รายงาน
วันที่ 2
หลังจากวันแรกหมดพลังงานไปกับการฟังปัญหากับคนรอบข้างซ้ำๆ ตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงห้าโมงเย็น การบ้านที่ครูอ้อยสั่งไปเมื่อวานนี้ จึงทำได้แค่นำสิ่งที่อยากได้ติดลงบนฟิวเจอร์บอร์ด
ตอนแรกก็ไปถามคนที่เขาเคยมาว่าเขาทำอย่างไรกัน เขาก็บอกว่า เคยทำ คอร์สที่แล้วก็เป็นแบบนี้ เขาเอารูปมาจากนิตยสารบ้าง คือ สมมติเราอยากได้บ้าน เราก็ไปหารูปแบบบ้านที่เราชอบในอินเทอร์เน็ตเอาก็ตัดติด
รวมทั้งรถที่เราอยากได้ ประเทศที่อยากไป เงินทอง สิ่งของฟุ่มเฟือยต่างๆ ที่คนเราจำเป็นต้องมี ปรินต์ไปได้หมดเลย เท่าที่เห็นจากที่เขาส่งกัน อีกวันเขาก็ปรินต์ติดกันแบบแน่นฟิวเจอร์บอร์ดเลย ตกใจมาก
วันที่สอง ออกจากบ้านเช้ากว่าเดิม เพิ่มเติมคือ หาอะไรมากินให้อิ่มท้อง และทำกิจธุระให้พร้อมทุกอย่าง เพราะลึกๆ ก็ห่วงตัวเองว่าจะเป็นลมเป็นแล้งเสียก่อน ขนาดเมื่อวานเขายังปล่อยเราให้ไปกินข้าวช้าตั้งสี่โมงเย็น
เดินเข้าไปข้างใน ก็เปิดวิดีโอเร้าอารมณ์เหมือนเดิม คนเก่าที่เคยไป มีคนที่เคยเข้าคอร์สที่เคยอินจนแทบจะชักบนเวที ด่าพี่ชาย ด่าพ่อแม่บ้าง บางคนก็นั่งสมาธิฟัง บางคนก็ทำท่าที่เรียกว่า “สปิน”
ครูอ้อยจะเน้นว่า ถ้าเราอยากได้อะไร ให้เราจินตนาการให้เห็นภาพชัดๆ
พี่เลี้ยงที่อยู่ในคอร์สเคยแนะว่า ถ้าเราอยากได้เงิน 100 ล้านบาท ให้เราจินตนาการให้เห็นภาพของเงิน ให้ได้กลิ่นของเงิน ให้เห็นชื่อธนาคาร ให้เห็นว่าเราใส่ถุงอะไร ให้เราจิตนาการไปถึงตอนที่เราเดินเอาเงินไปฝากที่ธนาคารชื่ออะไร
ลามไปถึงพนักงานแบงก์ชื่ออะไร เขาพูดประมาณว่าคนรวยต้องรู้จักชื่อพนักงานแบงก์ เราก็ขำ เพราะเราไม่เคยรวย ทุกครั้งที่เขาให้สปินรูปที่ฉายบนจอภาพ เป็นรูปเงิน รูปทอง รูปเงินหล่นลงมา
เรารู้สึกเหมือนเราอยู่ในศรีธัญญา คือเราไม่อิน แต่เราก็ต้องทำเป็นอินไม่ให้มันดูแตกต่าง
10 โมงเช้า ครูอ้อยจึงปรากฏบนเวที ก็ใส่ชุดคล้ายวันแรก แต่คนที่มาเรียนวันนี้น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด มันโล่งขึ้น จากวันแรกสายสีแดงน่าจะประมาณครึ่งหนึ่ง สัก 100 คน
วันนี้ครูอ้อยมาแปลก พยายามพูดถึงข่าวที่เกิดขึ้น พูดถึงความกตัญและเรื่องการโดนหักหลัง ให้ทุกคน ช่วยกันร้อง “ตาอินกะตานา หาปลาเอามากินกัน ...”
คอร์สครูอ้อยวันที่ 2 เปิดมาด้วยภาพอวกาศและพูดว่า นักเรียนในห้องนั้นล้วนโชคดีมาก เพราะครูไม่เคยสอนเรื่องนี้เลยในคอร์ส คือ เรื่องของภาพยนตร์สตาร์วอร์ โดยเอาชีวิตและการเป็นข่าวฉาวช่วงนี้มาเปรียบเทียบ
เปรียบเทียบตัวเองเป็นเหมือนอาจารย์ที่อยู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ และยกตัวอย่างอีกหลายๆ อย่าง ทุกคนในคอร์สก็ดูล้วนตั้งใจฟัง ซึ่งส่วนตัวไม่แน่ใจว่าทุกคนอินตามจริงๆ หรือรู้สึกตลกง
ครูอ้อยพยายามแก้ข่าวฉาวที่เกิดขึ้นโดยใช้คำสอนจากหนังเรื่องนี้ เพื่อทำให้ทุกคนคล้อยตาม ซึ่งทุกคนก็ดูคล้อยตาม ยกตัวอย่างเรื่องการกำถั่วไว้ในมือ ถ้าเกิดถึงที่สุดจริงๆ ก็แค่ปล่อยถั่วในมือให้หล่นไป เหมือนเขาได้ตอบทุกอย่างแล้ว
พร้อมชักจูงด้วยว่า คนที่ทำข่าวร้ายขึ้นมาทั้งหมด ก็ยังไม่ใช่คนร้ายตัวจริง มันมีคนอยู่เบื้องหลัง เหมือนพยายามจูงใจให้รู้สึกแบบนั้น
สักพักก็ให้สวดคล้ายบท หลังจากสวดเสร็จมันก็จบลงด้วยคำว่า “เทอญ” ตลอดการสวดก็มีการพนมมือ แต่ไม่มีการกราบลงไปที่พื้น
เนื้อหาบทสวด หลักๆ คือ ให้เราได้สิ่งที่เราอยากได้ เพื่อที่จะเป็นต้นทุนในการทำดี เหมือนที่ครูอ้อยรวยอยู่แล้วตอนนี้ เขาไม่จำเป็นที่จะต้องมาเปิดคอร์สแบบนี้ แต่ที่เขาทำ เพราะเขารักประเทศไทย
ครูอ้อยเหมือนจะอยากเผยแพร่ สอนให้ทุกคนมีเงิน มีความสำเร็จ เพื่อที่จะได้เอาเงินมาดูแลคนที่ขาดต่อไป แล้วข้างบนก็ฉายรูปเงินตลอดเวลา แล้ววันนี้ก็มีคนพูดถึงแต่ธุรกิจ
พอจบตรงนี้ ก็สอนโดยยกตัวอย่างเรื่องการหักหลังกันที่อ้างว่ามาจากข่าว แล้วถามว่า “ใครเคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมาบ้าง” ก็จะมีลูกศิษย์ใกล้ชิดของเขายกมือ เป็นตัวอย่างเต็มไปหมดเลย ส่วนมากก็จะเป็นพวกเรื่องงาน
ครูอ้อยก็จะเดินมาคุยจนถึงด้านหลังเลย ก็คือ ถ้ามีเรื่องก็คุยได้ แต่ไม่รู้จะเอาเรื่องอะไรไปคุยเขา
เขาอธิบายว่า เราทำดีมาตลอด แต่มีอีกคน พยายามยุ เพื่อให้ลูกศิษย์รู้ว่าเขาไม่ได้เป็นคนที่แย่ แต่เขาอาจจะโดน คนจ้องจะทำร้ายจริงๆ ที่เขารู้สึกแบบนั้นเพื่อทำให้คนรู้สึกแบบนั้น
รู้สึกว่าเหมือนครูอ้อยจะใช้จิตวิทยา ประมาณว่า เรื่องของเราเหมือนเรื่องครูอ้อยเลย กำลังมีคนจ้องที่จะทำลาย เราก็แค่ไม่สนใจ เราก็แค่ปล่อยไป เราก็มีชีวิตของเราแบบเดิม เรากำลังเสียสละ
เขาบอกว่า ถ้าใครมาด่า มาอะไรเรา ให้เราหันหลังให้แค่นั้นเอง
ถึงช่วงบ่าย เขาก็สอนโดยให้ไปเอาของว่างมากินแบบเดิม จับคู่ 4 คนเหมือนเมื่อวาน แต่วันนี้ให้พูดเรื่องคนที่หักหลังเราคือใคร ไม่มีเรื่องพ่อแม่แล้ว ก็สลับกันพูด 4 คนไปมา พอจบเรื่อง ตะโกนด่า เปิดเพลง สลับไปเรื่อยๆ
ที่น่าสังเกตก็คือ เมื่อวานนี้ที่เราไม่ได้ร้องไห้ ไม่คิดว่าจะมีปัญหาอะไร เพราะเราไม่อินจริง ๆ แต่วันนั้นเขาส่งเจ้าหน้าที่มาพูดว่า จะทำแบบนี้ไม่ได้ แล้วผู้ชายคนนั้นยืนหลังตลอดเวลาเลย
พอวันที่สอง ก็สังเกตเห็นผู้ชายคนนั้นเหมือนจะพยายามจับผิดเรา เราก็เลยทำทุกอย่างที่เขาให้ทำ พยายามทำให้ได้ แล้ววันนั้นก็รู้สึกขนลุกด้วย ให้ทำวิ่งไปกอดคนอื่นที่อยู่ข้างหน้า แล้วทุกคนก็จะกอดกันแล้วก็ตะโกนใส่กัน “คุณเป็นคนที่เจ๋งมาก คุณเป็นคนที่สำเร็จ” แต่เรารู้สึกกระดากปาก ใครก็ไม่รู้ คนอื่นเขาทำกัน แต่ก็รู้สึกขนหัวลุกไปหมดเลย ตัวร้อนไปหมดเลย เครียด เหมือนเขาสะกดจิตเรา ทุกคนก็จะรู้สึกฮึกเหิม
มาถึงการส่งการบ้านที่เป็นรูปทีละคน เขาก็ให้เราสปิน พยายามบอกว่าเราเห็นภาพ สิ่งที่เราอยากได้ ให้เราสปินอยู่อย่างนั้น ให้เราทำมือ อยากได้อะไรให้เราสปิน แล้วมันจะเข้าไปเอง ถ้าเราเห็นภาพมันชัด แล้วเราทำมัน ให้เราได้มัน
ในวันนั้นได้แต่ตัดภาพ ไปแต่ไม่ได้แปะลงฟิวเจอร์บอร์ด เพราะเราถามคนที่เคยไปแล้ว เขาบอกว่า ครั้งที่แล้วเขามีฟิวเจอร์บอร์ดกับกาวให้ ครั้งนี้เขาไม่ให้ ก็เลยถือไว้แบบนั้น
คิดว่าครูอ้อยไม่ได้สนใจนักเรียนทุกคน เขาสนใจแต่ลูกศิษย์ของเขา ยกตัวอย่างคนที่ประสบความสำเร็จแล้ว มาให้คนที่ยังไม่ประสบความสำเร็จหรือคนที่เพิ่งมารู้สึกว่า คนนั้น ทำได้ มีแต่คนรวยๆ
อีกคน มาเรียนครูอ้อยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ กลับไปเปิดธุรกิจ ทุกวันนี้ มีรายได้เดือนละ 10 ล้าน ขายครีมกวน ไม่รู้ว่าเขาเตี๊ยมหรือเปล่า
หรืออย่างสาวที่ชื่อแมลงเมี่ยง เข้ามาหาครูอ้อย ลุกขึ้นยืน เขามีหนี้ ไม่มีเงิน ไม่มีกำไร เขาดูรวยในความรู้สึกเราภาพเขา แต่ในห้องนั้นเขาบอกเขาติดลบมา แต่พอเข้าคอร์สครูอ้อย ประมาณ 1 - 2 ปี ตอนนี้เขามีเงินในบัญชี 50 ล้านบาท
แล้วมีผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง เป็นหนี้ 300 ล้าน มาเรียนครูอ้อย ตั้งแต่ปี 2556 ตอนนี้ปลดหนี้ ได้หมดเเลย มันเป็นอย่างนี้ เขาให้คนพวกนี้ ลุกขึ้นยืน บอกปัญหา บอกนั่นบอกนี่ แล้วคนข้างหลังก็เชื่อ บอกว่า “ครูอ้อย เจ๋ง”
ในใจตอนนั้นคิดว่าผู้คนในนั้นจิตอ่อนหมด ทุกข์ระทม ระทวยกันมาสุดๆ แต่ก็รู้สึกว่า ทีมงานและครูอ้อย ผ่อนคลายมากขึ้น เหมือนเขาไม่ค่อยมาจ้อง เพราะมีคนตะโกนตลอดว่า “พวกเหี้ย เหนื่อยแล้วนะ หิวข้าว พวกมึงกดดันกู”
ในวันนั้นจบลงด้วยเวลา 5 โมงเย็น เขาก็จะเรียกพวกลูกศิษย์ไปถ่ายรูป แต่เราวิ่งไปไม่ทัน คิดในใจว่าก็ดีแล้ว ถ้าเขารูปทั้งหมดกลับมาย้อนดู รูปตัวเองในเว็บ เบลอหมดเลย อยู่ข้างหลัง ไม่เคยร้องไห้ หรือทำหน้าอิน
ทั้งๆ ที่กล้องมีตั้ง 5-6 ตัว แล้วก็มีทีมงานถ่ายวิดีโอ เหมือนอยู่ในรายการอะไรสักอย่าง พอครูอ้อยเดินมาคุยด้วย กล้องก็จะจับภาพ ตุ๊ยตุ่ย พุทธชาด ก็ไปทั้งวัน ส่วนคนที่ชื่อเอม เขาคลานเข่า ตามครูอ้อย ตลอดเวลา คลานแบบสี่มือ
จากที่เราติดตามข่าวมาโดยตลอด เรารู้สึกผิดนะว่าเรามองเขาในแง่ร้ายหรือเปล่า แต่ที่ไปเห็นด้วยตา รู้สึกว่าทั้งครูอ้อยและลูกศิษย์อาการหนักมาก
นึกถึงทีไร ถอนให้ใจทุกที ไม่อยากจะคิดกลับไปตอนนั้นอีกเลย.
บุกดงเข็มทิศ ตามติดครูอ้อย (ตอนที่ 1) วิทยาศาสตร์แห่งความทุกข์ ไม่ได้สุขอย่างแท้จริง