แม้จะออนแอร์จนถึงตอนจบไปแล้วเรียบร้อย แต่คนดูผู้ชมจำนวนไม่น้อยยังคงเมาท์มอยถึงละครเรื่องดังกล่าวอยู่ไม่ขาด ทั้งนี้เพราะคุณภาพผลงานที่ทีมผู้สร้างผลิตออกมาแบบ “ฟินได้ใจ” และล่าสุด เรื่องหนึ่งซึ่งถูกพูดถึงก็คือ “บทสวด” ที่บางคนพอได้สดับรับฟังแล้ว บอกว่า ชวนให้รู้สึกขนลุกน่าสะพรึงไปทั้งใจ
อย่างที่หลายคนคงจะทราบว่า ตั้งแต่ตอนเปิดเรื่องครั้งแรกนั้นก็คราหนึ่งแล้ว ที่เราจะได้ยิน “เสียงประกอบ” อันละม้ายคล้ายคลึงกับบทสวดอะไรสักอย่าง แต่ไม่แน่ใจว่าคืออะไร และเมื่อฉากสุดท้ายเดินทางมาถึงเมื่อไม่กี่วันก่อน ละครก็นำเอาบทสวดดังกล่าวมาเปิดประกอบเป็นการปิดฉากลาจออีกครั้งหนึ่ง
จากคลิปข้างบนที่หลายคนคงจะเคยได้ฟังกันมาบ้างแล้ว เรามาดูกันหน่อยว่า “เสียงประกอบ” อันชวนรู้สึกเวิ้งว้างในคลิปดังกล่าวนั้น กล่าวถึงอะไร และมีที่มาที่ไปเป็นประการใด
เสียงคล้ายบทสวดที่ท่านได้ยินได้ฟังนั้น แท้จริงแล้ว คือคาถาบูชา 2 พญานาคราชผู้ยิ่งใหญ่ในตำนาน ประกอบไปด้วย “นาคาศรีสุทโธ” และ “นาคีศรีปทุมมา” หรือที่ชาวบ้านผู้ศรัทธาเรียกขานกันติดปากว่า “ปู่เจ้าศรีสุทโธ” กับ “เจ้าย่าศรีปทุมมา” ซึ่งทั้งสองท่านที่เป็นคนรักกัน ตามตำนานนั้นเล่าว่าอาศัยอยู่ที่ “วังนาคินทร์คำชะโนด” มีลักษณะเป็นบึงน้ำใหญ่ ตั้งอยู่ระหว่างรอยต่อของ ต.วังทอง, ต.บ้านม่วง และ ต.บ้านจันทร์ อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี ปัจจุบันมีผู้ศรัทธาหลายคนได้สร้างศาลาและรูปเหมือนของท่านไว้ให้คนที่แวะเวียนผ่านไปได้สักการะบูชา รวมทั้งที่วัดสิริสุทโธ หรือวัดคำชะโนด ซึ่งถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนนิยมไปกราบไหว้ขอพร
หลายคนพอได้ยินคำว่า “คำชะโนด” ก็คงคิดถึงเรื่อง “ผีจ้างหนัง” ใช่แล้วล่ะ นั่นคือสถานที่เดียวกัน แต่เรื่องเล่าตำนานเกี่ยวกับผีจ้างหนัง ว่าน่าตื่นเต้นแล้ว ตำนานของพญานาคราชทั้งสองท่านที่ชาวบ้านเคารพศรัทธานั้น ก็มีความเป็นมาน่าอัศจรรย์ใจไม่แพ้กัน
เล่าขานสืบกันมาแต่โบราณกาลว่า ณ แถบถิ่นตอนเหนือของเมืองลาว มีหนองน้ำแห่งหนึ่งชื่อว่า หนองกระแส และมีพญานาคผู้ยิ่งใหญ่สองตนอาศัยอยู่ โดยแบ่งกั้นเขตแดนกันคนละครึ่ง ฝ่ายหนึ่งคือ “พญาศรีสุทโธ” อีกฝ่ายคือ “สุวรรณนาค” แต่ละฝ่ายก็มีบริวารไพร่พลเป็นของตนเองฝ่ายละ 5,000 ก็อยู่ร่วมกันในหนองน้ำแห่งนั้นโดยสันติตลอดมา อีกทั้งมีข้อตกลงกันว่า หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดออกไปหาล่าอาหาร อีกฝ่ายจะอยู่บ้านไม่ออกไป เพราะเกรงว่าไปแล้วจะเกิดการกระทบกระทั่งกัน แต่มีข้อแม้ว่า ฝ่ายที่ออกไปล่าในวันนั้นๆ จะต้องปันส่วนแบ่งมาให้อีกฝ่ายที่ไม่ได้ออกไปหา
ก็ทำอย่างนั้นเรื่อยมา กระทั่งอยู่มาคราหนึ่ง พญาสุวรรณนาคได้พาบริวารออกไปหาอาหารแล้วได้ช้างมา พญาสุวรรณนาคก็จัดแจงแบ่งส่วนไปให้ฝ่ายพญาศรีสุทโธ พร้อมทั้งส่งขนช้างไปให้ด้วยเพื่อเป็นการยืนยันหลักฐานว่าได้ช้างมาจริงๆ พญาศรีสุทโธก็พออกพอใจ อย่างไรก็ตาม หลายวันต่อมา เป็นเวรของฝ่ายพญาสุวรรณนาคออกไปหาอาหารอีก ปรากฏว่าวันนั้นได้เม่นมา แล้วเม่นก็ตัวเล็กนิดเดียว ได้เนื้อนิดเดียว พอส่งส่วนแบ่งไปให้พญาศรีสุทโธพร้อมทั้งส่งขนเม่นไปเป็นหลักฐานด้วยแล้ว พญาศรีสุทโธก็เกิดโมโหลมออกหูขึ้นมาทันควัน เพราะเหตุผลว่า ขนาดขนของช้างใหญ่แค่นั้น ยังได้เนื้อช้างมาตั้งเยอะ แล้วขนเม่นนี่ใหญ่กว่าขนช้างหลายเท่า ฉะนั้นแล้ว ตัวของเม่นก็จะต้องใหญ่แน่ๆ เนื้อหนังมังสาก็จะต้องเยอะแน่ๆ แล้วไหงมาบอกว่าเม่นตัวเล็ก แถมยังแบ่งเนื้อมาให้น้อยเดียว
คิดดังนั้น จึงให้เสนาอำมาตย์นำเนื้อเม่นที่ได้รับส่วนแบ่งครึ่งหนึ่งไปคืนให้สุวรรณนาค พร้อมกับฝากบอกไปว่า “ไม่ขอรับอาหารส่วนแบ่งที่ไม่เป็นธรรมจากเพื่อนที่ไม่ซื่อสัตย์”
ก็เกิดเรื่องสิแบบนี้... เพราะถึงแม้ฝ่ายพญาสุวรรณนาคจะเดือดเนื้อร้อนใจถึงขั้นข้ามเขตมาด้วยตัวเอง เพื่ออธิบายให้พญาศรีสุทโธนาคได้เข้าใจ แต่คนกำลังโกรธ ไหนเลยจะฟังกัน สุดท้าย พญาศรีสุทโธจึงสั่งพลรบเข้ารุกรานโดยทันที อีกฝ่ายหนึ่งหรือจะยอมให้เข้ากระทำย่ำยีโดยไม่มีเหตุผล ก็ต้องปกป้องตนประกาศสงครามไปตามกัน
เล่ากันว่า เพียงเพราะเม่นตัวเดียว สองพญานาคสู้รบปรบมือกันอยู่นานถึง 7 ปีจนเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า แต่ช่วงเวลาที่สู้รบนั้น ได้สร้างความเสียหายให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บริเวณหนองกระแสอย่างมหาศาล หนักและรุนแรงถึงขั้นสั่นสะเทือนเลือนลั่นตั้งแต่โลกมนุษย์ไปจนถึงเทวดาเบื้องบน เหล่าเทวาน้อยใหญ่ได้รับความเดือดร้อน อดรนทนไม่ไหวก็จึงไปร้องทุกข์ต่อท้าวพญาอินทาธิราชผู้เป็นใหญ่
เมื่อพระอินทร์ได้รับเรื่องราวร้องทุกข์ ก็เสด็จลงมายังหนองกระแส พร้อมทั้งรับสั่งให้ทั้งสองฝ่ายหยุดรบกันบัดเดี๋ยวนั้น และตัดสินให้ทั้งสองฝ่ายเสมอกัน ไม่มีใครแพ้ใครชนะ นอกจากนั้น นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ให้หนองกระแสเป็นเขตปลอดสงคราม และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการทะเลาะวิวาทขึ้นอีก พระอินทร์ยังทรงโปรดรับสั่งว่า จากนี้ไป ให้เอาภูเขาพญาไฟเป็นเขตกั้น ฝ่ายไหนข้ามไประรานอีกฝ่ายหนึ่งก่อน ขอให้ไฟจากภูเขาพญาไฟเผาไหม้ให้เป็นจุล เรียกว่าให้วอดวายกันไปเลย
เมื่อพระอินทร์ตรัสเป็นเทวราชโองการดังนั้นแล้ว พญาศรีสุทโธจึงพาไพร่พลอพยพออกจากหนองกระแส แล้วเริ่มสร้างแม่น้ำมุ่งไปทางทิศตะวันออก เมื่อถึงตรง ไหนเป็นภูเขา ก็คดโค้งไปตามเหลี่ยมเขาหรืออาจจะลอดภูเขาบ้างตามความยากง่ายในการสร้าง เพราะพญาศรีสุทโธมีลักษณะคนใจร้อน ตรงไหนแทรกมุดไปได้ก็ไปไม่รีรอ ลักษณะของแม่น้ำจึงคดเคี้ยวโค้งไปตามลักษณะแห่งใจที่หุนหันพลันแล่น และเพราะลักษณะของการสร้างเป็นทางคดทางโค้งเช่นนี้เอง ตำนานบางส่วนจึงเล่าว่าเป็นที่มาของ “แม่น้ำโขง” ที่เรารู้จักในปัจจุบัน ซึ่งบิดผันคำว่า “โค้ง” มาเป็น “โขง” ในที่สุด
กล่าวถึงฝ่ายพญาสุวรรณนาค เมื่อได้รับเทวราชโองการก็พาบริวารอพยพและสร้างแม่น้ำมุ่งไปทางทิศใต้ของหนองกระแส สุวรรณนาคเป็นผู้มีใจเย็น เป็นคนตรงและพิถีพิถัน การสร้างแม่น้ำจึงค่อยทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป สุดท้ายก็สำเร็จเสร็จสิ้นเป็นแม่น้ำสายหนึ่งซึ่งเรารู้จักกันในชื่อว่า “แม่น้ำน่าน” แม่น้ำที่มีความตรงกว่าแม่น้ำทุกสายในประเทศไทย
แต่เรื่องยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะอันที่จริง ก่อนที่พระอินทร์จะเสด็จกลับไปในครานั้น ยังมีรับสั่งอีกอย่างหนึ่งว่า ใครสร้างแม่น้ำเสร็จก่อน ผู้นั้นถือว่าเป็นฝ่ายชนะ และถ้าฝ่ายไหนชนะ ปลาบึกจะปรากฏขึ้นในแม่น้ำสายนั้น ผลลัพธ์ปรากฏว่าฝ่ายพญาศรีสุทโธเป็นผู้ชนะ ด้วยเหตุนี้ ปลาบึกจึงมีมากในแม่น้ำโขง
อย่างไรก็ตาม หลังจากเป็นผู้ชนะในการสร้างแม่น้ำแล้ว พญาศรีสุทโธก็ทูลถามพระอินทร์ว่า ตนนั้นเป็นชาติเชื้อพญานาค ถ้าจะอยู่บนโลกมนุษย์นานเกินไปก็ไม่ได้ จึงขอทางขึ้นลง ระหว่างบาดาลและโลกมนุษย์เอาไว้สัก 3 แห่ง และทูลถามว่าจะให้ครอบครองอยู่ตรงไหนแน่นอน พระอินทร์ผู้เป็นใหญ่จึงอนุญาตให้มีรูพญานาคเอาไว้ 3 แห่ง คือ 1.ที่ธาตุหลวงนครเวียงจันทน์ 2.ที่หนองคันแท และ 3.ที่พรหมประกายโลก ซึ่งก็คือ คำชะโนด ณ ปัจจุบัน และตามตำนานพรหมสร้างโลก ได้กล่าวเอาไว้ว่า ณ จุดคำชะโนดซึ่งมีต้นชะโนดเป็นสัญลักษณ์นี้ มีดินดีๆ ที่ส่งกลิ่นไอไปถึงเทวาชั้นพรหมเบื้องบน เมื่อพรหมได้กลิ่นไอดิน ก็พากันเหาะลงจากฟ้ามากินดิน จนตนเองหมดฤทธิ์ ทำให้กลายเป็นมนุษย์หรือผู้ให้กำเนิดมนุษย์ในกาลต่อมา
จากตำนานที่เล่าขานกันมา ก็เพียงพอต่อเติมศรัทธาให้เกิดขึ้นในใจคน ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดมี “ปู่เจ้าศรีสุทโธ” และ “เจ้าศรีปทุมมา” ซึ่งเป็นภรรยาของท่าน ให้ชาวบ้านย่านนั้นเคารพบูชา
เชื่อกันว่า “ปู่เจ้าศรีสุทโธ” นั้นมีผิวกายสีเขียวมรกต มีเศียรสีทอง แผลงเศียรได้ 9 เศียร เปี่ยมด้วยเมตตาต่อผู้ศรัทธากราบไหว้ หากอธิษฐานจิตขอในสิ่งที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น จะสัมฤทธิ์ผล จึงมีผู้คนไปบนบานศาลกล่าวกันเป็นจำนวนมาก ขณะที่ “เจ้าศรีปทุมมา” นั้น มีผิวกายเป็นสีเขียวตองอ่อน ว่ากันว่าแผลงเศียรได้ 5 เศียร ทั้งสององค์โปรดปรานการฟังธรรมจากพระอริยสงฆ์ และจะเนรมิตตนให้มีเศียรเดียวหรือเป็นมนุษย์ก็ได้ ดั่งคำโบราณอีสานที่กล่าวว่า “นามนาคนั้น ข้างขึ้นเป็นคน ข้างแรมเป็นนาค”
รู้อย่างนี้แล้ว ก็หายสงสัยไปทันทีว่าเพราะเหตุใด ผู้กำกับละคร “นาคี” เวอร์ชั่นล่าสุดซึ่งเป็นเวอร์ชั่นที่ 3 “พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง” จะหยิบยกเอาคาถาบูชาสองพญานาคที่ชาวบ้านนับถือศรัทธาในความศักดิ์สิทธิ์มาประกอบไว้ในละครด้วย โดยผ่านการขับขานในรูปแบบของการ “เทศน์ทำนอง” หรือ “เทศน์แหล่” แบบอีสาน ผสมผสานกับ “ทำนองสู่ขวัญ” โดยฉบับเต็มนั้น ได้รับการเผยแพร่เมื่อ 2-3 วันก่อน
ไม่แน่เช่นกันว่า อาจเพราะมีจิตบูชาคารวะเช่นนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ละครนาคีจึงเป็นที่ประทับอกประทับใจคนดูผู้ชมทั่วฟ้าเมืองไทย ด้วยเมตตาบารมีของ “พญานาคา” และ “พญานาคี” ที่ยืนยงคงอยู่มายาวนานตราบจนปัจจุบัน...
บทบูชาพ่อปู่ศรีสุทโธกับเจ้าย่าศรีปทุมมา (ที่ได้ฟังในคลิปข้างบน) นะโมตัสสะภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ) กายะ วาจะ จิตตัง อะหังวันทา นาคาธิบดีศรีสุทโธ วิสุทธิเทวาปูเชมิ ทุติยัมปิ กายะ วาจะ จิตตัง อะหังวันทา นาคาธิบดีศรีสุทโธ วิสุทธิเทวาปูเชมิ ตะติยัมปิ กายะ วาจะ จิตตัง อะหังวันทา นาคาธิบดีศรีสุทโธ วิสุทธิเทวาปูเชมิ เมตตัญจะมหาลาโภปิโยนาคะ ขันธปริตตัง กายะ วาจะ จิตตัง อะหังวันทา นางพญานาคิณีศรีปทุมมา วิสุทธิเทวีปูเชมิ ทุติยัมปิ กายะ วาจะ จิตตัง อะหังวันทา นางพญานาคิณีศรีปทุมมา วิสุทธิเทวีปูเชมิ ตะติยัมปิ กายะ วาจะ จิตตัง อะหังวันทา นางพญานาคิณีศรีปทุมมา วิสุทธิเทวีปูเชมิ เมตตัญจะมหาลาโภปิโยนาคะ ขันธปริตตัง |
ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก : www.phayanaga.com
ภาพประกอบ : Facebook วังนาคินทร์คำชะโนด อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี