"ไทยพบป่วยเบาหวานเกือบๆ 5 ล้านคน ส่วนคนที่เป็นโรคอ้วนหรือภาวะอ้วน BMI เกิน 25 มีประมาณ 20 ล้านคน คนคิดแต่เรื่องการหายาดีๆ พัฒนายาดีๆ อะไรขึ้นมารักษา แท้จริงแล้วคำตอบอยู่ที่ต้นเหตุของปัญหาพฤติกรรมสุขภาพของผู้คน"
นพ.วิทิต อรรถเวชกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการบริษัท โรงพยาบาลปิยะเวท เผยตัวเลขที่น่าห่วง และการรักษาที่คำตอบไม่ได้อยู่ที่ยาเพียงอย่างเดียว จึงเป็นที่มาของ ไดเอ็ท ด๊อกเตอร์ เซ็นเตอร์ (Diet doctor center) ศูนย์สุขภาพโภชนบำบัดครบวงจร อีกหนึ่งทางเลือกการรักษาเบาหวานและลดความอ้วนผ่านโภชนาการบำบัด โดยเน้นการปรับพฤติกรรมการกิน รวมถึงการดูแลสุขภาพกายและใจไม่ให้เครียด
นพ.ธนศักดิ์ ยิ้มเกิด ผู้ร่วมก่อตั้งศูนย์ดังกล่าว บอกถึงโรคเบาหวานว่า มี 2 ประเภทหลักๆ คือ เบาหวานชนิดที่ 1 ร่างการขาดฮอร์โมนที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดคืออินซูลิน ส่วนเบาหวานชนิดที่ 2 ร่างกายมีอินซูลินเยอะ แต่ร่างกายต่อต้านอินซูลิน จึงไม่สามารถเอาน้ำตาลออกจากกระแสเลือดเขาไปภายในเซลล์ได้ ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ทั้ง 2 ประเภท แสดงอาการเหมือนกันคือน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้น
"เราได้รับการสอนทางการแพทย์มากว่า 40 ปี ว่าการรักษาเบาหวานต้องควบคุมน้ำตาลในเลือด ดังนั้นเรามียาลดน้ำตาลในเลือดมากมายที่จะกดน้ำตาลในเลือด ในมุมมองของคุณหมอการที่ใช้ยากดน้ำตาลในเลือดลง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการรักษาการดื้ออินซูลินที่เป็นสาเหตุของเบาหวานเลย โรคเบาหวานชนิดที่ 2 สาเหตุการดื้ออินซูลินจริงๆเกิดจากการรับประทานอาหารหรือโภชนาการที่ผิด ประเด็นหลักร่างกายได้รับพลังงานจากอาหารมากจนเกินไป ดังนั้นหลักการรักษาเบาหวานจึงไม่ใช่การเพิ่มยาหรือเพิ่มอินซูลินเพื่อทำให้ร่างกายเก็บพลังงานในร่างกายจุดหลักเราต้องระบายพลังงานที่เก็บสะสมออกมา" นพ.ธนศักดิ์เผย
นพ.พิชิต ลิมปิเวช แพทย์ศัลยกรรมกระดูกรพ.ศูนย์พระพุทธชินราช จ.พิษณุโลก เล่าประสบการณ์ในฐานะผู้ผ่านโปรแกรมโภชนบำบัด เขาบอกว่า เมื่อ 17 ปีก่อน ป่วยด้วยอาการเส้นเลือดหัวใจอุดตัน ต่อมาตรวจพบอีกว่า เป็นโรคโรคเบาหวาน จากนั้นก็มีโรคอื่นๆ ตามมา เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และไขมันในเส้นเลือด ต้องเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยครั้ง ทั้งๆ ที่ตัวเองก็เป็นหมอ และด้วยความเชื่อส่วนตัวว่ายาคือหนทางการรักษาจึงกินยาบรรเทาโรคมาอย่างต่อเนื่อง เฉพาะโรคเบาหวาน ต้องกินมากถึงวันละ 8 เม็ด แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น
"ล่าสุดผมโชคดีมากที่ได้พบข้อแนะนำและบทความต่างๆ จากคุณหมอธนศักดิ์ ซึ่งเปลี่ยนวิถีชีวิตผมและครอบครัวโดยสิ้นเชิง เพียงอาทิตย์แรกผมหยุดยาเบาหวานได้ และหลังจากนั้นผมไม่ต้องกินยาเบาหวานสักเม็ดเลย และน้ำตาลสะสมจากเดิมที่กินยาไม่เคยขาด ที่อยู่ระหว่าง 7.3 ถึง 9.8 ตลอด 16 ปี ลดลงได้เหลือแค่ 6.1% โดยใช้เวลาไม่ถึง 3 เดือน แค่หันมาจัดตารางการกินใหม่ งดคาร์โบไฮเดรตทุกชนิด เช่น ข้าว แป้ง ขนมปัง และน้ำตาล ไม่ทานผลไม้ที่มีรสหวานจัด ดื่มน้ำเปล่ามากๆ หากจะดื่มกาแฟให้เลือกทานเป็นกาแฟดำ และหมั่นออกกำลังกายเบาๆ ทุกวัน ทำแบบนี้ต่อเนื่องมา 7 เดือน จากที่น้ำหนัก 90 กิโลกรัม ลดเหลือเหลือ 64 กิโลกรัม ค่าเบาหวานก็ลดลง ไม่ต้องกินยารักษาเบาหวาน รวมถึงสุขภาพร่างกายก็ดีขึ้นด้วย"
อีกหนึ่งผู้ป่วยเบาหวาน "ปรีชา โชติรวี" เล่าว่า เขาชอบสังสรรค์มาตั้งแต่อายุ 18 ดื่มเหล้า เบียร์ ไวน์ทุกวันจนน้ำหนัก 110 กิโลกรัม กระทั่งอายุ 30 หมอวินิจฉัยว่าเป็นโรคความดันต้องกินยา และปรับยาขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายโรคเบาหวานกำลังจะตามมาเพิ่ม เพราะค่าน้ำตาล FBS120 A1C เริ่มแตะเลขหก (ประมาณ 6.1) การอักเสบต่างๆ ในร่างกายเริ่มเกิดขึ้นมาทีละอาการ จู่ๆ ก็แพ้อาหารอย่างรุนแรง (แพ้กล้วย) เกือบช็อคเพราะกินกล้วยไปแค่คำเดียว ต้องรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที
"3 ปีล่าสุด ต้องแอดมิดทุกปี บริษัทประกันยังปฏิเสธ ขอยกเลิกกรมธรรม์โดยอ้างว่าเกล็ดเลือดผมสูงมาก เค้ามองว่าน่าจะมีปัญหา (ขอตรวจเลือดซ้ำอีกรอบมันก็ไม่ผ่าน) คุณหมอที่เคยรักษาบอกว่า 10 ปี จะเป็นสโตรกแน่นอน จนเริ่มหาข้อมูล คุยไลน์กับพี่หมอป๊อปแบบส่วนตัว และตัดสินใจปฏิวัติตัวเองใหม่ ทั้งการกิน และการใช้ชีวิต ปรับอาหารทุกอย่าง กินคีโตน 3 เดือนแรกแล้วปรับมา lchf+if16/8 ในเดือนที่ 4 โดยลงทุนสั่งซื้อเครื่อง ตรวจทุกอย่างมาหมด เครื่องวัดความดัน เครื่องตรวจน้ำตาลตรวจคีโตน ชุดตรวจปัสสาวะ
ผมเฝ้ามอนิเตอร์ตัวเองตลอดเวลาว่า วันนี้กินอะไรแล้วส่งผลออกมายังไง ฝึกฟังร่างกายมาตลอดเดือนที่ 4 เริ่มมีพลังมากขึ้น เริ่มอยากออกมาเดินออกกำลังกายบ้าง จากวิ่งได้แค่ 100 เมตร เป็น 200 เมตร เป็น 1 กิโล เป็น 5 กิโล ร่างกายมันก็พัฒนาขึ้นตามลำดับผมวิ่งๆ โดยฟังร่างกายไม่ฝืนใดๆ จนผ่านไป 1 ปี สามารถจบฮาฟมาราธอนได้ในเวลา 2 ชม.22 นาที โดยไม่มีอาการบาดเจ็บใดๆ ปัจจุบันไม่ต้องกินยาไขมันความดันเบาหวานใดๆ สุขภาพแข็งแรงทั้งภายในและภายนอกความดัน"
ด้าน นิธิ สมุทรโคจร นักแสดง พิธีกรรายการสมุทรโคจร อีกหนึ่งในคนไข้ที่มาร่วมแชร์ความรู้ในงาน บอกว่า ตัวเขาพบไขมันในเลือดสูง ไขมันพอกตับ น้ำหนักไขมันส่วนเกิน หลังเข้าโปรแกรมโภชนาการบำบัด กินอาหารปกติ แต่กินแบบรู้คุณค่า 3 สัปดาห์น้ำหนักลดลง 8 กก. จากน้ำหนัก 92 กก. รูปร่างดี พุงหายไป ไม่รู้สึกเหนื่อย เวลาปีนเขา
"สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือ 1. การมีวินัยในการดูแลตนเอง อะไรที่มีผลต่อร่างกายกินแบบถูกโภชนาการ 2.รูปร่างที่ดี พุงหายไป เห็นชัดผอมลงส่องกระจกแล้วรู้ว่ามันดี 3. ไม่รู้สึกเหนื่อย ปีนเขา 4.พักผ่อนได้เต็มที่ ปรับสมดุลในร่างกาย นอนเต็มที่ ผมปิดสวิทซ์ได้ตั้งแต่ 2 ทุ่มขึ้นเตียงแล้วหลับได้เลย ที่ผ่านมาต้องไปบินแต่เช้า ต้องนอนหัวค่ำ ปรับตารางเวลาโดยไม่เพลียเลย 5. เป็นเรื่องที่แปลก ไม่มีสารกระตุ้น ไม่มียา มันคือการกินอาหารเท่านั้น เชื่อว่าคนไทยทุกคนทำได้ ทำได้ดีด้วย ดีในแง่ผลพลอยได้ คุณหมอจะสอนให้เรารู้ ลองทำดู รู้อะไรควรกิน หมอก็สอนให้รู้ใจ จะกินอะไรที่มีความสุขก็ทำไปเลย" นักแสดงพิธีกรเผย