MGR Online ขอนำเสนอ “Top 7 ข่าวฮอตในรอบ 7 วัน” สรุปข่าวเด่นประเด็นฮอตที่พลาดไม่ได้ เป็นประจำทุกวันศุกร์ ทาง www.manager.co.th และเฟซบุ๊ก MGROnline Live
อันดับ 1 : “ประวิตร” เช่าเหมาลำไปฮาวาย เที่ยวบินฟรีจากภาษีประชาชน
เมื่อวันที่ 2 ต.ค. สื่อสังคมออนไลน์ได้มีการวิจารณ์กรณีที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม พร้อมคณะรวม 38 คน ไปประชุม รมว.กลาโหมอาเซียน - สหรัฐฯ อย่างไม่เป็นทางการ ระหว่างวันที่ 29 ก.ย. ถึงวันที่ 1 ต.ค. ณ มลรัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา โดยการเช่าเหมาลำเครื่องบินว่า ใช้งบประมาณสูงเกินจริงถึง 20.9 ล้านบาท เฉพาะค่าอาหารสูงถึง 6 แสนบาท ซึ่งมองว่าไม่เหมาะสม
เรื่องดังกล่าว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ชี้แจงว่า การไปประชุมครั้งนี้ไม่มีเที่ยวบินตรง ไปทำประโยชน์ให้ประเทศ อย่ามาจับผิด ใครอยากฟ้องร้องก็ไปฟ้องร้องเอา ด้าน พล.อ.ประวิตร ยืนยันว่า การบินไทยไม่ได้เก็บราคาเต็ม ถือเป็นการช่วยราชการด้วยกัน คล้ายกับเข้ากระเป๋าซ้าย ออกกระเป๋าขวา และระบุว่า มีคนตั้งใจจะเล่นงามตน แต่ตนไม่มีผลประโยชน์
อย่างไรก็ตาม เฟซบุ๊กเพจ “หยุดดัดจริตประเทศไทย” ผู้สนับสนุนนายทักษิณ ชินวัตร ได้เปิดเผยรายชื่อผู้ที่เดินทางในเที่ยวบินการบินไทย มีทั้งผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ และ พ.ต.หญิง ชลรัศมี งาทวีสุข ผู้ประกาศข่าว สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 ร่วมคณะด้วย ทำให้โฆษกกระทรวงกลาโหม ออกมาปฏิเสธ ด้าน พ.ต.หญิง ชลรัศมี และผู้บริหาร ยืนยันว่า ในช่วงนั้นยังคงจัดรายการที่ช่อง 5 ตามปกติ
อันดับ 2 : “เนติวิทย์” กระทำความหว่อง เชิญ “โจชัว” ปาฐกถางานรำลึก 6 ตุลา
การจัดกิจกรรม “6 ตุลาฯ ชาวจุฬาฯ มองอนาคต” ซึ่งจัดขึ้นโดยสโมสรนิสิตรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กลายเป็นข่าวเมื่อคืนวันที่ 5 ต.ค. นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นิสิตชั้นปีที่ 1 พร้อมกับเพื่อนไปรับ นายโจชัว หว่อง ชาวฮ่องกงวัย 19 ปี นักเคลื่อนไหวต่อต้านการแทรกแซงทางการเมืองจากจีน ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อไปร่วมเป็นแขกรับเชิญพิเศษ แต่ไม่ปรากฏตัวนายหว่องที่ทางออกผู้โดยสารขาเข้า
เมื่อสอบถามสายการบินเอมิเรตส์ พบว่า นายหว่อง ถูกกักตัว ให้เหตุผลว่า มีหนังสือจากทางรัฐบาลจีนส่งมาถึงรัฐบาลไทยเกี่ยวกับบุคคลนี้ กระทั่งต่อมา นายหว่อง ถูกทางการไทยผลักดันกลับฮ่องกงเมื่อเวลา 11.25 น. โดยสายการบินฮ่องกงแอร์ไลน์ส เที่ยวบินที่ HX 772 ภายหลังผู้จัดงานจึงใช้วิธีปาฐกถาจากฮ่องกงผ่านโปรแกรมสไกป์ โดยเจ้าหน้าที่สั่งห้ามพูดถึงเรื่องถูกกักตัว ห้ามพูดปลุกระดม และวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลจีน
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ชี้แจงว่า นายหว่อง กลับประเทศแล้ว ตามที่ทางการจีนร้องขอให้ส่งตัวกลับประเทศ พร้อมขออย่าขยายความ เพราะมีการโยงเข้าสู่เหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ขณะที่โฆษก คสช. ชี้แจงเพิ่มเติมว่า เหตุผลที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองผลักดันออกนอกประเทศ เพราะเข้ามาไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ อาจสุ่มเสี่ยงต่อความไม่เรียบร้อย
อันดับ 3 : ศึก “ทางเท้าแห่งสยาม” ประท้วง กทม.คืนทางเท้าให้ประชาชน
การจัดระเบียบคืนทางเท้าให้กับประชาชนของกรุงเทพมหานคร หลังดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด มาถึงคิวผู้ค้าย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สีลม ประตูน้ำ สยามสแควร์ และ ราชประสงค์ เมื่อวันที่ 3 ต.ค. ที่ผ่านมา ก็ได้มีผู้ค้าย่านสยามสแควร์รวมตัวกันประท้วง และมีการกระทบกระทั่งกับเจ้าหน้าที่ รวมทั้งคนที่ถ่ายภาพและวิดีโอคลิป หากไม่ใช่กลุ่มผู้ค้าด้วยกันยังถูกจับตามองพิเศษ
นายสัจจะ คนตรง รองผู้อำนวยการสำนักเทศกิจ กรุงเทพมหานคร ระบุว่า ในอดีตหน้าสยามสแควร์ไม่มีผู้ค้า และไม่ใช่จุดผ่อนผัน ภายหลังมีการค้าขายอย่างไม่ถูกต้อง ที่ผ่านมา มีประชาชนจำนวนมากร้องเรียน และฟ้องศาลปกครอง ว่า กทม. ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ขณะที่ก่อนหน้านี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะเจ้าของพื้นที่พยายามแก้ปัญหาโดยตั้งกระถางต้นไม้เมื่อปี 2554 แต่ได้ถูกกลุ่มผู้ค้ารื้อออกไป
ด้านกลุ่มผู้ค้าย่านสยามสแควร์ พยายามต่อรองยืนยันว่าจะขายที่เดิม อ้างว่า ไม่มีทางเลือก เสนอให้ กทม. ผ่อนปรนจัดระเบียบแผงค้า โดยอนุญาตให้ตั้งแผงค้าได้หลังเวลา 19.00 น. ด้านสังคมออนไลน์ต่างประณามพฤติกรรมของกลุ่มผู้ค้า พร้อมระบุว่า ทางเท้าใช้สำหรับสัญจร ไม่ใช่ขายของขายอาหาร ที่ผ่านมา เอาเปรียบสังคมมามากพอแล้ว และเห็นด้วยที่เจ้าหน้าที่เดินหน้าจัดระเบียบอย่างจริงจัง
อันดับ 4 : อยากอยู่ดอย! น้ำท่วมกรุงเทพฯ รถติดอัมพาต “เฟอร์รารี” ยังจมน้ำ
แม้ในช่วงฤดูฝน กรุงเทพมหานครมักจะประสบปัญหา “น้ำรอการระบาย” และยิ่งหากฝนตกเกิน 60 มิลลิเมตร ยิ่งต้องใช้เวลาระบายน้ำมากขึ้น วันที่ 3 ต.ค. ที่ผ่านมา เป็นอีกวันหนึ่งที่ฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดปัญหาการจราจรติดขัด อาทิ ถนนวิภาวดี-รังสิต ถนนพหลโยธิน ห้าแยกลาดพร้าว ต้องใช้เวลาอยู่บนท้องถนนมากกว่า 5 ชั่วโมง บางคนถึงกับโทรศัพท์สั่งพิซซ่าให้มาส่งบนถนน เป็นที่ฮือฮามาแล้ว
ที่ฮือฮายิ่งกว่าคงจะเป็นภาพของรถยนต์เฟอร์รารี รุ่น California หมายเลขทะเบียน 5 กฎ 918 กรุงเทพมหานคร ประสบเหตุจมน้ำที่ท่วมขัง เนื่องจากฝนตกอย่างหนัก บริเวณถนนงามวงศ์วาน ขาเข้า เชิงสะพานข้ามแยกพงษ์เพชร แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร ทำให้น้ำเข้าไปในรถได้รับความเสียหาย โดยเฟซบุ๊กนิตยสารรถยนต์ยี่ห้อหนึ่งคาดว่า ค่าใช้จ่ายในการซ่อมน่าจะอยู่ที่ประมาณ 2 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังเกิดดรามากับแม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยว เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊กโพสต์ภาพแม่ค้าก๋วยเตี๋ยวรายหนึ่ง ใช้น้ำที่ท่วมขังรอการระบายล้างหม้อก๋วยเตี๋ยว บริเวณถนนกำแพงเพชร 2 หน้าสถานีขนส่งผู้โดยสารหมอชิต ทำให้ในโลกโซเชียล ต่างกังขาว่าทำแบบนี้ได้หรือไม่ ถึงกระนั้นแม่ค้าคนดังกล่าวชี้แจงผ่านสื่อว่า นำหม้อเก่าที่ชำรุดแล้ว และรองถุงใส่ถั่วงอกมาราดทรายที่อยู่บนทางเท้าออกไปเพื่อไม่ให้คนเดินถนนลื่นล้ม
อันดับ 5 : “เพื่อนหายเพราะขายตรง” สะเทือนธุรกิจเครือข่าย สุดท้ายต้องเปลี่ยนชื่อ
หลังจากที่ “อุ๋ย บุดด้าเบลส” นที เอกวิจิตร ออกเพลงใหม่ที่ชื่อ “เพื่อนหายเพราะขายตรง” เมื่อวันที่ 28 ก.ย. ซึ่งทำร่วมกับ “โปรโตซัว” พงศธร เดชานุภาพ บอกเล่าเรื่องราวของการถูกชวนไปเข้าร่วมธุรกิจ วาดฝันอย่างสวยหรูว่าจะร่ำรวย และต่อไปจะสบายเพราะมีดาวน์ไลน์มาทำแทน แต่สุดท้ายโทรไปไม่มีใครรับ เจอหน้ากันเพื่อนก็ไม่ทัก ญาติพี่น้องหาว่าบ้า สุดท้ายก็มีจุดจบคือไม่ทำแล้ว กลายเป็นที่ติดหูอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน แม้เจ้าตัวจะยืนยันว่าไม่ได้แอนตี้คนที่ทำธุรกิจ แต่เกลียดพวกไม่มีจรรยาบรรณ แต่ก็สร้างความไม่พอใจให้แก่คนที่ทำธุรกิจขายตรง กระทั่ง น.ส.กฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิชาการพลังเครือข่าย และนักธุรกิจขายตรง ต้องออกมาประท้วง โดยมีแนวคิดล่ารายชื่อเสนอให้กระทรวงวัฒนธรรมเปลี่ยนชื่อเพลง และเห็นว่าควรจะเปลี่ยนเป็น เพื่อนหายเพราะแชร์ลูกโซ่ หรือ มันนี่เกมส์
อย่างไรก็ตาม อุ๋ย บุดด้าเบลส ตัดสินใจเปลี่ยนชื่อเพลง กลายเป็น “เพื่อนหายเพราะขายอ้อม” ซึ่งไม่ใช่แค่โพสต์ประชดประชันตามที่สังคมเข้าใจ แต่ยังเปลี่ยนชื่อเพลงทั้งในระบบ JOOX รวมทั้งเอ็มวีอย่างเป็นทางการในยูทิวบ์ ซึ่ง น.ส.กฤษอนงค์ รับทราบแล้ว และได้แสดงความขอบคุณไปยังผู้จัดทำเพลงด้วย ดรามาระหว่างคนทำเพลง กับคนทำธุรกิจขายตรงจึงจบลง
อันดับ 6 : สืบจากโซเชียล “โจ๋ห้าว” ถีบคู่กรณี ค้นทะเบียนสุดท้ายจนมุม
เมื่อเย็นวันที่ 1 ต.ค. ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Rukchanok Srinork ได้โพสต์วิดีโอคลิป ประกาศตามหารถมอเตอร์ไซค์ ทะเบียน 5 กธ 702 กรุงเทพมหานคร ที่ผู้ขับขี่ถีบรถจักรยานยนต์ที่มีพี่และน้องของตน บนถนนกัลปพฤกษ์ จนล้มลงได้รับบาดเจ็บ เหตุเพราะฝ่าไฟแดงมาแล้วจะมาชนรถ พร้อมให้รางวัลแก่ผู้แจ้งเบาะแส 3,000 บาท ทำให้ในโลกโซเชียลต่างแชร์วีดีโอคลิปและสืบค้นข้อมูลจากทะเบียนรถจำนวนมาก
ต่อมา นายณัฐสุวัชร์ บุญจันทร์ หรือ เอ็ม อายุ 19 ปี ผู้ก่อเหตุได้โพสต์เฟซบุ๊ก ยอมรับว่าผิดจริง ทำไปด้วยความโมโห แต่เริ่มจากตนฝ่าไฟแดงแยกกำนันแม้น แต่อีกฝ่ายด่าให้ของลับแก่ตน จึงข้องใจว่าด่าทำไม วนรถกลับไปถาม แต่กลับนิ่งเฉย ปล่อยให้น้องสาวที่ซ้อนท้ายขอโทษ จึงโมโหแล้วมีเรื่องชกต่อยเชิงสะพานข้าม จากนั้นเมื่ออีกฝ่ายท้าให้ไปคุยกันที่สถานีตำรวจ ระหว่างขับออกไปตนจึงถีบรถจักรยานยนต์จนล้ม
วันที่ 2 ต.ค. นายณัฐสุรัชร์ ได้เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาที่ สน.บางขุนเทียน เบื้องต้นรับสารภาพในข้อหาทำร้ายร่างกาย และฝ่าไฟแดง ส่วนข้อหาพยายามฆ่านั้นให้การปฏิเสธ ส่วน นายณัฐบุรุษ ศิริเชษฐมาศ อายุ 27 ปี ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ ระบุว่า ตนเองได้รับบาดเจ็บ มีแผลถลอกที่แขนทั้งสองข้าง ส่วนน้องสาวมีแผลถลอกตามตัวเล็กน้อย แต่ที่บริเวณตาขวามีอาการบวม ยืนยันว่า จะดำเนินคดีตามกฎหมายให้ถึงที่สุด
อันดับ 7 : เซเลบผวา! “คิม คาร์เดเชียน” ถูกโจรปล้นถึงห้องพักกวาดทรัพย์สินกว่า 300 ล้าน
ปล้นสะท้านคนดังระดับฮอลลีวู้ดเกิดขึ้น เมื่อ “คิม คาร์แดเชียน” นางแบบ และนักแสดงชาวอเมริกันวัย 35 ปี ถูกคนร้าย 5 คนติดอาวุธครบมือบุกปล้นในอพาร์ตเมนต์กลางกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 3 ต.ค. ก่อนกวาดเอาทรัพย์สินทั้งแหวนเพชร 4.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (156 ล้านบาท) กล่องใส่เครื่องประดับ 5.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (194 ล้านบาท) รวมมูลค่า 11 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (382 ล้านบาท) ไปอย่างลอยนวล
หลังเหตุการณ์ผ่านไป เธอขึ้นเครื่องบินส่วนตัวออกจากปารีสไปยังนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกาทันที พร้อมคุ้มกันในระดับเดียวกับประธานาธิบดี ทำให้เป็นวิพากษ์วิจารณ์ อาทิ เพียร์ซ มอร์แกน พิธีกรดังของอังกฤษ มองว่า ควรจะไล่บอดีการ์ดออก เพราะบกพร่องต่อหน้าที่ ไม่ควรทิ้งเธอไว้เพียงลำพัง ขณะที่ คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์ ท็อปดีไซเนอร์ของวงการแฟชั่น วิจารณ์ว่า เหตุที่เธอถูกปล้นเพราะพฤติกรรมชอบอวดร่ำอวดรวย
ด้านผู้พิพากษาศาลสูงสหรัฐอเมริกา สตีเฟน เบรเยอร์ วิจารณ์ว่า ถ้าคาร์เดเชียนถูกปล้นจริง เครื่องประดับ มีประกันไว้อยู่แล้ว อาจไม่ใช่การขโมย แต่เป็นการฉ้อโกง ทำเอาเจ้าตัวโต้กลับว่า มีพยานเป็นพนักงานเปิดประตูประจำลิฟต์ส่วนตัว ถูกจับใส่กุญแจมือเมื่อถูกบังคับให้เปิดประตู แต่ก็แอบสงสัยว่าพนักงานดูนิ่งและใจเย็นเกินไป ทั้งนี้ เธอเชื่อว่า น่าจะได้แหวนเพชรคืน เนื่องจากเป็นแหวนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและหายาก