พี่สาวโพสต์เฟซบุ๊ก น้องสาวถูกกลั่นแกล้งตั้งแต่ ป.6 โรงเรียนเก่ายัน ม.1 ที่ใหม่ ทั้งปลอมเฟซบุ๊กน้องสาวด่าโรงเรียน ทั้งจับมือกับคนในโรงเรียนกลั่นแกล้ง พอแจ้ง ปอท. ก็ปิดเฟซบุ๊กหนี ด้านโรงเรียนฝ่ายคู่กรณีโต้ถูกเฟซบุ๊กปลอม แจ้งความแล้ว พร้อมขู่แจ้งความกลับคนที่เข้าไปรุมด่าคู่กรณีและโรงเรียน
รายงานข่าวแจ้งว่า ในเว็บไซต์พันทิป ได้มีผู้ใช้นามแฝงว่า penney โพสต์กระทู้หัวข้อ “น้องโดนเพื่อน Cyber bully ตั้งแต่ ป.๖ จนตอนนี้ย้ายโรงเรียนแล้วก็ยังไม่หยุด รู้ตัวคนทำแต่จับไม่ได้ ขอคำแนะนำด้วยค่ะ” ระบุว่า น้องสาวของตนถูกนักเรียนหญิงคนหนึ่ง รังแกตั้งแต่เรียนชั้น ป.6 จนย้ายโรงเรียนชั้น ม.1 แล้วยังไม่เลิก อีกทั้งไปปลุกปั่นให้เด็กคนอื่นที่อยู่โรงเรียนเดียวกับน้องสาวร่วมมือ
วิธีการคือ ใช้เฟซบุ๊กและอินสตาแกรมปลอมด่าผู้อื่น แกล้งสวมรอยเป็นเด็กคนอื่นให้ครูและเพื่อนๆ เข้าใจผิดว่าเด็กคนอื่นทำ โดยระยะแรกขู่ขโมยของไปซ่อน และก็ลงมือขโมยของไปโยนทิ้งที่หน้าต่าง ขโมยของเพื่อนไปห้องให้วุ่นวาย และระยะหลังก็มีการข่มขู่ว่าจะเอามีดมาแทงน้องสาวกับเพื่อนอีกคน
โดยพบว่ามีการสร้างเฟซบุ๊กปลอมหลายบัญชี เมื่อถูกรายงานก็ใช้บัญชีใหม่มาตามรังควานต่อ อีกทั้งแอบถ่ายรูปข้อมูลส่วนตัวของพี่สาวและแม่ไป มีเลขบัตรประจำตัวประชาชน ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์พร้อม และขู่ว่าจะเอาไปใช้ในทางไม่ดี ทำให้พี่สาวกับแม่ต้องเดือดร้อน
เจ้าของกระทู้ กล่าวว่า รู้ตัวคนทำ เพราะเด็กหญิงคู่กรณีเคยมาต่อยหน้าน้องสาวในวันปัจฉิมนิเทศ ที่ห้องน้ำโรงเรียนเก่า แต่น้องสาวไม่มีพยาน เด็กหญิงคู่กรณีปากแข็งมาก โกหกเก่ง ไม่ยอมรับอย่างเดียว ขนาดไปแจ้งความทั้งที่สถานีตำรวจ เรียกพ่อแม่มาคุยก็ยังไม่ยอมรับ แจ้งความกับ ปอท. แล้ว แต่เรื่องก็เงียบไป
กระทั่งย้ายมาโรงเรียนใหม่ก็ยังไม่เลิก เอาเฟซบุ๊กปลอมมาตามด่า แล้วบอกว่ามีเพื่อนอยู่โรงเรียนใหม่ จะให้มาตามทำร้าย ตนบอกน้องสาวว่าไม่ต้องตอบแชท ไม่ต้องไปสนใจ ก็ตามไประรานเฟซบุ๊กน้องชาย ที่เรียนโรงเรียนมัธยมที่เดียวกันแทน น้องชายไม่ตอบ ก็ตามไปก่อกวนเฟซบุ๊กเพื่อนของน้องชายแทน
ตอนแรก เด็กหญิงคู่กรณีทำคนเดียว แต่ตอนหลังมาพูดในเชิงว่า รู้ความเคลื่อนไหวของน้องสาวตลอด จนสุดท้ายตนรู้ว่าไปยุเด็กอีกคนที่อยู่โรงเรียนเดียวกับน้องสาวให้ร่วมมือด้วย เด็กคนนี้คอยจับตาดูน้องสาว และใช้เฟซบุ๊กปลอมอันเดียวกับเด็กคนเดิมมาคอยตามด่าน้องสาว
โดยจะทักมาบอกว่าเห็นน้องสาวทำอะไรที่ไหน และข่มขู่ให้น้องสาวบอกตารางเรียนห้องน้องชายด้วย กระทั่งปลอมเฟซบุ๊กเป็นชื่อน้องสาว ไปด่าเพจโรงเรียนด้วยถ้อยคำหยาบคาย ครูจึงเรียกน้องสาวไปพบเพื่อสอบสวน น้องสาวจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ครูฟัง แต่ทางโรงเรียนจับมือใครดมไม่ได้ อีกทั้งหลังก่อเหตุปิดเฟซบุ๊กหนี จึงไม่มีหลักฐานมัดตัว
หลังจากนั้น เด็กที่เป็นเพื่อนกับคู่กรณี ที่เรียนโรงเรียนเดียวกับน้องสาว ก็เริ่มมาก่อกวนที่โรงเรียน ด้วยการเอาเพื่อนไปรุมล้อเลียน ตอนเข้าแถวเด็กนี่อยู่ห้องติดกัน ก็แอบย้ายที่มารวมกลุ่มกับเพื่อนทำพูดลอยๆ กระทบน้องสาวให้เจ็บช้ำน้ำใจ ตอนกลางวันเจอหน้าก็พูดจาไม่ดีใส่ ล้อเลียนใส่ประจำ
เมื่อน้องสาวเรียนชั้น ม.1 อยู่โรงเรียนใหม่ก็ไม่มีเพื่อน พยายามเข้าหาเพื่อนแล้วแต่ก็ไม่มีเพื่อนไปไหนมาไหนด้วย ยิ่งมีเรื่องนี้ เด็กที่เคยคุยกันก็ตีตัวออกห่าง ไม่อยากยุ่งกับน้องสาว กลางวันน้องสาวไม่ได้ไปกินข้าวเพราะไม่มีเพื่อน ต้องไปนั่งตามศาลาโรงเรียน ทำการบ้าน อ่านหนังสือ ไม่อยากไปกินข้าวเพราะไม่รู้จะไปนั่งกับใคร
นอกจากจะถูกเด็กที่เป็นเพื่อนกับคู่กรณีกลั่นแกล้งแล้ว ในห้องเดียวกันก็โดนเด็กผู้หญิงอีกคนพูดจาไม่ดีใส่เช่นกัน ชอบพูดจากระแหนะกระแหนถากถาง ประมาณว่าเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องทั้งหมด แล้วก็พูดให้เพื่อนในห้องไม่อยากคบน้องสาว อีกทั้งเคยบอกด้วยว่า เด็กที่เป็นเพื่อนกับคู่กรณีเป็นคนดี ไม่ได้ก่อเรื่องทั้งหมดนี้
ครูแนะแนวเคยคุยกับเด็กคนนี้ และบอกว่าเด็กหญิงในห้องเดียวกันมีแนวโน้มเป็นโรคซึมเศร้า เพราะเคยพูดถึงเรื่องฆ่าตัวตาย ครูประจำชั้นประกาศกับนักเรียนในห้องว่า เด็กหญิงคนนั้นนั้นบริสุทธิ์ไม่ได้ทำเรื่องนี้ ทุกวันนี้ยังคอยพูดจากระแนะกระแหน ทิ่มแทงน้องสาว คอยยุแยงไม่ให้น้องสาวมีเพื่อน
ต่อมาน้องสาวได้ข้อความจากคนที่ใช้ชื่อ นามสกุลจริงของเด็กที่เป็นเพื่อนกับคู่กรณี ว่า ได้ขโมยสมุดของคู่กรณีไป ถ้าอยากได้คืนให้ไปกราบเท้าขอโทษแล้วจะคืนให้ จึงบอกให้น้องสาวไม่ต้องไปตอบกลับ วันต่อมาก็ดักที่เจอน้องสาวที่ห้องน้ำโรงเรียน แล้วโยนสมุดมาให้ในสภาพยับเยิน ฉีกขาด มีรอยขีดเขียนเต็มไปหมด
พี่สาวได้ส่งรูปและข้อความที่ส่งไปให้ครูประจำชั้น แล้วไปที่โรงเรียน ครูเรียกเด็กที่เป็นเพื่อนกับคู่กรณีมาสอบ น้องสาวยืนยันว่า เด็กที่เป็นเพื่อนกับคู่กรณีเป็นคนที่เอามาโยนใส่ให้ แต่อีกฝ่ายปากแข็ง บอกไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเห็นหน้า ไม่ได้ทำ ไม่ได้ขโมย เมื่อน้องสาวไม่มีหลักฐานเพราะเจอคนเดียวตลอด ก็ทำอะไรไม่ได้อีกตามเคย
นอกจากนี้ เด็กที่เป็นเพื่อนกับคู่กรณี ร่วมกันสร้างเฟซบุ๊กปลอม เพื่อทำให้ดูเหมือนว่าถูกปลอมเฟซบุ๊ก ในตอนนั้นโพสต์ข้อความประมาณว่าเบื่อโรงเรียน ต้นเหตุเพราะน้องสาว จากนั้นคู่กรณีก็ตอบกลับว่า เดี๋ยวจะจัดการให้ จะทำให้ครูหันไปสงสัยเด็กคนอื่นแทน
วันต่อมา เด็กที่เป็นเพื่อนกับคู่กรณีไม่มาโรงเรียน ช่วงสายน้องสาวโทร. มา ร้องไห้บอกว่าโดนเพื่อนทำร้ายด้วยการผลัก แล้วบอกว่าเพราะน้องสาวทำให้ เด็กที่เป็นเพื่อนกับคู่กรณีไม่อยากมาโรงเรียน เดี๋ยวจะตบน้องสาวด้วย จึงรีบบอกครูประจำชั้นและไปโรงเรียน
ระหว่างทางมีเบอร์โทรศัพท์แปลกๆ โทรเข้ามา เมื่อรับสายน้องสาวบอกว่า ครูยึดมือถือน้องสาวไป แล้วครูสั่งว่าไม่ให้โทรหาแม่หรือพี่สาว ตนก็แปลกใจว่าทำไมครูถึงทำแบบนี้ สำหรับเด็กที่ผลักน้องสาวโดนลงโทษด้วยการหักคะแนนพฤติกรรม หลังจากวันนั้นก็แกล้วทำเป็นเดินชนแล้วพูดจาไม่ดีใส่
พอไปถึงโรงเรียน ทราบมาว่า พ่อแม่ของเด็กที่เป็นเพื่อนกับคู่กรณี ก็ไปโรงเรียนด้วยเช่นกัน ยืนยันว่าลูกของตนบริสุทธิ์ ไม่ได้ทำผิด ซึ่งตนก็ยืนยันว่าน้องสาวถูกกระทำ แต่เนื่องจากไม่มีพยาน อีกฝ่ายปากแข็งมาก โกหกต่อหน้าผู้ใหญ่มากมายโดยไม่สะทกสะท้านใดๆ สุดท้ายไม่ยอมรับ ผู้ใหญ่ก็หาทางจบไม่ได้จึงหวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำโรงเรียน จึงพาเด็กทั้งสองไปจุดธูปสาบาน
ตกเย็นหลังเลิกเรียน เด็กที่เป็นเพื่อนกับคู่กรณีโพสต์เฟซบุ๊กปลอมอีกอัน ประมาณว่าไม่เชื่อหรอกเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พาไปทำอะไรก็ไม่รู้ เหลวไหลทำอะไรมันไม่ได้หรอก จึงส่งข้อความไปให้ครูประจำชั้นดู ก็ไม่ได้พูดอะไร กระทั่งครูประจำชั้นแนะนำให้แจ้งความกับ ปอท. ฝ่ายคู่กรณีและเพื่อนจึงปิดเฟซบุ๊กทั้งหมด ภายหลังทราบว่าครูไปบอกกับฝ่ายคู่กรณี จึงทำให้ปิดเฟซบุ๊กหนี
สำหรับสาเหตุที่ทำให้คู่กรณีตามอาฆาต น้องสาวเคยกล่าวว่า อาจเพราะคู่กรณีเคยฝากซื้อของในเน็ตแล้วจะให้น้องสาวออกเงินให้ แต่น้องสาวไม่ยอมซื้อให้จึงเกิดความโกรธแค้น อีกเรื่องหนึ่งคือ น้องสาวเคยมีปัญหากับเพื่อนคนหนึ่งเรื่องใส่รองเท้าผิด แล้วสองคนก็ไม่ได้คุยกัน สุดท้ายไปขอโทษแล้ว
“สรุปเหตุผลที่มันเกลียดน้องเราไม่แน่ชัด แต่อาจเป็นเพราะมันคงสนุก ทำจนติดเป็นนิสัย เห็นว่าใครก็จับมันคาหนังคาเขาไม่ได้ยิ่งได้ใจก็เป็นได้” เจ้าของกระทู้ระบุ
ในช่วงที่อยู่โรงเรียนเก่า เคยเข้าไปแจ้งความเกี่ยวกับความผิด พ.ร.บ คอมพิวเตอร์ และการขู่ทำร้ายร่างกาย เคยเรียกผู้ปกครองของคู่กรณีมาเจรจากันที่สถานีตำรวจ แต่คู่กรณีปากแข็ง ไม่ยอมรับใดๆ เมื่อทางบ้านบังคับให้ขอโทษเพื่อให้เรื่องจบ
หลังกลับมาจากสถานีตำรวจ ก็ใช้เฟซบุ๊กปลอมโพสต์ทำนองที่ขอโทษเพราะโดนบังคับ และจะไม่หยุดแน่ เมื่อโทร. ไปบอกพ่อแม่คู่กรณี ก็บอกว่าไม่ได้ทำ บอกให้ลบเฟซบุ๊กไป ไม่ให้เล่นแล้ว ซึ่งพบว่าคู่กรณีก็แกล้งซ่อนมือถือไม่ได้พิมพ์ต่อ ที่สำคัญพ่อแม่คู่กรณีก็ไม่มีความรู้เรื่องเทคโนโลยีเลย อีกทั้งคู่กรณีเป็นคนที่วางแผนแนบเนียนและปกปิดเก่งมาก จึงไม่สามารถจับได้คาหนังคาเขา
อีกเหตุผลที่ทำอะไรไม่ได้เลยเพราะอายุเด็กแค่ 12-13 ปี ยังเป็นเยาวชน ตำรวจพยายามไกล่เกลี่ย ก็พอทราบว่าเขาก็ไม่อยากให้มีการแจ้งความดำเนินคดี เพราะไม่อยากยุ่งยากในการดำเนินขั้นตอนต่างๆ อีกอย่างคนอื่นมองเข้ามา เขาก็มองกันแค่ว่านี่คือปัญหาเด็กแกล้งกัน ทะเลาะ ไม่มีอะไรใหญ่โต
ส่วนเรื่องย้ายโรงเรียน แม้จะอยากให้ย้าย แต่ก็พบว่าโรงเรียนในย่านนั้นเด็กๆ ถึงกันหมด ต่อให้ย้าย คู่กรณีก็ตามรังควานอยู่ดี ไม่ว่าจากเฟซบุ๊กตน น้องสาวหรือน้องชาย แล้วก็จะตามไประรานเพื่อนๆ ของน้องในเฟซบุ๊ก แกล้งเอารูปไปใช้ ทำให้เด็กคนอื่นต้องมาเดือดร้อนด้วยอีก แถมมีเฟซบุ๊กปลอมหลายอันมาก เอามาใช้เรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม นายโชคดี วิหคเหิร ผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ นนทบุรี ชี้แจงผ่านเฟซบุ๊ก ว่า โรงเรียนได้ดำเนินการไต่สวนและสืบหาข้อเท็จจริงเด็กหญิงคู่กรณี สรุปได้ว่าเด็กหญิงคู่กรณีถูกใส่ร้ายจากบุคคลผู้ไม่ประสงค์ดี โดยการปลอมแปลงเฟซบุ๊ก นำไปใช้กลั่นแกล้ง เพื่อหวังโยนความผิดให้เด็กหญิงคู่กรณี
โดยผู้ปกครองของเด็กหญิงคู่กรณีได้ไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อสถานีตำรวจภูธรท้องที่ และแจ้งความกับ ปอท. เพื่อหาตัวผู้กระทำความผิดเรียบร้อยแล้ว และขอให้สังคมหยุดการกล่าวหาคู่กรณี เพราะจากหลักฐานที่เราได้รับ บ่งบอกได้ชัดเจนว่าไม่ได้เกิดจากการกระทำของคู่กรณี เป็นเด็กดี มีน้ำใจ เป็นที่รักใคร่ของครู และเพื่อนๆ
หากมีผู้ใดสงสัยรายละเอียดประการใด ขอให้มาแสดงตัวติดต่อขอทราบรายละเอียดโดยตรง ที่ฝ่ายกิจการนักเรียนของโรงเรียนได้ในวันและเวลาราชการ อนึ่ง หากยังมีผู้ใดกระทำการใดๆ อันเป็นการละเมิดต่อสิทธิของคู่กรณี และสถาบันการศึกษาแห่งนี้อีก ทางโรงเรียนมีความจำเป็นต้องดำเนินคดีทางกฎหมายอย่างถึงที่สุดต่อไป