xs
xsm
sm
md
lg

ใครว่ายาพิษ ผลวิจัยล่าสุด “น้ำมันมะพร้าว” เพิ่มไขมันดีลดไขมันเลว ได้ผลกว่าเนย-น้ำมันมะกอก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เปิดงานวิจัยในมนุษย์ล่าสุด ปี 61 พบผลแล็บแสดงสุขภาพไขมันในเลือดของผู้ที่ดื่มน้ำมันมะพร้าวดีกว่ากลุ่มที่กินไขมันเนย และน้ำมันมะกอก เช่นเดียวกับงานวิจัยปี 60 น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นช่วยเพิ่มไขมันตัวดี ขณะที่งานวิจัยปี 59 ระบุลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ โต้ข้อกล่าวหานักวิชาการฝรั่งอ้างน้ำมันมะพร้าวเป็นยาพิษบริสุทธิ์

จากกรณี ดร.คาริน มิเชลส์ ศาสตราจารย์ด้านระบาดวิทยา มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ออกมาโจมตีน้ำมันมะพร้าวว่าเป็นยาพิษบริสุทธิ์ ทำให้ชมรมผู้ผลิตมะพร้าวแห่งเอเชียและแปซิฟิค หรือ APCC องค์กรระหว่างประเทศที่มีสมาชิก 18 ประเทศ แถลงข่าวตอบโต้เมื่อวันที่ 23 ส.ค.ว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่เป็นความจริง และที่ผ่านมายังไม่พบหลักฐานการบริโภคน้ำมันมะพร้าวที่ส่งผลและเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ การอักเสบ โรคที่เกี่ยวข้องกับความดันโลหิตสูง และความอ้วน ซึ่งผลการศึกษาในปัจจุบันและงานวิจัยต่างๆ ได้แสดงหลักฐานให้เห็นว่าน้ำมันมะพร้าวมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ในทางตรงกันข้ามผู้ที่เปลี่ยนมาบริโภคน้ำมันชนิดอื่นกลับอ้วนมากขึ้นกว่าเดิม อาทิ การบริโภคไขมันทรานส์ที่ได้จากอาหารฟาสต์ฟูดของชาติตะวันตก APCC จึงขอให้ ดร.มิเชลส์ กล่าวคำขอโทษต่อเกษตรกรผู้ปลูกมะพร้าวนับล้านคนที่ได้รับผลกระทบจากการกล่าวหาครั้งนี้ด้วย

ล่าสุด นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ เกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า จากเหตุการณ์ที่มีนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดคนหนึ่งซึ่งออกมาให้ข่าวว่าน้ำมันมะพร้าวคือยาพิษ เป็นผลทำให้เลขาธิการชุมชนมะพร้าวแห่งเอเชียแปซิฟิก (APCC) ในฐานะผู้แทนสมาชิก 18 ประเทศ ออกมาตอบโต้กลับอย่างรุนแรงว่านี่คือการโกหกแบบไม่มีความรับผิดชอบ ซึ่งข่าวตอบโต้ออกมาเช่นนี้ย่อมทำให้ประชาชนเกิดความสับสนเป็นอันมาก

ในสถานการณ์เช่นนี้ “ความคิดเห็น” หรือ “Opinion” ไม่ว่าจะมาจากคนที่มีความน่าเชื่อถือเพียงใดก็ยังไว้วางใจไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ทั่วโลกเริ่มยกเลิกผลิตผลของไขมันทรานส์ และเรียนรู้มากขึ้นว่าตำแหน่งที่เรียกว่าไขมันทรานส์นั้นก็คือ “ตำแหน่งไขมันไม่อิ่มตัว” ซึ่งเป็นผลทำให้ อุตสาหกรรมอาหารเริ่มเพิ่มสัดส่วนของไขมันอิ่มตัวมากขึ้น และทำให้กลุ่มไขมันไม่อิ่มตัวเริ่มเสียผลประโยชน์มากขึ้น

ดูได้จากคำแถลงของนักวิชาการแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ช่างบังเอิญ เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันที่มีการจัดงานการประชุมสัมมนาชุมชนมะพร้าวแห่งเอเชียแปซิฟิก (APCC COCOTECH Conference) ครั้งที่ 48 โดยมีประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ซึ่งในงานดังกล่าวนอกจากจะมีผู้แทนสมาชิก 18 ประเทศแล้ว ยังมีชาติอื่นๆ เข้าร่วมอีกรวมเป็น 25 ประเทศ และมีชาวต่างชาติทั้งรัฐและเอกชน ทั้งผู้ประกอบการ นักลงทุน ผู้ผลิตอาหาร ฯลฯ ให้ความสนใจมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา ความสำเร็จในการจัดงานดังกล่าวย่อมแสดงให้เห็นว่าทั่วโลกมีความตื่นตัวและเข้าใจในเรื่องน้ำมันมะพร้าวมากขึ้นเพียงใด

ดังนั้น สิ่งที่ประชาชนควรจะต้องแสวงหาข้อเท็จจริงมากกว่าการใช้ความเห็น และข้อเท็จจริงที่จะเป็นข้อยุติได้ประการหนึ่งก็คือ “หลักฐานงานวิจัยในมนุษย์” หรือที่เรียกว่าการทดลองทางคลีนิกในมนุษย์แบบสุ่มตัวอย่าง (Randomised Clinical Trail) และตรวจสุขภาพโดยอาศัยผลแลปทางการแพทย์เป็นเครื่องพิสูจน์

และงานวิจัยล่าสุดได้ถูกตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารทางการแพทย์ของอังกฤษ BMJ Journal ซึ่งเป็นวารสารทางการแพทย์ที่มีน้ำหนักและได้การยอมรับทั่วโลก

งานวิจัยที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้เป็นการวิจัยล่าสุดที่ถูกพิมพ์เผยแพร่เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2561 เป็นการวิจัยในมนุษย์ทั้งชายและหญิงที่สุขภาพดีจำนวน 91 คน เชิงเปรียบเทียบโดยแบ่งเป็น ผู้ที่กินน้ำมันมะพร้าวจำนวน 28 คน กินไขมันเนยจำนวน 33 คน และกินน้ำมันมะกอกจำนวน 50 กรัมต่อวัน เป็นเวลา 4 สัปดาห์ ซึ่งมีผลที่น่าสนใจเกี่ยวกับไขมันในเลือด ดังนี้

1. HDL หรือที่เรียกว่าไขมันตัวดีเพิ่มสูงขึ้นทั้ง 3 กลุ่ม คือกลุ่มที่กินน้ำมันมะพร้าว ไขมันเนย และน้ำมันมะกอก “แต่กลุ่มที่กินน้ำมันมะพร้าวมี HDL เพิ่มสูงขึ้นที่สุดอย่างมีนัยสำคัญ” และเพิ่มสูงกว่าเมื่อเทียบกับน้ำมันมะกอกและไขมันเนย ในขณะที่การเพิ่มขึ้นของ HDL ในกลุ่มที่กินน้ำมันมะกอกและไขมันเนยไม่แตกต่างกันมากนัก

2. LDL หรือที่ถูกเรียกว่าไขมันตัวเลว พบว่าลดลงทั้งในกลุ่มที่กินน้ำมันมะพร้าวและน้ำมันมะกอก แต่ LDL ของกลุ่มที่กินน้ำมัมะพร้าวลดลงมากกว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับกลุ่มที่กินน้ำมันมะกอก ซึ่งถือว่าการลดลงของ LDL ทั้งน้ำมันมะพร้าวกับน้ำมันมะกอกไม่แตกต่างกันมากนัก อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่กินไขมันเนยกลับมี LDL เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มที่กินน้ำมันมะพร้าวและน้ำมันมะกอก

3. การเปลี่ยนแปลงของสัดส่วนระหว่างคอเลสเตอรอลหารด้วย HDL ยิ่งลดลงมากยิ่งดี พบว่ากลุ่มที่กินน้ำมันมะพร้าวลดลงมากที่สุด รองลงมาคือกลุ่มที่กินน้ำมันมะกอก แต่กลุ่มที่สวนทางเพิ่มขึ้นกลับเป็นไขมันเนย

เมื่อเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนคอเลสเตอรอลหารด้วย HDL พบว่า กลุ่มกินน้ำมันมะพร้าวลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับน้ำมันมะกอก แต่ถือว่าไม่แตกต่างกันมากนัก ส่วนไขมันเนยมีสัดส่วนดังกล่าวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับน้ำมันมะพร้าว และน้ำมันมะกอก

สรุปผลงานวิจัยในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า HDL (ไขมันตัวดี) สูงเพิ่มขึ้นมากที่สุดกลับเป็นกลุ่มที่กินน้ำมันมะพร้าว ส่วนค่า LDL (ถูกเรียกว่าไขมันตัวเลว) ลดลงมากที่สุดก็เป็นกลุ่มที่กินน้ำมันมะพร้าวเช่นกัน และสัดส่วนระหว่างคอเลสเตอรอลหารด้วย HDL ซึ่งยิ่งลดลงมากยิ่งดีนั้น กลุ่มที่มีสัดส่วนลดมากที่สุดก็กลับเป็นกลุ่มที่กินน้ำมันมะพร้าวอยู่ดี

โดยภาพรวมแล้วใน 4 สัปดาห์ น้ำมะพร้าวให้ผลลัพธ์ 3 ดัชนีชี้วัดทางผลแล็บโครงสร้างไขมันในเลือดดีที่สุด แม้จะระบุว่าผลดีดังกล่าวไม่แตกต่างมากนักเมื่อเทียบกับน้ำมันมะกอก (ยกเว้น HDL ไขมันตัวดีของน้ำมันมะพร้าวเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ) ส่วนไขมันเนยกลับให้ผลลัพธ์ด้อยที่สุดเมื่อเทียบกับน้ำมันมะพร้าวและน้ำมันมะกอก

ดังนั้น โปรดเข้าใจว่าช่วงเวลานี้เป็นสงครามของไขมัน ระหว่างน้ำมันมะพร้าวอิ่มตัวของเอเชียแปซิฟิก กับ น้ำมันไม่อิ่มตัวของกลุ่มประเทศตะวันตกและอเมริกา ดังนั้นต้องตั้งสติและพิจารณาให้ถ่องแท้จากงานวิจัย อย่าให้ใครหลอกเราเหมือนกับ หลอกให้กินไขมันทรานส์จนผู้เจ็บป่วยและเสียชีวิตอย่างมหาศาลในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา (อ่านงานวิจัยต้นฉบับได้ที่ https://bmjopen.bmj.com/content/bmjopen/8/3/e020167.full.pdf)

ปีที่แล้ว (พ.ศ. 2560) ก็เช่นเดียวกัน มีงานวิจัยทางคลีนิกซึ่งตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์เสริมและการแพทย์ทางเลือก Evidence-based Complementary and Alternative Medicine โดยเป็นการวิจัยในมนุษย์ทั้งชายและหญิงวัยหนุ่มสาวจำนวน 32 คน โดยให้ดื่มน้ำมันมะพร้าววันละ 15 มิลลิลิตร เทียบกับกลุ่มที่ดื่มสารละลาย carboxymethylcellulose (CMC) 2% เพื่อเปรียบเทียบผล ทั้งนี้มีการบริโภคต่อเนื่องนาน 8 สัปดาห์ และหยุดล้างท้อง 8 สัปดาห์ และติดตามผลต่ออีก 8 สัปดาห์ (รวมเวลา 24 สัปดาห์) ผลงานวิจัยสรุปตรงกับงานวิจัยทางคลินิกสอดคล้องกับงานวิจัยปี 2561 ว่า การดื่มน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นช่วยเพิ่ม HDL หรือที่เรียกว่าไขมันตัวดีให้สูงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยการเปลี่ยนแปลงไขมันส่วนอื่นๆ แทบไม่แตกต่างกัน (อ่านรายละเอียดที่ https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5745680/#__ffn_sectitle)


กำลังโหลดความคิดเห็น