สำหรับผู้ที่ติดตามวงการไอดอลไทยมาตั้งแต่เริ่มบูมเมื่อปลายปี 2560 ก็คงปฏิเสธไม่ได้หรอกว่า ไอดอลสไตล์ไทย-ญี่ปุ่น "สเวทซิกซ์ทีน" (Sweat16) จากสังกัดโยชิโมโต้ เอนเตอร์เทนเมนต์ ยักษ์ใหญ่ด้านบันเทิงของญี่ปุ่น คือ 1 วงไอดอลลำดับต้นๆ ทั้งความนิยม ทักษะการร้อง การแสดงบนเวที และคงไม่สามารถปฏิเสธอีกว่า "ม่านมุก-ชดาธาร ด่านกุล" คือ 1 ในไอดอลที่ได้รับความนิยมลำดับต้นๆ เช่นกัน ซึ่งการันตีด้วยผลคะแนนกว่า 5,072 โหวตสูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ในการลงคะแนนกิจกรรม "มาย โอชิเมม" (My Oshimem) เมื่อปี 2562 จนได้มีซิงเกิ้ลเดี่ยว "คิดสิมุก" ในปีนี้
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า เส้นทางตลอดระยะเวลามากกว่า 3 ปีที่ "ม่านมุก" เข้าสู่วงการมันจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ จนถึงแม้วันนี้เอง เธอก็ยังมองว่า ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
"โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าเราก็มาไกลในระดับนึงแต่ว่ายังไม่ประสบความสำเร็จกับการเป็นไอดอลขนาดนั้น เพราะว่ายังมีสิ่งที่อยากทำอีกเยอะแยะมากมาย ถ้าเกิดในแง่ของการเป็นไอดอลก็คืออยากที่จะมีคอนเสิร์ตใหญ่ๆ เป็นของตัวเองสักครั้งนึงในชีวิต อยากให้ Sweat16 สามารถที่จะจัดคอนเสิร์ตใหญ่ๆ ได้ และมีผู้คนมาชมกันเยอะด้วย อยากให้มีเพลงหลายๆ เพลงและเล่นคอนเสิร์ตได้ยาวๆ อะไรอย่างนี้ อยากให้วันนั้นมาถึง ถ้าเกิดวันนั้นมาถึงก็คิดว่าน่าจะประสบความสำเร็จกับการเป็นไอดอลแล้ว" ม่านมุก เล่าถึงความฝันที่เธออยากจะเห็นมันสักครั้งก่อนที่จะต้องลาจากความเป็นไอดอล
และแน่นอนว่า หลายคนรู้จัก "ม่านมุก" ในฐานะไอดอลผู้ได้รับความนิยม แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ ชีวิตของเธอก็ผ่านการตามล่าความฝันเรื่องการร้องเพลงมาตั้งแต่วัยเยาว์ จนมาถึงการตัดสินใจครั้งสำคัญกับเส้นทางชีวิตในช่วงใกล้จบคณะศิลปกรรมศาสตร์ (เอกการแสดงและกำกับการแสดง) มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ แต่สุดท้ายเธอก็เลือกทำตามความฝัน ได้ผ่านออดิชั่นสำเร็จเป็นครั้งแรก ก้าวมาสู่การเป็นเด็กฝึกในโครงการเอเชีย สตาร์ ออดิชั่นก่อนกลายมาเป็นวง Sweat16
"ตอนนั้นเป็นช่วงที่ใกล้จะเรียนจบแล้ว มันเหมือนเป็นช่วงคาบเกี่ยวกับของการเลือกอยู่เหมือนกัน แต่ว่าในจุดที่มาออดิชั่นตอนนั้นมุกให้เหมือนเป็นตัวเลือกสุดท้ายแล้วกับการที่จะทำตามความฝัน เพราะว่ามุกเป็นคนที่ทำตามความฝันมานานมาก ตั้งแต่สมัยเด็กๆ อายุ 15-16 ปี ก็ไปออดิชั่นมาทุกที่จนอายุ 22 ปี จะเรียนจบอยู่แล้วก็คือมันไม่ได้สักที จนแบบเออ ทางสายนี้มันอาจจะไม่ใช่ทางของเราก็ได้ ก็เลยโอเคงั้นเราก็พับเก็บไปก่อน ไว้ไปหาหนทางอื่นๆ ดีกว่า
ซึ่งต้องบอกว่าสายการแสดงก็เป็นสิ่งที่มุกรักเหมือนกัน แต่ทีนี้เนี่ย ลึกๆ แล้วในใจเรายังคงโหยหา และคาดหวังกับการที่จะทำงานในเรื่องของสายร้องเพลงอยู่ เพราะเราชื่นชอบในการร้องเพลงมากๆ และก็ชื่นชอบในการเต้นมากๆ จริงๆ พอเห็นว่าประเทศไทยมีไอดอลเกิดขึ้น ก็ดีใจมาก เนี่ยแหละมันอาจจะเป็นโอกาสของเราก็ได้ มันคือช่วงเวลาที่เหมาะสมหรือเปล่า ก็เลยตัดสินใจที่จะลองดู
แล้วก็ให้ที่นี่เป็นเหมือนโอกาสสุดท้ายของเรา เพราะว่ามุกเองรู้สึกว่าการเป็นไอดอลมันมีระยะเวลาที่ค่อนข้างจะจำกัดเหมือนกัน และก็รู้สึกว่าอายุเราก็ไม่ใช่เด็กแล้ว เดี๋ยวจะเอาไปฝึกอีก กว่าจะได้ออดิชั่น กว่าจะเก็บตัว กว่าจะเดบิวท์มันก็ใช้เวลานาน ก็เลยรู้สึกว่า อะ ไม่เป็นไร ถึงแม้ว่าจะอายุเยอะแล้ว แต่จิตใจเรายังมั่นคงอยู่ก็ลองดูสักหน่อยแล้วกัน ให้ที่นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของเรา ถ้าเกิดไม่ได้ตรงนี้ก็อาจจะลองหาเส้นทางอื่นๆ มั้ย ที่มันดูมั่นคงมากกว่านี้
เพราะว่าก็ต้องบอกว่าการเป็นไอดอล นักร้อง นักแสดง สำหรับผู้ใหญ่เขาก็จะมองว่า มันก็เป็นอาชีพที่ไม่ได้มั่นคงขนาดนั้นด้วย แล้วยิ่งการเป็นไอดอลเขายิ่งไม่เข้าใจเลยว่าไอดอลคืออะไร แล้วทำไมต้องเป็น คือเขาไม่เข้าใจ ในจุดๆ นั้นช่วงเวลาที่ไอดอลยังไม่ได้บูมขนาดนั้น และก็เป็นสิ่งที่พึ่งก่อตั้งในเมืองไทยด้วย แต่ว่าด้วยความดื้อดึงของตัวเอง ที่แบบไม่ได้ ชั้นจะมาลองดู เพราะว่ามุกชื่นชอบอยู่แล้วและก็รู้สึกว่ามันต้องถึงเวลาของเราแล้วแหละ ก็เลยมาลองดู ตัดสินใจเลือกง่ายๆ มันอาจจะเป็นโอกาสของเราก็ได้"
ซึ่งเธอก็ยอมรับว่า ณ เวลานั้น ได้ส่งใบสมัครกับอีกวงที่เปิดออดิชั่นในเวลาไล่เรี่ยกันด้วย
"ส่งค่ะ (หัวเราะ) ตรงนั้นตนก็ผ่านออดิชั่นเหมือนกันในรอบแรก ซึ่งมันพร้อมกันเดะๆ เลยแต่ว่าหนูติดตรงนี้ก่อน และก็เลือกบริษัทนะ ถ้าเราติดแล้วไม่คอนเฟิร์มตรงนี้แล้วไปออดิชั่นตรงนั้นต่อ เราก็จะโดนเด้งออกจากตรงนี้เลย แต่ตอนนั้นคือแบบความฝันมันมาไกลแล้ว แบบว่า เฮ้ยหรือถ้าออกจากตรงนี้ไปแล้วรอตรงนั้นเราอาจจะไม่ติดก็ได้เราก็นกทั้ง 2 ทาง (หัวเราะ) มันก็เลยแบบ ไม่รู้มีอะไรมาดลใจให้ไม่ไปตรงนู้น เราเลือกตรงนี้แล้วกัน"
นั่นอาจเป็นเพราะเธอเคยมีประสบการณ์ไม่ผ่านการออดิชั่นมาตั้งแต่เด็ก จึงทำให้เธอตัดสินใจเลือกที่จะอยู่ในโครงการที่มีโอกาสมากกว่า
"ก็คิดว่าคงใช่แหละหนูว่า (หัวเราะ) เอาจริงๆ มันเกี่ยวนะเพราะว่ามันเหมือนกับว่าเรารู้สึกว่าโอกาสมันไม่ได้มีมาบ่อยๆ แล้วเนี่ยเป็นครั้งแรกในชีวิตม่านมุกเลยมั้งที่ผ่านการออดิชั่น เพราะว่าไปตั้งแต่อายุ 15-16 ก็โดนหันหลังใส่หมดเลย ไม่มีใครรับ ไม่เคยได้ผ่านเข้ารอบลึกๆ แทบไม่เคยได้ออกทีวีกับการร้องเพลงเลยสักครั้งนึง ซึ่งที่นี่เป็นครั้งแรกที่ประกาศออกมาแล้วมุกติด มุกได้ มุกดีใจมาก จำได้ว่าตอนที่ได้ก็โทรหาคุณพ่อคุณแม่ แล้วคือเขาเห็นเราตลอดว่าเราติดตาม
เราไปออดิชั่นมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ คุณพ่อขับรถพาไปที่ขอนแก่น นครราชสีมา เพราะว่าชัยภูมิมันก็ไม่มีที่ให้เราออดิชั่น คุณพ่อก็ต้องขับรถไปตามจังหวัดต่างๆ พอจังหวะที่ติดคุณพ่อคุณแม่ก็ดีใจมาก ก็บอกว่าเออมันได้สักทีนะสำเร็จสักทีนะกับความพยายามของเราทั้งหมดมา 20 กว่าปีกับการทำตามความฝัน ก็เลยรู้สึกว่ามันต้องมีอะไรสักอย่างแหละ มันคือโชคชะตาของเราที่ทำให้มาเป็นม่านมุก Sweat16 ในวันนี้ จริงๆ แล้วมันอาจจะมีทางเลือกอีกหลายทาง แต่ว่าก็คิดว่าก็เป็นสิ่งที่ดีแล้ว มุกว่ามันก็คงเป็นดวงชะตาของเราแล้วก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราได้มาเจอกับน้องๆ Sweat16 กับแฟนคลับที่น่ารักทุกคนด้วย"
และเมื่อเข้ามาสู่วงแล้ว "ม่านมุก" ก็ยอมรับว่า เธอปรารถนาที่จะเป็น "ตัวท็อป" ของวงให้ได้
"เอาตามตรงเลยนะ ตอนแรกคิดค่ะ คิดเลย หนูมาหนูคิดเลยว่าหนูอยู่ตรงนี้หนูจะต้องเป็นตัวท็อปให้ได้ นี่คือเรื่องจริง อย่างที่บอกไปคือมุกไม่ใช่เด็กแล้วด้วย เราไม่ได้มีเวลาที่จะมาค้นหาตัวเองขนาดนั้น เราจะต้องทำทุกอย่างให้เต็มที่เท่าที่ตัวเองจะสามารถทำได้จริงๆ แล้วก็คือไม่รู้นะ มุกติดตามไอดอลมาเยอะมาก แล้วมุกก็เลยค่อนข้างที่จะอินกับการเป็นไอดอลมากๆ ด้วย เรารู้ว่าการมาเป็นไอดอลไม่ใช่เรื่องง่ายก็จริงแล้วก็การที่จะเป็นตัวท็อป การที่จะได้ยืนเซ็นเตอร์ (ผู้นำเพลง) ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย มุกก็เลยรู้สึกว่าการที่ได้ยืนตำแหน่งศูนย์ หรือเซ็นเตอร์เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ และเราก็รู้สึกว่า เราตั้งเป้าหมายไว้แล้วว่าถ้าเราอยู่ตรงนี้สักวันนึงเราจะต้องเป็นเซ็นเตอร์ให้ได้
ก็คือตั้งมาตั้งแต่วันแรกเลย ตอนที่เป็นเด็กฝึกก็จะมีครูจากประเทศญี่ปุ่น มันมีการเก็บคะแนนตลอดว่าคนนี้เป็นแบบนี้นะ ซึ่งเราเองก็มีความคาดหวังเพราะเราก็รู้สึกว่าเฮ้ย เราก็พอทำได้อยู่น่า ถึงแม้จะไม่ได้เก่งมากแต่ก็น่าจะสู้ไหวนะ ก็พยายามทำทุกอย่างใก้ดีแล้วก็เต็มที่ที่สุดเท่าที่ตัวเองจะสามารถทำได้ ณ เวลานั้น นั่นก็เป็นความคิดในช่วงแรกตอนที่เข้ามา แต่ว่าพออยู่ในวงนานๆ ไป เราได้รู้จักน้องๆ มากขึ้น เราได้เห็นมุมมองอะไรใหม่ๆ มากขึ้น
มันทำให้เราได้เปิดกว้างมากขึ้น รู้สึกว่าเฮ้ย จริงๆ แล้วตำแหน่ง หรือการเป็นตัวท็อป การเป็นเซ็นเตอร์มันไม่ได้สำคัญขนาดนั้นกับตัวเราเองแล้ว เพราะว่าจริงๆ แล้วถ้าเกิดมีคนที่รักเราสักหนึ่งคน ไม่ว่าเราจะอยู่ตรงไหนบนเวทีก็แล้วแต่ จะอยู่ริม อยู่ขอบ อยู่หลัง เขาก็มองหาเราอยู่ดี เพราะว่าเขารักเรา ก็เลยรู้สึกว่าเราสามารถที่จะมีพื้นที่ที่จะเปล่งประกายในแบบของตัวเองได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องยืนตรงกลางก็ได้ แต่ถ้าเกิดมีโอกาสได้ยืนตรงกลางก็คงจะดีนะ มันเป็นความคิดแบบนี้มากกว่าในปัจจุบันนี้นะ
ก็จำได้ว่าตอนที่ที่ญี่ปุ่นประกาศครั้งแรกอันดับเพลงเดบิวท์ ใครได้เป็นเซ็นเตอร์ ซึ่งตอนนั้นมุกได้เป็นอันดับที่ 2 รองจากน้องมิวสิค (จิดาภา จงสืบพันธ์) อดีตสมาชิกวง แต่ตอนที่ประกาศมุกไม่ได้เสียใจเลยนะ มุกอยากเป็นเซ็นเตอร์ในตอนนั้นก็จริง แต่เพราะว่ารู้สึกว่ามันเหมาะสมแล้ว แล้วก็รู้สึกว่าเออ เราสามารถที่จะพยุงหรือว่าทำให้วงเราน่าสนใจขึ้นได้โดยที่เราไม่จำเป็นต้องยืนอยู่ตรงกลางก็ได้ อะไรอย่างเงี้ยะ ก็เลยรู้สึกว่ามันไม่ได้สำคัญขนาดนั้น กับม่านมุกในปัจจุบันนี้แล้ว"
จนในที่สุด "ม่านมุก" ก็ได้เป็นเซ็นเตอร์สำเร็จ ในซิงเกิ้ลที่ 3 และ 4 เพลง TKO และ ปิ้งย่าง
"หนูว่ามันเป็นเรื่องของจังหวะเวลาด้วย จังหวะนั้นเราอาจจะไม่มีโอกาสอะไรอย่างนี้ จริงๆ หนูต้องขอบคุณผู้ใหญ่และทุกคนที่มองเห็นว่าสามารถและอยากที่จะให้โอกาสมุกได้เป็นเซ็นเตอร์ด้วย และพอได้เป็นจริงๆ รู้มั้ยมันก็กดดันมากๆ (หัวเราะ) พอได้เป็นจริงๆ มันเครียดนะ มันเหมือนแบบ เฮ้ยทำไมทุกสายตาจับจ้องมาที่ตัวเรา ต้องทำให้ดี มันเหมือนเป็นสิ่งที่เราคิดไปเองว่าเราเป็นเซ็นเตอร์เราต้องรับผิดชอบในเพลงๆ นี้ให้มันไปให้ได้มากที่สุด ถ้าเกิดเพลงดัง มันก็เป็นเพราะเราผลักดันด้วยส่วนนึง ถ้าเกิดเพลงไม่ดีเราผิดนะ มันจะเป็นความคิดที่เกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติว่าเราเหมือนจะต้องรับหน้าในเพลงนี้ อยากให้ไปให้ไกลที่สุดเท่าที่เราจะสามารถทำได้"
หลังจากนั้น "ม่านมุก" ก็ชนะโหวต My Oshimem จนได้มีซิงเกิ้ลเดี่ยว แต่ทว่าแฟนคลับต้องรอนานถึงครึ่งปีถึงได้ฟังเพลงที่ทุกคนรอคอย
"ก็ทำงานนานอะ คืองานมันมีหลากหลายส่วนในเรื่องของการแต่งเพลงแต่งคำร้องทำนองด้วย แล้วก็เรื่องของโรคโควิด-19 ด้วย มาคั่นกลาง ซึ่งจริงๆ แล้วแพลนจะออกก่อนโควิด แต่พอโควิดมาทุกอย่างก็คือเลื่อนหมดเลย พึ่งมาออกก็คือครึ่งปีแล้ว (หัวเราะ) มันมีหลายปัจจัยที่ทำให้ออกช้า แล้วก็เรื่องของซิงเกิ้ลด้วย จริงๆ แล้วตอนแรกเพลงนี้เป็นซิงเกิ้ลรองเพราะฉะนั้นก็ต้องรอซิงเกิ้ลหลักออกก่อน แต่ทีนี้ก็คือคิดไปคิดมาไม่งั้นมันจะนานเกินไปก็เลยพยายามผลักดันจนมันออกมาเป็นเพลงจนได้"
ซึ่ง "ม่านมุก" ยอมรับว่า ซิงเกิ้ลเดี่ยวที่เธอคิดในครั้งแรก ไม่ใช่แบบที่ได้ฟังในปัจจุบัน
"ตอนแรกก็มีหลากหลายความเห็นนะ คือหลังจากที่ได้อันดับที่ 1 มา พี่เขาก็อยากให้เราเสนอมุมมองว่าอยากให้เพลงเป็นแบบไหน ซึ่งตอนแรกมุกคิดไว้เป็นสายร้องเลย ร้องเพลงบัลลาร์ด ช้าๆ แบบ ขอบคุณเธอที่รักกัน... มุกคิดประมาณนั้นเลย เพราะว่าเพลงมันมาจากแฟนคลับไง เราต้องขอบคุณผ่านเนื้อเพลงผ่านเสียงเพลงเพื่อทุกคน แต่คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวเราเท่าไหร่ (หัวเราะ) เพราะมุกเองไม่ใช่สายร้องอะไรขนาดนั้นด้วย และมันไม่ใช่สไตล์เรา ออกเพลงทั้งทีอยากให้มาจากความเป็นตัวเองมากที่สุด ก็เลยปรับเปลี่ยนกันมาเรื่อยๆ กลายมาเป็นเพลงที่ไม่ได้มีจังหวะช้ามาก แต่ก็ไม่ได้เร็วเกินไป ให้มีจังหวะที่โยกได้
ส่วนเนื้อหาก็มาจาก inspiration ของมุกเองที่อยากจะหยิบยกการที่เจอกับแฟนคลับ แล้วเราเป็นคนชอบสังเกตบางทีเจอกันก็จะมีความเขินอาย พูดไม่ถูก ไม่กล้าสบตา ไม่กล้ามองตา ก็เลยอยากจะหยิบกิมมิคตรงนั้นมาใส่ในเนื้อเพลง ในบทเพลงด้วย จริงๆ แล้วเรื่องของการแอบรักแอบชอบที่อยู่ในเพลงทุกคนสามารถที่จะสัมผัสและเข้าถึงได้ง่าย คือก็พยายามคิดหลายมุมที่ว่าแบบไหนที่จะสามารถทำให้แฟนคลับและคนทั่วไปชอบได้ด้วย "พี่บอยด์ โกสิยพงษ์" นักร้องนักแต่งเพลง เขาก็เอาคอนเซปท์ของเราไปแต่งเป็นเพลงมา ก็รู้สึกชอบมากจริงๆ"
รวมทั้งชื่อเพลง "คิดสิมุก" ที่เธอบอกเลยว่า ตอนแรกไม่ได้อยากได้ชื่อนี้
แรกๆ ชื่อเพลงยังไม่มี ชื่อเพลงติดอ่างมั้ง (หัวเราะ) ชื่อเพลงอะไรไม่รู้ หนูเรียกว่าเพลงติดอ่างเพราะตอนแรกเป็นเดโม แล้วคิดดูสิเพลงเป็นเดโม่เสียงพี่บอยด์ (หัวเราะ) ตอนแรกหนูก็ฟังเสียงพี่บอยด์แบบ ทีเดียวทะทะทีเดียว ตะตะตายๆ ตอนนี้ (ใช้เสียงต่ำ) ก็แบบเราไม่ค่อยเห็นภาพเท่าไหร่ว่าเพลงมันจะงุ้งงิ้งมุ้งมิ้งได้ยังไงเนี่ย คือเสียงพี่บอยด์ มันก็จะนุ่มๆ ซึ่งมันก็มีความแบบ เฮ้ย ได้มั้ยนะ พี่เขาก็บอกเราต้องลองร้องก่อน ถ้าเราร้องเราจะรู้ว่ามันได้หรือไม่ได้
ต้องบอกว่าเรื่องของเนื้อเสียง คาแรคเตอร์ อารมณ์ในการร้องมันช่วยในเรื่องของเพลงด้วยนะ คนนึงร้อง กับอีกคนนึงร้องมันก็จะไม่เหมือนกัน ซึ่งพอมุกเอามาลองฝึกฝนฝึกร้องแล้วก็ฮึ้ย มันได้ มันเข้ากับเรานะเอาจริงๆ ก็รู้สึกดีเพราะแฟนๆ ก็บอกว่าพอฟังเพลงนี้แล้วรู้สึกถึงภาพลักษณ์ของม่านมุกเลย แบบน่ารักจนอยากจะหยิก อยากจะทำร้าย (หัวเราะ) หมายถึงว่าหมั่นเขี้ยวนะ อยากจะขยำอะไรอย่างงี้ ก็คิดว่าคงดีแหละทุกคนดูชอบกันก็ดีใจ
"ตอนแรกเรื่องชื่อเพลงคือคุยกันหนักมาก คือมุกอะบอกว่าไม่อยากเอาชื่อมุกอยู่ในชื่อเพลง หนูบอกเลยนะใครเป็นคนคิดคิดสิมุกเนี่ย แล้วคนที่เขาไม่ชอบคนชื่อมุกเขาจะฟังกันเหรอ สมมุติเราจะส่งเพลงไปให้ใครสักคนนึงแล้วแฟนเก่าเขาชื่อมุกอย่างเงี้ย มันก็ไม่ได้แล้วหรือเปล่าคะ"
คือหนูก็พยายามจะมองกว้างๆ นะคะ ชื่อเพลงมันดูแบบแคบเกินไปหรือเปล่า ดูจำกัดคนในกลุ่มแคบๆ แต่เขาก็บอกเฮ้ย เราลองคิดในมุมกลับกันมั้ยว่าพอเราได้ยินชื่อคิดสิมุกสงสัยมั้ยว่าทำไมต้องคิดสิมุก อยากที่จะเข้าไปฟังหรือเปล่า เราก็พยายามมองย้อนกลับไป เออ มันก็แปลกนะจริงๆ มันก็เป็นชื่อเพลงที่ทำไมต้องตั้งชื่อนี้ หืม มันก็มีความ ห๊ะ อยู่ประมาณนึงอะ ก็เลยรู้สึกว่ามันก็ได้แหละ ลองเชื่อใจคนอื่นดูบ้าง แล้วก็รู้สึกมันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น เพราะมันก็เป็นเนื้อเพลงที่พูดถึงความเป็นตัวเราด้วย เป็นเพลงของม่านมุกด้วย ซึ่งอาจจะทำให้ความเป็นม่านมุกหรือความเป็นมุกในเพลงนี้ถูกขยายและถูกรู้จักไปมากขึ้นก็ได้"
แน่นอนว่า การมีซิงเกิ้ลเดี่ยวเป็นของตัวเอง ก็ทำให้ "ม่านมุก" ตั้งความหวังเอาไว้พอสมควร
"ก็ตั้งเป้าไว้ค่ะ (หัวเราะ) คือทุกคนบอกว่าเพลงมันต้องแมสแน่ๆ เลย ต้องดังแน่ๆ แต่ว่าหนูรู้ตัวว่าถ้าเกิดคาดหวังไว้เยอะจะกดดันตัวเอง หนูก็เลยพยายามที่จะไม่คาดหวังมากกับสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นในอนาคต พยายามมองว่าเราจากคนที่ไม่มีอะไรเลย จากเด็กชัยภูมิคนนึงที่มีความฝัน เดินตามฝันมา 10 กว่าปีเนี่ย ได้มีเป็นวงไอดอลวงนึง มีซิงเกิ้ลเป็นของตัวเอง วันนึงมีเพลงเดี่ยวเป็นของตัวเองเฮ้ยแบบ เด็กบ้านนอกคนนั้นมาสู่มีคนมาสัมภาษณ์มากมาย มีคนมาขอถ่ายรูป ไปเดินสายโปรโมต มุกว่ามันมาไกลในจุดๆ นึงที่เรารู้สึกได้แล้ว ก็เลยไม่อยากจะคาดหวังมาก
แต่คาดหวังมั้ยมันก็มีอยู่แล้ว เพราะว่าการทำงานมันมีหลายส่วน มันก็เหนื่อย ไม่ใช่แค่ทำ 1-2 วัน กว่าจะฝึกซ้อมร้องเพลง ฝึกซ้อมเต้น อัดเพลง คิดแผนงาน ถ่ายเอ็มวี คือทุกอย่างมันใช้กำลังในเรื่องของแรงกายและแรงใจสูงมาก เวลาที่เราลงมือลงแรงไปในแต่ละครั้งเราก็อยากให้สิ่งที่เราทำ ที่เราคิดมันประสบผล หรือเกิดผลดีมากที่สุด มันก็มีความคาดหวังเป็นปกติ แต่ว่าซิงเกิ้ลนี้เกิดขึ้นได้เพราะแฟนๆ ของมุก ก็เลยรู้สึกว่า โอเค ถ้าเกิดมันจะไม่ดังไม่เป็นไรหรอก ขอแค่แฟนๆ ที่รัก ชื่นชอบ ที่โหวตให้ หรือทุกคนที่รักวง ยังคงติดตามม่านมุกผ่านๆ คลิ๊กเข้ามาฟังแล้วรู้สึกน่ารักจังก็ดีใจแล้ว ก็ขอบคุณทุกๆ ยอดวิวที่เกิดขึ้น มันอาจจะไม่เปรี้ยงปร้างแต่ก็ขึ้นเรื่อยๆ ก็เลยรู้สึกว่า อึ้ม ก็ดีใจแล้วแหละ แต่ถ้าเกิดว่าดังได้ก็ดี"
แต่ความจริงสิ่งหนึ่งที่ "ม่านมุก" เองก็ไม่ปฏิเสธ นั่นคือ Sweat16 กลับยังไม่เป็นที่รู้จักในสังคมเท่าที่ควร
"จริงๆ ก็ต้องบอกว่า Sweat16 เดบิวท์มาก็ 3 ปี แล้วตั้งแต่ช่วงสมัยที่ไอดอลยังไม่เป็นที่รู้จักในเมืองไทยมาก เป็นช่วงที่บุกเบิกเลยมั้ง เพราะว่าตอนนั้นก็มีอยู่ไม่กี่วง ซึ่ง Sweat16 อาจเป็นวงที่ไม่ได้โตไวมาก เป็นวงที่ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป มันก็มีความรู้สึกบ้างแหละว่าเออ เราโตช้าหรือเปล่า เราเดินช้าหรือเปล่า เราไม่ดีตรงไหนหรือเปล่า ทำไมเราถึงยังไม่ได้ดังเปรี้ยงปร้างสักที ซึ่งมันก็มีคิดบ้างแหละแต่ว่ามันไม่ใช่ทุกอย่าง มุกก็รู้สึกว่าถึงแม้เราจะเดินช้าไปบ้างแต่มันก็ยังเดินอยู่นะ มันไม่ใช่แบบว่าย่ำอยู่กับที่ไม่พัฒนาเลย ซึ่งมุกก็มองว่าบางอย่างมันเป็นเรื่องของจังหวะด้วยส่วนนึง แล้วก็เป็นเรื่องของความพยายามด้วย
มุกว่าถ้าเรายังไม่ยอมแพ้นะมันก็มีโอกาสแหละ คือยังไม่ได้ย่อท้อนะถึงแม้ว่าจะผ่านมา 3 ปี แล้วยังไม่ได้ดัง แต่มันมีคนรู้จักแล้วนะ มันมีคนแบบเอ๊ย ม่านมุกหรือเปล่า เอ๊ยวง sweat16 บางคนบอกเอ๊ย ชอบเพลงปิ้งย่างมากเลย หมูย่างๆ อาจจะพูดชื่อเพลง ชื่อวงไม่ถูกเลยนะ แต่เขาฟังเพลงเรานะ คือมุกว่ามันมีนะกลุ่มคนที่รู้จักแล้วมันก็ค่อยๆ ขยายวงกว้างมากขึ้นจากตอนแรกเยอะมากจริงๆ เพราะฉะนั้นคือถ้าเราไม่ได้เอาใจไปจับกับความโด่งดังมากอะ มุกว่าแค่นั้นมันก็รู้สึกเติมเต็มในใจได้แล้ว
อย่างซิงเกิ้ลเดี่ยวคิดสิมุก ก็มีหลายคนถามว่าคิดว่าอยากจะดังมั้ย เป็นที่รู้จักมั้ยเพลงนี้ หลายคนบอกว่าเพลงน่ารักมากเลย เพลงต้องแมสแน่ๆ ดูฟังได้หลายๆ รอบ ซึ่งสำหรับมุกเองมันจะแมสไม่แมสไม่สำคัญเลยเพราะรู้สึกว่าสิ่งที่มุกอยากทำ ณ ตอนนี้กับการเป็นไอดอลไม่ใช่ความโด่งดัง ชื่อเสียง เงินทองขนาดนั้น มุกอยากทำให้แฟนคลับที่เขารักมุก ที่เขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อมุกมีความสุขและภูมิใจในสิ่งที่มุกทำได้แบบนี้ ก็เลยรู้สึกว่ามันก็มีความดาวน์เกิดขึ้นแหละเป็นเรื่องปกติ
มุกว่าไอดอลทุกวงต้องเป็นในช่วงจังหวะหนึ่งที่รู้สึกว่า อืม มันจะรอดมั้ยวะกับวงการไอดอล กับเศรษฐกิจแบบนี้ กับงานที่ไม่ค่อยมี และก็ต้องยอมรับว่าในช่วงนี้ไอดอลไม่ได้เฟื่องฟูขนาดนั้นแล้วด้วย แต่ก็ยังมีวงเกิดใหม่ขึ้นมาเรื่อยๆ นะ มันก็ยากกับการที่จะเป็นที่รู้จัก หรือว่ากับการที่คนจะหันมาสนใจไอดอลหรือเสพมากขึ้น เพราะฉะนั้นมุกว่าเป็นเรื่องที่มีองค์ประกอบหลายอย่าง แต่ว่าไม่แน่ในอนาคตมันอาจจะกลับมาบูมอีกครั้งนึงก็ได้ หรือว่าในอนาคตมันอาจจะมีอะไรบางอย่างมาจุดประกายวง Sweat16 อีกครั้งนึงก็ได้ มุกว่ามันก็เป็นเรื่องของจังหวะ ถ้าเกิดเรายังพยายามต่อไปไม่แน่ว่ามันอาจจะมีถึงสักวันนึงก็ได้"
แม้จะอยู่มา 3 ปีแต่ "ม่านมุก" เองก็มีสิ่งที่หนักใจที่สุด นั่นคือเรื่องของคำพูดคน การแสดงความเห็น การเหยียดหยามกันบนสังคมออนไลน์
"หลายอย่างที่มันเคยเกิดขึ้นในชีวิตมุก ตอนที่เข้าวงมาใหม่ๆ มุกเศร้ามาก มุกรับไม่ได้มากๆ กับบางคอมเม้นต์บางอย่างที่เขาตัดสินเราโดยไม่รู้จักเราแม้แต่นิดเดียว ซึ่งมุกเป็นคนที่ชื่นชอบหาข้อมูล อ่านความเห็น คำวิจารณ์บ่อยๆ แต่คนที่วิจารณ์ดีๆ ก็มีเยอะ แบบไม่ชอบนะแต่วิจารณ์ให้เราสามารถแก้ไขตัวเองได้ พัฒนาตัวเองได้
แต่บางคนเขาวิจารณ์ด้วยอคติ เหมือนสาดเสียเทเสียใส่เราว่าเป็นคนอย่างโน้นอย่างนี้อย่างนั้น โดยที่ไม่รู้จักกันเลยแม้แต่นิดเดียว ยังไม่เคยมาเจอกันด้วยซ้ำ ทำไมเขาตัดสินเราไปเป็นแบบนั้นได้ มันก็เลยรู้สึกว่า เฮ่ย ทำไมชีวิตเด็กคนนึง ต้องเอาตัวเองมาให้คนรุมด่า ทำไมต้องเอาตัวเองออกมาที่สว่างขนาดนี้ให้คนที่ไม่รักเรา เกลียดเรา ไม่ชอบเรา มารุมด่าเราแล้วก็พูดอะไรถึงเราก็ได้โดยที่เราไม่มีโอกาสได้แก้ตัวเลย"
บางอย่างหรือแม้จะเล็กๆ น้อยๆ น้องๆ เขารู้นะ ไอดอลทุกคนมุกว่าจะต้องมีความอยากรู้นะเรื่องของฟีดแบ๊กตัวเอง บางทีแอบดูแอบศึกษา ทุกคนรู้ว่ามันมีคำพูดที่ไม่ดีถึงตัวเองยังไง แต่ว่าเขาอยู่ในจุดที่พูดไม่ได้ หรือว่ามันต้องมองข้ามให้ได้ ซึ่งมุกเองในช่วงแรกไม่สามารถที่จะก้าวข้ามไปได้เหมือนกัน ก็ร้องไห้หนักมาก ทำไมถึงอย่างนู้นอย่างนี้ มันก็ต้องก้าวข้าม ถ้าเผื่อว่าอยากจะทำตรงนี้ต่อไปจริงๆ หรือยึดมั่นในทางนี้แล้วเราก็ต้องทำความเข้าใจให้ได้ แล้วก็ต้องเข้มแข็ง แข็งแรงขึ้น แข็งแกร่งขึ้นแล้วก็ก้าวข้ามผ่านมันไปให้ได้ ในปัจจุบันนี้มุกเองก็เริ่มเข้าใจมากขึ้น
เหมือนปลงด้วยส่วนนึงว่าเออ ถ้ามีคนรักเราก็ต้องมีคนเกลียดเราเป็นเรื่องธรรมดา เราก็มองแค่คนรักเรา คนที่ให้ความสำคัญกับเรา ให้ความเคารพ ให้เกียรติเราด้วย ซึ่งคนแบบนี้คือคนที่เราควรจะให้ความสำคัญมากที่สุด แต่ในปกติแล้วก็ต้องยอมรับว่ามนุษย์ทุกคนไม่มีใครอยากให้คนเกลียดหรอก ขนาดแค่เราเรียนหนังสือในห้องเพื่อคนนึงไม่ชอบเรา เรายังรู้สึกทำไมมันไม่ชอบเรา เราจะต้องซื้อขนมไปง้อดีมั้ย เรายังคิดแบบนั้นเลยแค่คนเดียวนะ แต่เนี่ยใครก็ไม่รู้ที่อยู่ดีๆ ก็เกลียดเราไม่ได้มีเหตุผลอะไรเลย เราก็จะไปง้อยังไงละ ซึ่งร้อยทั้งร้อยคนเราอยากให้คนรักอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นมันก็ต้องมีบ้างที่มันจะรู้สึกแบบทำไมน้า เราไม่ดีตรงไหนหรือเปล่า แต่ก็อย่าโทษตัวเองเลย จริงๆ แล้วมันก็เป็นเรื่องราวที่เปิดกว้าง ความรักความชอบก็เป็นสิ่งที่ห้ามกันไม่ได้ แต่ถ้าไม่รักกันมุกว่าเราก็น่าจะให้เกียรติกันนิดนึงจะเป็นสิ่งที่ดีกว่า เพราะว่าไอดอลก็เป็นคนๆ นึง เป็นเด็กคนนึง น้องๆ บางคนอายุยังไม่ถึง 20 เลยบางทีต้องมาเจออะไรหนักๆ ขนาดนี้มุกว่ามันก็แย่นะ มันแย่ทางใจ ก็ไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น อยากให้ทุกคนมองในเรื่องของคำพูดให้จริงจังมากขึ้น และให้เกียรติซึ่งกันและกัน ถึงเขาจะเป็นไอดอล อย่าไปตัดสินกันขนาดนั้น ให้โอกาสกันบ้างจะดีกว่ามั้ย"
ถึงแม้ว่า "ม่านมุก" อยู่ในวงการมากว่า 3 ปี และอายุก็เริ่มเข้าสู่ช่วงปลดระวางของช่วงชีวิตไอดอลแล้ว แถมยังมีปัญหาสุขภาพจนต้องนอนโรงพยาบาล แต่เธอก็ยืนยันที่จะยังคงอยู่กับ Sweat16 ต่อไป
"ตอนนี้ก็อายุเยอะขึ้น จากตอนแรกเข้ามาในวง 20 ต้นๆ ตอนนี้ก็เข้าสู่ 20 ตอนปลายแล้ว จริงๆ เราศึกษาไอดอลเราจะรู้เลยว่าไอดอลมีระยะเวลาที่จำกัดอยู่เหมือนกัน เพราะเรื่องของกระดูก สุขภาพร่างกาย มันก็แปรเปลี่ยนไปตามอายุที่มากขึ้น สำหรับตัวมุกเองถ้ายังมีวงอยู่ก็ยังอยากจะไปต่อเรื่อยๆ นะ หลายคนก็ถามเข้ามาเยอะว่า พอเห็นเราเริ่มอายุเยอะขึ้น เจ็บขาจนพักงาน เริ่มมีปัญหาสุขภาพ เขาก็จะเป็นห่วงว่า ต่อไปจะถึงคิวม่านมุกหรือเปล่า (หัวเราะ) ม่านมุกจะถอดใจมั้ย หยุดเป็นไอดอลหรือเปล่า เพราะตอนที่มุกเจ็บป่วยก็คือหนักมากอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งก็ต้องบอกให้ทุกคนชื่นใจตรงนี้เลยว่า ยังไม่เคยคิดที่จะเลิกเป็นไอดอลเลย ตั้งแต่ตอนที่เจ็บขา เพราะว่าถ้าเกิดมุกไม่อยากเป็นแล้ว มุกก็คงเลิกไปตั้งแต่ตอนนั้น มันเป็นหนักมาจริงๆ
ตอนนั้นคือเจ็บมากจนขนาดที่เดินไม่ได้เลยนะ เป็นจังหวะที่มันแย่มาก แล้วเราจะเต้นได้อีกต่อไปมั้ยกับสิ่งที่เรารัก เป็นความรู้สึกที่แย่มากในตอนนั้น แต่ว่าเนื่องจากว่าความรักที่เรารักในสิ่งนี้จริงๆ เราอยากทำมันให้ได้ ก็เลยพยายามรักษาตัว พยายามใจสู้และพยายามจนถึงที่สุดให้มันกลับมาทำได้อีกครั้งนึง ต้องบอกว่าวงการนี้ถ้าไม่ได้รักจริงๆ ก็คงอยู่ไม่ได้หรอก ถ้าเกิดไม่ได้ชอบจริงๆ มุกก็คงจะไปตั้งนานแล้ว จริงๆ เพราะว่าค่ารักษาแพงมาก นอนโรงพยาบาลเป็นสัปดาห์ มันก็ใช้งบที่สูงมาก ทั้งแรงกายแรงใจและไม่ได้มีอะไรมาคอนเฟิร์มว่าเราอยู่ตรงนี้จะไม่เจ็บอีก หรือว่าจะประสบความสำเร็จมั้ย แต่ว่ามันอยู่ด้วยความชอบล้วนๆ เลย
มุกยืนยันว่ามุกชอบตรงนี้มาก ชอบการเป็นไอดอล และอยากเป็น sweat16 ต่อไปเรื่อยๆ ถ้ายังมีวงก็ยังได้เห็นหน้าม่านมุกต่อไปเรื่อยๆ แน่นอน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะยังอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร (หัวเราะ) ของวงต่อไป
แต่ถ้าเกิดในอนาคตมันถึงเวลาของเราแล้วจริงๆ มันแก่เกินกว่าจะเยียวยาแล้วก็อาจจะผันตัวเองไปทำอย่างอื่นก็ได้เพราะว่าเรื่องของสายงานบันเทิงก็เป็นสายที่มุกยังชื่นชอบอยู่ ก็อย่างที่บอกว่ามุกมาจากการแสดงด้วยส่วนนึง ก็ยังคงมีความฝันเรื่องของการแสดง หรือความฝันอยากจะมีวงไอดอลเป็นของตัวเอง อาจจะไปเป็นผู้จัดการวง หรือสร้างวงเองอย่างนี้ก็ได้ในอนาคต เราฝึกฝนและหาประสบการณ์ก่อน อาจจะเก็บเกี่ยวประสบการณ์นี้ไปใช้ในอนาคตได้"
เรื่อง ภาพ วิดีโอ ตัดต่อ : ดรงค์ ฤทธิปัญญา