามในญี่ปุ่น ช่วงนั้นกำลังเป็นช่วงที่ถกเถียงกันมากระหว่างพันธมิตร ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ ฝรั่งเศส อเมริกา ตลอดจนรัสเซีย และตลอดจนหลายประเทศที่เป็นพันธมิตรอยู่ ประเทศจีนด้วย ช่วงนั้นเป็นช่วงที่หัวเลี้ยวหัวต่อมาก เป็นช่วงที่พันธมิตรที่ชนะสงครามและมีอำนาจเหนือประเทศไทย กำลังจะตัดสินใจว่าประเทศไทยควรจะมีกษัตริย์ต่อไป ดีหรือไม่ ปรากฏว่าอเมริกา และอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางตะวันตก เห็นว่าประเทศไทยควรจะมีกษัตริย์ต่อไป ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าเพราะเหตุใด ? เพราะเหตุง่ายๆ หนึ่ง กษัตริย์สามารถเป็นศูนย์รวมประชาชนได้ สอง ที่สำคัญ ไม่มีใครบอก ไม่มีใครอธิบายเรื่องนี้ สอง ที่สำคัญก็คือว่า กษัตริย์ ทั้งรัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9 เป็นเด็กซึ่งโตในต่างประเทศ ที่สวิตเซอร์แลนด์ และพระราชบิดาก็เป็นหมอ เรียนจบจากฮาร์วาร์ด ได้รับอิทธิพลทางตะวันตก เพราะฉะนั้น ทั้งอังกฤษ ทั้งอเมริกา เห็นว่ากษัตริย์เด็กซึ่งได้รับการซึมซับ สั่งสอน อบรมด้วยวิธีทางทางตะวันตก น่าจะเอนเอียงไปทางตะวันตกมาก และอีกประการหนึ่งก็คือว่า เนื่องจากพระองค์ท่านทั้งสองพระองค์ได้รับเรียนศาสตร์จากตะวันตกทุกอย่าง ก็เลยทำให้อเมริกา ซึ่งเป็นหัวหลักใหญ่ รวมทั้งอังกฤษ เห็นว่าถ้าอย่างนั้นมีกษัตริย์เอาไว้ ดีกว่าไม่มี แต่พวกนั้นหารู้ไม่ว่ามันมีอาวุธลับอาวุธหนึ่งซึ่งฝรั่งไม่เคยคิดเลย นั่นคือสมเด็จย่า
สมเด็จย่าศรีสังวาลย์ พระองค์ท่านเป็นสามัญชน พระองค์ท่านเลี้ยงลูกแบบสามัญชน ที่สวิตเซอร์แลนด์ และพระองค์ท่านพร่ำสั่งสอนทั้งรัชกาลที่ 8 รัชกาลที่ 9 ให้รักประเทศไทย ให้รับใช้ประชาชนคนไทย วันหนึ่งเมื่อกลับไปปฏิบัติหน้าที่ที่เมืองไทย ให้ทำทุกอย่างให้กับประชาชนคนไทยและประเทศไทย นี่คือฝีมือของสมเด็จย่า เพราะฉะนั้นแล้ว ถึงแม้ว่าจะได้รับเรียนศาสตร์ต่างๆ จากตะวันตก แต่จิตใจของรัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9 และพระพี่นางฯ ล้วนแล้วแต่เป็นคนไทยอย่าง 100 เปอร์เซ็นต์ นั่นคือสิ่งที่ทางฝรั่งนั้นไม่ได้คิด
ท่านผู้ชมครับ อีกประเด็นหนึ่งที่ท่านผู้ชมต้องไม่ลืม ในยุคนั้น หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในโลกนั้นแบ่งออกเป็น 2 ค่าย คึอ ค่ายหลังม่านเหล็ก และค่ายเสรี ฝรั่งทางตะวันตกบอกว่า เขาเป็นค่ายเสรีนิยม คือเสรีประชาธิปไตย แต่ค่ายที่คิดถึงพรรคคอมมิวนิสต์ ใช้ลัทธิคอมมิวนิสต์ คือ จีน เวียดนาม และรัสเซีย นั่นเป็นค่ายม่านเหล็ก ก็คือพวกนี้เป็นพวกที่เผด็จการและต้องการจะล้มล้างระบบต่างๆ เพราะฉะนั้นแล้วอเมริกาในขณะนั้น ในเมื่ออเมริกาเป็นผู้นำในโลกเสรี ที่เขาอ้างว่าเป็นโลกเสรี ก็พยายามที่จะป้องกันไม่ให้การขยายตัวของคอมมิวนิสต์ไปตามประเทศต่างๆ คอมมิวนิสต์ตอนนั้นก็เริ่มยึดเข้ามาแล้ว เริ่มที่จะเข้ามารุกเวียดนามแล้วตอนนั้น ฝรั่งเศสอยู่ในเวียดนามตอนนั้น แล้วในที่สุดฝรั่งเศสก็ถอนตัวออกไป ให้อเมริกาเข้ามาแทนที่
เพราะฉะนั้นแล้ว อเมริกาตอนนั้นก็เลยมองว่าประเทศไทยเท่านั้นเอง ที่จะเป็นประเทศที่ขวางโดมิโนการล่มสลายโดยลัทธิคอมมิวนิสต์ ความสำคัญของสถาบันกษัตริย์ก็เลยเกิดขึ้น และในยุคนั้นอเมริกาเป็นคนบอกให้ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ปฏิวัติ จอมพล ป. พิบูลสงคราม และ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ แล้วก็ให้อยู่ในอำนาจต่อไป
รัฐบาล จอมพล สฤษดิ์ ก็เลยสนองนโยบายทุกอย่างของอเมริกา ให้สัมปทานน้ำมัน ให้ก๊าซอ่าวไทยกับอเมริกา ตั้งสภาพัฒน์ขึ้นมาเพื่อดำเนินตามนโยบายของอเมริกาทุกอย่างในการพัฒนาประเทศ ผมถึงเรียกสภาพัฒน์ ว่า "ไอ้เสือคล้อย" แล้วก็ให้ไทยเป็นฐานทัพอเมริกาที่โจมตีประเทศเพื่อนบ้าน จอมพล สฤษดิ์ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ส่วนสถาบันกษัตริย์นั้น อเมริกาให้การสนับสนุนเพื่อเป็นหลักประกันภัยต่ออเมริกา หลักประกันภัยในเรื่องคอมมิวนิสต์ เพราะฉะนั้นแล้ว อเมริกาเลยช่วยวางแผนประชาสัมพันธ์กษัตริย์ไทย ท่านผู้ชมจำได้หรือเปล่าที่ได้มีการเสด็จฯ ไปเยือนฮอลลีวูด
รูปเก่าๆ ไม่รู้ว่าผมจะหารูปให้ดูได้หรือเปล่า ไปพบกับเอลวิส เพรสลีย์ นั่นคือฝีมือของอเมริกาและ CIA เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์กษัตริย์ไทย อเมริกา CIA ก็มีบทบาทในการส่งอาวุธ ฝีกทหาร ตำรวจ สายลับ ดำเนินการอุ้มฆ่าประหารคอมมิวนิสต์ ทั้งนิสิต นักศึกษา ซึ่งทำให้มีคนจำนวนไม่น้อยต้องหนีเข้าป่า แล้วกลายเป็นพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
ทีนี้พอพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พระองค์ท่านทรงเดินทางไปต่างจังหวัด เยือนประชาชนมาก พระองค์ท่านทรงมีบารมีเหนืออเมริกา กลายเป็นฉันทานุมัติของคนไทยที่เห็นความสำคัญของสถาบันกษัตริย์ ที่ทรงใช้พระบารมีมาหยุดยั้งความขัดแย้งและความรุนแรงของคนในชาติหลายๆ ครั้ง จนไม่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้อิทธิพลและการบงการของอเมริกาอีกต่อไป ประกอบกับคำสั่ง 66/23 ที่ผมเคยพูดไปคราวที่แล้วว่าพระองค์ท่านตั้้งคำถาม ถาม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ว่า เราตั้งโจทย์ผิดหรือเปล่าในการปราบปรามคอมมิวนิสต์ เราน่าจะปรองดอง ให้โอกาสคนไทยด้วยกันกลับมาเป็นคนไทย ให้อภัยโทษกัน ทั้งหมดนี้เกิดจากการเดินทางไปต่างจังหวัดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เป็นการสร้างบารมีขึ้นมา แล้วท่านผู้ชมเข้าใจหรือยัง เข้าใจหรือยังว่าทำไม 10 ข้อของไอ้เวรตะไล ถึงมีข้อหนึ่ง ห้ามไม่ให้พระองค์ท่านปฏิบัติราชกรณียกิจกับคนไทยในต่างจังหวัด เพราะมันกลัวว่าบารมีจะกลับมา หรือบารมีจะสั่งสมมากขึ้นจนกระทั่งมันล้มไม่ได้ไง ท่านผู้ชมเข้าใจหรือยังถึงกลเกมที่มันวางหมากเอาไว้ มันไม่ได้ทำอะไรใหม่เลย มันเลียนแบบอเมริกา เพราะมันเห็นบทเรียนของอเมริกาแล้ว ว่าอเมริกาเมื่อประชาสัมพันธ์ให้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พระองค์ท่านก็ทรงใช้ตรงนี้ ซึ่งเป็นจุดแข็ง ในการที่จะเดินทางไปต่างจังหวัด ไปเยี่ยมเยียนประชาชน จนกระทั่งเกิดฉันทานุมัติกันทั่วประเทศไทย ว่าพ่อหลวง และพระองค์ท่านก็มีพระราชดำรัสชัดเจนว่า เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม
เพราะฉะนั้น กษัตริย์ยิ่งใกล้ชิดกับประชาชนมากเท่าไร พวกที่จะล้มเจ้า ล้มกษัตริย์ ก็ล้มยากขึ้น มันก็เลยอยู่ในข้อๆ หนึ่งของสิบข้อ เห็นหรือยังท่านผู้ชม ตอนนี้เคลียร์หรือยัง
ทีนี้ สถาบันกษัตริย์ก็เริ่มมีความใกล้ชิดกับจีนและรัสเซียมากขึ้น และที่สำคัญ พระองค์ท่านไม่ทราบ หรือพระองค์ท่านอาจจะทราบ การพระราชทานแนวพระราโชบายว่า ไทยต้องใช้เศรษฐกิจพอเพียง พึ่งพาตนเอง ท่านผู้ชมรู้ไหม นี่คือการประกาศสงครามกับลัทธิทุนนิยมเสรีอเมริกา ทำให้อเมริกาตัดสินใจที่จะใช้แผนบั่นทอนความเชื่อถือของสถาบันกษัตริย์มากขึ้น แต่ไม่สามารถจะเข้ามาทำลาย ทำร้ายความดี ที่รัชกาลที่ 9 สร้างความแข็งแกร่งขึ้นมา
ท่านผู้ชมครับ เมื่อมีนโยบาย 66/23 ขึ้นมา ก็ปรากฏถึงการกลับเข้ามาจากป่าของคนเดือนตุลาฯ ออกจากป่า จากคุก มาเป็นอาจารย์สอนหนังสือ เป็นนักการเมือง มีหมด เป็นอาจารย์ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล กลับมาเรียนต่อหนังสือต่อคณะศิลปศาสตร์ ได้เกียรตินิยมอันดับ 1 แล้วได้ทุนภูมิพลเสียด้วยนะ หลายคนก็มาเป็นอาจารย์ธรรมศาสตร์ เสร็จเรียบร้อยแล้ว พอเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ขึ้นมา ก็เกิดความแค้น สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ก็สอนวิชาประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์รัสเซีย ประวัติศาสตร์การเมืองใหม่ ปรัชญาประวัติศาสตร์ แต่งานเขียนส่วนใหญ่ของสมศักดิ์ จะวนเวียนอยู่กับเรื่องของการโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งๆ ที่ตัวเองได้ทุนภูมิพลไป
สมัยหนึ่ง ถ้าผมจำไม่ผิด ในยุคที่พวกซ้ายที่อยู่ในป่า แล้วอกหัก ต้องกลับมาเข้าในเมือง ส่วนหนึ่งก็เพราะนโยบาย 66/23 อีกส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะนโยบายที่เปิดโอกาสให้คนที่ไปเข้ากับพรรคคอมมิวนิสต์ แล้วอยู่ในป่า และต่อต้านรัฐบาล กลับเข้ามาใช้ชีวิตประจำวัน ก็เลยมีซ้ายพวกอกหักแบ่งเป็น 2 ส่วน พวกหนึ่งก็เดินทางไปในเส้นทางที่ตัวเองคิดว่าตัวเองเหมาะสมที่สุด ก็คือเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ธงชัย วินิจกุล หลายต่อหลายคน สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ที่เสียชีวิตไปแล้ว นี่พวกซ้ายอกหักที่ตัดสินใจไปทางสายวิชาการ รวมไปจนถึงเครือข่ายทั้งหมดที่มี ไม่ว่าจะเป็นนิธิ เอียวศรีวงศ์
ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และหลายคนจากหลายๆ มหาวิทยาลัย แต่ละมหาวิทยาลัยจะมีพวกซ้ายอกหักที่กลับเข้ามาทำอาชีพเป็นอาจารย์ แต่ความคิดที่ต้องการจะล้มล้างสถาบันกษัตริย์ ยังอยู่ในสมองของคนพวกนี้หมด เพราะฉะนั้นวิธีการสอนหนังสือเด็ก ก็จะสอนหนังสือไปในทิศทางแบบนี้ ให้ข้อมูลที่เป็นการกระโดดกันไปกระโดดกันมา ไม่เชื่อมโยง เพราะถ้าเชื่อมโยงแล้ว ไม่สามารถจะโจมตีและทำลายสถาบันกษัตริย์ได้ เพราะในขณะนั้นสถาบันกษัตริย์ โดยรัชกาลที่ 9 ทรงแข็งแกร่งมาก เพราะประชาชนทั่วประเทศรัก
และมีซ้ายอีกประเภทหนึ่งที่ตัดสินใจบอกว่า ถ้าอย่างนั้นไปร่วมกับพวกทุนเลยดีกว่า เข้าไปมีอำนาจทางการเมือง แล้วก็ใช้การเปลี่ยนแปลงอีกทีหนึ่ง นั่นก็คือพวกที่เข้าไปร่วมกับทักษิณ ชินวัตร ในยุคแรกของพรรคไทยรักไทย มีหลายคน ผมไม่ต้องเอ่ยชื่อหรอก ก็รู้ๆ กันอยู่แล้วว่ามีใครบ้าง คนพวกนี้จะแทรกอยู่ในกระบวนการ ขั้นตอนของอำนาจ สมัยที่ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะเป็นจักรภพ เพ็ญแข ไม่ว่าจะเป็นคนโน้นคนนี้ หลายคน พวกนี้จะหรี่ตาข้างหนึ่งกับบทความต่างๆ เรื่องราวต่างๆ การแสดงออกต่างๆ ที่เป็นการบั่นทอนสถาบันกษัตริย์ แล้วก็ปล่อยให้พวกนักวิชาการพวกนี้ และนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่อยู่ฝ่ายซ้าย เคลื่อนไหวเพื่อเป็นบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์มาตลอดเวลา
ผมเคยพูดมาแล้วตั้งแต่ปี 2548 สิบห้าปีผมพูดมาเรื่องนี้ พูดตอนนั้นเขายังหัวเราะเยาะผม พูดมาตอนนั้นทหารก็เอิ๊กอ๊ากๆ คุณสนธิมโน ทหารทั้งหลาย รวมทั้งที่มีอำนาจทั้งหลายทุกวันนี้ เอิ๊กอ๊ากๆ กันหมดทุกคน แล้วในที่สุดมันก็เลยมาถึงยุคสุดท้าย คือยุคนี้ ยุคนี้เป็นยุคคนรุ่นใหม่ที่ก้าวกระโดดในเรื่องอุดมการณ์ของตัวเองโดยใช้เทคโนโลยีโซเชียลมีเดีย ท่านผู้ชมรู้ไหมจุดเริ่มต้นคืออะไร เริ่มต้นคือ สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ของคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ คนที่อยู่เบื้องหลัง
และจนกระทั่งทุกวันนี้ แล้วยังเป็นมือขวาของคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ คือคุณธนาพล อิ๋วสกุล ตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจ ธนาธร เป็นนายทุนสนับสนุนฟ้าเดียวกัน
คุณธนาพล อิ๋วสกุล หรือชื่อเล่น ปุ๊ เป็นบรรณาธิการสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน เป็นคนที่มีฝีมือ เก่งมาก อยู่ติดตัวธนาธร แล้วก็เป็นมันสมองให้ธนาธรด้วย
สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน รวบรวมหนังสือกษัตริย์ศึกษา ซ้ายจัด เขียนบทความมา ไม่ว่าจะเป็นปิยบุตร แสงกนกกุล ธงชัย วินิจกุล ณัฐพล ใจจริง สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ล้วนแต่เป็นกลุ่มที่แรงๆ ทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้นแล้ว แต่ละยุคแต่ละสมัยของคนที่ต้องการล้มเจ้านั้น มีการผลัดใบและเปลี่ยนคน แต่ว่ามีเส้นทางที่เชื่อมโยงกันมาตลอด แล้วใช้สภาวะขององค์ประกอบของสังคมให้เป็นประโยชน์กับตัวเอง จนในที่สุดมาวันนี้ จังหวะโชคร้ายของประเทศไทย ที่เรามีระบอบกึ่งๆ เผด็จการและระบอบต่อยอดอำนาจ ก็เลยทำให้สิ่งที่คนพวกนี้พูด และประกอบกับพลังทางโซเชียลมีเดีย ก่อให้เกิดสึนามิทางความคิดในบรรดาหมู่นักศึกษาและคนรุ่นใหม่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ก็เลยคิดจะใช้โมเดลของทักษิณ ชินวัตร คือเข้าไปเล่นการเมืองโดยใช้คนรุ่นใหม่เข้าไปสนับสนุน
แต่ก็โดนทางฝ่ายอนุรักษ์นิยมบล็อกไว้ทุกจุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการยุบพรรคอนาคตใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการพิพากษาว่าการให้เงินกู้ต่อพรรคนั้นผิดกฎหมาย และล่าสุดก็มีการดำเนินคดี เพราะฉะนั้นแล้ว เรื่องนี้ก็ยังไม่จบ ยังจะต้องเดินหน้าต่อไป
แต่สิ่งที่ผมพยายามจะพูดให้เห็น และตอนนี้ความขัดแย้งระหว่างจีนกับอเมริกายิ่งวันยิ่งสูงขึ้น เมื่อยิ่งวันยิ่งสูงขึ้นแล้ว ประเทศไทยก็เลยกลายเป็นจุดศูนย์กลางของความขัดแย้งระหว่างจีนกับอเมริกา แล้วยิ่งฮ่องกงสูญเสียสถานภาพไปให้กับจีน อเมริกาและตะวันตกถูกเตะออกจากฮ่องกง เมืองไทยก็เลยเป็นสมรภูมิใหญ่ รายละเอียดพวกนี้เอาไว้ค่อยพูดกันอีกที แต่วันนี้ ท่านผู้ชมครับ เป็นการอธิบาย เหมือนซีรีส์ ทุกเรื่อง 2475 มาเรื่อยๆ มาจนกระทั่งถึงล่าสุด ปัจจุบันนี้ ให้ท่านผู้ชมเห็น
ท่านผู้ชมครับ เราต้องตื่นรู้เช่นกัน เหมือนกับที่ฝ่ายตรงกันข้ามบอกว่า ตอนนี้เด็กๆ ตื่นรู้แล้ว จริงๆ แล้วเด็กตื่นรู้นั้น รู้จริงหรือเปล่า ที่ผมสงสัยอยู่อย่างหนึ่ง ผมตั้งคำถามถามแล้วกัน เป็นที่น่าแปลกมาก ทุกๆ ครั้งที่มีความเคลื่อนไหวในวังเกี่ยวกับรัชกาลที่ 10 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ไม่ว่าจะเป็นการเรียกใครเข้ามาประชุมใคร พบใคร จะมีนโยบายอะไรออกไป สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล จะรู้เรื่องก่อนคนแรกเลย เอามาโพสต์เฟซบุ๊กตัวเอง ผมอยากจะตั้งคำถาม ถามกับท่าน พล.อ.อ.สถิตย์พงษ์ ราชเลขาธิการสำนักพระราชวัง ว่า ข้อมูลแบบนี้มันหลุดไปได้อย่างไร เป็นไปได้ไหมว่าในวังมีหนอนบ่อนไส้ อาจจะมี ไม่ใช่ตัวเดียวนะ หลายๆ ตัว เพราะข้อมูลสมศักดิ์ออกมาก่อนเพื่อน แล้วหลังจากนั้นแค่วันเดียว หรือสองวัน ข้อมูลก็จะหลุดออกมาว่าจริง
ท่านผู้ชมครับ วันนี้รายการ SONDHI TALK ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง ผมคิดว่าได้ทิ้งข้อคิด ได้ให้ปัญญาบางส่วน และได้ท้าทายในเรื่องประเด็นหลายประเด็นเพื่อให้ท่านผู้ชมได้ถกเถียงกัน ไม่จำเป็นต้องรักผมหรอกครับ ตำหนิติเตียนผมได้ แต่อย่าหยาบคาย ผมกำลังค้นบุคคลๆ หนึ่งซึ่งหยาบคายมาก แล้วคนๆ นั้นผมจะยื่นฟ้องอย่างแน่นอนที่สุด ท่านผู้ชมครับ เอาเพียงแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน สวัสดีครับ