MGR Online ขอนำเสนอ “Top 7 ข่าวฮอตในรอบ 7 วัน” สรุปข่าวเด่น ประเด็นฮอตที่พลาดไม่ได้ เป็นประจำทาง www.manager.co.th และเฟซบุ๊ก MGROnline Live
อันดับ 1 : ความรักครั้งใหม่ "สันต์-ยุวเรศ" สุดซับซ้อน "คุณหญิงเกิดศิริ" แจงยังไม่หย่า
เกิดเรื่องฮือฮากับ พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติวัย 70 ปี เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา นิตยสาร HELLO และ แพรว ได้เปิดตัวภรรยาสาวคนใหม่คือ “น้องเรต” ยุวเรต ศรุตานนท์ (กังสถาน) เป็นที่เรียบร้อย ทั้งยังมีการเผยแพร่ภาพคู่ผ่านอินสตาแกรม @yuwared_sarutanond อย่างกว้างขวาง และให้ข้อมูลว่า พล.ต.อ.สันต์ ได้หย่าขาดกับ คุณหญิงเกิดศิริ ศรุตานนท์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ต่อมาเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. ตัวแทนของคุณหญิงเกิดศิริ ศรุตานนท์ ได้ส่งจดหมายไปยังสื่อมวลชน ชี้แจงว่า กรณีข่าวการหย่าระหว่างคุณหญิงเกิดศิริ กับ พล.ต.อ.สันต์ ไม่เป็นความจริง และไม่เคยคิดที่จะหย่า ยังคงสถานภาพสมรส และปัจจุบันยังพักอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน หากมีผู้อื่นแสดงตนว่าเป็นคู่สมรส หรือ จดทะเบียนสมรสกับสามี ถือเป็นการแอบอ้างหรือจดทะเบียนสมรสซ้อน มีความผิดตามกฎหมาย ขณะนี้ตนอยู่ในระหว่างการเดินทางต่างประเทศ
ถึงกระนั้น ฝั่งของนางยุวเรต ก็ได้เคลื่อนไหวโพสต์ภาพต้นหูกระจง พร้อมข้อความ “ต้นหูกระจงควรปลูกให้ห่างจากตัวบ้าน #จบนะคะ”
อันดับ 2 : "พลุแฟลร์" สวะบอลไทย ออกหมายจับ "แก๊งอุลตร้า" ป่วนสนามราชมังคลาฯ
การแข่งขันฟุตบอล เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ รอบชิงชนะเลิศ นัดที่สอง ระหว่างทีมชาติไทย กับ ทีมชาติอินโดนีเซีย ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน พบว่าเกิดเรื่องฉาว ระหว่างการแข่งขันมีแฟนบอลที่อยู่ด้านบนอัฒจันทร์ฝั่งตะวันออก มีป้ายผ้าระบุข้อความ ULTRAS THAILAND โยนพลุแฟลร์ลูกหนึ่งตกลงมาบริเวณตรงกลางของสนาม และพลุแฟลร์สีแดงถูกจุดจนลุกเป็นไฟ ก่อให้เกิดควันสีขาวลอยมาทั่วสนาม ซึ่งถือเป็นข้อห้ามในการจัดการแข่งขัน ทำให้สังคมออนไลน์พากันประณามจำนวนมาก
ทันทีที่เกิดเรื่อง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมฟุตบอลกีฬาแห่งประเทศไทยฯ ได้ประสานขอความช่วยเหลือไปยัง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งรัดติดตามสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้ ต่อมาวันที่ 21 ธ.ค. ชุดสืบสวน สน.หัวหมาก นำกำลังบุกยืดพลุแฟลร์ 1,950 อัน มาจากย่านเชียงกง บางนา หลังทราบว่าเป็นร้านที่ขายให้กับกลุ่มอุลตร้า ไทยแลนด์ กระทั่งวันที่ 22 ธ.ค. ตำรวจขอหมายจับจากศาลอาญารัชดาแก่บุคคลในภาพถ่าย จำนวน 9 ราย และแกนนำกลุ่มอัลตราไทยแลนด์ อีกประมาณ 3 - 4 คน
ล่าสุดเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. นายประพจน์ ปานโพธิ์ทอง หนึ่งในแกนนำกลุ่มอุลตร้า ไทยแลนด์ ที่ถูกออกหมายจับไปก่อนหน้านี้ ได้เข้าพบพนักงานสอบสวน และให้การภาคเสธ พร้อมบอกกับพนักงานสอบสวน ว่า วันเกิดเหตุอยู่ในกลุ่มจริง และทำหน้าที่นำเชียร์เท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับการจุดพลุแฟลร์แต่อย่างใด
อันดับ 3 : ขับ “อนุชัย ศรีจรูญพู่ทอง” พ้นสมาคมถ่ายภาพ ฐานแอบอ้าง “ภาพเสด็จออกมหาสมาคม”
หลังมีประเด็นท้วงติงโดยกลุ่มคนที่ทำงานภาพถ่ายว่า ภาพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จออกมหาสมาคม ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม ในงานพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติ 60 ปี พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลเดช เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2549 ถูกช่างภาพชื่อดังอย่าง นายอนุชัย ศรีจรูญพู่ทอง นำไปใช้ประกอบการให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อต่างๆ หลายครั้ง ทำให้หลายคนเข้าใจผิด ทั้งที่เป็นภาพที่ตกแต่งจากไฟล์ภาพถ่ายผลงานของนายรชฏ วิสราญกุล ช่างภาพรุ่นใหญ่
คณะกรรมการบริหารสมาคมภาพสมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้พิจารณาเรื่องนี้ในการประชุมเมื่อวันที่ 21 ธ.ค. ที่ผ่านมา เห็นว่าการกระทำของนายอนุชัยเป็นการกระทำที่มิบังควร อีกทั้งเป็นการเจตนากระทำผิดทั้งทางกฎหมายและจริยธรรม นับเป็นการประพฤติในทางอันเป็นที่น่ารังเกียจของสังคม และนำความเสื่อมเสียมาสู่สมาคมฯ อย่างยิ่ง จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ ให้นายอนุชัย ขาดจากสมาชิกภาพ เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป ทั้งนี้ นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ขณะเดียวกันได้มีช่างภาพรุ่นใหม่หลายคนแสดงตนเพื่อแฉและประนามการกระทำของนายอนุชัยในหลายกรณี ตัวอย่างเช่น นายภาณุวัฒน์ จิตติวุฒิการ ช่างภาพหนุ่มวัย 30 ปี ระบุว่า เมื่อครั้งที่ตนเพิ่งเรียนจบใหม่ ๆ ตนก็เคยถูกนายอนุชัยรังแกจนเกือบจะขาดโอกาสที่จะแจ้งเกิดในวงการ รวมถึงช่างภาพหนุ่มอย่าง นายตุลย์ หิรัญญลาวัลย์ ที่ร่วมประนามว่าการกระทำของนายอนุชัยว่า เป็นการกระทำเพื่อเอาดีเข้าตัว อ้างว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือทำไปเพราะเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ อยากให้ทุกคนที่ได้รับทราบข้อมูลช่วยกันส่งต่อความจริงว่านายรชฏต่างหากคือผู้ที่ถ่ายภาพพระบรมฉายาลักษณ์ภาพนี้
อันดับ 4 : อุกอาจ! ยิง “ทูตรัสเซีย” ดับกลางงานศิลปะในตุรกี “แก้แค้นให้อะเลปโป”
เหตุช็อกโลกครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 ธ.ค. ตามเวลาท้องถิ่น เมื่อนายอังเดร คาร์ลอฟ เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำตุรกี ถูกคนร้ายใส่สูทสีดำผูกเนกไท ใช้อาวุธปืนจ่อยิงด้านหลัง 9 นัด เสียชีวิต ระหว่างเยี่ยมชมนิทรรศการศิลปะในกรุงอังการา ประเทศตุรกี ขณะที่ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า ระหว่างที่ทูตกำลังกล่าวสุนทรพจน์ คนร้ายชักปืนออกมา และยิงเอกอัครราชทูตจากด้านหลัง ส่วนช่างภาพของรอยเตอร์ในจุดเกิดเหตุ เล่าว่า ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีกหลายนัด หลังจากการโจมตี ขณะที่ในวิดีโอหนึ่งเป็นภาพมือปืนตะโกนคำว่า “อย่าลืมอะเลปโป อย่าลืมซีเรีย!” ภายหลังทราบว่าผู้ก่อเหตุคือนายเมฟลุต เมิร์ต อัลตินตัส วัย 22 ปี รับราชการเป็นตำรวจปราบจลาจลมานาน 2 ปีครึ่ง
วันที่ 21 ธ.ค. นายเรเจป ตัยยิบ แอร์โดอัน ประธานาธิบดีตุรกี กล่าวว่า ตำรวจตุรกีที่ลอบสังหารเอกอัครราชทูตรัสเซียประจำกรุงอังการา เป็นสมาชิกกลุ่มองค์กรก่อการร้ายเฟตุลเลาะห์ (FETO) ที่มีนายเฟตุลเลาะห์ กูเลน นักการศาสนาที่พำนักอยู่ในสหรัฐฯ และถูกกล่าวโทษว่าเป็นผู้บงการความพยายามรัฐประหารที่ล้มเหลวในเดือนกรกฎาคม จากที่ก่อนหน้านี้ ตัวของนายกูเลนได้ออกแถลงการณ์ประณามเหตุดังกล่าว ระบุว่าเป็นการก่อการร้าย และปฏิเสธความเกี่ยวข้องใดๆ กับความพยายามก่อรัฐประหาร แต่นายฟรานซ์ คลินเซวิช วุฒิสภาอาวุโสของรัสเซีย คนสนิทของนายวลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย มองว่าการโจมตีดังกล่าวไม่ได้มาจากพวกรัฐอิสลาม แต่มีความเป็นไปได้อย่างสูง ว่าตัวแทนของหน่วยลับนาโตอยู่เบื้องหลัง เพื่อยั่วยุและท้าทายรัสเซีย
อันดับ 5 : ประหารชีวิต "หมอนิ่ม" จ้างวานฆ่า "เอ็กซ์-จักรกฤษณ์" นักแม่นปืนทีมชาติไทย
การเสียชีวิตของนายจักรกฤษณ์ พณิชย์ผาติกรรม หรือเอ็กซ์ อดีตนักยิงปืนทีมชาติไทย เมื่อวันที่ 19 ต.ค. 2556 นำไปสู่การจับกุมอดีตภรรยาที่จ้างวานฆ่าสามีตนเองนั้น เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดมีนบุรีพิพากษาให้ประหารชีวิต พญ.นิธิวดี หรือ หมอนิ่ม ภู่เจริญยศ อายุ 40 ปี อดีตภรรยา และนายสันติ หรือ อี๊ด ทองเสม อายุ 30 ปี ฐานร่วมกันเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดฆ่าผู้อื่นโดยไตรตรองไว้ก่อน ส่วนมือปืนและผู้ขับขี่จักรยานยนต์ให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษคนละ 1 ใน 3 เหลือจำคุกตลอดชีวิต และให้พิพากษายกฟ้องมารดาหมอนิ่ม รวมทั้งให้จำเลยทั้งสี่ ร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 2.5 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ให้กับมารดาของนายจักรกฤษณ์
ต่อมาศาลจังหวัดมีนบุรี มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว พญ.นิธิวดี และนายสันติ โดยตีราคาประกัน 1 ล้านบาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขจำเลยห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล ซึ่งนายสืบพงษ์ ศรีพงษ์กุล โฆษกศาลยุติธรรม ชี้แจงว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว จึงไม่มีกรณีที่ทั้งสองจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น หรือเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของเจ้าพนักงาน หรือการดำเนินคดีในศาล จำเลยทั้งสองมีภูมิลำเนาที่อยู่และประกอบอาชีพเป็นหลักแหล่งแน่นอน จึงไม่มีพฤติการณ์ที่สงสัยว่าน่าจะหลบหนี เมื่อหลักประกันที่ผู้ร้องขอประกันน่าเชื่อถือ ศาลอุทธรณ์จึงอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว สอดคล้องกับหลักการอันเป็นสากลว่า ในคดีอาญาต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลทุกคนเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าเป็นผู้กระทำความผิด
อันดับ 6 : ซุปตาร์สาว "ชมพู่-อารยา" แท้งลูก "หน่อย บุษกร" ให้กำลังใจ-รอมีน้องครั้งใหม่
ทำแฟนคลับพากันตกใจกันเป็นแถว เมื่อนางเอกสาว “ชมพู่-อารยา เอ ฮาร์เก็ต” ออกมาเปิดใจหมดเปลือก ในนิตยสารแฮมเบอร์เกอร์ ฉบับเดือนธันวาคม ยอมรับว่า สาเหตุที่ถอนตัวจากละครเรื่อง ระเริงไฟ ของผู้จัด “หน่อย-บุษกร วงศ์พัวพันธ์ ” เป็นเพราะกำลังตั้งครรภ์ แต่สุดท้ายเกิดอาการแท้งไปซะก่อน ซึ่งความอกหักครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตยังเทียบไม่ได้กับเรื่องนี้ โดยเพจใต้เตียงดาราได้แคปข้อความสัมภาษณ์เจ้าตัวมาเผยแพร่ ทำเอาแฟนๆ พากันช็อกกับเรื่องดังกล่าวอยู่ไม่น้อย และเข้าไปให้กำลังใจกันเป็นจำนวนมาก
ก่อนหน้านี้ สาวชมพู่มีรายชื่อติดโผอักษรย่อนางเอกซุปตาร์ตั้งครรภ์อ่อนๆ ซึ่งมีหลายสำนักฟันธงว่าเป็นเจ้าตัวแน่ แต่ปรากฏว่า สาวชมพู่ได้ออกมาเผยว่ายังไม่ท้อง แค่ต้องการให้เวลากับครอบครัว หลังแต่งงานกับ น็อต-วิศรุต รังษีสิงห์พิพัฒน์ เศรษฐีเจ้าของกิจการบัลลาสต์และอุปกรณ์แสงสว่าง ซึ่งจริงๆ แล้วอยู่ในช่วงถือเคล็ดใหห้รอครบ 3 เดือนก่อน แต่ก็เกิดอาการแท้งในที่สุด อย่างไรก็ตาม ผู้จัดอย่างหน่อย บุษกร ก็ให้กำลังใจมาตลอด และให้คำปรึกษากับชมพู่มาโดยตลอด ระบุว่าที่ผ่านมาก็เคยมีประสบการณ์แบบเดียวกัน เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกันได้ทุกคน ทำใจให้สบายและเข้มแข็งเพื่อรอที่จะมีน้องครั้งใหม่ดีกว่า
อันดับ 7 : 6 ล้อซิ่งระห่ำ ชนยับ 41 คัน! เหตุอกหัก-เสพไอซ์ ประกันชดใช้แค่ 6 แสน
เหตุระทึกขวัญคนเมืองครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงสายวันที่ 21 ธ.ค. เมื่อรถบรรทุก 6 ล้อขนส่งวัสดุก่อสร้างของบริษัท ชัยภิวัตร จำกัด ชนรถยนต์ทุกคันที่ขวางหน้า ภายในถนนเอกมัย (ซอยสุขุมวิท 63) แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร โดยก่อนหน้านี้ได้ได้ชนจักรยานยนต์ส่วนบุคคลของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พญาไท จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สกัดตั้งแต่แยกราชปรารภผ่านแยกประตูน้ำ กระทั่งเข้าสู่ถนนเพชรบุรีขาออกเลี้ยวซ้ายเข้าอาร์ซีเอ ผ่าน สน.มักกะสัน ได้ชนรถเสียหายไปกว่า 10 คัน จากนั้นเลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนเพชรบุรี เข้าถนนทองหล่อเหนือสู่ถนนเอกมัย เสียหายรวม 41 คัน กระทั่งรถน้ำมันหมด คนขับรถจึงลงจากรถวิ่งหนีไปทางสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสเอกมัย แต่พลเมืองดีวิ่งไล่ตามกันอย่างชุลมุนและกระชั้นชิด จนในที่สุดล้อมจับตัวไว้บริเวณหน้าร้านบ้านใร่กาแฟ
ผู้ก่อเหตุคือนายเอกพจน์ ยศศิริ อายุ 27 ปี พนักงานขับรถส่งวัสดุก่อสร้างของบริษัท ชัยภิวัตร รับสารภาพว่าตนไปส่งของที่ย่านสะพานควาย กำลังจะกลับไปสามย่าน แต่พบเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตนจึงหักหลบหนีไป ทั้งนี้ตนเสพยาเสพติดมาเป็นเวลากว่า 3 ปี และทุกครั้งที่ขับรถบรรทุกก็เสพมาตลอด แต่ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุ แต่ครั้งนี้เนื่องจากเครียดเรื่องแฟนสาวที่ไปมีแฟนใหม่ เลยทำให้ไม่มีสติ เมื่อเกิดเหตุตอนนั้นไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรลงไป ตำรวจได้ตรวจหาสารเสพติดพบว่ามีปัสสาวะเป็นสีม่วง ค้นภายในตัวพบยาไอซ์หนัก 1.93 กรัม จากการตรวจสอบประวัติเคยถูกดำเนินคดีของหายาเสพติดมาแล้วกว่า 4 ครั้ง คือ ปี 2554, 2556, 2557 และครั้งล่าสุด 12 ก.ค. 2559
ตำรวจแจ้งข้อหานายเอกพจน์ รวม 7 ข้อหา ฐานมียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย, เสพยาเสพติดให้โทษ, ขับรถขณะเสพยาเสพติด, ไม่หยุดรถให้การช่วยเหลือ, ฝ่าสัญญาณไฟจราจร, ฝ่าสัญญาณมือเจ้าหน้าที่ และหลบหนีเจ้าพนักงาน ศาลอาญากรุงเทพใต้อนุญาตให้ฝากขังผลัดแรก 12 วัน พร้อมคัดค้านการประกัน นำตัวไปควบคุมไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครต่อไป ส่วนการชดใช้ความเสียหายรถยนต์ 41 คัน พบว่ารถบรรทุกคันดังกล่าวทำประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) และ ประกันภัยรถภาคสมัครใจ (ประเภท 3) ไว้กับ บมจ.สินมั่นคงประกันภัย ทุนประกันความเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก 6 แสนบาท คาดว่าอาจจะใช้วิธีการเฉลี่ยจ่ายให้แก่ผู้เสียหาย แล้วส่วนที่เหลือไปฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเพิ่มเติมกับผู้ก่อเหตุหรือบริษัทที่เป็นเจ้าของรถบรรทุกเอาเอง