สาวโวยถูก “กสิกรไทย” ดูดบัญชีจนหมดตัว ชาวเน็ตดรามาสนุกสนาน เจ้าตัวต้องเฟซบุ๊กไลฟ์แจงเอง ได้เงินเวนคืนประกัน กะจะใช้เป็นทุนหมุนเวียน เจอแบบนี้แถมไม่คืนเงินอีก ใจไม่แกร่งพอมีฆ่าตัวตาย แต่ไม่ใช่ตนเอง ที่ผ่านมา ทำธุรกิจกวดวิชาแต่ล้มเหลว อ้างไม่ได้โกงแต่ไม่มีเงิน ย้อนถามธนาคาร “จะดูแลอย่างดีวันที่ได้เป็นลูกค้าวิสดอม แต่พอลูกค้าลำบากกลับทำอย่างนี้หรือ?”
เมื่อวันที่ 7 ก.ค. จากกรณีที่ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Fern Yodsawee อดีตเจ้าของกิจการโรงเรียนกวดวิชาแห่งหนึ่งใน จ.ขอนแก่น ได้โพสต์เฟซบุ๊กร้องเรียน ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ว่า เงินได้หายไปจากบัญชีเมื่อเวลา 20.38 น. วันที่ 27 มิ.ย. ที่ผ่านมา 4 รายการ รวม 1,153,651.53 บาท เหลือยอดเงินที่ใช้ได้เพียง 80.40 บาท
ต่อมาเจ้าตัวได้ร้องเรียนกับเพจสายดาร์ค “แหม่มโพธิ์ดำ” ระบุว่า บัญชีดังกล่าวเปิดที่สาขามหาวิทยาลัยขอนแก่น ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ตนไม่ได้ใช้บัญชีนี้เพราะย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นช่วงเดียวกันกับที่ปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคารเมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา
กระทั่งวันที่ 27 มิ.ย. เงินเข้าช่วงบ่าย 2 รายการ รวม 1,263,841.64 บาท ตนรีบโอนเงินจ่ายหนี้ส่วนตัวบางส่วน ตกเย็นมา เวลา 20.35 น. ให้น้องสาวไปกดเงินที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 5,000 บาท จากนั้นประมาณ 22.00 น. ได้ตกลงซื้อสินค้ากับซัปพลายเออร์ จำนวน 1 ล้านบาท ระหว่างโอนเงินผ่านมือถือพบว่าเหลือเงินเพียงแค่ 80 บาท จึงตรวจสอบว่าเงินหายไปไหน พบว่า มีการโอนเงินออกในเวลา 20.38 น. จำนวน 4 ยอดต่อเนื่อง
เช้าวันต่อมา จึงรีบโทรศัพท์กับฝ่ายปรับโครงสร้างหนี้ เพราะคิดว่าอาจเป็นความผิดพลาดในระบบการหักเงินของธนาคารที่ยังไม่ได้อัปเดต แต่ทางธนาคารบอกให้ตนทำเอกสารยื่นขอเงินคืน และรอการพิจารณาจากกรรมการ ระหว่างนั้นตามเรื่องกับธนาคารเรื่อยๆ ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะไม่ได้เงินคืน เพราะไม่มีเหตุที่เค้าจะมีสิทธิ์หักเงินใดๆ นอกจากหนี้เดือนละ 40,000 บาท
กระทั่งวันที่ 6 ก.ค. ที่ผ่านมา ตนได้โทรศัพท์ติดต่อไปยัง นายวิชัย รอบคอบ หัวหน้าพนักงานฝ่ายปรับโครงสร้างหนี้ ที่สาขาขอนแก่น ตอบกลับว่า กรรมการมีมติไม่อนุมัติคืนเงิน เมื่อถามเหตุผลก็ระบุว่า ทางธนาคารจะแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งตอนนี้ตนเดือดร้อนมาก เพราะเป็นเงินก้อนสุดท้ายตั้งใจจะเอามาทำธุรกิจให้ฟื้นตัวจากขาดสภาพคล่อง ตอนนี้ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว
หลังจากที่เรื่องราวดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ได้มีการตั้งข้อสังเกตถึงลูกค้ารายนี้จำนวนมาก ว่า
ตัวเลขที่ปรากฏในแอปพลิเคชั่นมีการตัดต่อหรือไม่ นอกจากนี้ ยังมีผู้ร้องเรียนอีกว่า เจ้าของบัญชีรายนี้เป็นเจ้าของสถาบันกวดวิชาแห่งหนึ่งใน จ.ขอนแก่น เคยเปิดค่ายติวเพื่อสอบคณะแพทยศาสตร์ โดยจะมาเปิดคอร์สที่จังหวัดทางภาคใต้ โดยเสียค่าใช้จ่ายกว่า 3 หมื่นบาท แต่กลับไม่สามารถเปิดคอร์สได้ อ้างว่านักเรียนน้อยเกินไป เมื่อขอยกเลิกคอร์สทางค่ายรับปากว่าจะคืนเงินให้ แต่ก็ยังไม่ได้รับเงินคืน โดยแจ้งความไว้ที่ สภ.เมืองชุมพร เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 2559 ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ยังมีติวเตอร์สอนวิชาภาษาอังกฤษอีกรายหนึ่ง ระบุว่า ถูกเจ้าของบัญชีคนดังกล่าวยังไม่จ่ายเงินค่าสอน 1 หมื่นบาท ที่ตนได้สอนเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทั้งที่ตนต้องเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยัง จ.ขอนแก่น สอนตั้งแต่เวลา 09.00 ถึง 20.00 น. ซึ่งติวเตอร์คนอื่นๆ ก็ยังไม่ได้ค่าจ้างเหมือนกัน ยังคงติดตามทวงค่าสอนจากเธอคนนี้อยู่ด้วย
อย่างไรก็ตาม เฟซบุ๊กแหม่มโพธิ์ดำ ได้ลบข้อความออกไป และระบุว่า “ธนาคารชี้แจง เงินไม่ได้หายค่ะ แต่หนี้เสีย” พร้อมกับหัวเราะ
ต่อมาเจ้าของเฟซบุ๊กดังกล่าวได้ถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ แสดงหลักฐานระบุว่า ตนเพิ่งได้เงินเวนคืนประกัน จากบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กดออกไปใช้หนี้บางส่วน กระทั่งหลังถอนเงินจากจุฬาฯ เสร็จ ไม่คิดว่าบัญชีจะเกิดปัญหา ขณะเดียวกัน ยอมรับว่า เธอเปิดสถาบันกวดวิชาในรูปแบบของค่ายกวดวิชา ประสบปัญหาติวเตอร์ออกไปเปิดค่ายเอง และสร้างข่าวทำให้ธุรกิจเสียหาย รวมทั้งมีสถาบันกวดวิชาใหม่ๆ ในภาคอีสานจำนวนมาก และจัดค่ายเหมือนกัน 2 ปีที่แล้ว ทำให้จากเดิมมีคู่แข่งไม่กี่ราย กลายเป็นนับสิบค่าย บางค่ายเก็บในราคาแพงเกินจริง ทำให้ตนทำใจไม่ได้
ตนมีเงินส่วนตัวก้อนหนึ่ง จึงจัดโครงการฟรีในช่วงปิดเทอม เพื่อเผยแพร่สถาบันกวดวิชา โดยเก็บเงินมัดจำเพื่อจูงใจให้คนตั้งใจเรียน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ อีกทั้งปกติมีค่าใช้จ่ายและผ่อนบ้านต่อเดือนหลักแสนบาท ยืนยันว่าตนไม่โกงใคร แต่ตนไม่มีเงิน เป็นเรื่องปกติของธุรกิจที่มีทั้งเฟื่องฟูและล้มเหลว ซึ่งความจริงคือวันนี้เงินหายไปจากบัญชี ผ่านมา 9 วันได้รับคำตอบว่าไม่คืน ถ้าใจไม่แกร่งพอจะมีคนฆ่าตัวตาย เงินที่จะเอามาทำธุรกิจหายไปต่อหน้าต่อตา แต่ตนผ่านมรสุมมาหลายรอบแล้ว ใจจริงๆ ไม่อยากไปเอาเงินคืนเพราะไม่มีเวลา แม้เงินตัวนี้จะสำคัญกับชีวิต แต่โอกาสได้เงินคืนน้อยมาก ถ้าเสียเวลาทำมาหากินก็ไม่คุ้ม ไปหาเงินใหม่ไม่ดีกว่าหรือ
“ฝากถึงกสิกรไทย ว่า ช่วยพิจารณานิดนึง ใช้สมองไตร่ตรองนิดนึง ว่า ถ้าตนตั้งใจจะเป็นลูกค้าชั้นเลวของคุณ ในวันที่ตนต้องยื่นเลขที่บัญชีที่จะให้เมืองไทยประกันชีวิตจ่ายเงินค่าประกันคืน ตนมีบัญชีอยู่เป็นสิบบัญชี แต่ทำไมตนเลือกใช้ธนาคารของคุณ ให้เมืองไทยประกันชีวิตโอนเงินเข้า ถ้าตนไม่ได้อยากเป็นลูกค้าที่ลอยัลตี้ (จงรักภักดี) กับคุณ ตนแสดงถึงความลอยัลตี้กับคุณ ถ้าไม่รักคุณคงไม่ถือบัตรวิสดอมของคุณ การที่ลูกค้าคนหนึ่งจะถือบัตรวิสดอม จะมอบสิทธิพิเศษต่างๆ จะดูแลอย่างดีในวันที่อยากได้ลูกค้าวิสดอม แต่ในวันที่ตนลำบากคุณทำกับลูกค้าอย่างนี้เหรอ ไม่รู้จะพูดคำไหนจริงๆ ก็ได้แค่มาบ่นเพราะไม่ได้รู้จะทำอะไร
ตนแค่อยากจะเรียกร้องให้กสิกรไทยคืนเงินให้ตนทันที เพราะไม่ได้ทำอะไรผิด บอกให้จ่ายเงินเดือนละ 4 หมื่นบาทก็จ่าย แต่ทันทีที่มีเงินเข้าบัญชีล้านกว่าบาท ตะครุบเงินในบัญชีขนาดนี้ ถามหน่อยว่า จะเอาเงินที่ไหนไปหมุนทำธุรกิจต่อ แล้วทำยังไง มีคนบอกว่า ธุรกิจไม่ได้เจ๊ง เพราะทำธุรกิจแล้วไม่มีกำไร แต่เจ๊งเพราะขาดเงินทุนหมุนเวียน ตอนนี้กสิกรไทย กำลังทำให้ลูกค้าคนหนึ่งขาดเงินทุนหมุนเวียนในการทำธุรกิจ ถามว่าจะต่อยอดได้อย่างไรในการจะหาเงินมาจ่ายหนี้คุณหรือคนอื่นๆ มีเหตุผลอะไร ตอนนี้ยังไม่เข้าใจว่า ทำไมกสิกรไทยยังไม่คืนเงินตน ถ้าเป็นลูกค้าที่ติดแบล็กลิสต์จะว่าอีกอย่าง แต่เราทำตามกฎทุกอย่างที่กสิกรไทยให้เราทำ”