xs
xsm
sm
md
lg

คุยกับ “หมวดเอิร์ธ” ร.ต.ท.พงศกร ขวัญเมือง ชีวิตนักเรียนนอก แนวคิดจากลอนดอน และอนาคตการเมือง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


การทำงานอย่างจริงจังของ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม. คนปัจจุบัน ที่ผ่านมา จะได้เห็นตำรวจหนุ่มรูปร่างสูงยาว คอยติดตามเวลาลงพื้นที่ เขาคนนั้นคือ “หมวดเอิร์ธ” ลูกชายคนสุดท้อง จากพี่น้อง 3 คน ของครอบครัวขวัญเมือง

หนุ่มคนนี้ จบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่นที่ 69 เคยทำงานเป็นรองสารวัตร (สืบสวน) สน.ทุ่งมหาเมฆ เป็นหนึ่งในบุคคลที่ชาวเน็ตติดแฮชแท็ก #ตำรวจหล่อบอกด้วย ด้วยอายุยังน้อย แถมสูงถึง 182 เซนติเมตร อย่างไรก็ตาม หมวดเอิร์ธได้ลาราชการไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ หายหน้าไปจากเมืองไทยนานนับปี กระทั่งใกล้จะจบการศึกษา พร้อมข่าวดีได้ทุนจากรัฐบาลอังกฤษ ไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด

กองบรรณาธิการออนไลน์ MGR Online มีโอกาสพูดคุย “หมวดเอิร์ธ” ร.ต.ท.พงศกร ขวัญเมือง ถึงประสบการณ์เป็นนักเรียนนอก ว่า จะนำความรู้นำไปประยุกต์ใช้ที่เมืองไทยอย่างไร โดยเฉพาะคุณพ่อที่เป็นถึงผู้ว่าฯ กทม. รวมทั้งอนาคตทางการเมือง ในช่วงที่ไม่อยู่เมืองไทย ก็เคยมีข่าวลือบนหน้าหนังสือพิมพ์ งานนี้จะตอบในสิ่งที่เราสงสัยในช่วงที่ผ่านมาอย่างไร

- อัปเดตชีวิตหน่อย ... ช่วงนี้ได้ไปศึกษาต่อที่ไหน เรียนด้านอะไรบ้าง

เมื่อก่อนเป็นตำรวจ ตอนนี้ก็ยังเป็นตำรวจอยู่ ปีที่แล้วได้ลาไปเรียนต่อที่ยูนิเวอร์ซิตี้ คอลเลจ ลอนดอน (UCL) สาขาบริหารรัฐกิจและการจัดการรัฐกิจ (MPA) เป็นการบริหารรูปแบบใหม่ เนื่องจากการบริหารในรูปแบบการปกครองของรัฐเริ่มน้อยลง ที่เมืองนอกระบบทุกอย่าง เมื่อก่อนราชการทำเองหมด ตอนนี้พยายามจะให้เอกชนทำ เพราะมีแนวคิดที่เชื่อว่า เอกชนจะทำได้ดีกว่าราชการ ด้วยรูปแบบที่สามารถเป็นอิสระได้มากกว่า เป้าหมายของเขาคือการที่จะทำกำไร เพราะฉะนั้นเขาก็ต้องทำสิ่งที่ดีๆ นี่คือการเรียนในเรื่อง MPA

ขออธิบายว่า เราต้องแบ่งเป็น 4 สมัย สมัยก่อนรัฐจะทำทุกอย่างเอง ตั้งแต่การเดินรถ การทำทุกอย่างโดยรัฐเอง แล้วก็ค่อยๆ มาถึงรูปแบบที่ 2 ให้ประชาชนมามีส่วนในการแนะนำ ต่อมาเป็นรูปแบบที่ 3 การให้เอกชนมาทำแทน แล้วรัฐเป็นผู้ดูแล อย่างเช่นการให้สัมปทานต่างๆ เช่น รถไฟฟ้าบีทีเอส เอ็มอาร์ที และรูปแบบที่ 4 ที่หลายประเทศกำลังจะทำ คือการกำกับดูแลกิจการ (Governance) คือการที่รัฐไม่ต้องทำอะไรเลย เอกชนสามารถบริหารเอง แต่ก็ยังไม่ไม่ถึงตรงนั้น ผมอยากเรียนรู้เรื่องของ MPA เพราะตอนนี้อยู่ในรูปแบบที่ 3 คือ การให้เอกชนร่วมลงทุน (PPP) แต่ไม่ใช่ว่าจะได้ผลดีอย่างเดียว ถ้าเราไม่สามารถเขียนสัญญาให้รอบคอบ ไม่สามารถควบคุมเอกชนได้ เอกชนก็สามารถใช้ประโยชน์จากรัฐในการหาผลกำไร ตัวนี้คือสิ่งที่ผมอยากเรียนรู้

- ยากไหมกับการเรียนสาขานี้

ผมว่าไม่ยาก เรียนที่ไทยน่าจะยากกว่า เพราะเราเน้นเรื่องวิชาการค่อนข้างจะเยอะ แต่ที่ยูซีแอล อาทิตย์หนึ่งผมเรียนเต็มที่ก็ 3 วัน วันหนึ่งเต็มที่ก็ 4 ชั่วโมง ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับเมืองไทย แต่เวลาที่เหลือไปไหนไม่ได้เลย คือคุณไปอ่านเอง คุณจะไม่อ่านก็ได้แต่คุณก็ไม่รู้ เขาเปิดอิสระในการเรียนรู้ ให้เราอยากรู้ เราถึงไปเรียน ไม่ใช่ว่าเรียนเพื่อที่จะได้ปริญญา ซึ่งผมชอบระบบแบบนี้ สมมติเวลาเราทำงานส่ง พอจบวิชาหนึ่ง เขาก็จะให้เราทำ Essay (เรียงความ) มาเลย แล้วคุณจะทำเรื่องอะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับวิชานี้ ไม่จำเป็นต้องทำข้อสอบ ทำอะไรต่างๆ คือ เขาต้องการให้เราเรียนรู้ได้จริงๆ สงสัยอะไรก็มาถามอาจารย์ได้ตลอด อาจารย์จะรอที่มหาวิทยาลัยตลอด ให้เราได้เข้ามาปรึกษา แต่เขาจะเรียกเรามาคุยว่า คุณเป็นยังไงบ้าง คุณคิดว่าแบบนี้เป็นยังไง จริงไหม ซึ่งเรามีหน้าที่ไปเถียงเขา นำเสนอความคิดกับเขา ว่าเราคิดในสิ่งที่ถูกต้องไหม หรือว่าเราไม่เห็นด้วยกับเขายังไง ซึ่งระบบนี้เป็นระบบที่แปลก ไม่เคยเห็น

- มีอะไรกดดันบ้างไหม

ความกดดันไม่มี ผมเป็นคนไม่กดดันอยู่แล้ว แต่ว่าไปเรียนที่โน่น สิ่งที่อยากจะทำมากกว่า และเป็นแรงบันดาลใจที่อยากจะทำให้ดีขึ้น คือการพัฒนาเมือง การเรียนในลอนดอน ผมว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่าตัวมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ เพราะชีวิตในลอนดอน คือเมืองหลวงหนึ่งของโลกที่เขาเรียกว่า One of the Global, Major City of the World เพราะรูปแบบการใช้รถไฟใต้ดิน การเดินทางระบบขนส่งสาธารณะ บนประชาการหนาแน่น การที่เราได้เห็นรูปแบบเมือง ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า เราควรจะพัฒนารูปแบบเมืองยังไงบ้าง เมืองที่พัฒนาแล้วเป็นยังไง อย่างนายลี กวน ยู อดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ เคยบอกว่า จบที่มหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ แต่ช่วงชีวิตหนึ่งเคยมาเรียนที่แอลเอสอี (LSE - London School of Economics) เขาบอกว่าช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาที่เขาได้ศึกษาในลอนดอน เขาได้เห็นลอนดอน เป็นสิ่งสำคัญที่เขาได้นำไปใช้ในการพัฒนาสิงคโปร์ เมื่อประมาณ 40-50 ปีที่แล้ว


- คิดว่าลอนดอน แตกต่างจากกรุงเทพมหานครมากน้อยขนาดไหน

ถ้าความรู้สึก เรื่องความใหญ่ของเมือง ผมว่าเล็กกว่ากรุงเทพฯ แต่คนสามารถจะอยู่ไกลๆ แล้วเดินทางเข้ามาทำงานโดยไม่ต้องใช้รถยนต์ได้ ถ้าสมมติบ้านอยู่ปิ่นเกล้า การที่จะเดินทางเข้ามาทำงานในสีลม เป็นไปได้ไหมที่เราจะใช้รถไฟฟ้าอย่างเดียว มันก็เป็นไปไม่ได้ รถเมล์เรามีคุณภาพดีพอหรือไม่ ที่ลอนดอนรถเมล์ดีมาก รถไฟฟ้าดีมาก การเดินทางทุกอย่างเราสามารถใช้การขนส่งสาธารณะได้อย่างสบาย ค่อนข้างจะแม่นยำด้วย เราสามารถขึ้นรถ เชื่อมต่อทุกอย่างได้ง่ายในบัตรเดียว เราเดินทางจากที่หนึ่ง ไปสู่ที่หนึ่งง่ายมาก เราต้องพยายามทำให้เห็นว่า การพัฒนาเมือง ระบบขนส่งสาธารณะก็สำคัญ เราก็ต้องให้ความสำคัญ ไม่ใช่ว่าเราสร้างบีทีเอสอย่างเดียวอาจจะไม่ถูก เราก็ต้องสร้างระบบขนส่งสาธารณะ ที่สามารถสนับสนุนกันได้ การขึ้นรถเมล์เส้นนี้ มาต่อบีทีเอส ทำให้เราสามารถไปจุดนี้ได้ นี่คือสิ่งที่สำคัญ ไม่ใช่ว่าเราขยายเส้นทางอย่างเดียว

- ถ้าจะเปลี่ยนให้กรุงเทพมหานครคล้ายลอนดอน คิดว่ายากหรือมีอุปสรรคอย่างไร

ผมเห็นหลายๆ คน ช่วงหนึ่งพูดคำว่า “สมาร์ทซิตี้” (Samrt City) เป็นคำที่ฮิตมาก ผมอยากให้เข้าใจก่อนว่า คำว่าสมาร์ทซิตี้คืออะไร เมืองที่อัจฉริยะ เมืองที่ฉลาดคือยังไง คำว่าสมาร์ทซิตี้ หลายคนบอกว่า ทุกอย่างสามารถใช้บัตรใบเดียว ทำทุกอย่างได้ สามารถใช้โทรศัพท์เข้าทุกอย่างได้ แต่ผมถามว่า เราพร้อมขนาดไหนที่จะเป็นสมาร์ทซิตี้ เราควรจะมีวินัยมากกว่านี้ไหม การเก็บขยะเรามีความสะอาดหรือยัง ผมว่าก่อนที่เราจะไปสมาร์ทซิตี้ ระหว่างทางเราควรพัฒนาอะไรบ้าง เราควรพัฒนาวินัยของคนก่อน ให้คนมีพื้นที่ในการเดินทางเท้า ทางเท้าเดินได้สะดวกก่อน คนไม่ขี่รถจักรยานยนต์บนทางเท้า ทุกคนเคารพกฎหมาย การไปสู่สมาร์ทซิตี้ ไม่ใช่ว่าแค่การสร้างของ แต่เป็นการทำให้คนสามารถใช้ของได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตรงนี้ผมว่าเป็นสิ่งสำคัญ

- คิดว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบแบบต่างคนต่างทำ เป็นอุปสรรคไหม น่าจะพูดคุยหรือประสานกันได้หรือไม่ เพื่อที่จะนำไปสู่การพัฒนาแบบนั้น

เราลองดูอดีต ผมไม่รู้ว่าจริงไม่จริง แต่ผมเข้าใจความรู้สึก การที่รัฐบาลเป็นรัฐบาลหนึ่ง แต่กรุงเทพมหานครมาจากผู้ว่าฯ อีกคนหนึ่ง ทำให้มีอุปสรรคในการแก้ไขปัญหาในบางครั้ง ผมไม่อยากจะระบุปัญหาว่าเป็นอะไร แต่ผมก็มีความรู้สึกว่า รูปแบบในการบริหารเมือง ผู้ว่าฯ ไม่ได้มีอำนาจในการจัดการระบบขนส่งสาธารณะ รถไฟฟ้าบีทีเอสผู้ว่าฯ ยังมีอำนาจไม่เต็ม เพราะบางส่วนยังมีของ รฟม. ซึ่งผู้ว่าฯ ไม่มีอำนาจในการบริหารจัดการ หรือว่าถ้าเกิดไม่ให้ผู้ว่าฯ ทำ ก็ควรจะให้กระทรวงคมนาคมทำ คือตอนนี้เราไม่มีเจ้าภาพที่จะมีอำนาจในการบริหารเมืองได้เบ็ดเสร็จ ทุกคนต่างแย่งกันเพื่อจะบริหาร เราควรจะมีระบบในการแบ่งการพัฒนาเมืองให้สอดคล้องกัน ไม่ใช่ว่าแย่งกันส่วนใดส่วนหนึ่ง

รถไฟใต้ดินเป็นของกระทรวงคมนาคม รถไฟฟ้าเป็นของ กทม. รถเมล์เป็นของ ขสมก. สุดท้ายแล้วจะพัฒนาเป็นทิศทางเดียวกันได้อย่างไร อันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ ซึ่งไม่เกี่ยวกับว่าเราไม่พร้อม หรือเทคโนโลยีไม่พร้อม แต่เป็นเรื่องการเมือง ซึ่งผมว่านักการเมืองควรมองประโยชน์ของรัฐเป็นที่ตั้ง แล้วก็มาคุยกันมากกว่า ไม่ใช่ว่าคุณทำดีแล้ว เราจะชนะเลือกตั้งอย่างเดียว เราไม่ควรจะมองเรื่องนั้น เราควรมองว่า เราจะทำอย่างไรที่จะพัฒนาประเทศได้ พัฒนาเมืองได้ มากกว่าการเลือกตั้ง
ภาพ : IG @earthpongsakorn
- ย้อนกลับไปสาขาที่เราเรียน ต่างกับที่เราเรียนโรงเรียนนายร้อยตำรวจ มากน้อยขนาดไหน

โรงเรียนนายร้อยตำรวจ เขาสอนค่อนข้างจะเยอะมาก หน่วยกิตก็เหมือนมหาวิทยาลัยธรรมดา เพราะว่าเราจะเรียนทำนอง ส่วนหนึ่งของรัฐศาสตร์ ส่วนหนึ่งของกฎหมาย ส่วนหนึ่งของจิตวิทยา ส่วนหนึ่งของตำรวจ เรียนทุกอย่าง แต่ว่าจะเน้นไปทางตำรวจ ไม่ได้เน้นทางรัฐศาสตร์ ทางกฎหมายเต็มรูปแบบ ทำให้เราได้เข้าใจพื้นฐาน แต่รูปแบบที่ผมเคยเรียน เป็นการบริหารของรัฐ การเขียนนโยบาย เพราะว่ารัฐก็คือรัฐธรรมดา แต่สิ่งที่ทำให้สิ่งที่รัฐคิด กับสิ่งที่ประชาชนต้องการเป็นจริงคือการทำนโยบาย ถ้าเกิดนโยบายที่ไม่ดี ก็คือนโยบายขายฝัน นโยบายที่ทำไม่ได้จริง

อย่างเวลาขับรถ เราเห็นป้ายแท็กซี่อัจฉริยะ อาจจะเป็นแนวคิดที่ดี แต่ทำไม่ได้จริง ทุกวันนี้มีใครกดแท็กซี่อัจฉริยะ หรือรู้ไหมว่ามีแท็กซี่อัจฉริยะ ไม่มีใครรู้ นโยบายถ้าเกิดเราไม่สามารถจะทำได้จริง ก็ถือเป็นนโยบายที่ล้มเหลว และล้มเหลวไม่ใช่ว่าไม่ได้ใช้ประโยชน์ แต่เป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณของภาครัฐ ประชาชนก็ไม่ได้ประโยชน์ ดังนั้น ถ้าผมอยากจะพัฒนาประเทศ หรือว่าอยากจะเข้าใจในการพัฒนาตำรวจด้านต่างๆ เราต้องเข้าใจนโยบาย เพราะคือหัวใจของรัฐ

- มีจุดเปลี่ยนอะไรที่ทำให้เราอยากที่จะเลือกมาเรียนสายนี้ คิดกันมานานหรือยัง

ผมอยากเรียนสายนี้มานานแล้ว เพราะนี่คือหัวใจของรัฐ คุณจะทำงานองค์กรไหน สุดท้ายแล้วนโยบายก็คือสิ่งที่ทุกองค์กรต้องมี เป็นสิ่งที่เราจะกำหนดทิศทางของประเทศ กำหนดทิศทางของทุกอย่าง มันขึ้นอยู่กับเรื่องนี้ แล้วผมสนใจมาก เพราะว่าต่อให้คุณจบกฎหมายมาอย่างเดียว สมมติถ้าจบกฎหมาย ทุกวันนี้เรามีกฎหมายมากมาย ถามว่าเราบังคับใช้กันได้ไหม ตอนนี้มีกฎหมายเรื่องการขับขี่รถจักรยานยนต์บนทางเท้า เรายอมรับชัดเจนว่ามีกฎหมายรองรับ แต่เราสามารถบังคับใช้ได้ขนาดไหน

สมมติคุณจบรัฐศาสตร์ คุณพูดถึงทฤษฎีการเมือง ขวาจัด กับซ้ายจัด เสรีนิยม ประชาธิปไตย คอมมิวนิสต์ อะไรต่างๆ แต่ถ้าไม่สามารถพัฒนาประเทศได้ แล้วคุณจะพูดไปทำไม ผมไม่เห็นด้วยที่นักการเมืองจะต้องพูดถึงว่า บ้านเมืองมันต้องเป็นเสรีสุดๆ เสรีตลาด เสรีแบบรัฐสวัสดิการต่างๆ ผมอยากให้เขาคิดว่า เราควรทำอย่างไรให้เหมาะกับคนไทยมากกว่า ซึ่งตรงนี้เราควรทำนโยบายอย่างไรที่จะพัฒนาประเทศ ไม่ใช่ว่าคุณจะสร้างการเมืองในอุดมคติอย่างเดียว แต่คุณต้องพัฒนาประเทศของเรา

- จะเอาความรู้ที่ได้ตรงนี้ไปใช้ในการทำงาน หรือนำไปพัฒนาประเทศในอนาคตอย่างไรบ้าง

อย่างแรก ผมเป็นตำรวจอยู่ ถ้ากลับมารับราชการตำรวจ ผมก็อยากจะพัฒนาองค์กรตำรวจ เรื่องการทำนโยบายจะสามารถทำให้ตำรวจทำงานได้มากขึ้น เพราะปัจจุบันตำรวจทำงานค่อนข้างจะหนัก แต่ภาพลักษณ์ของเราไม่ค่อยดี รวมทั้งการลดอาชญากรรม บางทีเราก็ลดไม่ได้ด้วยซ้ำ การจับกุมเราจับได้มาก บางช่วงเราเน้นกวาดล้าง เราก็กวาดได้มาก บางช่วงเราจะทำ เราก็ทำได้ดี แต่เราไม่สามารถที่จะทำให้มีความต่อเนื่อง ผมอยากจะทำนโยบายที่ทำให้เกิดผลในระยะยาว เราสามารถวัดได้ไหม

ทุกวันนี้เราเคยวัดเรื่อง Crime Rate (สถิติการเกิดอาชญากรรม) ของกรุงเทพฯ บ้างไหม อย่างลอนดอน รัฐบาลขึ้นมา ก็วัดผลว่าปีนี้รัฐบาลไหนสามารถลดอัตราการเกิดอาชญากรรมได้ เมืองไทยเรายังไม่รู้เลย อัตราการเกิดอาชญากรรมเท่าไหร่ เราสามารถจะตั้งเป้าได้ไหม การทำงานโดยมีเป้าหมายต่างๆ เราควรจะพัฒนา ผมก็อยากจะให้ตำรวจทำงานมีเป้าหมาย มีนโยบายที่สามารถเกิดผลได้ชัดเจน ผมไม่ได้มองด้านใดด้านหนึ่ง ถ้าสมมติเราสืบอย่างเดียว เราจับคนร้ายได้ นี่คือ เป้าหมายแล้ว แต่สิ่งที่ดีที่สุด คือการที่เราไม่มีคนร้าย นี่คือสิ่งที่เราต้องการจะทำ ถ้าเราสามารถกำหนดนโยบายที่ทำได้ก็จะดี
ภาพ : IG @earthpongsakorn
- อยากให้เล่าประสบการณ์การเป็นนักเรียนนอก เพราะดูเหมือนว่าวันหนึ่งเรียนไม่กี่ชั่วโมง แต่ก็มีเวลาศึกษาด้วยตัวเอง

เวลาส่วนใหญ่ก็จะอยู่ในห้องสมุด เพราะว่าต้องศึกษา เขาจะมี Reading Lists พอจบคลาสหนึ่ง ก่อนที่คุณจะไปเรียนคลาสหน้า คุณต้องไปอ่านตามรายการอ่านหนังสือ เวลาส่วนใหญ่ก็ต้องใช้เวลากับการอ่านหนังสือพวกนี้ แล้วเราต้องมีความรู้ก่อนแล้วไปเข้าในห้องเรียน ห้องเรียนไม่ใช่ที่เรียนรู้ แต่เป็นที่ของความรู้ แต่ละวันตื่นมา อ่านหนังสือให้ครบ แล้วไปเข้าคลาสเพื่อที่จะคุยกับเขา ผมว่าแปลกอย่างหนึ่ง คือ ในสภาพห้องเรียน ความรู้สึกส่วนตัว ประสบการณ์ของผม คนที่เราเรียกว่าฝรั่ง จะตอบโต้ได้มากกว่าคนเอเชีย เพราะคนเอเชียเราไม่ค่อยตอบโต้ ซึ่งผมพยายามจะตั้งใจให้ได้ว่า ผมต้องตอบโต้ในห้องให้ได้ ต้องคุยกับเขาให้ได้ ต้องอ่านให้รู้เรื่องให้ได้ อันนี้อาจเป็นสิ่งกดดันเล็กๆ น้อยๆ แต่ผมมองว่าเป็นสิ่งที่ผลักดันผมมากกว่า นั่นคือสิ่งที่ผมมอง

- อาจจะเป็นที่ระบบหรือเปล่า เมืองไทยเน้นสอนจากตำรา สอนตามบทต่างๆ แต่ว่าเมืองนอกให้เราเรียนรู้ด้วยตัวเอง แล้วค่อยมาพูดคุยในห้องเรียนอย่างนั้นหรือเปล่า

ผมไม่อยากจะมองอย่างนั้นอย่างเดียว ไม่ได้ว่าเกี่ยวกับตำรา แต่ผมว่าเราต้องเน้นเรื่องการให้เด็กแสดงความคิดเห็นมากขึ้น ทุกวันนี้ในห้องเรียน ตำราไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่จะทำอย่างไรได้บ้าง ที่ทำให้เด็กพูดถึงวิชาในตำรา อย่างคุณต้องตอบให้ได้ว่า การเรียนเลข เรียนไปเพื่ออะไร ทุกอย่างต้องตอบให้ได้ ทุกวันนี้ผมยังไม่เข้าใจว่า เรียนเลขบางเรื่อง เรียนไปเพื่ออะไร ถ้าเกิดจะใช้เพื่อเอนทรานซ์ก็พอตอบได้ แต่ว่าเราจะมีทางอื่นไหมที่จะบอกว่า เลขสำคัญกับชีวิตเขาอย่างไร การที่เราสามารถคำนวณเปอร์เซ็นต์ได้ คำนวณอะไรได้มันก็สำคัญ ผมว่าสิ่งที่ต่างจากเมืองไทยก็คือ เมืองนอกเขาจะทำให้คุณรู้ก่อนว่า คุณจะเรียนไปเพื่ออะไร

- ปกติมีเวลาว่างบ้างไหม

มีครับ มีเยอะเลย มันก็แบ่งได้ ผมพยายามแบ่งเวลา ไม่อยากจะไปอยู่แต่ในห้องเรียน ผมอยากเรียนรู้ชีวิตว่าคนอังกฤษเป็นอย่างไร ผมอยากเป็นคนไทยที่ได้เรียนรู้ชีวิตอังกฤษ ไม่ใช่ผมกลับมาเป็นฝรั่ง ก็จะพยายามไปใช้ชีวิตเหมือนคนอังกฤษ เดินไปเรียน ไปโน่นไปนี่ ได้ไปหลายที่

- ได้เจอคนไทยที่โน้นบ้างไหม

เยอะครับ คนไทยเรียนอยู่ที่ลอนดอนค่อนข้างจะเยอะ มีคนไทยหลายมหาวิทยาลัย ลอนดอนมีหลายมหาวิทยาลัยมาก

- ไปเรียนที่ลอนดอน คิดถึงทางบ้านบ้างหรือเปล่า

ผมว่าทางบ้านคิดถึงผมมากกว่า (หัวเราะ) ก็คิดถึงเป็นธรรมดา คิดถึงพ่อแม่ แต่ก็คุยกันตลอด เดี๋ยวนี้ไม่ยากเหมือนสมัยก่อน ที่ว่ากว่าจะโทร. ก็ต้องกดเลขยาวๆ จะได้ประหยัด แล้วค่อยต่อสายอีกที เหมือนผมไปเรียนตอนเด็ก แต่เดี๋ยวนี้ก็เฟซไทม์ได้ ไลน์คอล วีดีโอคอล ทุกอย่างก็เห็นหน้าตลอด ไม่ได้คิดถึงอะไรขนาดนั้น แต่ก็นึกถึง

- แล้วคุณพ่อ (พล.ต.อ.อัศวิน) หรือครอบครัวแนะนำการใช้ชีวิตเมืองนอกอย่างไร

เขาบอกว่าผมเป็นคนเดียวที่เรียนเมืองนอกแบบเต็มคอร์ส เพราะที่บ้านไม่ค่อยส่งพี่ชายไปเรียนซัมเมอร์หรือเรียนอะไร คุณพ่อคุณแม่เขาก็เฉยๆ กับเรื่องการเรียน คือคุณพ่อคุณแม่เขาให้อิสระ คุณอยากจะทำอะไรก็ทำ แต่ผมเป็นคนเดียวที่ไปเรียน เขาไม่ค่อยมีคำแนะนำอะไร แต่เขาแค่บอกว่า ไปไม่ใช่ว่าไปเรียนหนังสืออย่างเดียว ไปเพื่อเรียนรู้ชีวิต รู้ว่าเขาคิดอย่างไร ทำไมบางคนบอกว่าฝรั่งเขาเจริญกว่าเรา เขาดีกว่าเราไหม เขาเก่งกว่าเรา หรือว่าอย่างไร ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นได้ เพราะอะไร ให้ไปหาเหตุผล เขาก็ตอบไม่ได้ แต่ให้เราไปเรียนรู้ด้วยตัวเอง นั่นคือสิ่งที่เขาแนะนำแค่นั้น แต่เรื่องการใช้ชีวิตเขาไม่ได้แนะนำ เพราะเขาไม่รู้เหมือนกัน ได้แต่บอกว่ายินดีด้วย ให้ลูกไปเรียน อยากให้ลูกเรียน

- แต่เท่าที่เห็นคาแรกเตอร์คุณพ่อ น่าจะเป็นคนที่ดุ ก็เลยคิดว่าจะมีอะไรบังคับเราหรือเปล่า

ผมว่าใช้คำว่าดุนี่ไม่ใช่ คุณพ่อเป็นคนที่จริงจังมากกว่า จริงจับการทำงาน อะไรได้ก็ได้ อะไรไม่ได้ก็ไม่ได้ แต่คำว่าดุแบบ เฮ้ย ถึงขนาดด่าคำหยาบ ผมว่าไม่มีนะ เป็นคนสุภาพด้วยซ้ำ แต่ว่าการทำงานคุณต้องชัดเจน ต้องทำให้ได้ ต้องไปให้ถึง จะเป็นคนอย่างนั้นมากกว่า แต่ว่าดุคงไม่ใช่

- กลับมาเมืองไทยล่าสุด เห็นว่าได้ไปกับผู้ว่าฯ ดูโครงการเชื่อมต่อสวนสาธารณะ 3 สวนเข้าด้วยกัน

ผมไปดูเรื่องลู่วิ่ง คือผมเป็นคนที่ชอบวิ่งบ่อยๆ การวิ่งมาราธอนมันต้องปิดถนน แล้วรถก็จะเดือดร้อนมาก ตอนตีห้าไม่เท่าไหร่ พอหกโมงเช้า เจ็ดโมงเช้าเริ่มเดือดร้อนแล้ว ระยะทางมาราธอนไม่ใช่สั้น มินิมาราธอน 10.5 กิโลเมตร ฮาล์ฟมาราธอน 21 กิโลเมตร และฟลูมาราธอน 42 กิโลเมตร ทำให้เดือดร้อนต่อประชาชน แต่ตอนนี้ กทม. เราจะเชื่อม 3 สวน สวนจตุจักร สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ และสวนรถไฟ วันก่อนผู้ว่าฯ ไปตรวจการเชื่อม 3 สวน ระยะทางการวิ่งรอบ 3 สวน 10.5 กิโลเมตร ต่อไปผมว่ามันจะเป็นแลนด์มาร์คในการจัดมาราธอนที่ไม่ต้องเดือดร้อนใคร เว้นแต่ถ้าเขาเกิดอยากเดินวิ่งชมเมืองผมก็ไม่รู้ แต่ว่าถ้าเกิดไม่อยากให้ใครเดือดร้อน ตรงนี้ต่อไปจะเป็นจุดสำคัญในการวิ่งมาราธอน

- ผู้ว่าฯ กทม. ให้ข้อเสนอแนะในการเชื่อม 3 สวนเข้าด้วยกันอย่างไร

เขาเน้นเรื่องไฟ เรามีนโยบายเรื่องของไฟส่องทาง ที่อยากให้ไฟสว่าง แต่ว่าตอนนี้ต้องยอมรับว่ารัฐไม่สามารถตรวจสอบได้หมด เราอยากให้ไฟสว่างหมด แต่เราไม่รู้ บางทีไฟดับดวงหนึ่งเราก็เดินตรวจไปหมด อย่างที่ไปเดินสวนจตุจักร ผู้ว่าฯ ก็เจอไฟที่ไม่ติด อยากให้ประชาชนช่วยแจ้งมาที่ไลน์ "อัศวินคลายทุกข์" ที่เป็นไลน์แอด ซึ่งตรงนั้นจะช่วยดูเรื่องไฟ เรื่องอะไรต่างๆ อย่างเรื่องสวนพยายามจะพัฒนาเรื่องไฟ เพราะยังไม่สว่าง แต่อันไหนที่เดือดร้อน หรือคนใช้สวนไม่สะดวกก็ไลน์บอกไป ปัจจุบันทางมูลนิธิสวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ และการรถไฟแห่งประเทศไทย มอบหมายให้ กทม. ดูแลสวนทั้งหมด

- ในช่วงที่ไปเรียนต่อ เคยมีข่าวลือว่าจะให้ไปลงเลือกตั้ง หรือเล่นการเมือง สมมติว่าถ้าวันหนึ่ง มีคนทาบทามให้มาเล่นการเมือง สนใจหรือเปล่า

ต้องตอบว่า คนที่ทาบทามคือใคร ต้องแยกประเด็น สนใจการเมืองหรือเปล่า ผมสนใจ แต่ผมไม่ได้อยากเล่นการเมืองแบบที่คุณต้องไปเล่นกับการเมือง การที่คุณไปทะเลาะกันโดยที่ไม่มีสาเหตุ ผมไม่สนใจเรื่องนั้น ผมสนใจว่าเราจะทำอย่างไรที่จะพัฒนาได้บ้าง ไม่ใช่ผมเข้าไปในสภาเพื่อเราจะด่าคนตรงข้าม ผมไม่คิดอย่างนั้น ผมไม่อยากเป็นนักการเมืองที่ต้องไปว่าคนโน้นที ว่าคนนี้ที ผมไม่ได้คิด แต่การที่เราจะเป็นนักการเมืองที่สามารถตรวจสอบคนไหนได้บ้าง เพื่อประชาชนจะได้ตรวจสอบได้ หรือพูดแทนประชาชน คือสิ่งที่ผมต้องการเป็น อาจจะอยากเป็นด้วย แต่ถามว่าเวลา ผมก็ยังอายุน้อยอยู่ ผมอายุ 25 ปีเอง ถามว่าสนใจไหม ผมตอบชัดเจนว่าสนใจ

ต่อไปเรื่องการทาบทาม การเมืองมันไม่ใช่ว่าคุณจะเดินเข้าไปเมื่อไหร่ก็ได้ ลงเลือกตั้งเมื่อไหร่ก็ได้ ยิ่งผมเป็นตำรวจ ผมต้องเป็นกลางทางการเมือง แล้วคนที่ทาบทาม ถ้ามีจังหวะ ต้องดูว่าคนที่ทาบทามเป็นใคร ทาบทามให้ไปอยู่พรรคไหน ไม่ใช่ว่าเราอยากจะเล่นการเมือง อยู่พรรคไหนก็ได้ เราก็ต้องมองถึงสิ่งที่พรรคจะสามารถตอบโจทย์เราได้ว่า นี่คือสิ่งที่เขาต้องการพัฒนาประเทศจริงๆ อุดมการณ์เขาตรงกับเรา ไม่ใช่ว่าเราจะเข้าพรรคใดพรรคหนึ่ง

ผมก็ตอบไม่ได้ว่าทาบทามจะไปไหม อันนี้ผมตอบไม่ได้ ถ้าเกิดไม่สนใจ หรือคนที่ทาบทามไม่สามารถพรีเซนต์ไอเดียได้ว่า การที่ผมจะเข้าไปการเมืองแล้ว มันจะเกิดอะไรกับประเทศชาติ เกิดอะไรกับเมืองต่างๆ ที่จะพัฒนาอะไรได้ มันก็ไม่เข้ากันแล้ว เพราะว่าการที่จะเข้าไปการเมือง ผมต้องตอบให้ชัดเจนว่า ผมจะสามารถทำอะไรที่เกิดประโยชน์ต่อประเทศได้ เกิดประโยชน์ต่อกรุงเทพฯ ได้ คือสิ่งที่สำคัญมากกว่า ตอนนี้ยังเรียนอยู่ และยังอยู่ในราชการ

- คำถามสุดท้าย แล้วเรื่องหัวใจตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง

เป็นคำถามที่หนักใจมาก เรื่องการเมืองผมไม่หนักใจ (หัวเราะ) แค่คุยกันอยู่ อย่างที่ผมบอก ผมอายุน้อยอยู่ เราไม่รู้อนาคตเป็นอย่างไร เราก็อยากจะทำทุกอย่างให้มันดีที่สุด เราก็ต้องเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต

เรื่อง : กิตตินันท์ นาคทอง
ภาพ : ศุภภร รักษาทรัพย์, นุสรา อินทร์น้อย


ขอบคุณภาพจาก Instagram @earthpongsakorn



กำลังโหลดความคิดเห็น