xs
xsm
sm
md
lg

TOP 7 ข่าวฮอตในรอบ 7 วัน : "บีบีซีไทย" ดิ้นฟ้องโลก - ชัทดาวน์ช่องธัมมี่ - "ตูน บอดี้สแลม" วิ่งฝ่าดราม่า

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


MGR Online ขอนำเสนอ “Top 7 ข่าวฮอตในรอบ 7 วัน” สรุปข่าวเด่น ประเด็นฮอตที่พลาดไม่ได้ เป็นประจำทุกวันศุกร์ ทาง www.manager.co.th และเฟซบุ๊ก MGROnline Live

โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง 10 องคมนตรี - มีพระราชดำรัสอุ่นใจ "ป๋าเปรม" เป็นประธาน

เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งองคมนตรี จำนวน 10 ราย ได้แก่ 1. พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ 2. นายเกษม วัฒนชัย 3. นายพลากร สุวรรณรัฐ 4. นายอรรถนิติ ดิษฐอำนาจ 5. นายศุภชัย ภู่งาม 6. นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ 7. พลอากาศเอก ชลิต พุกผาสุข 8. พลเอก ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ 9. พลเอก ธีรชัย นาควานิช และ 10. พลเอก ไพบูลย์ คุ้มฉายา

ต่อมาวันที่ 7 พ.ย. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ ฯ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี นำคณะองคมนตรีซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง จำนวน 10 คน เฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ พล.อ.เปรม นำกล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณ ว่า “ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดี ต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศ และประชาชน ทั้งจะรักษาไว้ และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”

โอกาสนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชดำรัสกับคณะองคมนตรีที่เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณว่า

“ขอบใจ และแสดงความยินดี ขอบใจที่มีน้ำใจช่วยงาน ที่ว่าคณะองคมนตรีในยุคนี้ ปัจจุบันนี้ก็จะได้รับการมอบภารกิจ ตลอดจนได้รับโอกาส หรือหน้าที่ ที่จะให้คำแนะนำ ตลอดจนช่วยกันดำรงความมั่นคงสถาบันของประเทศชาติ ตลอดจนแบ่งงานกันให้ละเอียดอีกครั้งว่าใคร ทำอะไร เรื่องทำงานก็จะให้ขอคำแนะนำ ตลอดจนปรับความสำคัญในการทำงานของประเทศให้สอดคล้องกับนโยบายเกี่ยวกับสถาบันและประเทศชาติ เป็นเรื่องของแผ่นดินมีเรื่องต่างๆ ที่จะมอบให้ก็มาก ดังที่ได้คุยกันนอกรอบแล้ว ขอขอบคุณและได้ป๋ามาเป็นประธาน ก็อุ่นใจแล้ว ทุกคนก็เคยทำหน้าที่ถวายรัชกาลก่อน หลายคนก็เชื่อมือกัน มีความสุข ตั้งใจทำงานได้ ขอบคุณ”

อันดับที่ 2 : รัฐบาลจ่อเอาผิด "บีบีซีไทย" เสนอข่าวหมิ่นสถาบัน ด้านเจ้าตัวไม่สำนึก ดิ้นฟ้องสื่อโลก

กรณีที่เว็บไซต์บีบีซีไทย ซึ่งเป็นบริการภาคภาษาไทย ของบรรษัทแพร่ภาพกระจายเสียงอังกฤษ ที่มีนายนพพร วงศ์อนันต์ เป็นบรรณาธิการ เผยแพร่เนื้อหาพาดพิงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร อย่างไม่เหมาะสม ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็มีความเคลื่อนไหวจากทางฝั่งรัฐบาล โดยเมื่อวันที่ 7 ธ.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยืนยันว่า ถ้าสื่อต่างประเทศนั้นมีสาขาอยู่ในประเทศไทย และมีนักข่าวคนไทยอยู่ เมื่อทำผิดกฎหมายไทยก็ต้องดำเนินคดี

ด้าน พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ระบุว่า สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่คู่กับสังคมไทยมายาวนานหลายร้อยปี การแสดงความรู้สึก ความคิดเห็นแตกต่างเพื่อทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์เสื่อมเสีย กองทัพคงยอมไม่ได้ จะบังคับใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 อย่างเข้มงวดกวดขัน กับบุคคลที่แสดงออกในพฤติกรรมที่สังคมไทยไม่ยอมรับ ส่วนการดำเนินการกับสำนักข่าวบีบีซีไทย ที่เผยแพร่บทความไม่เหมาะสมนั้น เป็นหน้าที่ของตำรวจในการดำเนินการ

อย่างไรก็ตาม เว็บไซต์บีบีซีไทย อ้างว่า สำนักข่าวหลักระดับโลก ต่างรายงานคำให้สัมภาษณ์ของรัฐบาลไทย ถึงความพยายามในการดำเนินคดีกับเว็บไซต์ของบีบีซีไทย ซึ่งโฆษกของบีบีซี ชี้แจงข่าวนี้ว่า "การก่อตั้งบีบีซีไทยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอข่าวสารอย่างไม่เลือกข้าง มีความเป็นอิสระ และถูกต้อง ในประเทศที่สื่อมวลชนต้องเผชิญกับข้อจำกัด และเรามั่นใจว่าบทความชิ้นนี้ไม่มีสิ่งใดที่ขัดต่อหลักปฏิบัติในการเสนอข่าวบีบีซี" อย่างไรก็ตาม มีกระแสข่าวว่าได้มีการตรวจค้นสำนักงานบีบีซี ที่อาคารมณียา ย่านราชประสงค์ แต่ได้รับการปฏิเสธจากตำรวจ มีแต่ฝ่ายสืบสวน จาก สน.ลุมพีนี มาตรวจแล้วถ่ายรูปเพื่อรายงานผู้บังคับบัญชา

อันดับที่ 3 : ปิดทีวีธรรมกาย ปลุกระดมขวางจับ "ธัมมชโย" วัดเล่นแง่เปลี่ยนตัวเจ้าอาวาส

แม้ความพยายามในการนำตัวพระเทพญาณมหามุนี หรือ นายไชยบูลย์ สุทธิผล (พระธัมมชโย) ผู้ต้องหาตามหมายจับฐานสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และรับของโจร ในคดีทุจริตสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น และคดีบุกรุกป่าสงวนที่ อ.ภูเรือ จ.เลย และ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา จนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถนำตัวมาดำเนินคดีได้ กระทั่ง พล.ต.ต.วรพงษ์ ทองไพบูลย์ รรก.ผบก.ปทส. แจ้งความจับพระราชภาวนาจารย์ หรือ พระทัตตชีโว รักษาการเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ในข้อหาให้ที่พักพิงผู้ต้องหา แต่ศาลจังหวัดธัญบุรี จ.ปทุมธานี ยกคำร้อง โดยให้เปลี่ยนเป็นการออกหมายเรียกมารับทราบข้อกล่าวหาแทน ก่อนที่ตำรวจจะออกหมายเรียกรักษาการเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย มารับทราบข้อกล่าวหาภายใน 13 ธ.ค.นี้

ด้านคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์ (กสท.) มีมติให้สั่งระงับการออกอากาศสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมดีเอ็มซี เป็นเวลา 15 วัน เนื่องจากขัดต่อระะราชบัญญัติ กสทช. มาตรา 64 และประกาศ คสช. ฉบับที่ 97 หลังกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ส่งหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ขอให้พิจารณาระงับการเผยแพร่ภาพและเสียงชั่วคราว เนื่องจากได้เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร เชิญชวนให้ผู้ที่มีความเชื่อถือและศรัทธาต่อวัดพระธรรมกาย และพระธัมมชโย มารวมตัวกันทำพิธีกรรมทางศาสนา แต่มีวัตถุประสงค์แท้จริงคือ การขัดขวางไม่ให้เจ้าพนักงานปฏิบัติงานตามหน้าที่ ช่วยเหลือไม่ให้ผู้ต้องหาถูกจับกุม

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. พระเทพรัตนสุธี เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ได้ออกคำสั่ง ยกพระสังฆาธิการเป็นกิตติมศักดิ์ โดยให้พระเทพญาณมหามุนียกให้เป็น เจ้าอาวาสกิตติมศักดิ์ เนื่องจากเกิดอาพาธด้วยโรคเบาหวานเส้นเลือดดำใหญ่อุดตันที่ขาซ้าย และภูมิแพ้ เห็นควรได้รับปลดเปลื้องภาระเพื่อให้พักรักษาตัว ขณะที่พระครูวิจิตรอาภากร เจ้าคณะตำบลคลองสี่ แต่งตั้ง พระวิเทศภาวนาจารย์ (สมบุญ สมฺมปุญฺโญ) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาส แต่ทางฝั่งอัยการอย่าง นายขจรศักดิ์ พุทธานุภาพ อัยการพิเศษ ฝ่ายการสอบสวน 3 แสดงความข้องใจการแต่งตั้งพระวิเทศภาวนาจารย์ ทั้งที่เป็นเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายในต่างประเทศ ถึงกระนั้นยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวไม่มีผลต่อคดี

อันดับที่ 4 : จ่อซ้ำรอยรถดับเพลิง! ศุลกากรกัก "รถเมล์เอ็นจีวี" ส่อเลี่ยงภาษี

การจัดซื้อรถโดยสารที่ใช้เชื้อเพลิงธรรมชาติ (NGV) ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จำนวน 498 คัน ที่จะให้บริการแทนรถโดยสารที่มีอยู่เดิม พบความไม่ชอบมาพากลขึ้น เมื่อกรมศุลกากรปฏิเสธอนุมัติการนำเข้ารถโดยสารปรับอากาศลอตแรกจำนวน 100 คัน และยังคงจอดค้างอยู่ในบริเวณประตูทางออกของท่าเรือแหลมฉบัง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เนื่องจากติดปัญหาเรื่องหนังสือรับรองที่ยื่นขอใช้สิทธิลดหย่อนภาษีศุลกากร หรือ Form D โดยแจ้งว่าเป็นการนำเข้าจากมาเลเซียเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากการเป็นสินค้าที่มีแหล่งกำเนิดในกลุ่มอาเซียน แต่มีพิรุธน่าสงสัยว่า รถเมล์เอ็นจีวีดังกล่าวน่าจะผลิตในประเทศจีนแล้วส่งผ่านมาทางมาเลเซีย ซึ่ง

นายชัยยุทธ คำคุณ รองอธิบดีกรมศุลกากร ได้แถลงข่าวเกี่ยวกับรถดังกล่าวว่า ได้ตั้งข้อสงสัยการสำแดงการขนส่งโดยตู้คอนเทนเนอร์ต้นทางมาจากประเทศจีนไปมาเลเซีย ก่อนมาถึงประเทศไทย โดยตั้งข้อสังเกตสินค้าดังกล่าวอาจจะไม่ได้ผลิตในประเทศมาเลเซียตามที่แจ้ง หากพบว่าผลิตในประเทศจีนทั้งคัน อาจเป็นการดำเนินการเลี่ยงภาษี โดยมีมูลค่าความเสียหาย 1.2 ล้านบาทต่อคัน ขณะที่ ขสมก. กำหนดส่งมอบรถภายใน 90 วัน หรือภายในวันที่ 29 ธ.ค. 2559 หากไม่สามารถส่งมอบรถได้ตามกำหนด ปรับเบื้องต้นคันละ 17,000 บาทต่อวัน ยึดหลักประกันซอง 330 ล้านบาทเศษ รวมถึงการยกเลิกสัญญา

ต่อมาวันที่ 8 ธ.ค. นายคณิสสร์ ศรีวชิระประภา ประธานบริษัท เบสทริน กรุ๊ป จำกัด ผู้ชนะการประมูลจัดซื้อรถโดยสารดังกล่าว แถลงข่าวชี้แจงว่า บริษัทฯ เป็นแค่ผู้นำเข้ามีหน้าที่นำเอกสารที่ผู้ผลิตและผู้ส่งออกจากมาเลเซียนำส่งและยื่นสำแดงต่อเจ้าหน้าที่กรมศุลกากร และหน่วยงานที่ออกเอกสาร Form D คือกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมระหว่างประเทศของประเทศมาเลเซีย พร้อมเสนอให้กรมศุลกากรพิจารณาปล่อยรถออกมาเพื่อให้ประชาชนได้ใช้บริการตามเป้าหมายของรัฐบาล เพราะบริษัทได้วางแบงก์การันตีไว้จำนวนกว่า 300 ล้านบาท หากในอนาคตตรวจสอบเสร็จแล้วพบว่าการนำเข้า Form D ไม่ถูกต้องสามารยึดหลักประกันไปได้ ส่วนทางโรงงานมาเลเซียจะใช้วิธีการสั่งซื้ออย่างไรทางบริษัท ไม่สามารถไปก้าวล่วงได้เพราะเป็นมารยาททางการค้า

อันดับที่ 5 : วิปโยคครั้งใหญ่! แผ่นดินไหว "อาเจะห์" เสียชีวิตนับร้อยราย

ภัยธรรมชาติที่สะเทือนใจทั่วภูมิภาคอาเซียน เกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 05.03 น. วันที่ 7 ธ.ค. เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.5 ตามมาตราแมกนิจูดนอกชายฝั่งจังหวัดอาเจะห์ ทางตอนเหนือของเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย ระหว่างที่ชาวมุสลิมกำลังเตรียมตัวประกอบพิธีละหมาดเช้า โดยสำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาสหรัฐฯ (USGS) รายงานว่า ศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ลึกลงไปใต้พื้นทะเลเพียง 8.6 กิโลเมตร ส่งผลให้บ้านเรือนและมัสยิดพังถล่มลงมา ขณะที่หน่วยกู้ภัยซึ่งประกอบด้วยทหาร ตำรวจ และ ประชาชน ขุดค้นใต้ซากอาคารหลายสิบหลังที่พังถล่มลงมาเพื่อค้นหาผู้รอดชีวิต โดยมีผู้เสียชีวิตประมาณ 100 ราย ประชาชนกว่า 1 พันครัวเรือนไร้ที่อยู่อาศัย

ทางจังหวัดได้ประกาศภาวะฉุกเฉินเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ขณะที่รัฐบาลกลางก็รับปากจะให้ความช่วยเหลือ นายโจโก วิโดโด ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ให้คำมั่นว่า จะช่วยเหลือประชาชนในจังหวัดอาเจะห์ในการฟื้นฟูที่อยู่ใหม่ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมส่งข้อความพระราชสาส์นแสดงความเสียพระราชหฤทัยไปยังประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ส่วนสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ประมุขแห่งคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิก ได้สวดมนต์ให้แก่ผู้ประสบภัยในจังหวัดอาเจะห์ และขอให้พวกเขาอดทนต่อช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด

สำหรับจังหวัดอาเจะห์นั้นตั้งอยู่ตรงปลายเหนือสุดของเกาะสุมาตรา ซึ่งเป็นจุดที่เกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง เรียกว่า เขตวงแหวนไฟ เกิดจากการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลกเป็นประจำ ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2547 เกิดแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์สึนามิ ทำให้ผู้คนในอาเจะห์เสียชีวิตมากถึง 120,000 ราย ขณะที่ยอดรวมผู้เสียชีวิตตามแนวชายฝั่งมหาสมุทรอินเดียมีมากถึง 226,000 ราย รวมทั้งประเทศไทยเสียชีวิต 5,395 ราย สูญหาย 2,817 ราย

อันดับที่ 6 : ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ปีนราวระเบียงกิ่วแม่ปาน อวดภาพลงโซเชียล

ในเว็บไซต์พันทิปได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ กรณีที่ผู้ใช้นามแฝง Somewhere Someone โพสต์กระทู้ในหัวข้อ "ปลายฝนต้นหนาว ออกไปกอดหมอก บอกรักกิ่วแม่ปาน" โดยถ่ายภาพบรรยากาศการท่องเที่ยวบนเส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ มีภาพตนเองขึ้นไปยืนบนราวระเบียงจุดชมวิว ซึ่งมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นว่า เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม เพราะบริเวณดังกล่าวมีป้ายห้ามนักท่องเที่ยวนั่งหรือปีนราวไม้ และอาจมีผู้ทำตามจนทำให้ระเบียงไม้เสียหาย และอาจเกิดอันตรายกับนักท่องเที่ยวได้ ขณะที่เจ้าของกระทู้ชี้แจงว่าบริเวณที่ขึ้นไปยืนนั้นไม่มีป้ายห้าม อีกทั้งได้ขออนุญาตคนนำทางแล้ว

นายวุฒิพงษ์ ดงคำฟู ผู้ช่วยหัวหน้าอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ยืนยันว่า ไม่เคยอนุญาต ให้นักท่องเที่ยวยืนหรือนั่งบนระเบียงไม้จุดชมวิวกิ่วเเม่ป่าน เพราะอาจทำให้ราวระเบียงกั้นหักเสียหาย และคนมาที่หลังอาจพลัดตกลงไปได้ รวมทั้ง นายรุ่ง หิรัญวงษ์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ได้เปิดเผยว่า ทางเจ้าหน้าที่ได้ทราบข่าวแล้วและได้มีการเรียกประชุมหารือในเรื่องดังกล่าวขึ้นทันที เบื้องต้นยืนยันว่าทางมัคคุเทศก์ท้องถิ่นได้มีการเตือนไปแล้ว หากมีการปล่อยปละละเลยจะมีการคาดโทษมัคคุเทศก์ท้องถิ่นเองด้วย ถึงกระนั้น ทางเจ้าของกระทู้ยังอ้างว่า สอบถามจากทางไกด์ท้องถิ่นแล้วไม่ได้มีข้อห้าม

อันดับที่ 7 : วิ่งเพื่อชีวิต "ตูน บอดี้สแลม" ระดมทุนจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ มีทั้งชื่นชมและดราม่า

กิจกรรมวิ่งการกุศล "ก้าวคนละก้าว" ของนักร้องชื่อดัง ตูน บอดี้สแลม หรือ นายอาทิวราห์ คงมาลัย ระยะทางกว่า 400 กิโลเมตร เพื่อซื้ออุปกรณ์แพทย์ให้กับโรงพยาบาลบางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ได้รับความสนใจจากสาธารณชน นับตั้งแต่ที่เจ้าตัววิ่งออกจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย กทม. เมื่อเช้ามืดวันที่ 1 ธ.ค. ที่ผ่านมา ผ่านจังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ ได้รับความสนใจจากประชาชนและแฟนคลับที่ต้อนรับระหว่างทาง นำพวงมาลัยที่ทำทางจากธนบัตรมาให้ รวมทั้งมียอดบริจาคผ่านบัญชีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งทะลุเป้าหมาย 40 ล้านบาท ไปเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. ที่ผ่านมา และจะวิ่งถึง อ.บางสะพานในวันที่ 10 ธ.ค.นี้ พร้อมกับตั้งเป้าหมายระดมทุนเพิ่มเป็น 55 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม กิจกรรมวิ่งการกุศลของตูน บอดี้สแลม นั้น แม้จะมีเสียงชื่นชมถึงการทำความดีดังกล่าว แต่ก็มีดราม่าเข้ามาประปราย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของนามแฝง Drama-addict ที่ตำหนิแฟนคลับขอถ่ายเซลฟี่กับตูนระหว่างวิ่ง ว่าจะทำให้เกิดอันตรายต่อตัวนักวิ่ง เพราะเลือดที่ค้างอยู่ในเส้นเลือดกล้ามเนื้อขาจะกลับสู่หัวใจไม่มากพอ ทำให้เกิดอาการหน้ามืด เป็นลม ความดันต่ำ หรือถึงขั้นกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้ อันตรายมาก ขณะที่นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด ก็ตำหนิในเรื่องการใช้พื้นที่ผิวถนนเกินจำเป็น ทำให้รถติดยาวมากบนเส้นทางหลัก

นอกจากนี้ ยังเกิดอุบัติเหตุระหว่างทางจากโรงเรียนบ้านดอนกลาง ถึงโรงเรียนบ้านบน อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อมีแฟนเพลงได้วิ่งแทรกเข้ามา เพื่อขอเซลฟี กระทั่งชนกันจนล้มลง ก่อนที่แพทย์จะทำการฉีดสเปรย์เพื่อระงับความปวด กระทั่งวิ่งต่อไปได้ เมื่อเย็นวันที่ 7 ธ.ค. ซึ่งแฟนสาวอย่าง ก้อย-รัชวิน วงศ์วิริยะ ต้องออกมาขอร้องว่าอย่าวิ่งไปแทรกไปขอเซลฟี่ เพราะสงสารเจ้าตัว






กำลังโหลดความคิดเห็น