เรียนจบมาทางด้านวิศวกรรมศาสตร์เคมี แต่มาเอาดีด้านการค้าขาย จนปัจจุบันมีร้านเป็นของตัวเองนามว่า “ปาท่องโก๋วิศวะ” นุก-พงษ์ปกรณ์ จูปั้น
เพราะความที่ทางบ้านชื่นชอบการรับประทานปาท่องโก๋เป็นชีวิตจิตใจ ทำให้เขาสานต่อเอาความชอบของที่บ้านและของตัวเองมาลองถูกลองผิด จนสามารถเปิดร้านขายปาท่องโก๋ได้อย่างสมใจหวัง
• ก่อนจะมาเป็นพ่อค้าปาท่องโก๋
ที่บ้านผมชอบทานปาท่องโก๋ครับ โดยเฉพาะคุณพ่อจะชอบมากๆ แต่ส่วนใหญ่เราไปทานที่ไหนก็จะเจอร้านที่ใช้น้ำมันเก่า แล้วรสชาติก็ไม่ถูกใจเราเท่าไหร่ เราก็เลยอยากลองทำกินเอง ตั้งแต่วันนั้นเลยซื้อแป้งเบเกอรี่ แล้วลองทำตามสูตรในอินเทอร์เน็ตดู ก็เสียแป้งไปเยอะเหมือนกันนะครับ (หัวเราะ) ทำกินเองไม่ได้ก็เลยไปหาที่เรียน เรียนเสร็จก็ลองทำทานเองระยะหนึ่ง พอทำเป็นแล้ว เราก็ปรับสูตรให้เข้ากับแบบที่เราชอบ แล้วก็ให้ทุกคนลองทานดู ว่าแบบนี้ลงตัวไหม
• การตลาดแรกๆ เป็นยังไงบ้างคะ
แรกๆ เราจะไปเดินดูก่อนว่า ที่เขาขายตอนเช้า มันทำยากไหม ก็ดูไม่น่ายาก ก็สับๆ ทอดๆ ก็ไม่เห็นมีอะไร แต่พอถึงเวลาลงมือทำจริงๆ มันยากตั้งแต่การเริ่มหมัก ตั้งแต่สูตร ถ้าสูตรไม่นิ่ง หมักก็ยาก ทอดก็ยาก หั่นก็ยาก ยากหมดเลย ยิ่งความแรงของไฟในการทอด นี่ยิ่งยากเลยครับ
ผมใช้เวลาปรับสูตรก็หลายเดือนอยู่ครับ กว่าจะคงที่ เริ่มจากทำแล้วชิมด้วยตัวเอง ให้ที่บ้านและญาติๆ ชิม ตอนขายวันแรก ผมขายข้างถนน จำได้ว่ายังทอดดำๆ ด่างๆ อยู่เลยครับ แต่คนก็ซื้อหมดนะครับ วันแรกเอาไป 4 กิโล เกลี้ยงเลย ผมลองไปขายเล่นๆ ตอนเช้าก่อนครับ ขายริมทางแถวๆ บ้านอยู่ประมาณ 3-4 เดือน ตอนนั้นก็ขายดีมากครับ แต่เราก็ต้องเลิกขายไปเพราะว่าตื่นไม่ไหว เพราะเราต้องเตรียมของตั้งแต่ประมาณตีหนึ่ง
เราก็เลยหันไปขายตลาดกลางคืน ที่ตลาดนัดรถไฟ ตอนแรกยังไม่มีปาท่องโก๋ชาร์โคลนะครับ จะมีแต่แบบธรรมดาอย่างเดียว แล้วก็ราดสังขยากับนมเป็นพื้นฐาน ก็พอขายได้ครับ ขายมาสักระยะหนึ่งก็เจอฝน ของเตรียมไปก็ใช้ไม่ได้ ขายไม่ได้เลย แล้วแป้งปาท่องโก๋อยู่ได้สักประมาณ 4-5 ชั่วโมงก็เริ่มเหลว เริ่มเสียแล้ว ก็มีพี่คนหนึ่งเขาแนะนำให้ลองมาขายในห้างฯ ดู ขายเป็นอีเวนต์ แต่อีเวนต์ค่าที่ก็จะแพงหน่อย แต่เราก็จะได้ลูกค้าอีกเกรดหนึ่ง ก็เลยลองขายดู
ตอนหาตลาดตอนแรกก็ยากหน่อยครับ แต่พอเรามาขายสักระยะหนึ่ง คนที่เขาจัดงาน เขาก็จะมาเดินหา ขอนามบัตรไปบ้าง ขอเบอร์บ้าง เขามีงาน เขาก็จะโทร.มาว่าเราว่างไหม ให้ไปช่วยลงงานนี้หน่อยนะ คือเรามีเครือข่ายอยู่แล้ว ในไลน์ก็จะเป็นเครือข่ายพ่อค้าแม่ค้าเลย ตอนนี้ผมก็ยืนพื้นขายในห้างฯ ออกบูทที่เซ็นทรัล เดอะมอลล์ ฯลฯ ผมขายมาได้ประมาณ 2 ปีแล้วครับ
• มีอุปสรรคปัญหาอะไรอีกบ้างไหมคะ แล้วรับมือกับปัญหาดังกล่าวอย่างไรบ้าง
อุปสรรคเยอะเลยครับ อุปสรรคในการหาทำเล และอุปสรรคอื่นๆ อีกอย่างที่ร้านเราตอนนี้จะมีปาท่องโก๋ชาร์โคลด้วยใช่ไหมครับ แต่ก่อนหน้านี้ที่จะมาเป็นชาร์โคล เราลองอย่างอื่นหลายอย่างมากนะครับ อย่างอันแรกจะเป็นอัญชัน เราลองทำมันก็โอเค อร่อย แต่สีที่ได้จะไม่เตะตาคนเท่าไหร่ และประโยชน์ก็ไม่ชัดเจน เลยมาจบที่ชาร์โคล เพราะตอนนี้สังคมไทยกำลังนิยมและโปรโมตเรื่องชาร์โคลค่อนข้างเยอะด้วยครับ เดี๋ยวนี้จะเห็นอาหารที่ผสมชาร์โคลค่อนข้างเยอะ ทั้งเครปชาร์โคล เบอร์เกอร์ชาร์โคล อะไรอย่างนี้ คนก็จะรู้จักง่ายขึ้น (ยิ้ม) ตอนนี้ชาร์โคลก็จะเป็นตัวชูโรงเลยครับ
อีกอย่าง เรื่องขาดทุนมันก็มีนะ เราต้องยอมขาดทุนให้ได้ด้วย เพราะค่าที่สมัยนี้แพงนะครับ ยิ่งในห้างฯ ยิ่งแพง แล้วของที่เราขายก็เรียกว่าเฉพาะกลุ่มได้เลย เพราะกลุ่มเป้าหมายไม่ใช่ตั้งแต่เด็กจนถึงคนมีอายุ จะเป็นคนวัยรุ่นถึงคนวัยทำงานมากกว่า ก็ต้องยอมรับตรงจุดเสี่ยงตรงนี้ด้วยครับ
ส่วนอุปสรรคต่อไปผมว่าน่าจะเป็นคู่แข่ง น่าจะมีแน่นอน เพราะคนทำปาท่องโก๋ก็เยอะ แต่ผมเชื่อมั่นว่าการทำตามเราอาจจะได้แค่สี รสชาติและกลิ่นอาจจะไม่ได้ครับ
• จุดเด่นของปาท่องโก๋วิศวะคืออะไรคะ อะไรที่ทำให้เราแตกต่างจากที่อื่น?
ต้องสะอาด สด และก็อร่อย ทำให้คนกลับมาซื้อเราได้ ด้วยความที่ปาท่องโก๋ของเราต้องทอดในน้ำมัน เราต้องเปลี่ยนน้ำมันทุกวัน บางครั้งเราดูสีอาจจะไม่รู้ ชิมปุ๊บ ถ้ามันเหม็นหืนคือน้ำมันเก่า ของเราจะไม่มีหืนแน่นอน แล้วปาท่องโก๋ของเราจะแห้ง เพราะเราเอามาปิ้งไล่น้ำมัน อย่างลูกค้าบางคนถามว่าเอามาอุ่นทำไม เราไม่ได้อุ่น เราปิ้งเพื่อไล่น้ำมัน แต่ถามว่าน้ำมันมันออกหมดเลยเหรอ มันออกไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกครับ ก็ไล่สักครึ่งหนึ่งก็ยังดี อย่างที่เตาก็จะมีรอยน้ำมันหยด คนที่เขาช่ำชองปาท่องโก๋หน่อย เขาจะบอกว่ามันแห้งดี
อย่างมีลูกค้าคนนึงเขาไม่กล้ากิน เขาบอกว่ากินปาท่องโก๋มาหลายที่แล้วร้อนใน ผมบอกลองทานดู ว่าจะเป็นไหม อีกวันนึงเขาเดินกลับมาเลย แล้วสั่งอีก 2 ชุด เขาบอกว่าไม่เป็นร้อนในเพราะของเราน้ำมันใหม่ แล้วก็น้ำมันน้อย
อีกอย่าง จุดเด่นที่แปลกของร้านเลยก็คือมีตัวปาท่องโก๋ชาร์โคล ซึ่งตอนนี้เราจะมีเป็นตัวโฮลวีตออกมาใหม่ด้วยครับ และนอกจากนี้ก็จะมีน้ำเต้าหู้ที่เราใช้ถั่วเหลืองร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ผสมนม ไม่ผสมแป้งขายด้วยครับ (ยิ้ม)
• เห็นว่าก่อนหน้านี้เรียนจบวิศวะมาก่อน เรียนอะไรที่ไหนอย่างไร ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยค่ะ
ผมเรียนจบวิศวะเคมี จากพระจอมเกล้าพระนครเหนือครับ ต้องบอกก่อนว่าตอนเรียนวิศวกรก็เป็นความฝันของผมนะครับ เพราะตอนเรียนมีความฝันเลยว่าจบมายังไงจะเข้าโรงงานให้ได้ อยากเข้าโรงงานเป็นวิศวกร เป็นเหมือนหัวหน้าทีมงาน แต่ก็ด้วยอะไรหลายๆ อย่าง ถามว่าทางด้านวิศวะผมชอบไหม ผมก็ยังตอบว่าชอบนะครับ แต่เรามาคิดหลายๆ อย่าง เราต้องไปอยู่ไกลบ้าน อยู่โรงงาน ไม่ค่อยมีเวลา แต่อาชีพค้าขายเราอยู่กับบ้าน อยากหยุดช่วงไหน เราก็เว้นระยะหยุดเราไว้ เราสามารถเลือกด้วยตัวเองได้ สุดท้ายชีวิตก็เลยพลิกผันมาเป็นพ่อค้าแทน พอลองขาย ก็กลับไปชอบทางนี้มากกว่าอีก (หัวเราะ)
ผมชอบค้าขายเพราะตอนเรียนผมก็ขายของออนไลน์อยู่แล้ว พอมาเห็นลู่ทางว่าเราจะขายอะไร ก็เลยลองขายดู ผมว่าอาชีพค้าขายเป็นอาชีพที่อิสระนะครับ แต่ก็มีบางครั้งที่มันขาดทุนบ้างอะไรบ้าง ตามประสาค้าขาย แต่เราก็ไม่หยุด ก็ลองมาเรื่อยๆ ครับ
• แล้วแบบนี้เคยเจอดราม่าบ้างไหมคะ ประมาณว่ามีคนเคยพูดไหมว่าเรียนจบวิศวะมาทำไมไม่ไปเป็นวิศวกรมาขายของทำไม
มีครับ เยอะครับ จะถามว่าทำไมไม่ไปทำงานสายที่เรียนมา ผมก็จะบอกไปว่าสายที่เรียนมาผมก็ชอบครับ ส่วนค้าขายผมก็ชอบ สายที่เรียน โอเค ถ้าไปทำ เราจะมีเงินประจำ มันดูก้าวหน้ากว่า แต่ผมมองว่าสักวันหนึ่งถ้าไม่ใช่งานราชการมันก็ดูไม่มั่นคงอยู่ดี อันนี้แค่ในความคิดของผมนะครับ เพราะถ้าเป็นราชการจะมีบำเหน็จ บำนาญ เบิกได้ทุกอย่าง แต่ถ้าเราทำงานบริษัทเอกชน เราก็ต้องอยู่จุดจุดหนึ่งที่ว่า เราต้องเก็บเงินแล้วออกมาทำราชการเพื่อความมั่นคงอยู่ดี หรือบางคนก็อาจจะออกมาทำอะไรเป็นของตัวเองอยู่ดี ผมว่าอาชีพค้าขายที่ผมทำอยู่มันก็ดีนะครับ ถ้าให้พูดแบบชาวบ้านๆ ก็คือมันมีเวลามากกว่า แล้วก็ได้จับเงินทุกวัน
• มุมมองคือการเป็นมนุษย์เงินเดือนมันไม่ค่อยมั่นคงเหรอคะ
มั่นคงไหม มันก็มั่นคงระดับหนึ่งนะครับ แต่ผมชอบทางที่อยากทำอะไรที่มันเป็นของเราเองมากกว่า เราอยากมีธุรกิจส่วนตัวมากกว่า แรกๆ ก็คิดว่าจะทำงานโรงงานไปด้วยแล้วทำธุรกิจส่วนตัวไปด้วย คิดว่าจะขายปาท่องโก๋เป็นงานเสริมขึ้นมาก่อน แล้วกะว่าจะทำงานวิศวะเป็นหลัก แต่พอถึงเวลาจริงๆ มันข้ามไปเลย (หัวเราะ)
แต่จริงๆ คนจะมองว่าเป็นมนุษย์เงินเดือนดีกว่านะครับ อย่างผู้ใหญ่ก็จะมองแบบนั้น ก็จะมีหลายเสียงถามมาเหมือนกันว่าทำไมไม่ไปหางานดีๆ ทำ เรียนจบมาก็สูง แต่พอผมมาอยู่ตรงนี้ ผมว่าก็มีความสุขดีนะครับ ได้อิสระ แต่ก็ต้องบวกกับความเสี่ยง เพราะเงินเดือนไม่ประจำแน่นอน จะได้น้อย ได้เยอะไม่เท่ากันในแต่ละเดือน ก็ต้องยอมรับตรงนั้นให้ได้
• แล้วทางบ้านว่ายังไงบ้าง เขาสนับสนุนให้ทำธุรกิจด้วยไหม
ครอบครัวสนับสนุนมากๆ ครับ ลงทุนล็อตแรก พ่อแม่ก็ลงทุนให้ทั้งหมดเลย เขาจะไม่มีมาแบบว่าเรียนมาทำไมไม่ทำงานอะไรแบบนี้เลยครับ เขาจะตามใจเราว่าเราชอบทางไหนก็ให้ไปทางนั้น แต่มีข้อแม้คือต้องจริงจังนะ ไม่ใช่ลงทุนปุ๊บ ขายได้แค่อาทิตย์เดียวก็เลิก ผมจะนั่งคุยกับพ่อแม่แบบเป็นจริงเป็นจังว่าเราจะทำจริงจัง แรกๆ ผมก็ทำปาท่องโก๋ขายกับคุณพ่อนะครับ
• พูดตามตรงว่าสมัยนี้คนอยากหันมาประกอบธุรกิจส่วนตัวกันมากขึ้น ตรงนี้เรารู้สึกอย่างไรและอยากแนะนำอย่างไรบ้างคะ
เราต้องเริ่มหาสิ่งที่เราชอบแล้วก็ถนัดก่อนครับ ถ้าเราชอบ เราก็จะทำได้ดี ถ้าเราไม่ชอบ มันก็จะฝืนความรู้สึก ทำไปถึงจุดจุดหนึ่งมันก็จะเบื่อ ส่วนตัวผมผมก็ยังไม่ประสบความสำเร็จนะครับ ความรู้สึกของผมคือการประสบความสำเร็จในธุรกิจคือธุรกิจต้องบวกอยู่ตลอด ตอนนี้ยังมีลบบวก ลบบวก ซึ่งยังไม่นิ่งพอ ต้องให้นิ่งกว่านี้เยอะๆ ก่อนครับ
• อนาคตมีเป้าหมายอย่างไรกับธุรกิจบ้างคะ อยากพัฒนาต่อยอดอย่างไร
ตอนนี้ก็ต้องยืนพื้นขายเองในห้างฯ ไปก่อนครับ เพราะมันสะดวกหลายอย่าง ร้านก็ไม่ต้องเก็บ ฝนตกก็ไม่เปียก แต่ก็ต้องแลกกับค่าที่ ก็ต้องดูดีๆ ก็จะทำไปเรื่อยๆ แต่อาจจะผันตัวเองไปเป็นผู้ประกอบการแทน จะไม่ลงมาทำตรงนี้แล้ว อาจจะจ้างคนมาทำแทน เดี๋ยวดูอีกทีครับ เพราะต่อไปเราก็จะปล่อยเป็นแฟรนไชส์อย่างน้อย 50 สาขา ตอนนี้ก็กำลังทำอยู่ครับ ก็มีคนติดต่อมาบ้างแล้วครับเกือบๆ 10 เจ้า ส่วนใหญ่จะเป็นที่ต่างจังหวัดครับ
อนาคตผม ต้องดูอีกทีว่าตลาดมันเป็นยังไง เพราะเราไม่รู้ว่าตลาดนี้จะไปได้แค่ไหน เพราะตอนนี้กระแสสุขภาพกำลังมาแรง อาหารพวกนี้ คนที่รักสุขภาพจะมองข้ามไปเลย เราก็ต้องทำอันนี้ให้มันเป็นสุขภาพตาม ส่วนผสมก็อาจจะเป็นสุขภาพมากกว่านี้ ตอนนี้ก็เริ่มมาจับชาร์โคลและโฮลวีตแล้ว ซึ่งต่อไปก็พยายามหาอยู่ครับว่าจะทำอะไรใหม่ๆ ได้บ้าง อาจจะทำท็อปปิ้งให้เยอะมากขึ้น หลากหลายมากขึ้น น่าจะมีเมนูให้มากกว่านี้ครับ เพื่อให้ลูกค้าได้เลือกด้วย เราต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ มันหยุดไม่ได้ครับ เพราะถ้าหยุดอาจจะมีคนตามมาทันได้ ซึ่งเราก็ต้องก้าวไปเรื่อยๆ อยู่ตลอด
เรื่อง: วรัญญา งามขำ, อภิษฎา แพภิรมย์รัตน์
ภาพ : พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร