วันนี้ (22 ก.พ.) นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ขอแสดงความเสียใจกับกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ทุกท่านที่ได้ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรค ตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปีและให้กำลังใจกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ทุกท่าน ถ้าเหตุการณ์เรื่องของการกู้ยืมเงินจริงนั้นเกิดจากความไม่เข้าใจกฎหมายนั้นว่าเป็นสิ่งที่ห้าม และเข้าใจผิดว่าสามารถทำได้ แต่ถ้าเป็นการตั้งใจวางแผนเพื่อที่จะให้พรรคถูกยุบแล้วต้องการปลุกระดมมวลชนลงถนน ก็อยากจะฝากไปยังผู้มีอำนาจของพรรคอนาคตใหม่ ว่าอย่าทำแบบนั้นเลยเพราะเหมือนเป็นการนำเอาประเทศชาติมาเป็นตัวประกัน หากย้อนอดีตไปในช่วง ปี49 ปี 53 และปี 57 ผมยังจำเหตุการณ์นั้นได้ ได้มีการเกิดความวุ่นวายมวลชนมีความขัดแย้งทางความคิด มีการลุกลามไปถึงการปิดถนน ปิดสถานที่ราชการ มีการทำร้ายเจ้าหน้าที่ มีเหตุระเบิดเกิดขึ้นมากมาย จนมีผู้เสียชีวิต
นายสามารถ กล่าวอีกว่า สำหรับ อ.ปิยบุตร แสงกนกกุล เป็นคนเก่ง มีความคิดความตั้งใจและตั้งคณะกรรมาธิการต่อต้านการรัฐประหาร แต่เมื่อวานนี้ (21 ก.พ.) ได้ติดตามไลฟ์สดของ อ.ปิยบุตร ว่าการที่แสดงออกมานั้นต้องการให้เกิดรัฐประหาร เพราะมีการพูดปลุกระดมมวลชนในการแถลงข่าวเสร็จแล้วมีการจัดเวที ทำให้ตนนึกถึงเวทีม็อบที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ซึ่งคิดว่าประชาชนส่วนใหญ่ทั้งประเทศคงไม่อยากให้เกิดขึ้น วันนี้ประเทศชาติมีปัญหามากมายที่ต้องร่วมมือกันแก้ปัญหาการ เช่น ปัญหาโควิด 19 เป็นต้น ดังนั้น คิดว่าอย่าให้คนใดคนหนึ่งต้องมาปลุกระดมคนให้เกิดความแตกแยกความขัดแย้งเกิดขึ้นในสังคม นอกจากนี้กรณีของ อ.ปิยบุตร บางคนอาจมองว่าท่านจะเป็นคนกล้าที่ออกมาเรียกร้องให้ประชาชนลงถนน ผมอยากบอกว่านั้นไม่ใช่เป็นความกล้าแต่อย่างใด เพราะมีอีกหลายคนที่ถูกยุบพรรคถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเขาเองก็ไม่ได้กลัว แต่เพียงเขาไม่อยากให้เกิดความวุ่นวายก็เคารพกติกา เคารพคำสั่งศาล ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด พอครบกำหนดพวกท่านเหล่านั้นก็ค่อยกลับมาทำการเมืองใหม่ จึงอยากให้ อ.ปิยบุตร ได้ทบทวนและได้ดูเป็นตัวอย่าง
“อ.ปิยบุตร ก่อนที่จะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองท่านก็ได้เป็นประธานคณะกรรมาธิการ ยุติธรรมกฎหมายและสิทธิมนุษยชน ได้เอารายงานของคณะกรรมาธิการนั้นเข้าสภา และได้ผ่านรายงานของ อ.ปิยบุตร ทั้ง 2 เรื่องไปแล้วฉะนั้นอยากให้ อ.ปิยบุตร ได้ลดทิฐิลงบ้าง มันจะไม่มีอะไรที่ได้ตามใจตัวเองทุกอย่าง เพราะต้องดูเหตุผล ข้อกฎหมาย ประกอบกัน ไม่ใช่ อ.ปิยบุตร ตั้งตนแต่คิดจะต่อสู้กับ คสช. เพียงอย่างเดียว เพราะรายงานที่เสนอเข้าสภานั้นก็มีเรื่องกฎหมายในยุค คสช.และตอนที่ท่านเป็นประธานคณะกรรมาธิการก็พูดว่าจะดูกฎหมายคสช.อยากเรียนอ.ปิยบุตร ว่าตอนนี้ไม่มี คสช. แล้วแต่ก็ยังมายึดโยงกับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ อีกทั้ง การไลฟ์สดของพรรคอนาคตใหม่ น.ส.พรรณิการ์ วานิช หรือ คุณช่อ ที่ได้พูดถึง 3 ป. คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา , พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ว่ากลัวพรรคอนาคตใหม่ถึงต้องมีการยุบพรรคฯ เพราะกลัวการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ขอนำเรียนว่าไม่มีใครกลัวพรรคอนาคตใหม่เพราะความกลัวทําให้เสื่อม การเมืองสมัยใหม่ต้องพูดด้วยข้อความจริง ดังนั้น น.ส.พรรณิการ์ พูดบนเวทีและไลฟ์สดออกไปนั้นเป็นการให้ข้อมูลเท็จหรือเฟคนิวส์ จึงอยากจะฝาก น.ส.พรรณิการ์ ว่าถ้าจะอธิบายนอกสภาขอให้เตรียมข้อมูลมามากกว่านี้ ไม่ต้องขู่ใครเพราะไม่มีใครกลัวเอาความจริงมาพูดกัน”
นายสามารถ กล่าวต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพ่อแม่พี่น้องประชาชน พยายามสร้างความสมานฉันท์สามัคคีกลมเกลียวเป็นหนึ่งเดียวของคนในชาติ อย่าให้ใครต้องมาทำลายความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ซึ่งการเมืองเป็นเรื่องของสภาก็ต้องแก้ปัญหากันที่สภา ไม่ใช่มาแก้กันบนท้องถนนไม่พอใจยกพวกลงท้องถนน เอามวลชนมาปลุกระดม ซึ่งคิดว่ามีบทเรียนในอดีตก็เห็นแล้วว่าสร้างความบอบช้ำให้กับประเทศมากมายขนาดไหน ตนอยากจะฝากไปยังผู้มีอำนาจของพรรคอนาคตใหม่ทุกท่าน ควรเห็นแก่ชาติบ้านเมือง ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้เขียนไว้ชัดเจนในเรื่องของแหล่งที่มาของรายได้ของพรรคการเมือง ซึ่งตรงนี้ขอไม่พูดอธิบายอะไรมากเพราะสื่อมวลชนได้ประชาสัมพันธ์ไปพอสมควรและศาลรัฐธรรมนูญก็นิวิจฉัยได้อย่างเป็นธรรมและชัดเจนในประเด็นข้อกฎหมายแล้ว ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำว่าไม่ได้กลัวเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจและท่านนายกรัฐมนตรีได้พูดถึงบทกลอนของคุณนภาลัย สุวรรณธาดา อยู่บ่อยครั้ง ผมจึงขออนุญาตยกบทกลอนมาพูดอีกครั้งว่า "วันนี้ศึกไกลยังไม่ห่วงแต่หวั่นทรวงศึกใกล้ไล่ข่มเหง ถ้าคนไทยหันมาฆ่ากันเองจะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง" ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ เป็นห่วงพ่อแม่พี่น้องประชาชน ไม่อยากให้ต้องอยู่บนความขัดแย้งเป็นข้อมูลที่บิดเบือนที่ไม่ใช่ข้อมูลจริงทำให้สังคมต้องกลับมาแตกแยก ครอบครัวมาทะเลาะกันเพราะ ข้อมูลเท็จที่มีการยุยงปลุกปั่นให้มีความเกลียดชัง จึงเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยกันอธิบาย ทำความเข้าใจกับประชาชน
ส่วนการเลือกตั้งซ่อมที่จ.กำแพงเพชร ผมมั่นใจว่าพรรคพลังประชารัฐจะปักธงเลือกตั้งซ่อม โดย นายเพชรภูมิ อาภรณ์รัตน์ ลูกชายของ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ จะชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ เพราะประชาชนชื่นชมผลงานของรัฐบาลและนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ นั้นสามารถแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพ่อแม่พี่น้องประชาชน ตลอดจนถึงผู้บริหารของพรรคพลังประชารัฐไม่ว่าจะเป็น นายสมศักดิ์ เทพสุทิน , นายวราเทพ รัตนากร , นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ และ ส.ส.อีกหลายท่านได้ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้สมัคร ตนมั่นใจว่าการเลือกตั้งพรุ่งนี้ (23 ก.พ.) จะเป็นเสียงสะท้อนให้เห็นถึงผลงานของรัฐบาล ส่วนที่มีการบอกว่าใช้อำนาจรัฐเข้าไปแทรกแซงการเลือกตั้งนั้นไม่จริง เพราะรัฐมนตรีหรือข้าราชการทางการเมืองไม่มีใครใช้เวลางานไปหาเสียง ไม่มีใครใช้อำนาจลงไปช่วยเหลือผู้สมัคร นอกจากนี้ กกต.มีความเป็นกลาง ตนยืนยันว่าทำงานด้วยความโปร่งใสและจริงใจตรวจสอบได้โดยไม่อยู่บนข้อขัดแย้งของบุคคลใดทุกอย่างไปว่าด้วยตามพยานหลักฐาน