รศ.นพ.ชัชวาลย์ ศิลปกิจ ผู้อำนวยการศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ออกมาชี้แนะสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ที่มีข้อมูลการป้องกันออกมามากมายจนเป็นความสับสนทำให้เกิดฝุ่นในใจซ้ำ แนะวิธีกำจัด “ฝุ่นในใจ” เพื่อต้านภัยฝุ่น PM 2.5
จากกรณีวิกฤตฝุ่นละอองยังคงเป็นปัญหาหนักหน่วงสำหรับชาวกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ที่ต้องเผชิญกับฝุ่นละออง PM 2.5 โดยพบว่าคุณภาพอากาศบางแห่งเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ สารมลพิษทางอากาศที่ตรวจพบเกินมาตรฐานได้แก่ ฝุ่นละออง ขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ตรวจพบค่าระหว่างเกินมาตรฐาน จนเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ
เมื่อวันที่ 17 ม.ค. เว็บไซต์ยูทูป “ศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล” โดย รศ.นพ.ชัชวาลย์ ศิลปกิจ ผู้อำนวยการศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ระบุว่า “สวัสดีครับท่านผู้ชมวันนี้ ศูนย์จิตตปัญญาศึกษาได้พูดคุยกับท่านผู้ชมอยากพูดคุบกับท่านผู้ชมเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ปัจจุบันที่เรากำลังเผชิญกันอยู่คือเรื่องของสถานการณ์ฝุ่นละอองในอากาศที่เรารู้กันในชื่อย่อๆ ว่า 2.5 ที่กำลังพูดกันเยอะมากที่นี้ สิ่งที่ผมกำลังชวนท่านผู้ชมพูดคุยในวันนี้คงไม่ได้มาพูดเรื่องการใช้หน้ากาก การระวังฝุ่นอย่างไรเพราะมีข้อมูลเยอะแยะมากมาย เยอะจนเป็นความสับสน ความไม่แน่ใจ ลังเลสงสัยตกลงมันอย่างไรกันแน่ ซึ่งสภาวะแบบนี้มันเกิดขึ้นในใจหลายๆ คน
ผมอยากชวนให้ท่านผู้ชมเห็นว่ามันคล้ายๆ ฝุ่นละอองในใจ กระเพื่อมๆ ขึ้นมา ความกังวลจะทำให้นั่นได้ไหมตากผ้าแล้วจะเป็นยังไงข้อแนะนำความหวังดีเยอะแยะมากมายแต่ถ้าเราไม่ระวังให้ดีก็กลับกลายทำให้ใจเราว้าวุ่นเหมือนตะกอนในใจเราขึ้นมา ความกลัว ความกังวล ความหงุดหงิด ไม่พอใจทำไมบุคคลที่มีหน้าที่รับผิดชอบทำไมไม่ออกมาทำอย่างโน้นอย่างนี้ อันนี้ก็คือการกระพือฝุ่นในใจตัวเอง ก็เปรียบเสมือนเรากำลังพ่นฝุ่นในบ้านและสูดเข้าไปเองอันนี้คือการที่เราเผลอ
เพราะฉะนั้น อยากชวนท่านผู้ชมได้กลับมาดูแลจิตใจตัวเองด้วย ภายใต้ที่มันมีฝุ่นละอองทางอากาศ ถ้าเราไม่ระวังให้ดี ฝุ่นละอองในใจเราในความคิดในอารมณ์ และความรู้สึก ก็จะกลับเข้ามาทำร้ายเรา และวิธีการที่เราจะดูแลตัวเอง ก็คือเราควรสังเกตใจเรา เวลาที่ใจเราลงโล่งสบายๆ เหมือนกับอากาศที่มันสดชื่น ที่ไม่มีฝุ่นไม่มีละออง มันไม่มีอะไรติดขัดใจมันโปร่ง ใช่ มันเบาสบาย ถ้าเราเผลอไปมีความคิด ไปมีความกังวลใจ มันก็จะทำให้เราหนักซึมๆ งงๆ ก็ให้รู้สึกตัวขึ้นมา แล้วก็นิ่งๆ ซักพักหนึ่ง อยู่กับลมหายใจสักนิดนึง เพื่อที่จะทำให้ฝุ่นละอองในใจเราสงบลง แล้วถ้าเรามีเวลามากกว่านั้น เราก็ค่อยๆ ปัดฝุ่นออกจากใจเรา ก็คือฝึกฝน เรียนรู้ให้เท่าทัน
ต่อไปมีฝุ่นละอองฟุ้งขึ้นมาในใจเรา ไม่สูดเข้าไป คือใจเราไม่รับเข้าไป ก็เปรียบเสมือนเราก็มีหน้ากาก แต่หน้ากากในที่นี้ไม่ใช่หน้ากากที่เป็น N95 แต่เป็นหน้ากากที่เราเรียกว่า สติ เรื่องของสมาธิ ปัญญา ที่จะกรองฝุ่นในใจที่เป็นความคิด กิเลสตัณหา อะไรที่ชาวบ้านเขาพูดกัน ก็เป็นสิ่งที่มลพิษทางใจเรา ก็ฝึกฝนว่าเราจะได้มีเครื่องกรองฝุ่นในใจเรา ซึ่งเครื่องกรองอันนี้หาซื้อไม่ได้ แล้วก็ไม่มีใครมากรองแทนเราด้วย ไม่สามารถผ่านใจคนอื่นแล้วมาถึงใจเราเพื่อที่จะใจเราไม่มีปัญหา เป็นไปไม่ได้ ต้องอาศัยสร้างฝึกฝนเรียนรู้ให้มีเครื่องกรองนี้ทำงานได้ดีขึ้น
เครื่องกรองนี้ทุกคนมีอยู่ เพียงแต่ว่าไม่ได้หยิบออกมาใช้ ใช้ไม่ค่อยทัน แล้วมันจะสูดมลพิษทางความคิด ทางอารมณ์ ไปในใจมาก ถ้าเราฝึกฝนเครื่องกรอกจะลุกมาทำงานบ้าง เป็นสติ เป็นสมาธิให้เรามั่งคงอยู่กับอารมณ์ แล้วก็ดูแลจิตใจให้ผ่องใส เป็นประโยชน์มากถ้าจิตใจเราเบิกบานแจ่มใส ถ้าสูดลมฝุ่นละอองเข้าไปแต่ภูมิต้านทานเราดีจากจิตใจที่เรามั่งคง ก็สามารถจะขจัดฝุ่นละอองที่เป็นฝุ่นละอองจริงๆ ที่เป็นพิษต่อร่างกายให้มันได้เบาบางลง เพราะว่าภูมิต้านทานเราดี ได้ประโยชน์ทั้งกายและใจของเราเอง ก็เชิญชวนทุกคนมาสร้างหน้ากากกันฝุ่นในใจก็คือ การฝึกสติให้มากยิ่งขึ้น”