วงประชุมทางไกล “บทบาทตำรวจและอาชญากรรมที่เปลี่ยนไปในยุคโควิด-19” นักวิชาการเสนอคู่มือ “New Normal สำหรับตำรวจปฏิบัติงาน” หวั่นถูกกักตัวเยอะ กระทบความปลอดภัยประชาชน พบที่ผ่านมาตำรวจติดเชื้อแล้ว 60 นาย กักตัวเองนับพันนาย
... รายงานพิเศษ
“ตำรวจเลือกไม่ได้ ว่าจะเข้าไปจับกุมเฉพาะคนที่ไม่มีความเสี่ยงติดโควิด และคนที่ทำความผิด เช่น ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือเล่นการพนัน ก็มักมีการรวมกลุ่ม ก็กลายเป็นกลุ่มเสี่ยงทั้งหมด แต่ทุกครั้งที่มีเหตุร้าย มีคนร้าย ตำรวจก็ต้องเข้าไป เพราะโดยหน้าที่ เราต้องเลือกให้น้ำหนักกับความปลอดภัยของประชาชน ก่อนที่จะสนใจว่าเสี่ยงติดโควิดหรือไม่”
ข้อความนี้ ถูกนำเสนอโดย พล.ต.ต.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ซึ่งเข้ามาร่วมนำเสนอข้อมูล ในหัวข้อ “Living with COVID-19” ตอน “บทบาทตำรวจและอาชญากรรมที่เปลี่ยนไปในยุคโควิด” ที่จัดขึ้นโดย สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย หรือ TIJ เป็นรูปแบบการประชุมทางไกลผ่านแอปพลิเคชัน ZOOM ผ่านเครือข่ายด้านหลักนิติธรรมเพื่อการพัฒนา หรือ RoLD (Rules of Law Development) เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2563 ที่ผ่านมา
รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 อธิบายการทำงานของตำรวจในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ระบุว่า การจัดมาตรการป้องกันต่างๆ โดยเฉพาะการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) สามารถทำได้ดีสำหรับงานบริการประชาชนที่สถานีตำรวจ ทั้งแจ้งความ ร้องทุกข์ต่างๆ
แต่ภารกิจอีกด้านของตำรวจ คือ ต้องออกไปเป็น “สายตรวจ” ดูแลความปลอดภัยประชาชน ทำงานสืบสวนสอบสวน หรือเข้าจับกุมผู้กระทำความผิด เป็นส่วนงานที่ยากจะปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม โดยยกตัวอย่างเหตุการณ์ล่าสุด ที่มีชายคนหนึ่งถืออาวุธปืนที่ขึ้นลำ แล้วจะเข้าไปปล้นธนาคารแห่งหนึ่งย่านบางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา ตำรวจก็จำเป็นต้องเข้าไปจับกุม โดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงการสัมผัสตัวกับคนร้ายได้
“ลักษณะการทำงานของตำรวจ ต้องทำงานเป็นทีม เข้าจับกุมก็ต้องไปเป็นทีม ตามหลักการว่า เราต้องมีกำลังมากกว่าผู้ก่อเหตุ เมื่อทำงานเป็นทีม หากมีเพียงหนึ่งคนสัมผัสผู้ติดเชื้อ หรือถูกตรวจพบว่าติดเชื้อ คนอื่นๆ ก็จะถูกกักตัวไปด้วยทั้งหมด ในบางกรณีก็อาจต้องกักตัวไปทั้งโรงพัก หรือแม้แต่ที่อยู่อาศัยหลักๆ ก็คือ แฟลตตำรวจ เป็นห้องพักที่อยู่ร่วมกันเป็นชุมชนตำรวจขนาดใหญ่ ถ้าต้องกักตัวก็ยากจะเว้นระยะห่างกับครอบครัวและเพื่อนตำรวจที่อยู่ใกล้กันได้”
ข้อมูลจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จนถึงวันที่ 28 เมษายน 2563 มีตำรวจติดเชื้อโควิด-19 แล้ว 60 นาย หายแล้ว 44 นาย อยู่ระหว่างการรักษาตัว 16 นาย แต่ที่น่าสนใจคือ มีตำรวจที่ต้องเข้าไป “กักตัวเอง” ทั้งหมด 1,141 นาย โดยปัจจุบันเหลือตำรวจที่ยังต้องกักตัวเอง 243 นาย
จากข้อมูลจะเห็นว่า “ตำรวจ” มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อ และถูกกักตัวค่อนข้างมาก ขณะที่ปัญหาอาชญากรรม แม้ว่าอาชญากรรมทั่วไปจะลดลงเพราะมาตรการปิดเมืองและเคอร์ฟิว แต่ก็มีปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ส่วนรูปแบบการก่ออาชญากรรมอื่นๆ เริ่มมีแนวโน้มจะกลับมาเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะที่เป็นผลพวงมาจากปัญหาเศรษฐกิจ เช่น การปล้นตู้เอทีเอ็ม ปล้นร้านทอง ปล้นร้านสะดวกซื้อ หรือที่ จ.จันทบุรี เริ่มมีการปล้นทุเรียนด้วยซ้ำ และคนร้ายส่วนใหญ่ที่ถูกจับกุมไม่เคยมีประวัติอาชญากรรม
จากข้อจำกัดที่เกิดขึ้นกับตำรวจ ทำให้ ผศ.ดร.ปารีณา ศรีวนิชย์ คณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับการทำงานของตำรวจและเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม ในสถานการณ์โควิด-19 จึงนำเสนอ “คู่มือปฏิบัติการสำหรับตำรวจในช่วงสถานการณ์ โควิด-19” เพื่อให้เป็น “แนวทางในการปฏิบัติตัวของตำรวจ” แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ “มาตรการในการสร้างเสริมสุขภาพ” และ “มาตรการรีบวินิจฉัยและกักกันตัว”
“มาตรการในการสร้างเสริมสุขภาพ” คือ การป้องกันความเสี่ยงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นกับตำรวจจากการปฏิบัติหน้าที่ ตั้งแต่การเตรียมอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล เช่น หน้ากากอนามัย เจลล้างมือ เฟซชิลด์ ถุงมือยาง หรือแม้แต่บางกรณีที่อาจต้องใช้ชุด PPE ซึ่งหน่วยงานจะต้องจัดสรรให้พร้อมสำหรับตำรวจทุกนาย รวมทั้งควรจัดอบรมการใช้อุปกรณ์ที่ถูกต้อง
สิ่งที่ ผศ.ดร.ปารีณา เน้นย้ำ คือ “รูปแบบการทำงานใหม่” หรือ “New Normal” ของตำรวจ โดยเสนอแนวทาง “การจัดการกำลังพล” โดยระบุว่า กำลังพลที่ใช้ในงานสายตรวจ หรืองานสืบสวนซึ่งมีความเสี่ยง ควรมีหลายชุด และวางกติกาไม่ให้กำลังพลแต่ละชุดเข้ามาใช้ชีวิตใกล้กัน เพราะหากมีชุดหนึ่งต้องกักตัว ก็จะยังมีกำลังพลชุดอื่นๆ ปฏิบัติหน้าที่แทนได้ รวมถึงต้องคำนึงถึงการจัดกำลังพลสำรองด้วย
ส่วนในทางยุทธวิธีเข้าจับกุม ที่ต้องสัมผัสใกล้ชิดกับคนร้าย ผศ.ดร.ปารีณา ได้มองถึงความเป็นไปได้ที่จะมีการจัดอบรมให้ความรู้และทักษะแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ในการใช้อุปกรณ์ส่วนบุคคล และการปฏิบัติตัวเพื่อหลีกเลี่ยงสารคัดหลั่งของคนร้าย
หรือแม้แต่การตั้งด่านคัดกรองต่างๆ ก็ต้องมีแนวทางปฏิบัติที่เป็นคู่มือ เช่น ไม่ชะโงกศีรษะเข้าไปในรถยนต์ ไม่จับหรือแตะต้องรถ หรือแม้แต่การกำชับให้ใช้อุปกรณ์ส่วนบุคคลเท่านั้นตลอดการปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงต้องมีการวางแผนสำหรับประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การตรวจ การส่งต่อรักษา และการกักกันตัว
ส่วน “มาตรการรีบวินิจฉัยและกักกันตัว” เป็นมาตรการที่ครอบคลุมทั้งแนวทางในการค้นหาเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ติดเชื้อ และแนวทางการกักตัวของเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมทุกหน่วยงานอย่างเป็นระบบ โดยเสนอว่า หากมีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ต้องสงสัยว่าจะติดเชื้อโควิด-19 ต้องรีบจำแนกกลุ่มเจ้าหน้าที่เหล่านี้ออกมา และดูว่าเข้าเงื่อนไขใดบ้างตามอาการ เช่น ต้องการกักกันตัว หรือต้องตรวจวินิจฉัยโรคทันที เป็นต้น
และหากตำรวจต้องกักตัว จะต้องพิจารณาถึงมาตรการการกักตัวอย่างเป็นระบบ ต้องคำนึงถึงสถานที่ที่จะใช้ในการกักตัวของเจ้าหน้าที่ว่าเหมาะสมหรือไม่ หากที่พักอาศัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่เหมาะสมสำหรับการกักตัว รวมถึงสร้างความยากลำบากต่อการกักตัวของเจ้าหน้าที่ หน่วยงานจะต้องเข้ามามีบทบาทในการจัดหาทรัพยากรให้เป็นศูนย์กักกันตัวชั่วคราว เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อครอบครัว เพื่อนร่วมงาน หรือชุมชนรอบข้าง
พล.อ.ต.นพ.ไกรเลิศ เธียรนุกุล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพอากาศ และจักษุแพทย์ โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช เห็นด้วยว่า รูปแบบการทำงานของตำรวจที่ต้องลงไปในพื้นที่ต่างๆ ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อมากขึ้น และไม่สามารถปฏิบัติในแนวทางเดียวกับแพทย์ได้ในบางกรณี เช่น อุปกรณ์ป้องกันตัวที่ไม่สามารถใส่ไปพร้อมๆ กับการปฏิบัติหน้าที่ได้ การรักษาระยะห่างกับคนร้ายทำไม่ได้
ที่สำคัญคือ ตำรวจไม่ทราบประวัติด้านสุขภาพของคนเหล่านั้นก่อนเข้าไปดำเนินการ หรือแม้กระทั่งข้อมูลที่ได้มามีโอกาสถูกบิดเบือนสูง เพราะผู้กระทำความผิดมักไม่บอกข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานที่ต่างๆ ที่ไปกับตำรวจ
ดังนั้น การดูแลเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงต้องเริ่มตั้งแต่ก่อนได้รับเชื้อ คือ ต้องให้ความรู้ในการดูแลตัวเอง มีอุปกรณ์ป้องกันตัวเท่าที่จำเป็น รับทราบข้อมูลบุคคลหรือพื้นที่เสี่ยงให้มากที่สุด และควรมีประกันความเจ็บป่วยในกรณีติดเชื้อด้วย แม้จะมีสิทธิ์ในการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลตำรวจหรือทหารแล้วก็ตาม และเห็นด้วยว่าควรมีสถานที่สำหรับกักแยกตัว โดยเฉพาะของเจ้าหน้าที่ เพราะส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในแฟลตที่มีความแออัด
ด้าน นางสาวชลธิศ ชื่นอุระ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมข้อกำหนดกรุงเทพและการปฏิบัติต่อผู้กระทำผิด สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย นำเสนอให้เห็นสภาพปัญหาอาชญากรรมในยุคโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ โดยระบุว่า ทั่วโลกมีรูปแบบอาชญากรรมบนท้องถนนลดลง ทั้งลักขโมย ชิงทรัพย์ ปล้น ฆ่า ข่มขืน หรือแม้แต่การค้ายาเสพติดบนท้องถนน เพราะเกือบทุกประเทศใช้มาตรการปิดเมือง
แต่อาชญากรรมที่เริ่มมีมากขึ้น คือ การไปปล้นร้านค้าที่ปิดอยู่ในช่วงเคอร์ฟิว
จากข้อมูลพบว่า ประเทศฟิลิปปินส์ มีสถิติอาชญากรรมทั่วไปลดลง 55% ที่ชิคาโก สหรัฐอเมริกา ลดลง 10% แต่คดียาเสพติดลดลงถึง 40% ประเทศสเปน ที่มีผู้ติดเชื้อมาก อาชญากรรมลดลง 50% แต่ในประเทศที่ยากจนมากๆ เช่น เยเมน อินเดีย พบอาชญากรรมในบริบทใหม่ๆ เช่น การขโมยน้ำมาใช้ในการเกษตร ส่วนอาชญากรรมทางไซเบอร์ เพิ่มสูงขึ้นเพราะคนใช้อินเทอร์เน็ตมาก การหลอกลวงให้โอนเงินรูปแบบต่างๆ และการหลอกเพื่อขโมยข้อมูลส่วนบุคคล
“ความรุนแรงในครอบครัว” เป็นอาชญากรรมอีกประเภท ที่นางสาวชลธิศ ระบุว่า “เพิ่มสูงขึ้นมาก” ในช่วงที่คนอยู่บ้าน และผู้หญิงที่ถูกทำร้ายก็อยู่ในบ้าน ออกไปขอความช่วยเหลือไม่ได้ การเข้าถึงความช่วยเหลือยากขึ้น โดยมีสถืติความรุนแรงในครอบครัวสูงขึ้นที่มาเลเซีย 59% สิงคโปร์ 33% และฝรั่งเศส 30%
ส่วนในประเทศแถบอเมริกาใต้ ซึ่งมีการค้าขายผิดกฎหมายข้ามพรมแดน หรือการเคลื่อนย้ายคนข้ามพรมแดน ในรูปแบบ “องค์กรอาชญากรรม” ก็ทำได้ยากขึ้น แต่ก็มีแนวโน้มการเปลี่ยนเส้นทางค้า หรือแม้แต่มีการใช้โดรนเพื่อส่งยาเสพติด
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย สรุปผลของการหารือว่า การจะทำให้ “ตำรวจ” หรือ เจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมทำงานได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ จะต้องเร่งจัดการอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการจัดหาอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล การแนะแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสม มีองค์ความรู้ หรือนำคู่มือที่ได้จากงานวิจัยนี้ไปปรับใช้ และยังต้องมีมาตรการในการดูแลสวัสดิภาพของเจ้าหน้าที่และครอบครัว เพราะตำรวจออกไปเสี่ยงติดเชื้อในพื้นที่ต่างๆ แต่ต้องกลับมาใกล้ชิดกับคนในครอบครัว
ผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย ยังเสนอเพิ่มเติมว่า ตำรวจอาจจะสร้างกระบวนการทำงานร่วมกับชุมชนต่างๆ เพื่อให้ชุมชนช่วยคัดกรองปัญหาที่ได้รับแจ้งก่อน ซึ่งจะทำให้ตำรวจไม่จำเป็นต้องเข้าไปทำงานทุกครั้ง และยังมีแนวทางการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการสืบสวน อย่างกล้องวงจรปิด (CCTV) ทำระบบการแจ้งความออนไลน์ ซึ่งกำลังจะเปิดตัว
หรือ แอปพลิเคชันติดตามที่ช่วยให้รู้ประวัติการเดินทางของคนร้ายหรือผู้ต้องสงสัยได้ รวมทั้งอาจจะต้องลดแนวการปฏิบัติบางอย่างที่ไม่จำเป็นลงไป เช่น สามารถออกเป็นแนวทางได้ว่า คดีลักษณะไหนที่ไม่จำเป็นต้องนำตัวมาที่โรงพักก็สามารถดำเนินการได้ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงไปได้อีก
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ ขอให้กำลังใจตำรวจและเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม ที่ออกไปปฏิบัติหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของประชาชน แม้จะอยู่ท่ามกลางความเสี่ยงติดเชื้อ โดยระบุว่า เป็น “ฮีโร่” เช่นเดียวกับบุคลากรทางการแพทย์