สมาชิกพันทิปย้อนรอยเหตุการณ์ หญิงมีอาการทางประสาทแทงนักเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ เมื่อปี 2548 ระบุหลังทราบว่ามีคนถูกแทง ต้องเข้าห้องเรียนอย่างระทึก จูงมือพาน้องๆ ไปส่งในห้องเรียนประถมต้นก่อน แล้วค่อยไปส่งที่ห้องเรียน สภาพเงียบเหมือนป่าช้า บางคนหลบใต้โต๊ะแล้วกลั้นหายใจ กลัวคนร้ายได้ยิน
ในเว็บไซต์พันทิป สมาชิกหมายเลข 912698 ได้ตั้งกระทู้หัวข้อ “กระทู้ย้อนรอยคดีดัง 11 ปีก่อน ครั้งหนึ่ง...เคยมีฆาตกรโรคจิตเข้ามาแทงเพื่อนฉันถึงในโรงเรียน (มุมมองผู้อยู่ในเหตุการณ์)” โดยย้อนกลับไปเมื่อครั้งเหตุการณ์ที่มีสุภาพสตรีรายหนึ่ง วางแผนบุกเข้าไปแทงเด็กนักเรียน 4 คน ถึงในโรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2548 ซึ่งตนจะมาเล่าให้ฟังในฐานะผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ แม้อาจไม่ได้เป็นผู้รู้ทั้งหมด ก็แค่หนึ่งในคนที่เคยร่วมเหตุการณ์สุดอันตรายนี้ว่า
“เราเป็นเด็กโรงเรียนที่เกิดเรื่องค่ะ (ไม่ขอระบุละกันนะคะว่าเป็นเด็กชั้นไหน เอาเป็นว่าอยู่ในช่วงวัยที่พอรู้เรื่องอะไรๆ ดีระดับนึงแล้ว)
โรงเรียนเราเป็นโรงเรียนเก่าแก่ ตั้งมาเกือบร้อยปี (ปัจจุบันเกินละ) เข้มงวดมาตลอด เรื่องระเบียบวินัยต้องขอคุยหน่อยเหอะ ว่าเข้มงวดมากๆ และเป๊ะสุด แต่ขนาดความเคร่งครัดในกฎเบอร์นี้แล้ว แต่บทจะซวยมันก็ซวย ... ใครจะรู้ว่าวันนั้นหวยจะมาออกที่โรงเรียนเรา ...
ขอเรียกวันนั้นว่าเป็นศุกร์สุดสยองในชีวิตละกัน ใครจะรู้ว่าเช้าวันธรรมดาแสนสุข จะเป็นวันที่โหดร้ายสุดในประวัติศาสตร์ของโรงเรียน ...
วันนั้นอากาศเย็นสบาย เด็กๆ ไปโรงเรียน ทุกคนร่าเริงเป็นพิเศษเพราะวันนี้เป็นวันศุกร์ พรุ่งนี้จะได้หยุดไปเล่นไปพักตื่นสายได้ จนเหตุการณ์หนึ่งได้เกิดขึ้น ...
“มีคนถูกแทง”
นั่นคือประโยคแรกที่เราได้ยินคนคุยกันให้แซ่ด ... เรามาถึงโรงเรียนประมาณ 7.30 น. กว่าจะรู้ตัวก็ยืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่หน้าโรงเรียน ...
พ่อจอดส่งเราก่อนถึงโรงเรียนและขับไปอีกทาง ดังนั้น กลับตัวก็ไม่ได้แล้ว เรายืนเอ๋อค้างเติ่งด้วยความงง จนมีครูเวรที่เฝ้าเด็กๆ หน้าโรงเรียนมาสะกิดหลังอย่างแรง ครูถามว่าพ่อแม่เราอยู่ไหน มีโทรศัพท์ไหม รีบโทรให้พ่อแม่มารับกลับด่วนนะ เราบอกว่าพ่อกลับบ้านไปแล้ว ครูเลยให้เราไปยืนออกับเด็กๆ กลุ่มนึง บอกว่าตอนนี้มีเรื่องนิดหน่อย เดี๋ยวครูจะพาเข้าโรงเรียนพร้อมกัน ... ให้รวมกลุ่มไว้ อย่าแตกแถว
มองซ้ายขวา เราเห็นผู้ปกครองหลายคนสีหน้าหวั่นวิตก บางคนเริ่มสติแตก บางคนร้องไห้... มือเกาะลูกกรงกันแน่น มีคนเครียดจนลงไปนั่งกับพื้น บางคนทำท่าเหมือนจะเข้าไปในโรงเรียน บอกว่าลูกฉันอยู่ในนั้น... แต่ครูพละ 2-3 คน กับยามก็กั้นไว้ รอบตัวเราทุกๆ อย่างมันชุลมุนวุ่นวายมาก เราได้ยินเสียงหวอไซเรนมาแต่ไกลแล้ว...
ในตอนนั้นแม่เพื่อนเราคนนึงเห็นเราเข้า หล่อนก็รีบวิ่งมาหา พูดเสียงสั่น “แม่ติดต่อ บี ไม่ได้เลย ถ้าเข้าไปในโรงเรียนแล้ว ฝากบอก บี (นามสมมติ) ด้วยว่ารีบโทรกลับหาแม่ด้วย แม่โทรหาเขาไม่ติด” เราก็พยักหน้าเออออไป ทั้งที่ยังจับใจความไม่ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น ... แต่แม่บีสรุปคร่าวๆ ว่า มีคนร้ายเข้าไปแทงเด็กในโรงเรียน ตำรวจกำลังตามจับอยู่ ...
ครูภาษาอังกฤษเราคนหนึ่ง เดินมาบอกให้เราจับคู่จูงมือน้องประถม 1 คน และกำชับว่าจะนำพวกเราพาน้องๆ ไปส่งในห้องเรียนประถมต้นก่อน แล้วค่อยไปส่งที่ห้องเรียนพวกเรา ตึกเรียนประถมต้นอยู่ทางด้านซ้ายของสนาม แต่ประตูโรงเรียนเรา (ที่เปิดอยู่) มันอยู่ด้านขวา ครูบอกว่าไม่อยากให้เราไปเดินดุ่มๆ กลางแจ้ง เลยใช้เส้นทางเลียบไปทางตึก (จาก A ไปส่งน้อง ป.1 ที่ตึก B แล้วเลียบเส้นทางหน้าหอประชุมก่อนจะเข้าทางเดินระหว่างตึกเลียบไปถึงห้องเรียนเราที่ตึก C)
เราต้องก้มหัวและวิ่งเข้าโรงเรียน ทำตัวให้ชิด เดินเลียบกำแพงให้มากที่สุด ครูอังกฤษยังคงเดินนำเรากับเพื่อนๆ อีก 2-3 คน ทุกคนจับมือคู่น้องประถมของตัวเองแน่น เพราะสิ่งสุดท้ายที่ครูฝากไว้ คือ อย่าปล่อยมือน้อง ถ้าเรายังไม่ส่งน้องถึงห้องที่ปลอดภัยที่สุด ถ้านึกไม่ออกว่าวิ่งกันท่าไหน มันเหมือนพวกท่านินจาที่ย่องเข้าบ้านโชกุนไปลอบสังหารอ่ะ ... ความรู้สึกในตอนนั้นคือ ... นี่โรงเรียนกุนะ ... นี่กุทำบ้าอะไรวะเนี่ย ทำไมคนที่ต้องมากลัวสั่นงันงกต้องมากลายเป็นพวกเรา ...
เด็กๆ ถึงห้องอย่างปลอดภัย หลังจากนั้น ครูก็พาพวกเราจับมือต่อกันยาวเรียงขึ้นตึกของพวกเรา ... ทีละชั้น ทีละชั้น ... โดยที่ครูจะเป็นคนนำ ครูอีกคนคอยตามหลังแถว พอเห็นว่าทางปลอดภัย ก็ให้วิ่งตามครู
โรงเรียนที่มีนักเรียนเต็มไปหมด แต่กลับเงียบจนเหมือนป่าช้า เหมือนกับทุกคนพยายามจะเก็บเสียงของตัวเองให้เบาที่สุด เงียบที่สุด จนเป็นความเงียบตลอดเส้นทางที่เราขึ้นมา เงียบจนน่าขนลุก ตามทางขึ้นตึกเราแอบเห็นเลือดตามราวบันได และกองเลือดเล็กๆ ด้วย เราไม่รู้ว่าเพื่อนห้องอื่นทำยังไง หรือเป็นตายร้ายดียังไง เพราะทุกห้องปิดประตูใหญ่หมด (โรงเรียนเราห้องเรียนจะมีประตู 2 ชั้น คือ ประตูกระจก กับประตูไม้ที่เป็นประตูใหญ่ของแต่ละห้อง)
จนในที่สุด ก็มาถึงห้องเรา ... ครูส่งเราเป็นนักเรียนคนก่อนสุดท้าย ... เราจำได้ว่า ขนาดครูจะเคาะห้องตอนพาพวกเรามาส่งยังต้องพูดรหัสพูดชื่อกันเต็มๆ ชัดๆ เพราะกลัวว่าคนที่มาเคาะจะไม่ใช่ครู คือ คนร้ายจิตไม่ปกติไง มันน่ากลัวที่ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดบ้าทำอะไรขึ้นมาอีก ... ทุกคนได้แต่เซฟความปลอดภัยของห้องตัวเองกันทั้งนั้น ...
พอเราเข้ามาในห้อง จำได้ว่าได้ยินเสียงเพื่อนร้องปรบมือกันใหญ่ เหมือนดีใจที่เรารอดผ่านสงครามเวียดนามมายังไงยังงั้น ... ไม่รู้ห้องคนอื่นเป็นไง แต่ห้องเราทุกคนปิดห้องล็อกกลอนและเอาโต๊ะขวางฟีลแบบหนังซอมบี้มาก
ทุกคนเริ่มถามเราว่าข้างนอกเป็นยังไง หลังจากนั้น ทุกคนก็เริ่มเล่าถึงสิ่งที่ได้ยินได้เห็นกันมา เพื่อนเราคนนึงร้องไห้ บอกเป็นห่วงเพื่อนคนนึงที่โดนแทง บางคนกลัวว่าเพื่อนคนอื่นๆ จะยังติดอยู่ข้างนอก ห้องเราตอนนี้มีทั้งเพื่อนต่างห้อง เพื่อนห้องเดียวกัน ไม่มีใครรู้ว่าคนอื่นๆ อยู่ที่ไหนกันแล้ว ...
และความคิดตั้งแต่เริ่มว่าผู้ร้ายจะน่ากลัวสักแค่ไหนเชียว ... ก็ต้องขอถอนคำพูด จากคำบอกเล่าของเพื่อนๆ ในห้อง ... เราเล่าเรื่องราวที่ต่างคนต่างได้รับกันมา มีคนเห็นกองเลือด มีคนบอกว่าโซน ม.1 ฆาตกรวิ่งไล่ฟันบุกเข้าไปถึงห้อง มีคนบอกว่าเพื่อนร่วมชั้นของเราโดนแทง มีคนเห็นหน้าฆาตกร ...
มีคนบอกว่าเป็นผู้หญิงผมสั้น ในชุดสีแดงเลือดหมู ถือมีด ... และยิ้มให้ ...
ฆาตกรคนนี้หลุดเข้ามาได้ ทุกอย่างวุ่นวายมาก คือ ไม่มีใครเคยเจอเคสนี้มาก่อน แถมมีข่าวลืออีกว่าคนร้ายไม่ได้มีแค่คนเดียว ...
ต่อมาทราบว่า คนร้ายได้มีการสังเกตการณ์อยู่ถึง 3 ปี เตรียมการต่ออีกเป็นอาทิตย์ แถมมีการเลือกสถานที่ปฏิบัติการซึ่งตอนแรกจะไปอีกโรงเรียนนึงแทน แต่เกิดเปลี่ยนใจ มุ่งเป้ามาโรงเรียนเรา ... อีกทั้งยังมีการวางแผนเตรียมการก่อนหน้านั้นทั้งสำรวจทางเข้าออก ซื้ออาวุธ กระทั่งเข้าร้านดัดผมทำผมก่อนวันลงมือ
แต่การเลือกเป้าหมายนางสยดสยองมาก คือ ถ้าเด็กคนไหนที่ตรงกับเป้าหมายที่นางหมายตา นางพุ่งเข้าไปแทงไม่ยั้งเลย นึกภาพฆาตกรโรคจิตที่ยืนยิ้มๆ แล้วพุ่งเข้าใส่ (เป้าหมายนาง ถ้าอิงจากข่าวคือ เด็กที่เป็นลูกครึ่งแขก และไทยจีน ที่ดูร่ำรวย) อีกทั้งคนร้ายคนนี้ยังเป็นโรคทางจิตเภทอย่างรุนแรง คือ โรคจิตเภทชนิดหวาดระแวง ...
ตอนนั้นคนโดนก็เป็นเด็กประถมปลาย 1 คน ม.ต้น 2-3 คน อาการสาหัสรุนแรง โดนแทงทะลุปอด และอวัยวะภายใน เพื่อนคนหนึ่งที่ถูกแทงแล้วได้หนีขึ้นบันไดร้องขอความช่วยเหลือ ก่อนเข้าไปหลบซ่อนตัวที่ห้องเรียนชั้น ม.2 โดยเหยื่ออีก 3 คน ซึ่งอยู่บริเวณหน้าห้องเรียนชั้น ม.2/1 และ ม.2/3 ขณะนั่งคุยกับเพื่อนนักเรียนก็ถูกคนร้ายวิ่งชาร์ตเข้ามาแทง ซึ่งขณะเกิดเหตุ หนึ่งในเหยื่อนั่งอยู่ที่หน้าห้องน้ำ ใกล้กับห้องเรียนที่ห้อง 5 เห็นคนร้ายวิ่งไล่แทงเพื่อนนักเรียนคนอื่นๆ มาตั้งแต่หน้าห้องเรียน 1 และเมื่อคนร้ายเข้ามาใกล้ ก็ไม่สามารถหนีได้ทัน จึงถูกคนร้ายใช้มีดแทงเป็นรายที่ 3
คือใครจะรู้ว่าวันหนึ่งจะมีคนบ้าวิ่งบุกมาถึงกลางห้อง เด็กหลายคนวิ่งแตกกระเจิง บางคนยังนั่งช็อก บางคนกลัวจนเสียสติกระโดดลงจากหน้าต่างระเบียงข้างหลัง ขาหัก ตะปูตำ บางคนหลบใต้โต๊ะ ทุกอย่างที่อยู่ในหนังเซอร์ไวเวิลเกิดขึ้นจริงค่ะ ... พี่ๆ จากห้องที่รอดมาได้เคยเล่าติดตลกว่า ...
“กูต้องหลบใต้โต๊ะแล้วกลั้นหายใจ ความรู้สึกมันเหมือนถ้าหายใจแล้วเค้าจะได้ยินเสียงแล้วจะฆ่ากูได้ทันที...”
ขนาดเหยื่อถูกหามไปโรงพยาบาลแล้ว แต่ทุกคนในโรงเรียนยังแพนิค (Panic) กลัวว่าฆาตกรยังอยู่ในโรงเรียน
ตอนนั้นสื่อโซเชียลยังไม่กว้าง เราไม่มีไลน์ เฟซ ทวิต อะไรเลย มือถือเราเป็นโนเกียแบบเลื่อนโง่ๆ ข้างในไม่รู้ข้างนอกเป็นยังไง ข้างนอกไม่รู้ข้างในเป็นยังไง ได้แต่โทรบอกข่าวกันมากกว่า ซึ่งตอนนั้นเราก็ตังค์มือถือหมด โทรหาใครไม่ได้เลย
เราจำไม่ได้แล้วว่ากี่โมง เรานั่งรอเสียงประกาศกันนานมาก ตอนนั้นเราเริ่มปวดฉี่ จำได้ว่าเดินไปขอครู 3-4 รอบ โดนปฏิเสธทุกรอบ ครูบอก “เธอควรทนหน่อย ... เวลานี้ใครใช้ให้ปวดเนี่ย”
เอ้า พูดซะยังกะมนุษย์เราเลือกเวลาปวดฉี่ได้
หน้าเราคงเริ่มเขียวแล้วมั้ง บอกกับมีเพื่อน 2-3 คน ขอเข้าร่วมขบวนการแก๊ง “ต้องออกไปฉี่ให้ได้”
ครูเลยเอาก็เอา บอกให้จับมือต่อๆ กัน ... พาไปห้องน้ำ (เดินท่าเดียวกับตอนขามา) ... มีเวลาทำธุระแค่ 5 นาที และต้องรีบกลับห้อง ...
มันเป็นการไปเข้าส้วมที่รู้สึกอันตรายที่สุดในชีวิต ...
ส่วนผู้ปกครองเด็กหรอ ในตอนนี้พ่อแม่เด็กเกาะรั้วร้องไห้เป็นลมเป็นแล้งอยู่หน้าโรงเรียนไปแล้ว เพราะตำรวจล้อมรั้ว กันไม่ได้เข้า จนกว่าจะแน่ใจว่ายังจับคนร้ายได้และมั่นใจว่าไม่มีคนร้ายคนอื่นอยู่ในโรงเรียน จนเกือบบ่ายคล้อยๆ โน่น กว่าจะปล่อย และถึงตอนนั้นฆาตกรคนนี้ก็ลอยนวลไปไกลแสนไกล จากข่าวรายงานว่า ... มีพยานเห็นคนร้ายคนนี้สะพายกระเป๋าดำ ในมือถือถุงคล้ายขยะ ว่าจ้างไปทางถนนสาทร โดยคนร้ายได้นำถุงขยะในมือไปทิ้ง จากนั้นก็โดยสารต่อ และเมื่อถึงที่หมายได้จ่ายเงินค่าจ้าง 100 บาท แต่ถอดหมวกกันน็อกไม่เป็น พยานจึงช่วยถอดและพบรอยเลือดที่แก้มซ้าย พยานจึงสอบถามว่าไปโดนอะไรมา แต่คนร้ายไม่ตอบ พอมาทราบว่ามีคดีแทงนักเรียน ก็จำได้ จึงเข้าพบพนักงานสอบสวนและพาไปค้นถังขยะดังกล่าว จนพบอาวุธมีดที่ทิ้งไว้ ขณะที่เพื่อนวินรถจักรยานยนต์รับจ้างเล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้ หญิงคนนี้เคยว่าจ้างให้ติดตามนักเรียนอยู่หลายครั้งนาน 2-3 ปี แล้วก็หายไป ต่อมาก่อนเกิดเหตุ 3-4 เดือน พบคนร้ายกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ปลอมตัวไปทำร้านอาหารเป็นสาวเสิร์ฟร้านอาหารแห่งหนึ่งอย่างหน้าตาเฉย ...
2-3 ปี ... เราว่ามันเกินกว่าการลงมือทำเพราะจิตผิดปกติแล้วมั้ง ... มันคือการวางแผนฆ่า ...
สำหรับการทำงานของนักข่าวในยุคนั้นก็บันเทิงดีค่ะ ... ปีนรั้ว เกาะกำแพงโรงเรียนรัวชัตเตอร์กันไป ... วุ่นวายสุดๆ
ป.ล. 1 ไม่มีใครเป็นอะไรอีกหลังจากนั้นค่ะ โรงเรียนมีระบบความปลอดภัยแน่นหนาอันดับต้นๆ ตรวจเช็กกันยิ่งกว่า ตม. ยามก็ถูกเปลี่ยนเซตใหม่หมด
ป.ล. 2 เด็กๆ ทุกคนปลอดภัยค่ะ แต่เราไม่รู้อยู่ดีว่าบางคนสภาพจิตใจยังโอเคอยู่ไหม ...
ป.ล. 3 หลังจากนั้น น่าจะสักปี 2013 เหมือนคนร้ายถูกปล่อยตัว ... มีคนเห็นมาป้วนเปี้ยนแถวโรงเรียนเราอีก ซึ่งเราโคตรไม่เข้าใจเลยว่าทำไมปล่อยให้คนแบบนี้ยังมาวนเวียนหลอกหลอนกันอยู่ได้ แล้วคนร้ายขนาดนี้ไม่มีกฎหมาย หลักประกันอะไรครอบคลุมได้เลยเหรอ ...
สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 9 ก.ย. 2548 เมื่อหญิงวิกลจริตบุกเข้าไปในโรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนต์ วิ่งขึ้นไปบนอาคารเรียนชั้น 3 ตึกเซนต์ปอล ก่อนใช้อาวุธมีดไล่แทงนักเรียน ได้รับบาดเจ็บ 4 คน ในจำนวนนี้อาการสาหัส 3 เจ้าหน้าที่นำส่งโรงพยาบาลบีเอ็นเอช เมดิคอล เบื้องต้นทราบว่าหญิงคนดังกล่าวแต่งตัวคล้ายผู้ปกครองบุกเข้าไปภายในโรงเรียนโดยอาจารย์พยายามวิ่งไล่จับ แต่หญิงคนดังกล่าวยังสามารถไล่แทงเด็กนักเรียนได้ จากนั้นได้เรียกรถจักรยานยนต์รับจ้างไปลงย่านสะพานเหลือง
จากนั้น เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 10 ก.ย. 2548 ตำรวจกองบังคับการปฏิบัติการพิเศษ (สายตรวจ) 191 จำนวน 3 นาย นั่งรับประทานอาหารภายในร้านข้าวมันไก่ ใกล้ปั๊มน้ำมัน ปตท.ข้างสวนรถไฟ หลังจากรับประทานเสร็จแล้วกำลังจะเตรียมตัวขึ้นรถออกตรวจตามปกติ ได้มีเด็กในร้านครัวตาน้อย ที่ตั้งอยู่ในสวนรถไฟ 2 คน ขี่รถจักรยานยนต์มาแจ้งว่าพบหญิงสาวต้องสงสัยมีรูปพรรณสัณฐานคล้ายภาพสเกตช์คนร้ายที่ก่อเหตุแทงเด็กนักเรียน ขอให้ตำรวจเข้าไปตรวจสอบ
พนักงานภายในร้านแจ้งตำรวจว่า หลบเข้าไปซ่อนตัวในห้องน้ำ ตำรวจจึงเข้าจับกุมออกมา ซึ่งเมื่อหญิงสาวคนดังกล่าวออกมาแล้วพบว่ามีใบหน้าคล้ายภาพสเกตช์ของคนร้ายที่ก่อเหตุใช้อาวุธมีดแทงเด็กนักเรียนเซนต์โยเซฟ คอนแวนต์ ทราบชื่อ น.ส.จิตรลดา หรือ เป็ด ตันติวานิชยสุข อายุ 36 ปี (ในขณะนั้น) ชาว ต.วัดแค อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ตำรวจได้ตรวจสอบและพบว่า หลังจากที่คนร้ายก่อเหตุแล้วได้ไปสมัครงานในย่านสวนจตุจักร แต่ทางร้านไม่ได้รับ กระทั่งรุ่งเช้าไปมาสมัครอีก 1 รอบ ก่อนที่จะถูกจับกุมได้ พร้อมของกลางเป็นมีดปอกผลไม้ 3 เล่ม โดยผู้ต้องหาซื้อมาจากย่านวังบูรพาภิรมย์ พร้อมแจ้งข้อกล่าวหาพยายามฆ่า
จากการทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ทราบว่า น.ส.จิตรลดา ใช้อาวุธมีดที่เตรียมมาแทงเข้าที่ด้านหลังของนักเรียนหญิงคนแรก ก่อนไล่แทงนักเรียนหญิงอีก 3 คนได้รับบาดเจ็บ หลังก่อเหตุแล้วได้หลบหนีออกจากโรงเรียนมาว่าจ้างรถวินมอเตอร์ไซค์ ให้ไปส่งย่านสะพานเหลือง ระหว่างทางได้ให้คนขับจอดรถมอเตอร์ไซค์ ที่หน้าศูนย์อาหารสาทรมาร์ท ถนนสาทร แล้วโยนมีดทิ้งลงถังขยะก่อนโดยสารต่อไปลงที่หมาย ย่านสะพานเหลือง
จากนั้นได้นั่งรถเมล์ไปลงที่ย่านประตูน้ำ แล้วเรียกรถแท็กซี่ให้ไปส่งที่ร้านมุมเทป ใกล้กับซอยรามคำแหง 27 เพื่อซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่เปลี่ยน ส่วนชุดเก่าถอดโยนทิ้งที่ถังขยะ ก่อนว่าจ้างแท็กซี่กลับที่พัก ลุมพินีสนุกเกอร์ ถนนสารสิน ที่เช่าอาศัยมาประมาณ 1 เดือน แล้วออกไปเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งร้านตัดผม ก่อนย้อนกลับมาขนเสื้อผ้าออกจากห้องพัก เพื่อไปสมัครงานที่ร้านครัวตาน้อย ย่านสวนรถไฟ ก่อนถูกเด็กในร้านครัวตาน้อยแจ้งตำรวจให้จับ เนื่องจากมีหน้าตาคล้ายกับคนร้ายในภาพสเกตช์
หลัง สน.ทุ่งมหาเมฆ ดำเนินคดี และส่งตัวให้จิตแพทย์ทดสอบสภาพจิตใจ พบว่า น.ส.จิตรลดา มีอาการทางประสาท จึงส่งตัวเข้ารับการรักษาบำบัดที่สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ ย่านถนนพุทธมณฑลสาย 4 นาน 9 เดือนเศษ จนสภาพจิตใจเป็นปกติ กระทั่งวันที่ 25 ธ.ค. 2549 พนักงานอัยการฝ่ายคดี อาญากรุงเทพใต้ ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.จิตรลดา ต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น และพกพาอาวุธไปในที่สาธารณะในเมือง หรือในหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุอันควร
วันที่ 20 พ.ย. 2551 ศาลอาญากรุงเทพใต้ พิพากษาให้จำคุก 4 กระทง กระทงละ 2 ปี รวม 8 ปี แต่คำรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง จำคุกกระทงละ 1 ปี รวม จำคุกจำเลย 4 ปี เมื่อพ้นโทษจำคุกแล้วให้ส่งตัวจำเลยไปคุมตัวรักษาที่สถานกัลยาณ์ราชนครินทร์จนกว่าจำเลยจะอยู่ร่วมในสังคมได้โดยไม่เป็นอันตรายต่อสังคม โดยให้แพทย์ผู้รักษารายงานผลต่อศาลทุก 6 เดือน
ต่อมาวันที่ 1 ส.ค. 2556 ในสังคมออนไลน์ได้มีการแชร์ต่อภาพของ น.ส.จิตรลดา ว่าได้ถูกปล่อยตัวแล้ว มีข้อความเตือนให้ระวัง เพราะ น.ส.จิตรลดา ยังไปวนเวียนอยู่แถวบริเวณที่เคยก่อเหตุ แต่เจ้าหน้าที่สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ ระบุว่า น.ส.จิตรลดา ได้ออกจากสถาบัน และกลับไปอาศัยอยู่ที่ จ.นครปฐม ตามเดิมมานานกว่าปีแล้ว โดยมารดายืนยันกับเจ้าหน้าที่ว่า น.ส.จิตรลดา อยู่แต่ภายในบ้านตลอด ไม่ได้ออกนอกบ้านไปไหนทั้งสิ้น
รายการข่าวดังข้ามเวลา ที่ออกอากาศผ่านช่อง MCOT HD เมื่อเดือนเมษายน 2559 ได้ไปที่บ้านพักที่ จ.นครปฐม ระบุว่า น.ส.จิตรลดา ทำงานบ้านและช่วยมารดาทำงานในสวนผลไม้ แต่ไม่ขอพูดถึงเรื่องราวของตนเอง ส่วนมารดาระบุว่า น.ส.จิตรลดา ทานยาด้วยตัวเอง และติดตามแพทย์ที่นัด 2-3 เดือนต่อครั้งสม่ำเสมอ ซึ่งเขาต้องกินยาตลอดเพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ในช่วงนั้น
ด้านผู้นำชุมชนระบุว่า ขณะนี้ น.ส.จิตรลดา อาการดีขึ้นเหมือนคนธรรมดา และช่วยงานสังคมอย่างต่อเนื่อง เช่น ล้างจาน เสิร์ฟอาหาร เข้าครัว เป็นที่รักของชาวบ้าน จากเดิมที่กลัวชาวบ้าน แต่ทุกวันนี้สภาพจิตใจดีขึ้น บางครั้งก็ชอบร้องเพลงและช่วยเหลือชาวบ้าน จนไม่มีใครหวาดระแวง