แอบฝึก แอบหัด เองตั้งแต่เด็กๆ จนกระทั่งส่อแววจึงได้ฝึกหัดเริ่มต้นทางดนตรี ก่อนจะกลายเป็นทักษะความสามารถพิเศษเพียงหนึ่งเดียวที่มีใช้หล่อเลี้ยงชีวิตหลังจบการศึกษาอยู่ในสังกัดดุริยางค์ศิลป์ทหารบก ตระเวนเล่นดนตรีกลางคืนนับร่วมสิบปี ก่อนจะปังสร้างชื่อ มีตัวมีตนขึ้นมา
“พลพล พลกองเส็ง” เก็บเกี่ยวสั่งสมประสบการณ์ควบคู่กับการเติบโตมากับมิตรรักแฟนเพลง เป็นตัวแทนผู้ชายที่จริงใจ อบอุ่นในอ้อมกอดที่เปี่ยมด้วยน้ำหนัก นับยุคสมัยราวร่วมกว่า 16 ปี ใน 8 อัลบั้ม ก่อนจะห่างหายไปถึง 5 ปีเต็ม และกลับมาพร้อมซิงเกิ้ลใหม่ล่าสุดในเพลง “หล่อเลย” ยอดฮิตการันตี 13 ล้านวิวในหนึ่งเดือน ที่เนื้อหาโดนใจและตัวตนที่เปลี่ยนไป จาก “อ้วนดำ” เป็น “หล่อเลย”
เราจึงก้าวเดินทางไปหาและไขคำตอบ หลังเมโลดี้ชีวิต ห้วงทำนองในฉบับพลพล 2016 วัย 44 ปี ที่ทุกอย่างลงตัว “หล่อเลย”...
คนจะงาม งามจากใจ...ใช่ใบหน้า
ลำนำพลิกชีวิตเพื่อครอบครัว
“หล่อเลย ซิงเกิ้ลนี้เริ่มต้นจากการที่พวกเราได้มาร่วมงานกันในค่า G-16 เจอกันบ่อย มีปาร์ตี้ค่าย มีอะไรก็มาเจอกัน จากนั้นไม่นาน น้องโอม (ปัณฑพล ประสารราชกิจ) เขาก็เปรยขึ้นมาว่า เวลาเราอยู่ด้านหลังเวที หลังความมืดมนในเพลง ทำไมมีความสุขมากแล้วก็สนุกมาก เฮฮาปาร์ตี้มาก แล้วก็เอ็นเตอร์เทนกับน้องๆ ดีมากเลย มุมนี้ แฟนเพลงที่อยู่หน้าจอทีวีก็ยังไม่เคยเห็น นอกจากพวกอกหักรักคุด”
นักร้องดังหนุ่มใหญ่ กล่าวเล่าที่มาของซิงเกิ้ลเพลงล่าสุดอย่างอารมณ์ดี
“ทั้งนี้ น้องโอมบอกว่าเขามีความสุขมากที่ได้เห็นเราเวลานั้น เขาเลยอยากจะให้ทุกคนได้เห็นบ้าง และอยากจะเขียนเพลงให้ ซึ่งตอนแรกได้ฟังเนื้อกับเมโลดี้ เราก็บอกว่า โอม... พี่ร้องไม่ได้แน่เลย” (หัวเราะ)
“หล่อเลย หมายถึง ช่วงเวลาแห่งความสนุก เวลาเราอยู่เฉยๆ หรือนิ่งๆ ก็จะเฉยๆ มาก แต่ถ้าร้องเพลงหรือว่ามีความสุขเมื่อไหร่ จะดูหล่อมาก เขาก็เลยอยากจะเสนอมุมที่หล่อของเราออกไป ในมุมที่สนุกสนาน ซึ่งโดยส่วนตัวเราก็เป็นอย่างนั้น ชีวิตจริงๆ เราเป็นคนสนุกมาก คือแฟนๆ อาจจะคิดว่าตรงกันข้ามกับเรา เพราะงานเพลงเรามันจะมีแต่มุมอกหักรักคุดซะเยอะ มีมุมที่แบบว่าเบื่อหน่าย มีมุมท้อแท้ เป็นตัวแทนของคนที่สู้ และด้วยน้ำเสียงของเรามันเศร้าด้วย
“แต่มันก็เป็นการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้กับคนคนนั้น เขาบอกว่าใครอกหักบ่อยๆ ก็จะรู้สึกว่าแข็งแรงมากขึ้นทุกวัน ... ชิน มันจะรู้สึกว่าไม่เจ็บแล้วอะไรอย่างนี้ แล้วก็จะระวังตัวมากขึ้น ก็จะใช้ชีวิตแบบไม่ประมาทเยอะขึ้น ความรักมันสอนหลายอย่างมากเลย มันทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตเรามีค่ามากขึ้น ถ้าเราผ่านตรงนั้นมาได้ มันจะทำให้เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราพลาดไป เราก็จะระวังตัวมากขึ้น เหมือนคนที่เคยปั่นจักรยาน หรือว่าขี่มอเตอร์ไซค์ล้ม เฮ้ย มุมนี้ลงไม่ได้ ล้มแน่นอน เราก็จะระวังตัวเยอะขึ้น”
จาก “หล่อเลย” ที่เป็นชื่อของซิงเกิ้ล โยงใยสู่การปรับเปลี่ยนรูปโฉมภายนอกที่ใครๆ ติดภาพเพลง “อ้วนดำ” และ “ตาแดงๆ” ก็จะนึกภาพพลพลในวัยก่อนนี้ออก แต่พลพลในวัย 44 ปีเวลานี้ เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด
“เพราะทุกวันนี้ โรคภัยมันเยอะมาก อยู่ดีๆ ก็เป็นโน่นนี่นั่นขึ้นมา แถมแก้ไขรักษาไม่ค่อยได้ บางโรคไม่มียารักษา ดังนั้น ถ้าเราไม่ดูแลตัวเอง ภูมิคุ้มกันมันก็จะน้อย อย่างอาการเป็นหวัดง่ายๆ ที่เมื่อก่อน เราเป็นแทบทุกอาทิตย์เวลาไปทัวร์คอนเสิร์ตแล้วไม่ได้เอาไมค์ส่วนตัวไป เราก็จะติดไข้หวัดได้ง่าย ณ ปัจจุบันนี้ก็ดูแลตัวเองเยอะขึ้น มีไมค์ส่วนตัวเสมอ หรือว่าออกกำลังกายเยอะขึ้น ทานวิตามินบ้าง
“ผมเริ่มมาดูแลตัวเองอย่างจริงจังเมื่อประมาณ 9 ปีที่ผ่านมา หลังจากมีครอบครัว ซึ่งก่อนมีครอบครัว เราไม่ดูเคยเลย แม้กระทั่งครีมกันแดดก็ไม่ทา ไปตีกอล์ฟกับเพื่อนๆ ตัวดำปึ๊ด เข้ามาในค่าย ใครๆ ก็ โอ้โห... พี่ไท-ธนาวุฒิ สอง (หัวเราะ) แต่เราไม่ดูธรรมชาติที่จะดูดีเหมือนพี่เขา เราดำไหม้มาเลย กว่าจะคืนมาได้
ส่วนเรื่องอาหาร การกินเราก็พยายามศึกษาดูว่าอันไหนที่มันอันตรายมากๆ ก็จะทานน้อยลง หมูสามชั้นเอย ข้าวขาหมูเอย และอาหารที่มีแคลอรี่สูงซึ่งจะทำให้น้ำหนักพุ่ง ก็พยายามลด และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง แอลกอฮอล์
“ตอนนั้นหนักพีคสุด 96 กิโลกรัม คือนอกจากไม่สบายได้ง่ายแล้ว เรารู้สึกว่าถ้ากินอิ่มมากเกินไป นอนก็ลำบาก เดินเหินก็ลำบาก ยิ่งเข้าห้องน้ำทำธุระยิ่งลำบาก เจอส้วมซึมต้องนับ 1-2-3 ค่อยลุก ไม่อย่างนั้น หน้าคะมำ และบวกกับแต่ก่อนเป็นคนที่ดื่มเยอะมากด้วย พักผ่อนก็น้อย นอนตี 4 ตื่น 6 โมงเช้าไปถ่ายเอ็มวี เนื้อเพลงก็จำไม่ค่อยได้ อะไรก็จำไม่ได้ มันเบลอไปหมด ยอมรับว่าเมามากชีวิตช่วงนั้น ก็รู้สึกว่าชีวิตแบบนี้มันไม่ไหว
“พอเลิกแอลกอฮอล์ได้ 1 ปี ก็เจอภรรยา มีครอบครัว ชีวิตก็เปลี่ยน แต่ก่อนดื่มกับไม่ดื่ม เราก็สนุกสนานเหมือนกัน ส่วนที่ไม่เหมือนคือจากอิสรเสรีมากๆ 200 เปอร์เซ็นต์ เวลาอยู่กับเพื่อน จะเป็นแบบนั้น จะทำอะไรไปไหนไม่มีใครว่า แต่มันเป็นความสุขชั่วครู่ชั่วคราวที่เราได้ทำ แล้วก็สิ้นเปลืองทั้งเงินทอง ทั้งพลังกายและพลังใจเยอะมาก ร่างกาย ใช้เผาผลาญไปแบบว่า มันใช้ชีวิตเกินอายุมาก แอดวานซ์ไปเยอะมาก
“ภรรยา ครอบครัว คือแรงบันดาลใจ แรงผลัก”
ศิลปินคุณพ่อลูกหนึ่ง เอ่ยถึงเหตุผลในการเปลี่ยนแปลงพัฒนาที่เริ่มต้นจากใจและความรักของครอบครัว
“ภรรยาของผมเป็นคนที่ค่อนข้างจะเลือกรับประทาน เขาอยากให้เรากินเพื่อสุขภาพที่ดี เช่น สลัดผัก ไม่มีไข่ ไม่มีไก่อะไรเลย ผักล้วนๆ คือปกติ เราก็กินผักอยู่แล้ว พวกผักเครื่องเคียง แต่ไม่ใช่แบบที่เขาทาน สลัดเราก็ทานได้ แต่จะมีไข่ มีไก่ มีอะไรบ้าง ชูรสนิดหน่อย
“และเราเป็นคนชอบทำกับข้าว ซึ่งเราก็ทำรสจัด แต่ก่อนนี้ใครกินกับเราไม่ได้เลย ทั้งเผ็ด เค็ม ทุกอย่าง แค่ไข่เจียว คนอื่นยังทานกับเราไม่ได้เลย แต่ทุกวันนี้ก็ลดสเต็ปลงมา เอาแค่เข้มข้นนิดหน่อยพอ เพราะยังติดจากสมัยก่อน เนื่องจากเราเป็นครอบครัวยากจน เวลาที่เราทำกับข้าว ก็ต้องทำรสจัดๆ เพราะทำกับข้าวได้น้อย อาศัยเน้นข้าวเยอะๆ ทีนี้ พอเราเป็นคนทำอาหารให้ครอบครัว ให้ลูกกินเอง ก็เปลี่ยนให้เป็นกลางๆ กินได้ รสชาติพออร่อย จืดๆ ก็ต้องทานได้ เพื่อสุขภาพ
“เพราะเราต้องดูแลเขา จะต้องอยู่กับเขาไปตลอดชีวิต มันกลายเป็นว่าเราต้องดูแลทั้งจิตใจและสุขภาพ นอกเหนือเรื่องของสภาพสังคม เราต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ครอบครัวเราดี ซึ่งเรื่องตรงนี้สำคัญมาก จากประสบการณ์ของตัวเอง เราก็เลยเปลี่ยน”
จาก “คนเดินถนน” สู่ “รักเอย” ทำให้ “ยังยิ้มได้” แม้ใน “วันฝนซา” 4 อัลบัมยอดฮิตสร้างชื่อ ก่อนมาถึงอัลบัม “คนกันเอง”, “คนรักแฟน”, “สุดปลายฝัน” และล่าสุด กับซิงเกิ้ล “หล่อเลย” จึงค่อยๆ เพิ่มมิติ
“ก็คล้ายๆ เพลงในแต่ละยุค มันก็บ่งบอกถึงช่วงจังหวะชีวิตแต่ละช่วงเหมือนกัน อย่าง “ยังยิ้มได้” มันทำให้รู้สึกว่า ไม่ว่าเราจะลำบากยากเข็ญ เหนื่อยขนาดไหนก็ยังสู้ทนกันต่อไป อยู่ข้างๆ กัน ก็ทำให้เราเปลี่ยนไม่ยากขึ้น เจอสลัดก็ยังยิ้มได้ (หัวเราะ) ไม่มีอาการสะดุด เพราะไม่ได้เคร่งกันมาก อันไหนชอบ เราก็ยังกินอยู่ แต่กินน้อยลง ถ้าเกิดจะทานเยอะในจังวะที่ขัดเจ้าภาพไม่ได้ มาแล้ว รูปไม่ต้องพก ภาพและเสียงของภรรยาและลูกลอยมาเองเลย “ป๊า อย่านะ ป๊าอย่านะครับ” เขาก็จะจำมาจากแม่เวลานั่งทานกันอยู่แล้วแม่เขาบอกว่า ป๊า อย่างนี้ไม่เอา อันนี้ไม่กิน ลูกก็จะจำ สองคนนี้เขาก็จะคอยเป็นสิ่งเตือน เราก็จะทานแต่พอดี และอันไหนที่ทานแล้วเพื่อสุขภาพ ก็เพิ่มขึ้น ให้บาลานซ์กัน
“ถ้าเปรียบเทียบกับเพลงนี้ ก็คิดว่านี่คือมุม “หล่อเลย” ของเรา คือความหล่อของคนเรา บางคนแค่ยืนเฉยๆ ก็หล่อ แต่บางคนมันจะต้องทำอะไรด้วยความถนัดของตัวเอง อย่างเช่นเล่นกีฬา โอ้ ทำไมหล่อขนาดนี้ ทั้งที่หน้าตาก็ไม่ได้เกี่ยวข้อง บางคนร้องเพลงออกไปก็หล่อเลย บางคนก็ทำอะไรก็แล้วแต่ที่ตัวเองถนัดมันมีเสน่ห์ขึ้นมาแล้ว เออ... ดูหล่อจัง
“คือหัวใจมันสำคัญกว่าหน้าตา สำคัญมาก แต่ไม่ได้ว่าคนหล่อไม่ดีนะ แต่ว่าถ้าใครไม่หล่อแล้วทำสิ่งที่มันมีประโยชน์ ทำสิ่งที่ทุกคนเห็นแล้วมีความสุข ก็จะดูหล่อมาก ซึ่งจริงๆ เราอยากจะเสนอมากกว่านั้น คือการทำความดีหลายๆ อย่างมันทำให้หล่อได้เหมือนกัน อย่างช่วยเหลือสังคมโน่นนี่นั่น ไปทำกิจกรรมดีๆ ปลูกต้นไม้ก็หล่อ เราทำตรงนี้เพื่อตัวเราและครอบครัว แม่ พี่สาว เราก็ทำอย่างนี้กับเขา เพียงแต่วันนี้ เพิ่งได้ทำให้เห็นอย่างเต็มที่ในรูปแบบครอบครัว ครอบครัวของเรา แค่นี้เราก็หล่อแล้วเพื่อครอบครัว”
หวดวงสวิง จ๊อกกิ้ง ปั่นจักรยาน
เลยหล่อฉบับ “พลพล”
จากเรื่องมุมมองความคิดสู่พัฒนาการทางรูปร่าง หลังจากลัดเลาะเกาะชีวิตถึงเหตุผลทิศทางการเปลี่ยนแปลงที่เชื่อว่าเป็นแรงบันดาลใจให้กับหลายๆ คน อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือรูปแบบในการออกกำลังกายให้ดูดีและแข็งแรงฉบับหล่อเลยของพลพล
“การออกกำลังกายไม่มีตารางแน่นอนเท่าไหร่ หลักๆ กิจกรรมการออกกำลังกายที่ชอบและทำประจำก็คือ ตีกอล์ฟ จะตีทุกอาทิตย์กับก๊วนเพื่อนๆ ตั้งแต่เที่ยงวันถึงหกโมงเย็น เราก็ได้ขยับช่วงบน เสร็จแล้วเราก็เดิน ไม่นั่งรถ ก็ได้กำลังกายช่วงขา ซึ่งมันเดินตลอด ก็ทำให้ได้การสูบฉีดของเลือดและหัวใจ อย่างน้อยหนึ่งวันต่อสัปดาห์ เราจะหาเวลาไปตีกอล์ฟให้ได้
“นอกจากนี้ วันธรรมดาที่สะดวกๆ ในช่วงเย็น จะพยายามหาให้ได้ 3 วันต่อสัปดาห์ ไปวิ่งจ๊อกกิ้งหรือไม่ก็ปั่นจักรยาน ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ก็พักผ่อน หากิจกรรมเบาๆ เช่น ขับรถไปโน่นนี่นั่น เพื่อให้มีการขยับร่างกาย หรือบางทีมีแวะไปเตะบอลกับเพื่อนๆ ในกลุ่มบ้าง ไปเตะการกุศล ก็เป็นแพลนของเราคร่าวๆ ไมได้ฟิก แต่ทำประจำสม่ำเสมอ”
นักร้องหนุ่มเผยว่า น้ำหนักต่ำสุดที่ลดลงได้เกือบ 10 กิโลกรัม มาตราคงที่ 85 กิโลกรัม
“ช่วงเล่นคอนเสิร์ตใหญ่ ลดลงถึง 85 กิโลกรัม ได้ความสามารถใหม่คือนั่งส้วมพร้อมทั้งเล่นโทรศัพท์ไปได้ด้วย (หัวเราะ) เสื้อก็ใส่ไซต์ L จากที่ XXL การแต่งตัวเราก็เปลี่ยนไป แต่ก่อนขากางเกงกระบอกเล็กใส่ไม่ได้ มันจะปริๆ รัดๆ เป็นตูมๆ ต้องกระบอกใหญ่ ซึ่งมันก็ทำให้ดูใหญ่ขึ้นไปอีก เดี๋ยวนี้กางเกงวอร์มก็ใส่สบาย เป็นไปได้ก็จะลงอีก กำลังพยายามอยู่ ซึ่งตอนนี้ นอกจากเมนูที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพที่เราคอยควบคุม ก็เป็นเรื่องของปริมาณในการรับประทาน
“จริงๆ ก็เพิ่งเริ่มจัดการเรื่องทานอาหารอย่างจริงจังได้เมื่อไม่นานมานี้เอง เมนูมันไม่ได้มีอะไร เช้าตื่นนอนกินไข่ต้มกับนมก่อนเลย หลังจากนั้นมื้อเที่ยงช่วงบ่ายก็จะทานข้าวปกติวันละมื้อกับภรรยา คือพอเราทานไข่ต้มกับนมตอนเช้า ตอนบ่ายๆ เราแทบจะไม่หิวเลย กินได้น้อยมาก จากแต่ก่อนมื้อบ่ายนี่เต็มที่กว่าจะอิ่ม แต่ตอนนี้จานเดียวก็อิ่มแล้ว ตกเย็นก็เบาๆ ทานแต่ไส้ซาลาเปาที่เราชอบ ถ้าดึกๆ หิว เพราะเรานอนค่อนข้างดึกเหมือนกัน ก็จะซดน้ำซุป น้ำผัก เกาเหลา
“แต่ถ้าออกมาค่าย มาทำงานก็จะกินข้าวสองมื้อ มื้อหนึ่งก่อนมาทำงาน แล้วก็กลับบ่ายเย็นไปกินอีกมื้อหนึ่ง ก็ทำให้เราไม่อ้วนเหมือนเดิม เพราะเราเป็นคนที่อ้วนง่าย กินนิดหน่อยก็อ้วนแล้ว แต่พอเริ่มจับจุดตรงนี้ก็ทานปกติ แต่น้ำหนักก็คงตัวไม่เพิ่มขึ้น ก็พยายามควบคุมเรื่องตรงนี้ ก่อนจะนอน สมมุตินอนเที่ยงคืน 2-4 ทุ่ม ก็จะไม่ทานอะไรแล้ว”
ไม่เหมือนแต่ก่อนที่เจ้าตัวบอกว่ากินไม่ยั้ง เวลากลับบ้านเกิดที่จังหวัดหนองคาย ด้วยความที่เป็นคนสร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัด เป็นที่รู้จัก เวลาไปไหนมาไหนก็จะมีคนทายทักและชักชวนเชื้อเชิญ จึงต้องรับไมตรีตั้งแต่มื้อเช้าจนถึงค่ำ
“สมัยนั้นสามารถใช้คำว่าตระเวนกินได้เลย (หัวเราะ) กินแต่เช้าถึงดึกเลย เพราะต้องกินทุกร้านที่อร่อย แต่ทุกวันนี้ก็เลือกหน่อย ทริปนี้ไปกินร้านนี้แล้วกัน เดี๋ยวเดือนหน้าค่อยไปกินร้านนี้ ก็เปลี่ยนเป็นวางแผนไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นเราจะโดนต่อว่า จากร้านที่เรารู้จักทั้งหมด ถ้าไปร้านนี้แล้วไม่ไปร้านนี้ เขาก็จะว่าไม่มาหาเลย ตอนนี้ เราก็เลยใช้วิธีการว่า พอไปทานร้านนี้ แล้วก็หอบห่อของอีกร้านกลับกรุงเทพฯ อะไรอย่างนี้ดีกว่า เรามีการใส่ใจมากขึ้น ก่อนจะกินก็คิด มีการวางแผน วางเป็นขั้นเป็นตอนเลย (หัวเราะ)
“แล้วเรามีการศึกษาเพิ่มเติมจากที่พอจะทราบอยู่แล้วว่าอันไหนอันตราย อันไหนที่หมอห้ามไม่ห้าม ซึ่งอันไหนที่หมอห้าม อร่อยทุกอย่างเลย (หัวเราะ) แต่ก็ทานได้นะ แต่ทานในปริมาณที่ไม่เยอะมาก คือทุกอย่าง ถ้ามันเยอะเกินไป ก็ไม่ดีทั้งนั้น ผลไม้ กินเยอะเกินไปก็ไม่ได้ บางอย่างก็เป็นน้ำตาลย่อยเปลี่ยนเป็นแป้ง กลายเป็นน้ำตาลเหมือนกัน ก็เลยศึกษาบ้างนิดๆ หน่อย
“พวกวิตามิน ก็อ่านด้วยอะไรด้วย ก็จะเลือกที่จะมาเติม แต่ไม่ต้องเยอะมาก แค่เอาวันนี้กินให้ครบ เหมือนแทนอาหาร 5 หมู่ นิดหน่อย เพราะเราทานเรารู้ว่าเราขาดอะไรบ้าง ก็เสริมให้ครบ ผลก็ออกมาดี
นอกจากไม่ป่วยง่ายแล้ว ร่างกายยังแข็งแรงมากขึ้น และส่งผลดีหลายๆ อย่าง โดยหลายๆ อย่างที่ว่านั้น ใครที่เป็นแฟนคลับเพลงพลพล ย่อมได้เห็นลีลาท่าทางที่เปลี่ยนไปนั้นก็คือ การเอ็นเตอร์เทนสนุกสนานมากขึ้นและเร้าใจด้วยท่วงท่าการกระโดดที่ไม่เคยมีมาก่อน...
“เมื่อก่อนไม่เคยกระโดดเลย ตอนนี้ก็มี เพราะปอดมันจะขยายตัวแล้วจังหวะการเต้นของหัวใจมันดี ทำให้เราร้องเพลงและสามารถที่จะกระโดดโลดเต้นบนเวที ยืดระยะเวลาได้ยาว อันนี้นักร้องสำคัญมาก เราเล่นดนตรีกลางคืนมันเหมือนมันใช้พลังค่อนข้างเยอะ ต้องเอ็นเตอร์เทน ก็มีเต้นมีเพลงเร็วๆ ที่เอาของคนอื่นมาเล่น มาให้ทุกคนรีแล็กซ์ นอกเหนือจากเพลงอกหักของเราแล้ว ก็เต้นท่าที่เต้นได้ เราเต้นไม่ค่อยเป็น ก็โยกๆ มีจังหวะกระโดดด้วย เราโดดดึ๋งๆๆ กระโดดๆๆ มือเบสก็มือกีตาร์ก็โดดตาม ชวนคนฟังกระโดด ก็จะทำให้รู้สึกว่า ถ้าเราไม่แข็งแรง ปอดเราไม่ดี กระโดดเสร็จปั๊บ เราลงมาหอบร้องไม่ได้อีก คนฟังก็จะฟังลำบากไปด้วย
“ยิ่งในยุคสมัยนี้ที่คนมีความสามารถกันเยอะ หากเราทำพลาดแค่โชว์เดียว ครั้งเดียว โอกาสจะกลับมาอีก ยากมาก เราก็ต้องดูแลตัวเอง ไม่ใช่แค่เรื่องการพักผ่อนให้เพียงพอเฉพาะวันที่เราจะต้องไปโชว์เท่านั้นอย่างที่เราเคยทำสมัยก่อน เราต้องรักษามาตรฐานของเราไว้ การออกกำลังกาย เรื่องอาหารการกิน ก็สำคัญ เราไม่อยากให้แฟนๆ ผิดหวังที่รอคอยเรา และก็อย่างที่บอก เราต้องดูแลตัวเองเพื่อครอบครัว เพราะเขาจะต้องอยู่กับเราไปตลอดชีวิต เราก็ต้องดูแลทุกอย่าง ทำทุกอย่าง ทั้งสุขภาพร่างกาย จิตใจ งาน เพื่อให้ครอบครัวเราดี”
ทำให้ดีที่สุดเพื่อสังคม เมื่อมีโอกาส
“ใจหล่อๆ เลย” ของพลพลคนเดิม
“ก็พยายามทำให้เต็มที่ที่สุด ตอนนี้ก็ตั้งเป้าในเรื่องสุขภาพไว้ว่าจะต้องลดลงอีก ให้สุขภาพร่างกายเราดีที่สุดในวันนี้เพื่อวันข้างหน้า ส่วนเรื่องผลงานเพลงก็เกินคาดมาก แรกๆ คุยกับโอมว่า อาทิตย์แรกได้ 5 แสนวิวก็ดีใจมาก แต่กลายเป็น 5 ล้านวิว ซึ่งมันเป็นอะไรที่ไปได้ไกลมากเลย ทั้งๆ ที่จังหวะที่เราออกซิงเกิ้ล ก็มีเพลงดังเยอะแยะมากมายที่ได้รับความนิยม นอกจากนั้นเราก็หายไปตั้งหลายปี นับจากอัลบั้มที่ 8 ไม่นึกไม่ฝันว่า กลับมาครั้งนี้ จะได้กระแสที่น่าดีใจอย่างนี้
“ก็ขอขอบคุณแฟนๆ เพลงที่ให้การตอนรับเป็นอย่างดีครับ”
นักร้องหนุ่มกล่าวด้วยรอยยิ้มเต็มดวงหน้า เพราะนอกจากจะเกินความคาดหมายเป็นเท่าตัว ยอดวิวเพลง "หล่อเลย" ที่หยิบเอาตัวตนของตัวเองมาเป็นท่วงทำนองและเนื้อร้อง ณ ตอนนี้ก็ยังทะยานขึ้นไม่หยุด พร้อมกับไต่ชาร์ตคลื่นวิทยุอย่างไม่มีตกลำดับ
“เราก็ทำอย่างเต็มที่เพื่อให้ผลงานออกมาดีที่สุด ตอนนี้ก็กำลังคุยกันอยู่ว่าซิงเกิ้ลต่อไปจะเป็นอย่างไร จะแนวแบบใหม่อย่างเพลงหล่อเลยหรือไม่ ยังบอกไม่ได้ แต่การันตีได้เลยว่าเนื้อหาที่ดีๆ ยังคงมีอยู่ ทั้งอบอุ่น ซึ้ง อกหักรักคุด เพราะทุกวันนี้เราก็ยังคงต้องกินข้าวผัดกะเพราอยู่ กินสเต็กมาก็ต้องกินข้าวผัดกะเพราอยู่ดี ฉะนั้นกะเพราเราก็ยังต้องมีเหมือนเดิม แต่ว่าเพิ่มเติมคืออาจจะเผ็ดขึ้นหรือรสชาติเข็มข้นขึ้น ด้วยมุมมองความคิดของคนรุ่นใหม่ เนื้อหาอาจจะลึกขึ้น อาจจะสมหวังขึ้นก็ได้
“เพราะทุกวันนี้ก็สมหวังในชีวิตของเราหมดแล้ว ถือว่าครอบครัวของเราค่อนข้างสมบูรณ์ แล้วก็มีความสุขเพียงพอที่เราจะใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ ให้เราทำงานมีกำลังใจ”
ไม่ต่างไปจากคำกล่าวของคนที่ประสบความสำเร็จหลายๆ คน ล้วนแต่มีร่างกายที่พร้อม กับใจที่พร้อม
“จริงๆ ก็ไม่ได้เป็นคนวางแผนในเรื่องของอนาคตมากมายเท่าไหร่ มันเหมือนกับเป็นช่วงๆ ไป ช่วงนี้เราต้องต่อสู้กับอะไร เจอเรื่องอะไร โฟกัสเป็นเรื่องๆ ไป เรื่องอนาคตเราไม่เคยพูดว่า ถ้าเราไม่ได้อยู่ด้วยกันหรือเราไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว จะไม่พูดถึง แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นข้างหน้าไม่เป็นไร แต่ว่าตอนนี้เราทำให้มีความสุข ครอบครัวเราให้มันมีความสุข ทำให้ดี การทำงานก็เช่นกัน ดีที่สุดทุกวันนี้กับทีมงาน มีงานอะไรก็ทำ ให้ทำ ทำได้หมด ก็จะทำให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในตำแหน่งที่เราอยู่
“การใช้ชีวิตก็เช่นกัน ทำไปให้ดีที่สุด วันที่ผ่านมา ถ้าถามถึงนิยามชีวิต คือการมองไปข้างหน้า วันข้างหลังที่เราผ่านมา ให้มันเป็นประสบการณ์ไป วันข้างหน้าเราต้องเจออะไรอีกเยอะมาก เพราะฉะนั้น เราเตรียมตัว ทั้งใจและร่างกาย เตรียมความคิด เตรียมสมองของเราให้ดี เพื่อที่จะรับมันให้ได้ แค่นี้ก็หล่อแล้ว (หัวเราะ)
“คือบางทีมันไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่มาก หลายๆ คนก็ทำได้ ยกตัวอย่างเช่น เราไปเป็นอาสาสมัคร ป.เต็กตึ๊ง คนรอบข้างมองเราหล่อ แต่โอมเขาก็มองเราหล่ออีกแบบอย่างที่กล่าวถึงการเริ่มต้นของเพลงๆ นี้ เป็นต้น คือความหล่อใครๆ ก็ทำได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นมูลนิธิ เป็นแค่คนธรรมดา แต่ว่าช่วยเหลือสังคม คืนความสุขให้สังคมบ้าง
“เป็นแค่คนธรรมดาแต่ว่าเจอเหตุการณ์แบบนั้นแบบนี้แล้วลงไปช่วย หรือว่าโทรแจ้ง แค่นี้ก็หล่อแล้ว ถ้าเรามีความห่วงใยคนอื่นมากขึ้น ใส่ใจคนอื่น ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เจอหมาตกขี้โคลนก็หยิบเก็บขึ้น นำไปล้าง ไปอาบน้ำให้ หมาโดนรถชนพาไปหาหมอ บางทีไปทิ้งไว้ที่หมอ มันไม่มีค่าใช้จ่าย บอกหมอว่า “หมาใครไม่รู้โดนรถชน” ก็หล่อแล้ว ก็ช่วยเหลือกัน นิดๆ หน่อยๆ
“คือเราไม่จำเป็นต้องแบบไปแสดงให้ใครเห็นก็ได้ เขาจะเห็นเองโดยที่ว่าเราทำดี เราทำสิ่งที่มีประโยชน์ มันต้องหล่อแน่นอน”
“...อาจไม่หล่อพอ ให้เธอเหลียว แต่ว่าฉันคนเดียวรักใคร แล้วรักปักหัวใจ
ไม่ชอบไม่เป็นไร แต่ขอให้ฉันได้โฆษณาตัวเองสักหน่อย
อาจดูไม่ดีนัก แต่ร้องเพลงเพราะ พร้อมทำให้เธอหัวเราะยิ้มได้ทั้งวัน
ดูแลก็ได้ เอาใจก็ได้ อาจไม่หล่อเท่าไร แต่หัวใจฉันหล่อเลย...”
นักร้องหนุ่มย้ำยืนยันเพิ่มถึงความหล่อที่เกิดขึ้นได้จากข้างใน
“ก็ขอฝากเพลงหล่อเลยนะครับ เพลงนี้มันเป็นเพลงที่พวกเราตั้งใจกันทำเต็มที่ และเป็นเหมือนกับความตั้งใจสองอย่างมันมาบรรจบกันแล้วทำให้เราสำเร็จขึ้นมาได้ แล้วเป็นความสำเร็จของคนทั้งค่ายจีนี่ เรคอร์ดส ซึ่งพอเพลงนี้ได้รับการตอบรับดี เราก็ดีใจที่ยังได้อยู่ ก็อยากจะฝากเพลงนี้ไปร้องกันครับ”
เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร
“พลพล พลกองเส็ง” เก็บเกี่ยวสั่งสมประสบการณ์ควบคู่กับการเติบโตมากับมิตรรักแฟนเพลง เป็นตัวแทนผู้ชายที่จริงใจ อบอุ่นในอ้อมกอดที่เปี่ยมด้วยน้ำหนัก นับยุคสมัยราวร่วมกว่า 16 ปี ใน 8 อัลบั้ม ก่อนจะห่างหายไปถึง 5 ปีเต็ม และกลับมาพร้อมซิงเกิ้ลใหม่ล่าสุดในเพลง “หล่อเลย” ยอดฮิตการันตี 13 ล้านวิวในหนึ่งเดือน ที่เนื้อหาโดนใจและตัวตนที่เปลี่ยนไป จาก “อ้วนดำ” เป็น “หล่อเลย”
เราจึงก้าวเดินทางไปหาและไขคำตอบ หลังเมโลดี้ชีวิต ห้วงทำนองในฉบับพลพล 2016 วัย 44 ปี ที่ทุกอย่างลงตัว “หล่อเลย”...
คนจะงาม งามจากใจ...ใช่ใบหน้า
ลำนำพลิกชีวิตเพื่อครอบครัว
“หล่อเลย ซิงเกิ้ลนี้เริ่มต้นจากการที่พวกเราได้มาร่วมงานกันในค่า G-16 เจอกันบ่อย มีปาร์ตี้ค่าย มีอะไรก็มาเจอกัน จากนั้นไม่นาน น้องโอม (ปัณฑพล ประสารราชกิจ) เขาก็เปรยขึ้นมาว่า เวลาเราอยู่ด้านหลังเวที หลังความมืดมนในเพลง ทำไมมีความสุขมากแล้วก็สนุกมาก เฮฮาปาร์ตี้มาก แล้วก็เอ็นเตอร์เทนกับน้องๆ ดีมากเลย มุมนี้ แฟนเพลงที่อยู่หน้าจอทีวีก็ยังไม่เคยเห็น นอกจากพวกอกหักรักคุด”
นักร้องดังหนุ่มใหญ่ กล่าวเล่าที่มาของซิงเกิ้ลเพลงล่าสุดอย่างอารมณ์ดี
“ทั้งนี้ น้องโอมบอกว่าเขามีความสุขมากที่ได้เห็นเราเวลานั้น เขาเลยอยากจะให้ทุกคนได้เห็นบ้าง และอยากจะเขียนเพลงให้ ซึ่งตอนแรกได้ฟังเนื้อกับเมโลดี้ เราก็บอกว่า โอม... พี่ร้องไม่ได้แน่เลย” (หัวเราะ)
“หล่อเลย หมายถึง ช่วงเวลาแห่งความสนุก เวลาเราอยู่เฉยๆ หรือนิ่งๆ ก็จะเฉยๆ มาก แต่ถ้าร้องเพลงหรือว่ามีความสุขเมื่อไหร่ จะดูหล่อมาก เขาก็เลยอยากจะเสนอมุมที่หล่อของเราออกไป ในมุมที่สนุกสนาน ซึ่งโดยส่วนตัวเราก็เป็นอย่างนั้น ชีวิตจริงๆ เราเป็นคนสนุกมาก คือแฟนๆ อาจจะคิดว่าตรงกันข้ามกับเรา เพราะงานเพลงเรามันจะมีแต่มุมอกหักรักคุดซะเยอะ มีมุมที่แบบว่าเบื่อหน่าย มีมุมท้อแท้ เป็นตัวแทนของคนที่สู้ และด้วยน้ำเสียงของเรามันเศร้าด้วย
“แต่มันก็เป็นการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้กับคนคนนั้น เขาบอกว่าใครอกหักบ่อยๆ ก็จะรู้สึกว่าแข็งแรงมากขึ้นทุกวัน ... ชิน มันจะรู้สึกว่าไม่เจ็บแล้วอะไรอย่างนี้ แล้วก็จะระวังตัวมากขึ้น ก็จะใช้ชีวิตแบบไม่ประมาทเยอะขึ้น ความรักมันสอนหลายอย่างมากเลย มันทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตเรามีค่ามากขึ้น ถ้าเราผ่านตรงนั้นมาได้ มันจะทำให้เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราพลาดไป เราก็จะระวังตัวมากขึ้น เหมือนคนที่เคยปั่นจักรยาน หรือว่าขี่มอเตอร์ไซค์ล้ม เฮ้ย มุมนี้ลงไม่ได้ ล้มแน่นอน เราก็จะระวังตัวเยอะขึ้น”
จาก “หล่อเลย” ที่เป็นชื่อของซิงเกิ้ล โยงใยสู่การปรับเปลี่ยนรูปโฉมภายนอกที่ใครๆ ติดภาพเพลง “อ้วนดำ” และ “ตาแดงๆ” ก็จะนึกภาพพลพลในวัยก่อนนี้ออก แต่พลพลในวัย 44 ปีเวลานี้ เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด
“เพราะทุกวันนี้ โรคภัยมันเยอะมาก อยู่ดีๆ ก็เป็นโน่นนี่นั่นขึ้นมา แถมแก้ไขรักษาไม่ค่อยได้ บางโรคไม่มียารักษา ดังนั้น ถ้าเราไม่ดูแลตัวเอง ภูมิคุ้มกันมันก็จะน้อย อย่างอาการเป็นหวัดง่ายๆ ที่เมื่อก่อน เราเป็นแทบทุกอาทิตย์เวลาไปทัวร์คอนเสิร์ตแล้วไม่ได้เอาไมค์ส่วนตัวไป เราก็จะติดไข้หวัดได้ง่าย ณ ปัจจุบันนี้ก็ดูแลตัวเองเยอะขึ้น มีไมค์ส่วนตัวเสมอ หรือว่าออกกำลังกายเยอะขึ้น ทานวิตามินบ้าง
“ผมเริ่มมาดูแลตัวเองอย่างจริงจังเมื่อประมาณ 9 ปีที่ผ่านมา หลังจากมีครอบครัว ซึ่งก่อนมีครอบครัว เราไม่ดูเคยเลย แม้กระทั่งครีมกันแดดก็ไม่ทา ไปตีกอล์ฟกับเพื่อนๆ ตัวดำปึ๊ด เข้ามาในค่าย ใครๆ ก็ โอ้โห... พี่ไท-ธนาวุฒิ สอง (หัวเราะ) แต่เราไม่ดูธรรมชาติที่จะดูดีเหมือนพี่เขา เราดำไหม้มาเลย กว่าจะคืนมาได้
ส่วนเรื่องอาหาร การกินเราก็พยายามศึกษาดูว่าอันไหนที่มันอันตรายมากๆ ก็จะทานน้อยลง หมูสามชั้นเอย ข้าวขาหมูเอย และอาหารที่มีแคลอรี่สูงซึ่งจะทำให้น้ำหนักพุ่ง ก็พยายามลด และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง แอลกอฮอล์
“ตอนนั้นหนักพีคสุด 96 กิโลกรัม คือนอกจากไม่สบายได้ง่ายแล้ว เรารู้สึกว่าถ้ากินอิ่มมากเกินไป นอนก็ลำบาก เดินเหินก็ลำบาก ยิ่งเข้าห้องน้ำทำธุระยิ่งลำบาก เจอส้วมซึมต้องนับ 1-2-3 ค่อยลุก ไม่อย่างนั้น หน้าคะมำ และบวกกับแต่ก่อนเป็นคนที่ดื่มเยอะมากด้วย พักผ่อนก็น้อย นอนตี 4 ตื่น 6 โมงเช้าไปถ่ายเอ็มวี เนื้อเพลงก็จำไม่ค่อยได้ อะไรก็จำไม่ได้ มันเบลอไปหมด ยอมรับว่าเมามากชีวิตช่วงนั้น ก็รู้สึกว่าชีวิตแบบนี้มันไม่ไหว
“พอเลิกแอลกอฮอล์ได้ 1 ปี ก็เจอภรรยา มีครอบครัว ชีวิตก็เปลี่ยน แต่ก่อนดื่มกับไม่ดื่ม เราก็สนุกสนานเหมือนกัน ส่วนที่ไม่เหมือนคือจากอิสรเสรีมากๆ 200 เปอร์เซ็นต์ เวลาอยู่กับเพื่อน จะเป็นแบบนั้น จะทำอะไรไปไหนไม่มีใครว่า แต่มันเป็นความสุขชั่วครู่ชั่วคราวที่เราได้ทำ แล้วก็สิ้นเปลืองทั้งเงินทอง ทั้งพลังกายและพลังใจเยอะมาก ร่างกาย ใช้เผาผลาญไปแบบว่า มันใช้ชีวิตเกินอายุมาก แอดวานซ์ไปเยอะมาก
“ภรรยา ครอบครัว คือแรงบันดาลใจ แรงผลัก”
ศิลปินคุณพ่อลูกหนึ่ง เอ่ยถึงเหตุผลในการเปลี่ยนแปลงพัฒนาที่เริ่มต้นจากใจและความรักของครอบครัว
“ภรรยาของผมเป็นคนที่ค่อนข้างจะเลือกรับประทาน เขาอยากให้เรากินเพื่อสุขภาพที่ดี เช่น สลัดผัก ไม่มีไข่ ไม่มีไก่อะไรเลย ผักล้วนๆ คือปกติ เราก็กินผักอยู่แล้ว พวกผักเครื่องเคียง แต่ไม่ใช่แบบที่เขาทาน สลัดเราก็ทานได้ แต่จะมีไข่ มีไก่ มีอะไรบ้าง ชูรสนิดหน่อย
“และเราเป็นคนชอบทำกับข้าว ซึ่งเราก็ทำรสจัด แต่ก่อนนี้ใครกินกับเราไม่ได้เลย ทั้งเผ็ด เค็ม ทุกอย่าง แค่ไข่เจียว คนอื่นยังทานกับเราไม่ได้เลย แต่ทุกวันนี้ก็ลดสเต็ปลงมา เอาแค่เข้มข้นนิดหน่อยพอ เพราะยังติดจากสมัยก่อน เนื่องจากเราเป็นครอบครัวยากจน เวลาที่เราทำกับข้าว ก็ต้องทำรสจัดๆ เพราะทำกับข้าวได้น้อย อาศัยเน้นข้าวเยอะๆ ทีนี้ พอเราเป็นคนทำอาหารให้ครอบครัว ให้ลูกกินเอง ก็เปลี่ยนให้เป็นกลางๆ กินได้ รสชาติพออร่อย จืดๆ ก็ต้องทานได้ เพื่อสุขภาพ
“เพราะเราต้องดูแลเขา จะต้องอยู่กับเขาไปตลอดชีวิต มันกลายเป็นว่าเราต้องดูแลทั้งจิตใจและสุขภาพ นอกเหนือเรื่องของสภาพสังคม เราต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ครอบครัวเราดี ซึ่งเรื่องตรงนี้สำคัญมาก จากประสบการณ์ของตัวเอง เราก็เลยเปลี่ยน”
จาก “คนเดินถนน” สู่ “รักเอย” ทำให้ “ยังยิ้มได้” แม้ใน “วันฝนซา” 4 อัลบัมยอดฮิตสร้างชื่อ ก่อนมาถึงอัลบัม “คนกันเอง”, “คนรักแฟน”, “สุดปลายฝัน” และล่าสุด กับซิงเกิ้ล “หล่อเลย” จึงค่อยๆ เพิ่มมิติ
“ก็คล้ายๆ เพลงในแต่ละยุค มันก็บ่งบอกถึงช่วงจังหวะชีวิตแต่ละช่วงเหมือนกัน อย่าง “ยังยิ้มได้” มันทำให้รู้สึกว่า ไม่ว่าเราจะลำบากยากเข็ญ เหนื่อยขนาดไหนก็ยังสู้ทนกันต่อไป อยู่ข้างๆ กัน ก็ทำให้เราเปลี่ยนไม่ยากขึ้น เจอสลัดก็ยังยิ้มได้ (หัวเราะ) ไม่มีอาการสะดุด เพราะไม่ได้เคร่งกันมาก อันไหนชอบ เราก็ยังกินอยู่ แต่กินน้อยลง ถ้าเกิดจะทานเยอะในจังวะที่ขัดเจ้าภาพไม่ได้ มาแล้ว รูปไม่ต้องพก ภาพและเสียงของภรรยาและลูกลอยมาเองเลย “ป๊า อย่านะ ป๊าอย่านะครับ” เขาก็จะจำมาจากแม่เวลานั่งทานกันอยู่แล้วแม่เขาบอกว่า ป๊า อย่างนี้ไม่เอา อันนี้ไม่กิน ลูกก็จะจำ สองคนนี้เขาก็จะคอยเป็นสิ่งเตือน เราก็จะทานแต่พอดี และอันไหนที่ทานแล้วเพื่อสุขภาพ ก็เพิ่มขึ้น ให้บาลานซ์กัน
“ถ้าเปรียบเทียบกับเพลงนี้ ก็คิดว่านี่คือมุม “หล่อเลย” ของเรา คือความหล่อของคนเรา บางคนแค่ยืนเฉยๆ ก็หล่อ แต่บางคนมันจะต้องทำอะไรด้วยความถนัดของตัวเอง อย่างเช่นเล่นกีฬา โอ้ ทำไมหล่อขนาดนี้ ทั้งที่หน้าตาก็ไม่ได้เกี่ยวข้อง บางคนร้องเพลงออกไปก็หล่อเลย บางคนก็ทำอะไรก็แล้วแต่ที่ตัวเองถนัดมันมีเสน่ห์ขึ้นมาแล้ว เออ... ดูหล่อจัง
“คือหัวใจมันสำคัญกว่าหน้าตา สำคัญมาก แต่ไม่ได้ว่าคนหล่อไม่ดีนะ แต่ว่าถ้าใครไม่หล่อแล้วทำสิ่งที่มันมีประโยชน์ ทำสิ่งที่ทุกคนเห็นแล้วมีความสุข ก็จะดูหล่อมาก ซึ่งจริงๆ เราอยากจะเสนอมากกว่านั้น คือการทำความดีหลายๆ อย่างมันทำให้หล่อได้เหมือนกัน อย่างช่วยเหลือสังคมโน่นนี่นั่น ไปทำกิจกรรมดีๆ ปลูกต้นไม้ก็หล่อ เราทำตรงนี้เพื่อตัวเราและครอบครัว แม่ พี่สาว เราก็ทำอย่างนี้กับเขา เพียงแต่วันนี้ เพิ่งได้ทำให้เห็นอย่างเต็มที่ในรูปแบบครอบครัว ครอบครัวของเรา แค่นี้เราก็หล่อแล้วเพื่อครอบครัว”
หวดวงสวิง จ๊อกกิ้ง ปั่นจักรยาน
เลยหล่อฉบับ “พลพล”
จากเรื่องมุมมองความคิดสู่พัฒนาการทางรูปร่าง หลังจากลัดเลาะเกาะชีวิตถึงเหตุผลทิศทางการเปลี่ยนแปลงที่เชื่อว่าเป็นแรงบันดาลใจให้กับหลายๆ คน อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือรูปแบบในการออกกำลังกายให้ดูดีและแข็งแรงฉบับหล่อเลยของพลพล
“การออกกำลังกายไม่มีตารางแน่นอนเท่าไหร่ หลักๆ กิจกรรมการออกกำลังกายที่ชอบและทำประจำก็คือ ตีกอล์ฟ จะตีทุกอาทิตย์กับก๊วนเพื่อนๆ ตั้งแต่เที่ยงวันถึงหกโมงเย็น เราก็ได้ขยับช่วงบน เสร็จแล้วเราก็เดิน ไม่นั่งรถ ก็ได้กำลังกายช่วงขา ซึ่งมันเดินตลอด ก็ทำให้ได้การสูบฉีดของเลือดและหัวใจ อย่างน้อยหนึ่งวันต่อสัปดาห์ เราจะหาเวลาไปตีกอล์ฟให้ได้
“นอกจากนี้ วันธรรมดาที่สะดวกๆ ในช่วงเย็น จะพยายามหาให้ได้ 3 วันต่อสัปดาห์ ไปวิ่งจ๊อกกิ้งหรือไม่ก็ปั่นจักรยาน ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ก็พักผ่อน หากิจกรรมเบาๆ เช่น ขับรถไปโน่นนี่นั่น เพื่อให้มีการขยับร่างกาย หรือบางทีมีแวะไปเตะบอลกับเพื่อนๆ ในกลุ่มบ้าง ไปเตะการกุศล ก็เป็นแพลนของเราคร่าวๆ ไมได้ฟิก แต่ทำประจำสม่ำเสมอ”
นักร้องหนุ่มเผยว่า น้ำหนักต่ำสุดที่ลดลงได้เกือบ 10 กิโลกรัม มาตราคงที่ 85 กิโลกรัม
“ช่วงเล่นคอนเสิร์ตใหญ่ ลดลงถึง 85 กิโลกรัม ได้ความสามารถใหม่คือนั่งส้วมพร้อมทั้งเล่นโทรศัพท์ไปได้ด้วย (หัวเราะ) เสื้อก็ใส่ไซต์ L จากที่ XXL การแต่งตัวเราก็เปลี่ยนไป แต่ก่อนขากางเกงกระบอกเล็กใส่ไม่ได้ มันจะปริๆ รัดๆ เป็นตูมๆ ต้องกระบอกใหญ่ ซึ่งมันก็ทำให้ดูใหญ่ขึ้นไปอีก เดี๋ยวนี้กางเกงวอร์มก็ใส่สบาย เป็นไปได้ก็จะลงอีก กำลังพยายามอยู่ ซึ่งตอนนี้ นอกจากเมนูที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพที่เราคอยควบคุม ก็เป็นเรื่องของปริมาณในการรับประทาน
“จริงๆ ก็เพิ่งเริ่มจัดการเรื่องทานอาหารอย่างจริงจังได้เมื่อไม่นานมานี้เอง เมนูมันไม่ได้มีอะไร เช้าตื่นนอนกินไข่ต้มกับนมก่อนเลย หลังจากนั้นมื้อเที่ยงช่วงบ่ายก็จะทานข้าวปกติวันละมื้อกับภรรยา คือพอเราทานไข่ต้มกับนมตอนเช้า ตอนบ่ายๆ เราแทบจะไม่หิวเลย กินได้น้อยมาก จากแต่ก่อนมื้อบ่ายนี่เต็มที่กว่าจะอิ่ม แต่ตอนนี้จานเดียวก็อิ่มแล้ว ตกเย็นก็เบาๆ ทานแต่ไส้ซาลาเปาที่เราชอบ ถ้าดึกๆ หิว เพราะเรานอนค่อนข้างดึกเหมือนกัน ก็จะซดน้ำซุป น้ำผัก เกาเหลา
“แต่ถ้าออกมาค่าย มาทำงานก็จะกินข้าวสองมื้อ มื้อหนึ่งก่อนมาทำงาน แล้วก็กลับบ่ายเย็นไปกินอีกมื้อหนึ่ง ก็ทำให้เราไม่อ้วนเหมือนเดิม เพราะเราเป็นคนที่อ้วนง่าย กินนิดหน่อยก็อ้วนแล้ว แต่พอเริ่มจับจุดตรงนี้ก็ทานปกติ แต่น้ำหนักก็คงตัวไม่เพิ่มขึ้น ก็พยายามควบคุมเรื่องตรงนี้ ก่อนจะนอน สมมุตินอนเที่ยงคืน 2-4 ทุ่ม ก็จะไม่ทานอะไรแล้ว”
ไม่เหมือนแต่ก่อนที่เจ้าตัวบอกว่ากินไม่ยั้ง เวลากลับบ้านเกิดที่จังหวัดหนองคาย ด้วยความที่เป็นคนสร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัด เป็นที่รู้จัก เวลาไปไหนมาไหนก็จะมีคนทายทักและชักชวนเชื้อเชิญ จึงต้องรับไมตรีตั้งแต่มื้อเช้าจนถึงค่ำ
“สมัยนั้นสามารถใช้คำว่าตระเวนกินได้เลย (หัวเราะ) กินแต่เช้าถึงดึกเลย เพราะต้องกินทุกร้านที่อร่อย แต่ทุกวันนี้ก็เลือกหน่อย ทริปนี้ไปกินร้านนี้แล้วกัน เดี๋ยวเดือนหน้าค่อยไปกินร้านนี้ ก็เปลี่ยนเป็นวางแผนไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นเราจะโดนต่อว่า จากร้านที่เรารู้จักทั้งหมด ถ้าไปร้านนี้แล้วไม่ไปร้านนี้ เขาก็จะว่าไม่มาหาเลย ตอนนี้ เราก็เลยใช้วิธีการว่า พอไปทานร้านนี้ แล้วก็หอบห่อของอีกร้านกลับกรุงเทพฯ อะไรอย่างนี้ดีกว่า เรามีการใส่ใจมากขึ้น ก่อนจะกินก็คิด มีการวางแผน วางเป็นขั้นเป็นตอนเลย (หัวเราะ)
“แล้วเรามีการศึกษาเพิ่มเติมจากที่พอจะทราบอยู่แล้วว่าอันไหนอันตราย อันไหนที่หมอห้ามไม่ห้าม ซึ่งอันไหนที่หมอห้าม อร่อยทุกอย่างเลย (หัวเราะ) แต่ก็ทานได้นะ แต่ทานในปริมาณที่ไม่เยอะมาก คือทุกอย่าง ถ้ามันเยอะเกินไป ก็ไม่ดีทั้งนั้น ผลไม้ กินเยอะเกินไปก็ไม่ได้ บางอย่างก็เป็นน้ำตาลย่อยเปลี่ยนเป็นแป้ง กลายเป็นน้ำตาลเหมือนกัน ก็เลยศึกษาบ้างนิดๆ หน่อย
“พวกวิตามิน ก็อ่านด้วยอะไรด้วย ก็จะเลือกที่จะมาเติม แต่ไม่ต้องเยอะมาก แค่เอาวันนี้กินให้ครบ เหมือนแทนอาหาร 5 หมู่ นิดหน่อย เพราะเราทานเรารู้ว่าเราขาดอะไรบ้าง ก็เสริมให้ครบ ผลก็ออกมาดี
นอกจากไม่ป่วยง่ายแล้ว ร่างกายยังแข็งแรงมากขึ้น และส่งผลดีหลายๆ อย่าง โดยหลายๆ อย่างที่ว่านั้น ใครที่เป็นแฟนคลับเพลงพลพล ย่อมได้เห็นลีลาท่าทางที่เปลี่ยนไปนั้นก็คือ การเอ็นเตอร์เทนสนุกสนานมากขึ้นและเร้าใจด้วยท่วงท่าการกระโดดที่ไม่เคยมีมาก่อน...
“เมื่อก่อนไม่เคยกระโดดเลย ตอนนี้ก็มี เพราะปอดมันจะขยายตัวแล้วจังหวะการเต้นของหัวใจมันดี ทำให้เราร้องเพลงและสามารถที่จะกระโดดโลดเต้นบนเวที ยืดระยะเวลาได้ยาว อันนี้นักร้องสำคัญมาก เราเล่นดนตรีกลางคืนมันเหมือนมันใช้พลังค่อนข้างเยอะ ต้องเอ็นเตอร์เทน ก็มีเต้นมีเพลงเร็วๆ ที่เอาของคนอื่นมาเล่น มาให้ทุกคนรีแล็กซ์ นอกเหนือจากเพลงอกหักของเราแล้ว ก็เต้นท่าที่เต้นได้ เราเต้นไม่ค่อยเป็น ก็โยกๆ มีจังหวะกระโดดด้วย เราโดดดึ๋งๆๆ กระโดดๆๆ มือเบสก็มือกีตาร์ก็โดดตาม ชวนคนฟังกระโดด ก็จะทำให้รู้สึกว่า ถ้าเราไม่แข็งแรง ปอดเราไม่ดี กระโดดเสร็จปั๊บ เราลงมาหอบร้องไม่ได้อีก คนฟังก็จะฟังลำบากไปด้วย
“ยิ่งในยุคสมัยนี้ที่คนมีความสามารถกันเยอะ หากเราทำพลาดแค่โชว์เดียว ครั้งเดียว โอกาสจะกลับมาอีก ยากมาก เราก็ต้องดูแลตัวเอง ไม่ใช่แค่เรื่องการพักผ่อนให้เพียงพอเฉพาะวันที่เราจะต้องไปโชว์เท่านั้นอย่างที่เราเคยทำสมัยก่อน เราต้องรักษามาตรฐานของเราไว้ การออกกำลังกาย เรื่องอาหารการกิน ก็สำคัญ เราไม่อยากให้แฟนๆ ผิดหวังที่รอคอยเรา และก็อย่างที่บอก เราต้องดูแลตัวเองเพื่อครอบครัว เพราะเขาจะต้องอยู่กับเราไปตลอดชีวิต เราก็ต้องดูแลทุกอย่าง ทำทุกอย่าง ทั้งสุขภาพร่างกาย จิตใจ งาน เพื่อให้ครอบครัวเราดี”
ทำให้ดีที่สุดเพื่อสังคม เมื่อมีโอกาส
“ใจหล่อๆ เลย” ของพลพลคนเดิม
“ก็พยายามทำให้เต็มที่ที่สุด ตอนนี้ก็ตั้งเป้าในเรื่องสุขภาพไว้ว่าจะต้องลดลงอีก ให้สุขภาพร่างกายเราดีที่สุดในวันนี้เพื่อวันข้างหน้า ส่วนเรื่องผลงานเพลงก็เกินคาดมาก แรกๆ คุยกับโอมว่า อาทิตย์แรกได้ 5 แสนวิวก็ดีใจมาก แต่กลายเป็น 5 ล้านวิว ซึ่งมันเป็นอะไรที่ไปได้ไกลมากเลย ทั้งๆ ที่จังหวะที่เราออกซิงเกิ้ล ก็มีเพลงดังเยอะแยะมากมายที่ได้รับความนิยม นอกจากนั้นเราก็หายไปตั้งหลายปี นับจากอัลบั้มที่ 8 ไม่นึกไม่ฝันว่า กลับมาครั้งนี้ จะได้กระแสที่น่าดีใจอย่างนี้
“ก็ขอขอบคุณแฟนๆ เพลงที่ให้การตอนรับเป็นอย่างดีครับ”
นักร้องหนุ่มกล่าวด้วยรอยยิ้มเต็มดวงหน้า เพราะนอกจากจะเกินความคาดหมายเป็นเท่าตัว ยอดวิวเพลง "หล่อเลย" ที่หยิบเอาตัวตนของตัวเองมาเป็นท่วงทำนองและเนื้อร้อง ณ ตอนนี้ก็ยังทะยานขึ้นไม่หยุด พร้อมกับไต่ชาร์ตคลื่นวิทยุอย่างไม่มีตกลำดับ
“เราก็ทำอย่างเต็มที่เพื่อให้ผลงานออกมาดีที่สุด ตอนนี้ก็กำลังคุยกันอยู่ว่าซิงเกิ้ลต่อไปจะเป็นอย่างไร จะแนวแบบใหม่อย่างเพลงหล่อเลยหรือไม่ ยังบอกไม่ได้ แต่การันตีได้เลยว่าเนื้อหาที่ดีๆ ยังคงมีอยู่ ทั้งอบอุ่น ซึ้ง อกหักรักคุด เพราะทุกวันนี้เราก็ยังคงต้องกินข้าวผัดกะเพราอยู่ กินสเต็กมาก็ต้องกินข้าวผัดกะเพราอยู่ดี ฉะนั้นกะเพราเราก็ยังต้องมีเหมือนเดิม แต่ว่าเพิ่มเติมคืออาจจะเผ็ดขึ้นหรือรสชาติเข็มข้นขึ้น ด้วยมุมมองความคิดของคนรุ่นใหม่ เนื้อหาอาจจะลึกขึ้น อาจจะสมหวังขึ้นก็ได้
“เพราะทุกวันนี้ก็สมหวังในชีวิตของเราหมดแล้ว ถือว่าครอบครัวของเราค่อนข้างสมบูรณ์ แล้วก็มีความสุขเพียงพอที่เราจะใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ ให้เราทำงานมีกำลังใจ”
ไม่ต่างไปจากคำกล่าวของคนที่ประสบความสำเร็จหลายๆ คน ล้วนแต่มีร่างกายที่พร้อม กับใจที่พร้อม
“จริงๆ ก็ไม่ได้เป็นคนวางแผนในเรื่องของอนาคตมากมายเท่าไหร่ มันเหมือนกับเป็นช่วงๆ ไป ช่วงนี้เราต้องต่อสู้กับอะไร เจอเรื่องอะไร โฟกัสเป็นเรื่องๆ ไป เรื่องอนาคตเราไม่เคยพูดว่า ถ้าเราไม่ได้อยู่ด้วยกันหรือเราไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว จะไม่พูดถึง แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นข้างหน้าไม่เป็นไร แต่ว่าตอนนี้เราทำให้มีความสุข ครอบครัวเราให้มันมีความสุข ทำให้ดี การทำงานก็เช่นกัน ดีที่สุดทุกวันนี้กับทีมงาน มีงานอะไรก็ทำ ให้ทำ ทำได้หมด ก็จะทำให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในตำแหน่งที่เราอยู่
“การใช้ชีวิตก็เช่นกัน ทำไปให้ดีที่สุด วันที่ผ่านมา ถ้าถามถึงนิยามชีวิต คือการมองไปข้างหน้า วันข้างหลังที่เราผ่านมา ให้มันเป็นประสบการณ์ไป วันข้างหน้าเราต้องเจออะไรอีกเยอะมาก เพราะฉะนั้น เราเตรียมตัว ทั้งใจและร่างกาย เตรียมความคิด เตรียมสมองของเราให้ดี เพื่อที่จะรับมันให้ได้ แค่นี้ก็หล่อแล้ว (หัวเราะ)
“คือบางทีมันไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่มาก หลายๆ คนก็ทำได้ ยกตัวอย่างเช่น เราไปเป็นอาสาสมัคร ป.เต็กตึ๊ง คนรอบข้างมองเราหล่อ แต่โอมเขาก็มองเราหล่ออีกแบบอย่างที่กล่าวถึงการเริ่มต้นของเพลงๆ นี้ เป็นต้น คือความหล่อใครๆ ก็ทำได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นมูลนิธิ เป็นแค่คนธรรมดา แต่ว่าช่วยเหลือสังคม คืนความสุขให้สังคมบ้าง
“เป็นแค่คนธรรมดาแต่ว่าเจอเหตุการณ์แบบนั้นแบบนี้แล้วลงไปช่วย หรือว่าโทรแจ้ง แค่นี้ก็หล่อแล้ว ถ้าเรามีความห่วงใยคนอื่นมากขึ้น ใส่ใจคนอื่น ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เจอหมาตกขี้โคลนก็หยิบเก็บขึ้น นำไปล้าง ไปอาบน้ำให้ หมาโดนรถชนพาไปหาหมอ บางทีไปทิ้งไว้ที่หมอ มันไม่มีค่าใช้จ่าย บอกหมอว่า “หมาใครไม่รู้โดนรถชน” ก็หล่อแล้ว ก็ช่วยเหลือกัน นิดๆ หน่อยๆ
“คือเราไม่จำเป็นต้องแบบไปแสดงให้ใครเห็นก็ได้ เขาจะเห็นเองโดยที่ว่าเราทำดี เราทำสิ่งที่มีประโยชน์ มันต้องหล่อแน่นอน”
“...อาจไม่หล่อพอ ให้เธอเหลียว แต่ว่าฉันคนเดียวรักใคร แล้วรักปักหัวใจ
ไม่ชอบไม่เป็นไร แต่ขอให้ฉันได้โฆษณาตัวเองสักหน่อย
อาจดูไม่ดีนัก แต่ร้องเพลงเพราะ พร้อมทำให้เธอหัวเราะยิ้มได้ทั้งวัน
ดูแลก็ได้ เอาใจก็ได้ อาจไม่หล่อเท่าไร แต่หัวใจฉันหล่อเลย...”
นักร้องหนุ่มย้ำยืนยันเพิ่มถึงความหล่อที่เกิดขึ้นได้จากข้างใน
“ก็ขอฝากเพลงหล่อเลยนะครับ เพลงนี้มันเป็นเพลงที่พวกเราตั้งใจกันทำเต็มที่ และเป็นเหมือนกับความตั้งใจสองอย่างมันมาบรรจบกันแล้วทำให้เราสำเร็จขึ้นมาได้ แล้วเป็นความสำเร็จของคนทั้งค่ายจีนี่ เรคอร์ดส ซึ่งพอเพลงนี้ได้รับการตอบรับดี เราก็ดีใจที่ยังได้อยู่ ก็อยากจะฝากเพลงนี้ไปร้องกันครับ”
เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร