ถึงจะลาจอกันไปแล้ว สำหรับละครที่ถือว่ากระแสแรงที่สุดแห่งปี อย่าง “บุพเพสันนิวาส” ที่คงปฏิเสธไม่ได้ว่านี่เป็นละครที่สร้างปรากฏการณ์หลายๆ อย่างให้กับสังคมไทยในปีนี้ ทำเอาเกิดเป็นบุพเพฯ ฟีเวอร์เลยก็ว่าได้ และนอกจากตัวละครที่ได้รับความสนใจแล้ว ก็ยังมีบทเพลงประกอบละครที่ได้รับความสนใจไม่แพ้กัน ซึ่งเพลง “ออเจ้าเอย” ก็เป็นอีกหนึ่งในเพลงประกอบละครที่ถูกนำไปคัฟเวอร์มากมาย ทั้งที่เป็นภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ รวมทั้งคนที่เรากำลังจะกล่าวถึงก็เป็นหนึ่งคนที่เคยฝากเสียงร้องหวานๆ และโชว์ลูกคอไว้ในเพลงออเจ้าเอยจนทำให้เกิดฉายา “ขุนอิน” มาแล้วเช่นกัน
“อินทัช ฤกษ์เย็น” หรือ “จ่าอิน” ดีกรีนักร้องนำจากกองดุริยางค์ทหารเรือ นอกจากเสียงร้องและหน้าตาที่ทำให้ออเจ้าหวั่นไหวกันแล้ว ความสามารถของเขาคนนี้ยังไม่เป็นสองรองใครอีกด้วย
ก่อนมาเป็น “อินทัช”
นักร้องนำกองดุริยางค์ทหารเรือ
จริงๆ อินชอบเล่นดนตรีมาตั้งแต่เด็กๆ อยู่แล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าโตขึ้นจะเป็นนักดนตรี คุณแม่บอกแค่ว่าให้ตั้งใจเรียนไป เราก็เชื่อตามที่ท่านบอก ตอนนั้นจำได้ว่าอยากเป็นนักบินด้วยซ้ำครับ พอใกล้จะจบ ป.6 คุณแม่เลยแนะนำให้มาสอบที่โรงเรียนดุริยางค์ทหารเรือ เพราะว่าจะได้เล่นดนตรีด้วย แล้วก็เป็นข้าราชการด้วย เขาอยากให้เราเป็นข้าราชการตามสไตล์ครอบครัวของคนไทยนั่นแหละครับ
พอจบ ป.6 อินก็เลยลองมาสอบดู เพราะเราก็อยู่ชมรมดนตรีไทยมาก่อน แล้วรู้สึกว่าเราน่าจะเล่นดนตรีได้ดีนะ แต่ถึงจะชอบเล่นดนตรีอยู่แล้ว พอเอาเข้าจริงเราก็ยังไม่รู้นะว่าถ้าสอบได้ เราจะเล่นอย่างอื่นได้หรือเปล่า ไม่รู้ว่าเข้ามาแล้วจะเล่นอะไร รู้แค่ว่าตอนนั้นเราดีดพิณอีสานและเป่าขลุ่ยได้แค่นั้นเองครับ
ตอนสอบก็ค่อนข้างยากเหมือนกันครับ จะมีทั้งทดสอบร่างกาย ทั้งสอบข้อเขียน และสอบดนตรีด้วย ตอนนั้นรุ่นอินมีคนมาสอบประมาณเกือบพันคนเลย แต่เขาเอาแค่ 24 คน ซึ่งตอนสอบอินก็ห่วงแค่เรื่องทดสอบร่างกายแค่นั้นเองครับ ส่วนเรื่องดนตรีเขาบอกว่าไม่จำเป็นต้องเล่นดนตรีเก่งก็ได้ แต่เขาจะดูคนที่มีแววอะไรประมาณนี้ ซึ่งเราก็ไม่ได้คิดอะไรมากอยู่แล้วครับ ก็เล่นดนตรีตามประสาเด็กคนหนึ่ง เล่นเท่าที่จะเล่นได้ แต่ที่เราจะซีเรียสมากๆ เลยก็คือเรื่องว่ายน้ำกับวิ่งมากกว่า คืออินกลัวจะทำได้ไม่ดี
พอสอบติดแล้ว เรียนไปสักระยะ ผ่านเทอมแรกไป เทอมที่สองเขาก็เริ่มจะเลือกเครื่องดนตรีให้แล้ว ตอนแรกเขาจะถามความสมัครใจก่อนว่าเราอยากเล่นเครื่องดนตรีอะไร แล้วด้วยความที่ยังเรายังเด็ก อยากเท่ (ยิ้ม) เราเลยอยากเล่นแซกโซโฟน คือมันเท่มากในมุมมองของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง แต่ครูเขาบอกว่า ไม่ต้องเล่นหรอกแซกโซโฟน ไม่เหมาะ ไปเล่นบาสซูนดีกว่า ตอนนั้นผมก็ยังงงอยู่เลยนะครับว่าบาสซูนคืออะไร เราไม่รู้จักมาก่อนเลย แต่ก็พยายามฝึกจนตอนนี้ก็กลายเป็นเครื่องดนตรีประจำตัวไปแล้วครับ
สรุปแล้วเราก็ได้รู้ว่าบาสซูนเป็นเครื่องเป่าชนิดหนึ่ง อยู่ในวงออเคสตรา ซึ่งจะมีแค่ 3 ตัวเท่านั้น คนก็อาจจะไม่ค่อยได้รู้จักเท่าไหร่ คือจากพิณอีสานมาเป็นบาสซูน มันคนละเรื่องกันเลย อันหนึ่งดนตรีไทย อันหนึ่งดนตรีสากล เทคนิคอะไรก็ไม่เหมือนกันเลย ตอนใหม่ๆ ก็เล่นยากเหมือนกันครับ เพราะมันค่อนข้างละเอียด แต่ก็พยายามฝึกเรื่อยๆ ส่วนร้องเพลงกับกีตาร์ที่เล่นได้เพราะอินมาฝึกเองครับ เหมือนเราเรียนทฤษฎีดนตรีอยู่แล้วเลยมาฝึกเองได้
ต้องบอกเลยว่ามันก็มีเวลาที่ยากสำหรับอินเหมือนกัน ซึ่งเป็นช่วงสอบติดใหม่ๆ ช่วงสองปีแรก มันปรับตัวค่อนข้างยาก จากที่เราเคยอยู่บ้านมาก่อน ต้องมาอยู่โรงเรียนประจำ กลับบ้านได้อาทิตย์ละครั้ง กินนอนเปลี่ยนไป ต้องมานอนกับใครก็ไม่รู้ มีรุ่นพี่รุ่นน้องที่เราไม่รู้จักเต็มไปหมด แล้วก็ต้องโดนทำโทษด้วย คือทหารต้องมีการทำโทษเวลาทำความผิด ซึ่งเราก็โดนเหมือนกัน แรกๆ ก็แอบไปร้องไห้ในห้องน้ำเลยครับ (หัวเราะ) อยากกลับบ้านมาก
หลังจากเรียนจบ
งานหลักคือเล่นดนตรี
พอเรียนจบ มันก็เป็นแพตเทิร์นอยู่แล้วว่า จบที่นี่ต้องทำงานที่นี่ ทำงานให้กับกองดุริยางค์ หลักๆ ของงานก็คือการเล่นดนตรีให้กับประชาชน หรือไม่ก็เป็นกาชาดคอนเสิร์ต ซึ่งเงินที่ได้ก็จะนำไปบริจาคให้กับสภากาชาดไทย งานทางการทูตก็มีเหมือนกันครับ เล่นตามสถานทูตเวลามีแขกบ้านแขกเมืองมา
หรืออย่างงานอาสาเองก็มีนะครับ ซึ่งเราเรียกว่างานดนตรีบำบัด จะไปกันเป็นวงเล็กๆ แค่ประมาณ 4-5 คน ไปเล่น ไปร้องเพลงตามโรงพยาบาล ทั้งโรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้าด้วย อาทิตย์ละหนึ่งครั้ง ไปเล่นให้กับผู้ป่วยที่มารอรับยา มารอเข้าห้องตรวจเช็กสุขภาพฟัง ก็มีความสุขดีครับ คนแก่เขาก็ชอบ เราชอบตรงที่ว่า เราได้เห็นรอยยิ้มของเขา บางทีมีคนแก่เดินเอาเงินมาให้ด้วย เขาบอกว่าเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งอินมองว่า เงินคือไม่สำคัญเลยนะครับ แต่เวลาเห็นคนเขาชอบที่เราเล่นดนตรี หรือเวลาที่เราร้องเพลงให้เขาฟัง อันนี้อินรู้สึกว่ามันคือสิ่งที่สำคัญมากกว่า ตรงนี้ก็ทำมาได้ 2-3 ปีแล้วครับ
ส่วนงานที่ถือว่าเป็นความภูมิใจมากที่สุดของชีวิตเลยก็คือ การได้ไปร้องเพลงในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งตอนนั้นอินได้รับโอกาสในการไปร้องเพลงที่สนามหลวงเลย เรารู้สึกเลยว่า เราเป็นทหารเรือที่เล่นดนตรีเต็มตัวจริงๆ ก็วันนั้น ซึ่งตอนนั้นอินรู้สึกดีใจและซาบซึ้งมากครับ ผมกล้าพูดเลยนะครับว่า ไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะได้รับโอกาสตรงนี้ ตอนที่ร้องเพลงอินรู้สึกเลยว่า ขนลุกตลอดเวลา เป็นการร้องเพลงที่ตื่นเต้นกว่าทุกครั้ง ภูมิใจมาก ถือเป็นความภูมิใจที่สุดเลยก็ว่าได้ครับ
เมื่อออเจ้าเอย…เวอร์ชันทหารเรือ
กระแสแรงกว่าที่คิด
ผมทำงานมาปีนี้เข้าปีที่ 6 แล้ว มาเป็นนักร้องนำตอน 2 ปีที่แล้วเองครับ พอดีตอนนั้นมีศิลปินที่มาซ้อมงานคอนเสิร์ตของทหารเรือไม่ได้ เพื่อนก็พอจะรู้ว่าอินร้องเพลงได้ ก็เลยบอกครูว่า ลองเอาอินทัชขึ้นไปร้องสิ นั่นก็เลยเป็นเวทีแรกครับ คือเป็นการซ้อมแทนศิลปิน พอเขาเห็นว่าเราร้องเพลงได้ก็เลยเริ่มให้ร้องมาตั้งแต่ตอนนั้นเลยครับ จับเราไปงานร้องเพลงเยอะขึ้น จากที่เมื่อก่อนจะเล่นแค่ดนตรีอย่างเดียว
ปกติอินจะอัดคลิปลงเฟซบุ๊กอยู่แล้ว แต่ว่าจะเป็นเชิงร้องเล่นๆ มากกว่า เราชอบเพลงนี้เราก็อัดเพลงนี้ ไม่ได้เป็นเรื่องเป็นราวด้วย บางทีก็ครึ่งเพลงแล้วแต่อารมณ์ รวมๆ ก็น่าจะประมาณ 10 กว่าคลิปเองครับ คนก็ไลค์แค่ 300-400 คนเอง แต่ก็ไม่เข้าใจว่าคลิปเพลงออเจ้าเอย ทำไมมันถึงดังแล้วคนแชร์เยอะขนาดนี้ แต่ที่แน่ๆ เลยก็น่าจะเป็นเพราะละครดัง อีกส่วนหนึ่งอินคิดว่า เพลงนี้เข้าถึงคนง่าย และคนเขาอาจจะชอบที่น้ำเสียงเรามันเข้ากับเพลงหรือเปล่า ส่วนตัวปกติอินก็ชอบเพลงเก่าอยู่แล้วด้วย เพราะรู้สึกว่าเสียงเราจะมาโทนนี้ คือเราไม่ได้เป็นผู้ชายที่มีเสียงสูงมาก ไม่ได้เสียงแหลมมาก อีกอย่างทำนองเพลงนี้ก็ออกไทยๆ ด้วย ก็เลยเหมือนกับว่าเป็นตัวตนของเราเลย หรือว่าอาจจะเป็นเพราะในคลิปเราใส่ชุดทหารด้วย มันก็อาจจะดูแปลกตาไปหน่อย อินคิดว่าก็คงมีเหตุผลประมาณนี้แหละที่ทำให้คนมาสนใจ ส่วนเรื่องหล่อ ไม่หล่อ อินก็ไม่อยากเข้าข้างตัวเองนะ แต่ก็อาจจะมีบ้างแหละครับ (หัวเราะ)
ตอนนี้มีคนดูเกือบล้านแล้ว ก็ตื่นเต้นนะครับ ไม่คิดว่าคนจะดู จะแชร์กันเยอะมากขนาดนี้ อย่างเรื่องของฉายาก็ได้เห็นบ้างแล้วครับ มีหลายอันเลย มีทั้งขุนอิน ทั้งหมื่นอิน เยอะแยะเลยครับ อินก็โอเคนะ ชื่อไหนก็ได้ ให้เขาเรียกเลยครับ ต้องขอบคุณเขาด้วยซ้ำที่มาชอบเรา อินถือว่าคลิปนี้เป็นจุดที่ทำให้คนรู้จักเราเยอะมากขึ้นเลยครับ ซึ่งจริงๆ อินก็เคยไปออกรายการ I can see your voice ก็มีคนรู้จักพอประมาณแต่ก็ไม่ถึงขนาดนี้ อันนี้ด้วยความที่เพจหลายๆ เพจเอาไปแชร์กันด้วย คนก็เลยรู้จักเราจากตรงนั้นแหละ
อย่างล่าสุดทางกองดุริยางค์เห็นกระแสตอบรับค่อนข้างดี ก็เพิ่งปล่อยเอ็มวีออเจ้าเอยเวอร์ชันทหารเรือออกไปครับ จุดประสงค์หลักๆ เลยก็คืออยากจะนำเสนอป้อมวิไชยประสิทธิ์ ซึ่งป้อมวิไชยประสิทธิ์ก็เป็นป้อมที่พระนารายณ์มีดำรัสให้สร้างขึ้นในสมัยนั้น เหมือนกับในละครเรื่องบุพเพสันนิวาสเลย แล้วก็อยู่ที่วังเดิม ซึ่งตรงนั้นเป็นที่ของทหารเรือด้วย แล้วเราอยากจะนำเสนอสถานที่โบราณที่สำคัญของทหารเรือ และของประเทศไทยด้วยครับ คือมันก็ตรงคอนเซ็ปต์พอดี เหมาะกับเพลงออเจ้าเอยพอดี ก็เลยเอาสองอย่างนี้มารวมกัน ขายเราด้วย ขายป้อมด้วย (หัวเราะ)
อนาคตอยากพัฒนาฝีมือทางดนตรี
และมีเพลงเป็นของตัวเอง
จริงๆ อินเพิ่งมาชอบร้องเพลง 2- 3 ปีหลังนี่เอง คือเมื่อก่อนไม่เคยคิดว่าตัวเองจะร้องเพลงได้เลย แต่พอเล่นดนตรีได้ เราก็เลยรู้สึกว่าเราก็น่าจะร้องเพลงได้เหมือนกัน จากนั้นก็เลยลองฝึกร้องดูครับ เปิดฟังแล้วก็ร้องตามเลย พอเราร้องไปสักพักหนึ่ง เราจะรู้จักแนวที่เราชอบจริงๆ ว่าเราชอบสไตล์ไหน เราก็จะฟังเพลงแนวนั้นเยอะขึ้น แล้วเราก็ร้องเพลงของเขาเยอะขึ้น ฟังไปเรื่อยๆ ก็พยายามเลียนแบบศิลปินที่เก่งๆ ซึ่งเราจะได้เทคนิค ได้รู้วิธีการใช้เสียง อินว่าดนตรีก็มีแค่นี้ครับ ร้องบ่อยๆ ฟังบ่อยๆ ฝึกฝนบ่อยๆ ตอนนั้นอินก็เลยรู้สึกว่าจริงๆ เราก็ร้องเพลงได้ จากนั้นก็เลยเริ่มร้องเพลงมาเรื่อยๆ จนกลายมาเป็นความชอบเลยครับ
พอหลังๆ เรามาเป็นนักร้อง งานก็เข้าเยอะขึ้น (ยิ้ม) ซึ่งงานแต่ละงานจะขึ้นอยู่กับช่วงเวลามากกว่า แต่อย่างน้อยก็จะประมาณเดือนละครั้งเป็นอย่างต่ำครับ
อนาคตอินอยากจะเล่นดนตรีไปเรื่อยๆ อยากพัฒนาฝีมือทางด้านดนตรีของตัวเองให้ดีขึ้นไปอีก ส่วนเรื่องร้องเพลง ต่อไปนี้อินก็คงจะทำเพลงเป็นเรื่องเป็นราวมากขึ้น ในเมื่อเขาชอบที่เราร้องเพลง เราก็จะร้องเพลงต่อไป ถ้าเป็นไปได้และถ้ามีโอกาสก็อยากจะมีเพลงเป็นของตัวเอง ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการเล่นดนตรี หรือว่าการร้องเพลง อินก็อยากจะทำอะไรให้มันสุดๆ ไปเลยครับ
สำหรับน้องๆ ที่อยากเข้าโรงเรียนดุริยางค์ทหารเรือ
ต้องถามตัวเองก่อนว่า…รักไหม ถ้ารักก็ทำ
อินว่าต้องถามตัวเองก่อนนะ สำหรับทุกเรื่องเลยนะครับ หนึ่ง เรารักไหม ถ้าเรารัก เราทำเลยครับ จริงๆ อินว่าคนที่เล่นดนตรีต้องเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ ไม่งั้นเล่นดนตรีแล้วมันจะพัฒนาต่อไปไม่ได้ หลักๆ คือต้องเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ แล้วก็รักมันจริงๆ ไม่งั้นจะทำได้ไม่ดี
สำหรับน้องๆ ที่สนใจจริงๆ อันดับแรกเลยอินก็อยากจะแนะนำให้น้องๆ ไปดูในเว็บไซต์ของโรงเรียนดุริยางค์ทหารเรือว่า ปีนี้เขารับเครื่องดนตรีอะไรบ้าง อย่างบางปีเขาก็จะกำหนดเครื่องด้วยว่า ปีนี้รับทรัมเป็ต ปีนี้รับแซกโซโฟน หรืออาจจะไม่รับเครื่องไหนๆ บางทีน้องๆ อยากจะเข้าก็จริงแต่ปีนี้ไม่ได้รับเครื่องดนตรีที่เราถนัด หรือเราชอบ ก็อาจจะเสียเวลาเปล่า คือสมัยนี้กับสมัยก่อนค่อนข้างแตกต่างกันเยอะ ตอนอินเรียนยังเป็นหลักสูตร 6 ปีนะครับ และก็ฟรีสไตล์มาก แต่ตอนนี้ปรับเป็นหลักสูตร 3 ปีแล้ว คือรับวุฒิ ม.3 นั่นก็หมายความว่าคุณต้องเป็นดนตรีมาแล้ว ทางที่ดีอินว่าพยายามติดตามในเว็บไซต์ดีกว่านะครับ ส่วนเรื่องร่างกาย จริงๆ ก็ค่อนข้างต้องเตรียมพอสมควร แต่ในความคิดอินนะ เราไม่ต้องดีเลิศเลอที่หนึ่งก็ได้ แค่ไม่ได้วิ่งแล้วเป็นลม ก็โอเคแล้ว (ยิ้ม)
เรื่อง : พุทธิตา ลามคำ
ภาพ : ธัชกร กิจไชยภณ และอินสตาแกรม @iinntouch