สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) แนะนำนวัตกรรมของสตาร์ทอัปไทย ได้แก่ Save the kids ป้องกันปัญหาการลืมเด็กไว้บนรถ และ GPS Watch POMO นาฬิกาติดตามตัวเด็กป้องกันเด็กหาย เชื่อในอนาคตจะมีความจำเป็น แต่ต้องช่วยเหลือพื้นฐาน และไม่ละเมิดสิทธิเด็ก
วันนี้ (3 ก.ย.) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) แนะนำนวัตกรรมของสตาร์ทอัปและผู้ประกอบการไทย โดยเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยในการเตือนภัย เครื่องมือที่ช่วยให้เด็กอยู่ในสายตาพ่อแม่ตลอดเวลา และเป็นนวัตกรรมที่ใช้ง่ายสำหรับเด็กที่อายุยังน้อย เพื่อความปลอดภัย ป้องกันการสูญหายหรือเสียชีวิตของเด็กที่เกิดจากอุบัติเหตุและความประมาท โดยเฉพาะในกลุ่มปฐมวัย ที่ต้องมีมาตรการในการป้องกันที่เป็นรูปธรรม รวมทั้งมีเครื่องมือที่ช่วยให้เป็นเรื่องที่ง่ายและใกล้ตัวทุกคนมากขึ้น ซึ่งทั้งสองผลิตภัณฑ์ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA)
นวัตกรรมแรก คือ Save the kids ที่เข้ามาช่วยป้องกันปัญหาการลืมเด็กไว้บนรถ นายปิติชัย ปิติมณียากุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทูแคนส์ จำกัด อธิบายว่า ได้ใช้นวัตกรรมที่เรียกว่า ไบโอเซ็นเซอร์ (Bio Censor) ตรวจสิ่งมีชีวิตจากอัตราคาร์บอนไดออกไซด์ และความชื้นที่เกิดขึ้นจากการหายใจ เนื่องจากเมื่อเด็กถูกทิ้งไว้บนรถเป็นเวลานาน ร่างกายจะมีอุณหภูมิที่สูงมากกว่าปกติ ทำให้เกิดภาวะสูญเสียน้ำในร่างกาย และเด็กจะมีโอกาสเสียชีวิตได้ภายใน 2 ชั่วโมง หากร่างกายคนเราเริ่มร้อนความชื้นในร่างกายจะต่ำลง และจะมีการคายคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา
การทำงานจะเกิดขึ้นบนแพลตฟอร์ม IOT เครื่องจะเริ่มตรวจจับตั้งแต่ที่มีการดับเครื่องยนต์ หากมีคนติดอยู่ในรถประมาณ 15 นาที ระบบจะเริ่มวัดระบบคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีอยู่ภายในรถ และหากพบว่ามีระดับคาร์บอนไดออกไซด์สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ระบบจะส่งสัญญาณเตือนไปยังผู้ดูแลรถ หรือครู ผ่านแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือ หรือคอมพิวเตอร์ว่ามีคนติดอยู่ในรถ ซึ่งการแจ้งเตือนนี้จะทำให้สามารถเข้าไปช่วยเหลือเด็กได้ทันท่วงที โดยระบบการทำงานของ Bio Censor มีความแม่นยำ และช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของเด็กที่ติดอยู่ในรถได้มากถึง 95%
นอกจากนี้ ยังมีนวัตกรรม จีพีเอส เซ็นเซอร์ (GPS Censor) ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นกับรถรับ-ส่งนักเรียน หากคนขับรถมีพฤติกรรมการขับขี่ที่ประมาท หวาดเสียว ระบบจะแจ้งเตือนไปยังแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือของผู้ปกครองทันที นอกจากนี้ ระบบยังสามารถแจ้งเวลาที่รถรับ-ส่ง จะเดินทางมารับเด็กได้อีกด้วย ซึ่งหลังจากการทดลองใช้กับโรงเรียนและผู้ปกครองในกลุ่มตัวอย่าง ส่วนมากค่อนข้างพอใจ เพราะช่วยให้มั่นใจว่าการเดินทางไปโรงเรียนของเด็กจะมีความปลอดภัยมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา และมองว่า ในอนาคตนวัตกรรมสำหรับเด็กจะมีความจำเป็นมากยิ่งขึ้น แต่จะเน้นนวัตกรรมที่เข้ามาช่วยเหลือด้านพื้นฐานของชีวิตเด็กและต้องไม่ละเมิดสิทธิเด็ก
อีกนวัตกรรมหนึ่ง คือ GPS Watch POMO นาฬิกาติดตามตัวเด็กป้องกันเด็กหาย “โพโมะ” นายฉัตรชัย ตั้งจิตรตรง ผู้ก่อตั้งบริษัท โพโมะ เฮาส์ จํากัด อธิบายว่า ได้แรงบันดาลใจจากประสบการณ์ที่ตนเคยพลัดหลงกับลูก จึงอยากหานวัตกรรมที่เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าว ประกอบกับปัจจุบันเกิดเหตุการณ์เด็กหาย และสุดท้ายกลายเป็นเหตุอาชญากรรม ตนและทีมงานจึงได้เริ่มคิดค้นนวัตกรรมนาฬิกาที่ใช้สำหรับติดตามเด็กเพื่อป้องกันเด็กหายหรือเด็กพลัดหลง โดยเป็นอุปกรณ์ที่ใช้คู่กับแอปพลิเคชัน POMO Connect ซึ่งผู้ปกครองจะต้องดาวน์โหลดเพื่อให้สามารถเชื่อมต่อกับนาฬิกา
โดยกระบวนการจะใช้ระบบการติดตามตัวผู้ส่วมใส่ด้วยกัน 3 ระบบ คือ ระบบ WIFI หากเด็กอยู่ในอาคารที่มี WIFI นาฬิกาจะแท็กสัญญาณอัตโนมัติ ทำให้ผู้ปกครองสามารถรู้พิกัดเด็กได้ทันที ระบบ GPS ทำหน้าที่ในการระบุตำแหน่งที่เด็กอยู่ จะใช้ในกรณีที่เด็กอยู่พื้นที่โล่งแจ้ง และระบบ A GPS ที่เข้ามาช่วยคำนวณตำแหน่งให้มีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มระบบ Take me home ระบบบอกเส้นทางให้แก่เด็ก ซึ่งจะเป็นการสอนให้เด็กอ่านแผนที่เป็น รวมถึงปุ่ม SOS ที่หากเกิดกรณีฉุกเฉินจะสามารถกดและส่งการแจ้งเตือนไปถึงผู้ปกครองได้ ซึ่งจะบอกพิกัดได้อย่างแม่นยํา ทำให้ผู้ปกครองสามารถค้นหาเด็กได้รวดเร็วขึ้น ช่วยลดความกังวลของผู้ปกครองได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาระบบ AI เข้าไปในนาฬิกา ให้เด็กสามารถพูดคุย เล่มเกมทายสัตว์ด้วยเสียง ช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์ รวมทั้งลดพฤติกรรมการติดหน้าจอได้ ใช้ได้ตั้งแต่เด็กอนุบาลไปจนถึงเด็กประถม ซึ่งถือว่าไม่มีความซับซ้อนในเชิงเทคนิคเพียงแค่สวมใส่ก็จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในตัวเด็กได้ทันที ขณะนี้ทางบริษัทยังได้วางแผนการพัฒนาให้ตอบโจทย์การดูแลเด็กได้มากขึ้น ด้วยการพัฒนาให้รองรับระบบ 4G รวมไปถึงการเพิ่มฟังก์ชันอื่น และการดีไซน์รูปแบบให้ดึงดูดและน่าสนใจ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการดำเนินงานทั้งหมด ส่วนอนาคตมองว่านวัตกรรมสำหรับเด็กนั้นมีโอกาสที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะในปัจจุบันผู้ปกครองหันมาให้ความสำคัญกับอุปกรณ์ที่จะช่วยแจ้งเตือน และระบุที่อยู่ของลูกเพิ่มขึ้น ซึ่งเรื่องของความปลอดภัยเป็นสิ่งที่จำเป็นทั้งกับตัวเด็กและคนใกล้ตัว และเป็นสิ่งที่คุ้มค่าต่อการลงทุน