xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 4-10 มิ.ย.2560

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

คลิกที่นี่เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1.สนช.มีมติเสียงข้างมาก 161 ต่อ 15 เซ็ตซีโร่ โละ กกต.ชุดปัจจุบัน ด้าน กกต.เตรียมพิจารณาร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต. ขัด รธน.หรือไม่!
(บนซ้าย) นายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต. (บนขวา) นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านบริหารกลาง (ล่าง) กกต.จัดงานในโอกาสครบรอบ 19 ปีการสถาปนา เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา
เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ได้มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.) ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาแล้วเสร็จ โดยสมาชิก สนช.ได้อภิปรายสอบถามในประเด็นสำคัญ คือ การดำรงอยู่ของ กกต.ชุดปัจจุบันทั้ง 5 คน ในมาตรา 70 ที่บัญญัติว่า ให้ประธาน กกต.และ กกต.ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันก่อนวันที่ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับ พ้นจากตำแหน่งนับแต่วันที่ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับ แต่ให้ยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าประธาน กกต.และกรรมการ กกต.ที่แต่งตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯ มีมติแก้ไขเนื้อหาจากเดิมที่ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯ ที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เสนอมายัง สนช.กำหนดให้มีคณะกรรมการสรรหาทำหน้าที่ชี้ขาดคุณสมบัติของ กกต.แทน

ทั้งนี้ มีกรรมาธิการเสียงข้างน้อย และสมาชิก สนช.จำนวนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับมติของคณะ กมธ. เช่น นายนรนิติ เศรษฐบุตร, นายกล้านรงค์ จันทิก, พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม โดยเห็นว่า ควรให้ กกต.ชุดปัจจุบันดำรงตำแหน่งต่อไปเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม เพราะ กกต.ชุดปัจจุบันก็มาจากกระบวนการตามที่กฎหมายกำหนด และต้องการให้ตัวแทนของ กรธ.ชี้แจงว่า การกำหนดการคงอยู่ของ กกต.ไว้เช่นนี้จะเป็นบรรทัดฐานสำหรับการเสนอร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับองค์กรอิสระอื่นๆ หรือไม่

ขณะที่นายตวง อันทะไชย ประธานคณะ กมธ.วิสามัญฯ ชี้แจงว่า การพิจารณาของคณะ กมธ.วิสามัญฯ ได้ยึดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 เป็นสำคัญ โดยพิจารณาแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญฉบับใหม่กำหนดโครงสร้างของ กกต.ใหม่ทั้งหมด ทั้งในเรื่องจำนวนของกรรมการหรืออำนาจหน้าที่ในการทำงานเพื่อตรวจสอบการเลือกตั้ง จึงเห็นว่าควรต้องมีการปรับเปลี่ยน กกต.ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ

ด้านนายภัทระ คำพิทักษ์ กรธ.และกรรมาธิการวิสามัญฯ กล่าวว่า การพิจารณาเสนอร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญของ กรธ.ในอนาคตอาจจะเหมือนหรือต่างกันกับของ กกต.ก็ได้ ขึ้นอยู่กับโครงสร้างของแต่ละองค์กระและสนธิสัญญาต่างประเทศที่มีบางองค์กรไปลงนาม ส่วนกรณีของ กกต.นั้นยืนยันว่า ดูเรื่องเจตนารมณ์ คุณสมบัติ และวัตถุประสงค์การปฏิรูป โดยไม่ได้พิจารณาว่าจะโกรธใครเกลียดใคร และขอยืนยันอีกว่า กรธ.ไม่ได้เสียจุดยืน เพราะเป็นการแก้ไขอยู่ในกรอบของรัฐธรรมนูญ

อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมได้มีมติเสียงข้างมาก 161 ต่อ 15 คะแนนเห็นด้วยกับมาตรา 70 ที่ให้ กกต.ชุดปัจจุบันพ้นจากตำแหน่ง แต่ให้ทำหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมี กกต.ชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่ และมติเสียงข้างมาก 177 ต่อ 1 คะแนน เห็นชอบในวาระ 3 เพื่อให้ประกาศใช้เป็นกฎหมายภายหลัง เมื่อร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯ ผ่านความเห็นชอบจาก สนช.แล้ว จะต้องส่งให้ กกต.และ กรธ. พิจารณาว่าร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯ ที่ สนช.แก้ไขนั้นขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยทั้ง กกต.และ กรธ.จะต้องพิจารณาให้เสร็จ และส่งกลับมาให้ประธาน สนช.ภายใน 10 วัน ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 267

ด้านนายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านบริหารกลาง กล่าวหลังที่ประชุม สนช.มีมติเซ็ตซีโร่ กกต. ว่า กกต. เคารพในหลักการตัดสินใจเพื่อบ้านเมืองของ สนช. แต่ก็ขอสงวนสิทธิ์พิจารณาเนื้อหาของตัวร่าง พ.ร.ป. กกต. สัก 2 - 3 วัน ว่ายังมีส่วนใดขัดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยในวันที่ 14 มิ.ย.นี้ กกต.มีนัดประชุมที่ปรึกษากฎหมาย น่าจะมีมติได้ว่าจะส่งความเห็นแย้งไปยัง สนช.หรือไม่ อย่างไรก็ตาม การใช้สิทธิ์เพื่อตัดสินใจดังกล่าว จะอยู่บนผลประโยชน์ส่วนรวม และบรรทัดฐานความถูกต้องในการปกครองบ้านเมืองภายใต้หลักนิติรัฐ และนิติธรรม

2.ทหารขนอาวุธสงครามที่ตราด ยังไม่ซัดทอดใคร ด้าน “เตีย บัน” รองนายกฯ กัมพูชา ฉุนสื่อไทยตีข่าวเป็นเจ้าของรถ ยัน ไม่จริง!
(ล่าง) อาวุธที่ยืดได้จากรถของ พ.อ.อ.ภคิน เดชพงษ์ สังกัดกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(กอ.รมน.) กทม.ที่เกิดอุบัติเหตุเสียหลักที่ จ.ตราดเมื่อ 3 มิ.ย. (บน) โฉมหน้าผู้ต้องหา
ความคืบหน้ากรณีที่เจ้าหน้าที่จับกุม พ.อ.อ.ภคิน เดชพงษ์ สังกัดกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(กอ.รมน.) กทม.เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. หลัง พ.อ.อ.ภคิน ขับรถกระบะอีซูซุ 4 ประตู ทะเบียนตรากงจักร 1510 ประสบอุบัติเหตุที่ จ.ตราด และเจ้าหน้าที่ตรวจพบอาวุธปืนอาก้า 30 กระบอก และกระสุนปืนเอ็ม 79 จำนวนมากภายในรถกระบะดังกล่าว พร้อมจับกุม ร.ต.ท.เรือง พิเสิด ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง(ตม.) กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ที่ขับรถยนต์เลนจ์โรเวอร์ สีขาว หมายเลขทะเบียน 2AD-5629 พนมเปญ ประเทศกัมพูชา และนายจักรพงษ์ หรือคิง โกลเรียง ซึ่งคาดว่าทั้งสามคนมีความเชื่อมโยงกันนั้น

เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เดินทางไปร่วมสอบปากคำผู้ต้องหาทั้ง 3 รายดังกล่าวที่กองบังคับการตำรวจภูธร จ.ตราด หลังสอบสวน พล.ต.อ.ศรีวราห์ เผยว่า พ.อ.อ.ภคิน รับสารภาพว่า ได้ซื้ออาวุธสงครามจากชาวกัมพูชาไม่ทราบชื่อ และได้ขนไปจำหน่ายให้กับชนกลุ่มน้อยที่ภาคเหนือ ซึ่งเป็นเพียงนายหน้าและทำเพียงคนเดียว โดยผู้ต้องหายืนยันว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมือง และไม่รู้จักกับ ร.ต.ท.เรียงและนายจักรพงษ์แต่อย่างใด พ.อ.อ.ภคิน บอกว่า มูลค่าการซื้อขายอาวุธดังกล่าว จำไม่ได้ว่ามีมูลค่าเท่าไร แต่ทำมาแล้ว 2-3 ครั้ง สำหรับรถยนต์คันเกิดเหตุ ติดป้ายทะเบียนตรากงจักรที่ซื้อมาจากย่านสะพานเหล็ก กทม. ส่วนป้าย กอ.รมน.กรุงเทพฯ ที่นำมาติดประจำตัวนั้น ออกโดย พลตรี ซึ่งเคยทำงานให้กับฝ่ายทหารในกรุงเทพฯ โดยไม่รู้ว่าเป็นของปลอม

พล.ต.อ.ศรีวราห์ ชี้แจงเหตุที่ไม่นำตัวผู้ต้องหาอีก 2 คนมาร่วมแถลงข่าวด้วยว่า เพราะทั้งสองคนไม่ยอมรับสารภาพ แต่ทางคดีสามารถดำเนินคดีกับทั้งสองคนได้ เพราะมีหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ กล้องวงจรปิดที่บันทึกภาพการเดินทาง ทั้งในโรงแรมและบริเวณชายแดน

ทั้งนี้ พล.ต.เนอดา เมียะ บุตรชายนายพลโบเมียะ อดีตประธานาธิบดีกะเหรี่ยง และปัจจุบันเป็นผู้บัญชาการกองกำลังกะเหรี่ยงเคเอ็นดีโอ หรือกลุ่มพิทักษ์กะเหรี่ยงแห่งชาติ ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ระหว่างชายแดนไทยกับเมียนมา ได้กล่าวถึงกรณีที่ พ.อ.อ.ภคิน ผู้ต้องหาที่ถูกจับกรณีขนอาวุธสงครามอ้างว่า จะส่งอาวุธสงครามดังกล่าวต่อไปให้กะเหรี่ยงเคเอ็นยู โดยยืนยันว่า “กลุ่มกะเหรี่ยงของเรากำลังอยู่ในบรรยากาศการเจรจาเพื่อสันติภาพ หยุดยิงกับรัฐบาลเมียนมา... จึงไม่มีความจำเป็นในการซื้อขายอาวุธสงครามมาจากประเทศไทย”

ขณะที่นาวาเอกสมรภูมิ จันโท ผบ.หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด กล่าวถึงกรณีมีกระแสข่าวว่า รถของชาวกัมพูชาที่ถูกควบคุมตัว เนื่องจากคาดว่าเกี่ยวข้องกับกรณี พ.อ.อ.ภคิน ที่ขนอาวุธสงคราม เป็นรถของ พล.อ.เตีย บัน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของกัมพูชา โดยยืนยันว่า รถดังกล่าวไม่ได้เป็นรถของ พล.อ.เตีย บัน มีการส่งเลขทะเบียนรถยืนยันมาแล้ว จึงขอแจ้งให้สื่อมวลชนได้รับทราบ

ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ได้โทรศัพท์พูดคุยกับ พล.อ.เตีย บัน เรียบร้อยแล้ว มีความเข้าใจดีต่อกัน พล.อ.เตีย บัน ไม่ได้ติดใจเอาความอะไร เพียงแต่อยากให้สื่อมวลชนไทยนำเสนอข่าวเกี่ยวกับผู้นำระดับสูงของต่างประเทศอย่างระมัดระวัง มีหลักฐานที่แน่ชัด และอยากให้สื่อมวลชนไทยที่เสนอข่าวว่ารถดังกล่าวเป็นรถของ พล.อ.เตีย บัน แสดงความรับผิดชอบและขอโทษอย่างเป็นทางการต่อรัฐบาลกัมพูชาด้วย

ส่วนความคืบหน้ากรณีพบการส่งวัตถุระเบิดผ่านทางพัสดุไปรษณีย์ ที่ส่งผ่านบริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส ไปยังปลายทาง 22 กล่อง ใน 15 จังหวัด เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. ต่อมาวันที่ 3 มิ.ย. เจ้าหน้าที่ทหารได้นำตำรวจเข้าค้นปลายทางของพัสดุทั้ง 22 กล่องนั้น ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. เจ้าหน้าที่ทหารได้คุมตัวผู้เกี่ยวข้องกับการรับส่งพัสดุดังกล่าวจำนวน 17 คน โดย พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ฝ่ายสืบสวนสอบสวนประสานไปยังเจ้าหน้าที่ทหาร เพื่อขอหลักฐานอาวุธต่างๆ ที่ตรวจยึดได้มาประกอบสำนวนคดี และประสานเพื่อขอตัวผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาสอบสวน โดยตำรวจจะรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า พล.ต.อ.ศรีวราห์ ได้สั่งการให้พนักงานสอบสวน สน.บางเขน รวบรวมหลักฐานเพื่อขออนุมัติหมายจับทหารยศ ส.ท.ที่เป็นผู้ส่งพัสดุระเบิดด้วย โดย ส.ท.ดังกล่าวถูกควบคุมแล้ว อยู่ที่มณฑลทหารราบที่ 11 เขตบางเขน ทราบชื่อคือ ส.อ.ธนากรณ์ บุญกาญจน์ อายุ 28 ปี สังกัดกองพันทหารช่างที่ 1 รักษาพระองค์ หลังมีภาพวงจรปิดในร้านเคอรี่ เอ็กซ์เพรส จับภาพขณะมาส่งพัสดุดังกล่าวเมื่อวันที่ 1 มิ.ย.โดยมีรายงานว่า ส.อ.ธนากรณ์นำพัสดุ 2 กล่องมาส่ง โดยใช้ชื่อปลอมว่า ส.ท.อิสรพงศ์ พรหมบุตร

ด้าน พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวเมื่อวันที่ 6 มิ.ย.ถึงกรณีพบการส่งพัสดุระเบิดดังกล่าวว่า ฝ่ายความมั่นคงได้นำตัวผู้ที่เกี่ยวข้องมาควบคุมตัวไว้ 19 คน แบ่งเป็นทหาร 12 นาย และพลเรือน 7 คน จากการสอบสวนเบื้องต้นพบว่า ส.อ.ธนากรณ์ เป็นผู้เกี่ยวข้องหลัก และว่า ที่ผ่านมา ส.อ.ธนากรณ์ร่วมกับพวกเปิดแอพพลิเคชั่นไลน์และเฟซบุ๊กซื้อขายแลกเปลี่ยนอาวุธปืน ทั้งแบบมีทะเบียนและไม่มีทะเบียน เมื่อเห็นว่า สามารถซื้อขายได้ จึงลักลอบนำวัตถุระเบิดส่วนหนึ่งพร้อมกระสุนมาขายอีก ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบสวนรวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินคดีต่อไป

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. ศาลทหารได้อนุมัติหมายจับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับการค้าอาวุธสงครามส่งพัสดุระเบิดผ่านบริษัท เคอรี่ฯ จำนวน 12 รายตามที่ตำรวจกองปราบปรามร้องขอ ซึ่งผู้ต้องหาดังกล่าวถูกเจ้าหน้าที่ทหารใช้อำนาจมาตรา 44 คุมตัวไว้ ก่อนที่เจ้าหน้าที่ทหารจะนำตัวผู้ต้องหาทั้ง 12 รายมาส่งให้ตำรวจกองปราบปรามเพื่อสอบปากคำเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ประกอบด้วย ร.ท.สันติ นามวิเศษ, จ.ส.อ.ประดิพัทธ์ เสน่ห์ดี, จ.ส.อ.ฉัตรชัย เอี่ยมสมบูรณ์, จ.ส.อ.พลหงส์ศาสตร์ (ไม่ทราบสนามสกุล) ส.อ.สุทธิโชค ไพเราะ, ส.อ.ธนากรณ์ บุญกาญจน์, พลทหาร สกลนที พรหมทอง, นายเกษมสุข นามศรี, นายสิทธิชัย ทองเชื้อ, นายณัฐพล อยู่ยืด, นายณัฐพงศ์ ทองคำพันธุ์ และนายศักดิ์สิทธิ์ จันทาป

3.“อนันต์ อัศวโภคิน” เข้ารับทราบข้อกล่าวหาสมคบฟอกเงินทุจริตสหกรณ์ฯ คลองจั่น ด้านดีเอสไอใจดี ให้เวลาเตรียมเอกสารชี้แจง 60 วัน!
นายอนันต์ อัศวโภคิน อดีตประธานเครือแลนด์แอนด์เฮ้าส์(บนขวา-ล่างซ้าย) เข้ารับทราบข้อกล่าวหาจากดีเอสไอ
เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. นายอนันต์ อัศวโภคิน อดีตประธานเครือแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) นายขจรศักดิ์ พุทธานุภาพ อัยการคดีพิเศษ 3 สำนักงานอัยการสูงสุด และพนักงานสอบสวนดีเอสไอ เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน หลังเกี่ยวข้องกับการทุจริตของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด

นายขจรศักดิ์ เผยหลังร่วมสอบปากคำนายอนันต์ว่า นายอนันต์เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ในการต่อสู้คดีก่อนดำเนินการแจ้งข้อหาดังกล่าว โดยนายอนันต์ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และขอเวลา 60 วัน เตรียมเอกสารหลักฐานชี้แจงรายละเอียดต่างๆ รวมถึงประเด็นเรื่องการซื้อขายที่ดินที่เกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกาย และบริษัท เอ็ม-โฮมเอสพีวี 2 จำกัด

นายขจรศักดิ์เผยอีกว่า ขณะนี้นายอนันต์ถือว่าตกเป็นผู้ต้องหาแล้ว แต่ไม่มีเงื่อนไขห้ามใดๆ ซึ่งหลังจากครบ 60 วัน พนักงานสอบสวนก็จะดำเนินการตรวจเอกสารหลักฐาน หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมก็จะเรียกนายอนันต์มาสอบสวน และถ้าพบว่ามีบุคคลใดเกี่ยวข้องก็จะเรียกมาสอบสวนอีก ส่วนคดีของ น.ส.อลิสา อัศวโภคิน ลูกสาวนายอนันต์นั้น เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างสอบสวน

ด้านนายอนันต์กล่าวว่า ตนเดินทางกลับจากต่างประเทศได้เพียง 2 วัน ยังไม่ทราบรายละเอียดทางคดีมากนัก และขอปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยขอเวลา 60 วันเพื่อชี้แจงทุกข้อกล่าวหา อีกทั้งไม่เคยรู้จักหรือพูดคุยกับนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น มาก่อน ส่วนรายละเอียดทางคดีขอให้ทนายความเป็นคนชี้แจง “ขณะนี้มีนักลงทุนต่างชาติสนใจร่วมลงทุนกับบริษัทที่บริหารอยู่ มูลค่า 1.7 หมื่นล้านบาท แม้ว่าตัวเองจะถูกแจ้งข้อกล่าวหาก็ตาม แต่นักลงทุนต่างชาติยังให้ความเชื่อมั่นและได้ร่วมลงทุนแล้วเช่นกัน”

ขณะที่นายกมล ศรีสวัสดิ์ ทนายความกล่าวว่า ยังไม่ขอชี้แจงใดๆ ต่อสื่อมวลชน ขอชี้แจงหลังครบ 60 วันแล้ว และจะแถลงต่อสื่อมวลชนอีกครั้ง ส่วนก่อนหน้านี้ที่ยังไม่ได้ส่งเอกสารหลักฐานชี้แจง เนื่องจากไม่ทราบรายละเอียด

4.ศาลรัฐธรรมนูญ ไม่รับคำร้อง คปพ.ขอให้วินิจฉัยร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม ขัด รธน.หรือไม่ ชี้ ไม่เข้าเงื่อนไข ม.213 !
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ใช้สิทธิในฐานะประชาชนที่ถูกละเมิดสิทธิยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม ขัด รธน.หรือไม่ เมื่อวันที่ 9 พ.ค. แต่ล่าสุด ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้อง
เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. นายพิมล ธรรมพิทักษ์พงษ์ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เผยว่า ที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้องที่เครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย(คปพ.) นำโดยนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ใช้สิทธิในฐานะประชาชนที่ถูกละเมิดสิทธิตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ยื่นขอให้วินิจฉัยว่า ร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม ที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ลงมติผ่านวาระ 3 เมื่อวันที่ 30 เม.ย. ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 77 วรรคสอง หรือไม่ ไว้วินิจฉัย โดยศาลเห็นว่า คำร้องดังกล่าวยังไม่เข้าเงื่อนไขตามมาตรา 213

สำหรับรัฐธรรมนูญมาตรา 213 ระบุว่า บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้ มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อมีคำวินิจฉัยว่า การกระทำนั้นขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ

โดยคำร้องดังกล่าว นายปานเทพได้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 9 พ.ค. เนื่องจากเห็นว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 77 กำหนดว่า ก่อนการตรากฎหมายทุกฉบับ รัฐต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้อง เปิดเผยผลการรับฟังความคิดเห็นและการวิเคราะห์ต่อประชาชน เพื่อมาประกอบการพิจารณากระบวนการตรากฎหมายทุกขั้นตอน ซึ่งร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียมสิ้นสุดการพิจารณาในชั้นของ สนช.เมื่อวันที่ 30 มี.ค. และมีการยื่นไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 18 เม.ย. เพื่อให้ดำเนินการนำร่างกฎหมายขึ้นทูลเกล้าฯ ซึ่งเป็นระยะเวลาหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2560 เมื่อวันที่ 6 เม.ย. โดยระยะเวลา 12 วัน นับจากวันที่ 6-18 เม.ย. สนช.สามารถดำเนินการตามขั้นตอนรัฐธรรมนูญมาตรา 77 ได้ แต่กลับไม่ดำเนินการ ร่างกฎหมายดังกล่าวจึงเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ จึงใช้สิทธิในฐานะประชาชนที่ถูกละเมิดยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ แต่ศาลรัฐธรรมนูญกลับมีมติไม่รับคำร้องไว้วินิจฉัย โดยชี้ว่า ยังไม่เข้าข่ายเงื่อนไขตามมาตรา 213

5.ตร.นำ 3 ผู้ต้องหาทำแผนฆ่าหั่นศพ “แอ๋ม” ชาวบ้านตะโกนสาปแช่ง ขณะที่ “เปรี้ยว” อ้าง “ไม่ได้ตั้งใจ” ด้าน “แม่แอ๋ม” ฟ้องเรียก 10 ล้าน!
(บน) เปรี้ยว-เอิร์น-แจ้  3 ผู้ต้องหาคดีฆ่าหั่นศพ แอ๋ม ไหว้ขอขมายายและน้าของแอ๋มระหว่างทำแผนประกอบคำรับสารภาพ (ล่าง) เปรี้ยวมาส์กหน้าถ่ายรูปเซลฟี่กับเจ้าหน้าที่ ตม.เชียงราย เป็น 1 ในภาพที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงความไม่เหมาะสม
ความคืบหน้าคดีฆ่าหั่นศพ น.ส.วริศรา กลิ่นจุ้ย หรือแอ๋ม สาวร้านคาราโอเกะ ที่ อ.เขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น ที่ผู้ต้องหาถูกจับกุมแล้ว 5 ราย โดย 2 รายแรกที่ถูกจับคือ นายวศิน นามพรหม หรือนิว ถูกจับขณะหนีไปกบดานที่กรุงเวียงจันทน์ ประเทศลาว และ น.ส.จิดารัตน์ พรหมคุณ หรือเบนซ์ ถูกจับที่ จ.อุบลราชธานี ส่วนอีก 3 ราย ถูกตำรวจพม่าจับกุมเมื่อคืนวันที่ 3 มิ.ย. ก่อนส่งตัวให้ ตม.เชียงราย ประกอบด้วย น.ส.ปรียานุช โนนวังชัย หรือเปรี้ยว, น.ส.กวิตา ราชดา หรือเอิร์น และ น.ส.อภิวันท์ สัตยบัณฑิต หรือแจ้

เป็นที่น่าสังเกตว่า ระหว่างที่ผู้ต้องหาทั้งสามถูกควบคุมตัวที่ ตม.เชียงรายคืนวันที่ 3 มิ.ย. มีภาพปรากฏทางโซเชียลมีเดีย ที่ทำให้ ตม.เชียงราย ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยเป็นภาพผู้ต้องหามาส์กหน้า แต่งหน้า ถ่ายรูปเซลฟี่ชู 2 นิ้วกับเจ้าหน้าที่ ตม.ด้วยสีหน้ารื่นเริง รวมถึงกรณีที่ไม่มีการใส่กุญแจมือผู้ต้องหา และไม่ได้นอนในห้องคุมขัง ซึ่งภายหลัง พ.ต.อ.เอกกร บุษบาบดินทร์ ผกก.ตม.จ.เชียงราย ได้ชี้แจงว่า ภาพที่ปรากฏ เป็นเรื่องของจิตวิทยา เพื่อให้ผู้ต้องหาลดแรงกดดัน เนื่องจากผู้ต้องหาไม่ได้ถูกจับกุมขณะหลบหนี แต่เป็นการติดต่อเข้ามอบตัว และทางการเมียนมาส่งตัวมาให้ด้วยดี จึงเป็นเรื่องอนุโลมไม่ต้องใส่กุญแจมือ และเนื่องจากผู้ต้องหาเป็นผู้ที่สังคมให้ความสนใจอย่างมาก จึงต้องลดแรงกดดันในตัวผู้ต้องหาด้วยการให้นอนในสำนักงานของเจ้าหน้าที่ แต่ให้นอนบนพื้น เพราะหากนำไปคุมขังในห้องขังร่วมกับผู้ต้องหาคนอื่นๆ อาจจะกดดันจนเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายได้ ส่วนภาพการแต่งหน้าของผู้ต้องหานั้น พ.ต.อ.เอกกร กล่าวว่า เป็นแป้งทานาคาที่นิยมกันอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน ผู้ต้องหาคงนำติดตัวมา ไม่อาจห้ามได้ เพราะเป็นผู้หญิง

อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้กำชับให้ข้าราชการตำรวจทุกหน่วยระมัดระวัง ไม่กระทำการใดๆ เช่น ถ่ายภาพ หรือแชร์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้ต้องหาในคดีเข้าสู่สังคมออนไลน์

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. ตำรวจได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งสามขึ้นเครื่องบินโฟล์กของกองบินตำรวจจากเชียงรายมาเพื่อมาแถลงข่าวยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในกรุงเทพฯ ซึ่งต่อมา พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ร่วมสอบปากคำผู้ต้องหา ก่อนนำทีมตำรวจแถลงข่าวว่า จากการสอบถามผู้ต้องหาทั้งสามคน จริงๆ แล้ว ผู้ต้องหามีความตั้งใจที่จะมอบตัว คิดอยู่ว่าจะมอบยังไง สุดท้ายก็มอบตัว โดยผู้ต้องหาทั้งสามยอมรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา “ผมถามสาเหตุการฆ่า เขาบอกว่า 1.เรื่องยาเสพติด 2.เรื่องหนี้สินค้างเก่า คดีนี้มีผู้ต้องหา 5 ราย แบ่งหน้าที่กันทำ ที่สื่อโซเชียลลงมันไม่ใช่ขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ เป็นการเสพยาเสพติดใน จ.ขอนแก่นเท่านั้น เหตุเกิดจากที่ น.ส.วริศรา ถูกจับเมื่อปลายปี 2559 เจ้าหน้าที่จึงขยายผลไปที่ น.ส.ปรียานุช ไม่ใช่ขบวนการค้ายาข้ามชาติ”

พล.ต.อ.จักรทิพย์ ยังกล่าวถึงสาเหตุที่ผู้ต้องหาฆ่าหั่นศพ น.ส.วริศราอีกว่า “น.ส.เปรี้ยวบอกว่าเป็นเรื่องแค้นส่วนตัว สาเหตุเพราะถูกจับกุมเรื่องยาเสพติด...จริงๆ แล้วเขาต้องการแค่สั่งสอนเท่านั้นเอง และไม่ได้เจอกันเป็นปี บังเอิญเขากลับมาจากต่างประเทศวันนั้น แล้วเจอน้องแอ๋มที่จุดนัดพบ ก็เรียกขึ้นรถ ซึ่งเป็นรถเช่าที่เวลาเดินทางกลับจากต่างประเทศก็จะพาพ่อแม่ไปกินข้าว เมื่อเรียกขึ้นรถแล้วอุดจมูก สิ้นอากาศหายใจ แล้วคิดอยู่สองอย่างคือนำไปถ่วงน้ำ แต่คิดอีกที เดี๋ยวศพโผล่ กับหั่นศพเพราะศพเริ่มแข็ง จึงหั่นศพเพราะช่วงนั้นกะทันหัน เขาคิดอะไรไม่ออก”

ด้าน พล.ต.ต.เจริญวิทย์ ศรีวนิชย์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 กล่าวว่า สำหรับข้อกล่าวหาทั้งสามคนคือ ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและฝังซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพ ปิดบังการตาย และข้อหาปล้นทรัพย์ รับของโจร พร้อมยืนยันว่า เป็นความอาฆาตแค้นส่วนตัว เรื่องค้ายาเสพติดข้ามชาติ ไม่มีเลย ทั้งนี้ ตำรวจได้นำตัวผู้ต้องหาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่ จ.ขอนแก่น เมื่อวันที่ 5 มิ.ย.

หลังเสร็จสิ้นการทำแผน ผู้ต้องหาทั้งสามได้เดินเข้าไปก้มกราบยายและน้าของ น.ส.แอ๋ม ผู้ตายที่มาดูการทำแผนด้วย โดย น.ส.เปรี้ยวได้กล่าวต่อหน้าญาติผู้ตายว่า “หนูขอโทษ หนูไม่ได้ตั้งใจ” ก่อนที่ยายและน้าผู้ตายจะถามว่า “ทำ ทำไม ฆ่าทำไม” ท่ามกลางเสียงประชาชนที่โห่ไล่ตะโกนด่าสาปแช่งตลอดเวลา

ด้านนางพัชชาภา กลิ่นจุ้ย มารดาของ น.ส.แอ๋ม ผู้ตาย กล่าวผ่านรายการทีวี โดยยืนยันว่า ไม่อโหสิกรรมให้ผู้ก่อเหตุ เพราะแอ๋มเป็นลูก เป็นเลือดเนื้อของเรา เป็นดวงใจของเรา จะไปให้อภัยง่ายๆ ไม่ได้จริงๆ สำหรับคนเป็นพ่อแม่

สำหรับความคืบหน้าในแง่การดำเนินคดีผู้ก่อเหตุนั้น พล.ต.ต.ธนารักษ์ ฤทธิเดชไพบูลย์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 เผยเมื่อวันที่ 6 มิ.ย.ว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถรวบรวมหลักฐานของกลางสำคัญได้ครบหมดแล้ว ต่อไปเป็นการทำสำนวนและรอเพียงผลพิสูจน์หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อทำสำนวนส่งฟ้องต่อไป

เป็นที่น่าสังเกตว่า ประเด็นที่ น.ส.เปรี้ยว เกี่ยวพันยาเสพติดข้ามชาติหรือไม่ ที่แม้แต่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็ยืนยันว่า น.ส.เปรี้ยว ก่อเหตุฆ่าหั่นศพ เพราะแค้นส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับยาเสพติดข้ามชาตินั้น ทางนายศิรินทร์ยา สิทธิชัย เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.) ยังคงยืนยันว่า จากการสืบสวนและพยานหลักฐานที่พบ ยืนยันว่า น.ส.ปรียานุช โนนวังชัย หรือเปรี้ยว มีความเกี่ยวข้องกับขบวนการค้าเสพติดข้ามชาติ แต่ที่ตำรวจสอบปากคำ น.ส.ปรียานุช ยังคงให้การปฏิเสธ ซึ่งเป็นสิทธิที่กระทำได้ โดยขณะนี้ ป.ป.ส.อยู่ระหว่างขอข้อมูลและหลักฐานบางอย่างจาก ป.ป.ส.พม่า เพื่อนำมาสนับสนุนข้อมูลที่มีอยู่ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยหลักฐานดังกล่าวได้

ทั้งนี้ นางสายรุ้ง กลิ่นจุ้ย มารดาของ น.ส.วริศรา หรือแอ๋ม ได้ส่งทนายยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดขอนแก่น เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้ต้องหาทั้ง 5 คนที่ฆ่าหั่นศพเป็นเงิน 10 ล้านบาท โดยระบุว่า น.ส.แอ๋ม เป็นกำลังหลักของครอบครัว และหาเงินได้ไม่ต่ำกว่าปีละ 1 แสนบาทต่อปี นอกจากนี้ทางญาติของน้องแอ๋ม ยังได้แจ้งความดำเนินคดีกับพี่สาวของ น.ส. ปรียานุช หรือเปรี้ยว ที่ออกมากล่าวหาผู้ตายว่าเกี่ยวข้องกับการค้าประเวณี โดยมีการให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อต่างๆ จนทำให้เกิดความอับอายแก่ครอบครัวและญาติพี่น้อง โดยได้แจ้งความไว้ที่ สภ.บ้านเป็ด อ.เมืองขอนแก่นแล้ว เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา
กำลังโหลดความคิดเห็น