จากปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลซึ่งเลวร้ายลงทุกที โดยในวันนี้ (13 ม.ค.) กรมควบคุมมลพิษระบุว่า ปริมาณฝุ่นละอองเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และคุณภาพอากาศโดยรวมอยู่ในระดับ 'เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ' โดยในวันพรุ่งนี้ (14 ม.ค.) เนื่องจากอากาศยังคงลอยตัวไม่ดี สภาพอากาศค่อนข้างปิด คุณภาพอากาศก็จะคงอยู่ในระดับเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพเช่นกัน
เมื่อย้อนดูต้นตอแหล่งที่มาของฝุ่นพิษที่เป็นปัญหาต่อเนื่องมาหลายปีของคนกรุง องค์กรสิ่งแวดล้อมอย่างกรีนพีซ โดย ธารา บัวคำศรี เคยเขียนอธิบายถึงเรื่องดังกล่าวไว้ในหัวข้อ ฝุ่นพิษ PM2.5 ที่คุกคามสุขภาพของคนในกรุงเทพฯ มาจากไหน โดยมีรายละเอียดดังนี้
"วิกฤตฝุ่นพิษ PM2.5 ที่ปกคลุมเมืองหลวงของประเทศมาตั้งแต่ต้นปี ทำให้คนสงสัยว่าฝุ่นพิษ PM2.5 มันมาจากไหนกัน และทำไมถึงไม่ยอมหายไปสักที
แหล่งกำเนิด PM2.5 มีทั้งแบบปล่อยโดยตรงกับแหล่งกำเนิดปฐมภูมิ ไม่ว่าจะเป็นการคมนาคมขนส่ง การผลิตไฟฟ้า การเผาในที่โล่งและอุตสาหกรรมการผลิต ขึ้นอยู่กับว่าพื้นที่ใดมีแหล่งกำเนิดแบบใดเป็นหลัก (Primary PM2.5 และจากปฏิกิริยาเคมีในบรรยากาศโดยมีสารกลุ่มซัลเฟอร์หรือกลุ่มไนโตรเจนและแอมโมเนียเป็นสารตั้งต้น(Secondary PM2.5) ดังนั้น การปล่อยซัลเฟอร์ไดออกไซด์และออกไซด์ของไนโตรเจนจากแหล่งกำเนิดต่างๆ โดยเฉพาะการผลิตไฟฟ้าจากฟอสซิลและการผลิตทางอุตสาหกรรม เมื่อเกิดการรวมตัวกันในบรรยากาศจะมีผลต่อการก่อตัวของ PM2.5 ขั้นทุติยภูมิอีกด้วย
หลายคนมักจะพูดถึงการเผาในที่โล่งว่าเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งในช่วงระยะเวลานี้ แต่จากข้อมูลดาวเทียม จุดเกิดความร้อนที่เกิดขึ้นในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาในเขตประเทศไทยมีน้อยมาก ดังนั้น PM2.5 จากการเผาในที่โล่งนั้นจึงไม่ใช่ปัจจัยหลัก เราไม่ควรโยนความผิดให้เกษตรกรที่มักถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุ
ดังนั้น ในช่วงนี้ฝุ่นพิษ PM2.5 ที่คุกคามสุขภาพของคนกรุงเทพฯ ก็ต้องมุ่งตรงไปที่แหล่งกำเนิดจากการคมนาคมขนส่ง (ให้นึกภาพถึงรถยนต์ส่วนตัวนับล้านคันบนถนน) และการเคลื่อนตัวของมลพิษจากพื้นที่อื่นๆ เช่น ผลการคำนวณแบบจำลองบรรยากาศ (Atmospheric Modeling) ที่ดำเนินการโดยทีมวิจัย Atmospheric Chemistry Modeling ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่าแบบจำลองการเคลื่อนที่ของเคมีในบรรยากาศ (Atmospheric chemistry-transport model- GEOS-Chem) ซึ่งระบุว่า...."โรงไฟฟ้าถ่านหินบีแอลซีพีและเก็คโค-วัน ยังส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศของแหล่งท่องเที่ยวบริเวณใกล้เคียงอย่างเกาะเสม็ด เกาะแสมสาร และพัทยา รวมทั้งกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงกันยายน เมื่อลมพัดจากทางทิศใต้มายังทิศตะวันตกเฉียงใต้ (ดูภาพแรกแสดงทิศทางของกระแสลม) และในช่วงสภาวะอากาศที่แย่ที่สุด ในแต่ละวันฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอนจากโรงไฟฟ้าถ่านหินทั้งสองแห่งสามารถแพร่กระจายเข้าสู่พื้นที่แหล่งท่องเที่ยวในสัดส่วนร้อยละ 40 และในเขตกรุงเทพมหานครร้อยละ 20 เมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยรายปี
สนธิ คชวัฒน์ เลขาธิการชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย กล่าวว่า “กรุงเทพมหานครช่วงที่ผ่านมามีสภาพอากาศนิ่ง การฟุ้งกระจายในแนวราบไม่ระบาย มีลมสงบความเร็วลมต่ำ และการฟุ้งกระจายในแนวดิ่งมีน้อย หรืออีกนัยหนึ่ง การเกิดมีสภาพอากาศเย็นหรืออุณหภูมิต่ำที่พื้นดิน รวมทั้งมีละอองน้ำหรือหมอกปกคลุมเหนือพื้นดินจำนวนมาก แต่ที่ระดับความสูงขึ้นไปอากาศกลับมีอุณหภูมิสูงขึ้นเนื่องจากความร้อนจากดวงอาทิตย์ จึงทำให้มลพิษที่พื้นดิน เช่น ฝุ่นละอองขนาดเล็ก สารเบนซิน ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ เป็นต้น ที่ออกมาจากท่อไอเสียรถยนต์ซึ่งมีความร้อนมากกว่าอากาศโดยรอบจะเคลื่อนที่ลอยขึ้น (จากร้อนไปเย็น) ในระดับหนึ่งแล้วลอยต่อไปไม่ได้เนื่องจากไปปะทะละอองน้ำและความร้อนจากดวงอาทิตย์ที่อุณหภูมิสูงกว่าจึงตกลงมาปกคลุมพื้นที่ใกล้เคียงทำให้มีค่ามลพิษเกินมาตรฐานบริเวณริมถนนซึ่งเปรียบเสมือนเอาฝาชีทึบครอบอาหารร้อนๆ ไว้ ความร้อนก็จะกระจายอยู่ในฝาชีนั่นเอง”
กรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ราบ อิทธิพลของลมมรสุมช่วยกระจายให้ฝุ่นละอองและมลพิษทางอากาศเคลื่อนตัวออกไปได้ง่าย แต่เมื่อพิจารณาถึงคุณลักษณะที่สำคัญของมลพิษทางอากาศ PM2.5 ซึ่งสามารถเคลื่อนย้ายจากแหล่งกำเนิดไปในระยะไกลนับร้อยนับพันกิโลเมตรได้ แหล่งกำเนิด PM2.5 ขนาดใหญ่อื่นๆ เช่น โรงไฟฟ้าถ่านหิน การผลิตทางอุตสาหกรรม เป็นต้น จึงมีส่วนสำคัญและส่งผลต่อคุณภาพอากาศในกรุงเทพมหานครภายใต้สภาวะทางอุตุนิยมวิทยา (ลม อุณหภูมิ ความกดอากาศ ความชื้น) และช่วงเวลาที่เหมาะสม
คลิกอ่านข่าว >> ค่าฝุ่นพุ่ง! เกินมาตรฐาน 36 จุด เตือน 13-14 ม.ค. อากาศปิด มีผลต่อสุขภาพ ฝุ่นขนาดเล็กเพิ่มขึ้น