อ.เจษฎ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ เผยผู้ปกครองโพสต์หนังสือ “มานีชูใจ” ซึ่งคือแบบเรียนของเด็กประถมวัย ได้ระบุวิธีปฐมพยาบาลงูกัดแบบผิดๆ ชี้ ห้ามดูดพิษ-กรีดแผล-ขันชะเนาะ-ไฟจี้เด็ดขาด
วันนี้ (22 ก.ย.) เพจ “อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์” หรือ อ.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ให้ความรู้เกี่ยวกับการปฐมพยาบาลหากถูกงูกัด ซึ่งเผยว่า ผู้ปกครองรายหนึ่งได้โพสต์ภาพจากหนังสือ “มานีชูใจ” ซึ่งคือแบบเรียนของเด็กประถมวัย ได้ระบุวิธีปฐมพยาบาลงูกัดแบบผิดๆ โดย อ.เจษฎ์ ได้อธิบายว่า “หากถูกงูกัด โดยระบุว่า”งูกัด ห้ามดูดพิษ-กรีดแผล-ขันชะเนาะ-ไฟจี้ โดยระบุว่ามีผู้ปกครองท่านหนึ่ง แชร์รูปจากหนังสือเรียนของลูก เป็นภาพของ ลูกเสือกำลังปฐมพยาบาลด้วยการดูดพิษจากแผลของเพื่อนที่ถูกงูกัด จริงๆ แล้ว เป็นความเชื่อเก่าที่ผิดๆ ไม่ควรทำตาม เข้าใจว่าภาพดังกล่าวน่าจะมาจากหนังสือ มานีชูใจ ซึ่งเขียนขึ้นมานานแล้วตั้งแต่สมัยผมยังเด็กๆ ด้วยซ้ำ และแน่นอนว่า องค์ความรู้เกี่ยวกับการปฐมพยาบาลเรื่องงูกัดนั้น ยังไม่ถูกต้อง ไม่เหมือนที่เราอยู่ในปัจจุบันนี้
กระทรวงสาธารณสุข เคยมีการให้ความรู้ในการป้องกันตนเองจากอันตรายของสัตว์มีพิษ ไว้ดังนี้ การกรีดแผล หรือใช้ไฟจี้แผล หรือใช้ปากดูดพิษงูออกจากแผล หรือพอกยาพอกสมุนไพรในแผลที่ถูกงูกัดนั้น เป็นความเชื่อที่ผิด ไม่มีประโยชน์ในการลดพิษ และอาจทำให้ติดเชื้อได้ รวมทั้งไม่ควรทำการขันชะเนาะด้วย เพราะเพิ่มความเสี่ยงเกิดเนื้อเน่าตาย หากเป็นงูที่มีพิษต่อระบบประสาท มีรายงานว่า ผู้ป่วยอาจอาการแย่ลงจนเกิดภาวะหายใจวายทันที หลังคลายการขันชะเนาะ จึงไม่ควรทำ
โดยวิธีที่ถูกต้องคือ ขอให้ตั้งสติและสังเกตลักษณะของงู รีบพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด หรือโทร.แจ้ง 1669 ล้างบริเวณที่ถูกงูกัดด้วยน้ำสะอาด เคลื่อนไหวบริเวณที่ถูกงูกัดให้น้อยที่สุด ให้อยู่ในระดับต่ำกว่าหัวใจ อาจดามด้วยแผ่นไม้หรือวัสดุแข็งแล้วใช้ผ้าพันแผลยางยืดรัดให้แน่น เพื่อประคองให้ส่วนที่ถูกกัดอยู่นิ่งที่สุด ไม่จำเป็นต้องรอจับงูที่กัดมาด้วย เพราะจะเสียเวลาในการรักษา แพทย์สามารถให้การรักษาได้จากอาการและการสอบถามลักษณะงูที่กัดจากผู้ป่วย
ปล. หวังว่า ในชั่วโมงเรียนลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด ครูผู้สอนจะสอนวิธีการปฐมพยาบาลที่ถูกต้องจริงๆ ไม่ใช่ตามความเชื่อที่มีกันมา”
คลิกโพสต์ต้นฉบับ