xs
xsm
sm
md
lg

ทัวร์ตัวตน “เจนนี่ ปาหนัน ณ หาดใหญ่แดงไก่ทอด” แห่งเทยเที่ยวไทย : แก้วไร้น้ำที่พร้อมเรียนรู้และสร้างสรรค์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

จากความรักความชอบที่จะประกอบอาชีพครีเอทีฟ จึงมุ่งมั่นรอนแรมสู่ความฝัน หาช่องทาง เรียนรู้และไขว่คว้าหาโอกาสเดือนแล้วปีเล่า ก่อนเป็นที่รู้จักและรักใคร่สำหรับผู้ชมรายการนำเที่ยวยอดนิยมอย่าง “เทยเที่ยวไทย” ที่ทุกการแสดงออกสู่สายตา ล้วนแล้วแต่สร้างความรื่นรมย์และเสียงหัวเราะขันขำจนน้ำตาเล็ด

จากการปรากฏด้วยระยะเวลาเพียง 2-3 ปี ชื่อของ “ปอ-วัชระ สุขชุม” หรือ “เจนนี่ ปาหนัน” ใครๆ ต่างก็รู้จักและเรียกขานกันทั่วบ้านทั่วเมืองไทย

ทว่าน้อยคนนักที่จะรู้ถึงตัวตน และเส้นทางการก่อร่างสร้างตัว ผู้จัดการออนไลน์ขอพาไปทัวร์ตัวตนและที่มาของเจนนี่ ปาหนัน ณ หาดใหญ่แดงไก่ทอด ทุกซอกทุกมุม...

ก่อนจะเป็น..เจนนี่ ปาหนันฯ
“กะเทยฟิลิปปินส์ทำได้ เราก็ทำได้”

“เราชอบคิดตั้งแต่เด็ก แล้วชอบทำโน่นนี่ ชอบแสดงออก แล้วเราชอบเข้าร่วมกิจกรรมทุกกิจกรรมของทางโรงเรียน คือมีกิจกรรมอะไรเราก็เข้าร่วมหมด เป็นทั้งคนจัดงานของหมวดสายชั้นปีบ้าง ของห้องบ้าง เป็นรองหัวหน้า มีงานโชว์การแสดง เราก็ได้ กีฬาก็เอา เป็นนักกีฬา เป็นประธานสี แต่เสียดายไม่ใช่เชียร์ลีดเดอร์”

วัชระ สุขชุม หรือ “ปอ” เริ่มต้นกล่าวเล่าถึงความรักความชอบในอดีตที่ทำให้เลือกเดินบนถนนสายครีเอทีฟ ก่อนจะมาเป็น “เจนนี่ ปาหนัน” ที่หลายคนชื่นชอบ ณ เวลานี้

“เราก็เลยคิดว่าในสายงานนี้น่าจะเป็นตัวเรามากที่สุด ที่เราได้คิดได้ปล่อยของ ทำอะไรโน่นนี่ ซึ่งก็โชคดีที่ทางครอบครัวท่านยอมรับในตัวเราได้ ท่านก็รู้ตั้งแต่เด็กๆ ตอน ป.4 แล้วว่าเพื่อนๆ ที่โรงเรียนเรียกเราว่าเจนนี่ ตามที่คุณครูท่านเรียกเลียนแบบหนังเรื่อง 'เจนนี่ กลางวันครับ กลางคืนค่ะ' แทนชื่อปอที่ย่อมาจากท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ท่านตั้งใจอยากให้ยิ่งใหญ่ ท่านก็ไม่เคยตีเราเรื่องเป็นกะเทย ทั้งๆ ที่ท่านเป็นตำรวจ คุณพ่อคุณแม่ไม่ตีตราว่าเราเป็นอย่างนี้แล้วจะเป็นที่น่ารังเกียจ อีกอย่าง สังคมที่หาดใหญ่ ตอนนั้น พี่ ป้า น้า อา คุณครู ผู้หลักผู้ใหญ่ ค่อนข้างให้ความรักเอ็นดูและยกย่องคนที่เรียนดี คนที่กิจกรรมเด่น ลูกบ้านไหนเรียนเก่ง ก็จะถูกนำมาข่มลูกของอีกบ้านหนึ่ง

“เราก็เลยรู้สึกว่าเมื่อเราโชคดี เราก็เลยทำทุกอย่าง มีความคิดว่าเราต้องทำให้ได้ ต้องเรียนให้ดี กิจกรรมให้เก่ง เพราะว่ามันเป็นสิ่งเดียวที่เราสามารถจะทดแทนความรู้สึก หรือสร้างความภูมิใจในอีกด้านหนึ่งให้เขาดีกว่า ส่วนความภูมิใจในเพศสภาพของเรา ตรงนี้เราทำให้เขาไม่ได้ เราก็เลยไปทำให้เขาภูมิใจในตรงนั้น ก็เลยกลายเป็นว่าพ่อกับแม่เหมือนมีอะไรทดแทน เราไม่เคยถามเขาว่ารู้สึกอย่างไร เสียใจไหม อะไรอย่างนี้ แต่เราเลือกที่จะทำให้เขารู้สึกดีกับสิ่งที่เราเป็น โดยใช้การเรียนหรืออะไรที่สังคมยอมรับตอนนั้นขึ้นมาให้เขาภูมิใจในตัวเรา”

สาวงามเด็กน้อยบ้านนาจึงเดินหน้าหอบหิ้วความฝันสู่มหานครกรุงเทพ ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจเปี่ยมล้น


“ด้วยความฝันความแน่วแน่ว่าชีวิตฉันจะต้องมาอยู่ในเมืองใหญ่ มาเป็นดอกหญ้าในป่าปูน (หัวเราะ) ก็เลือกเอนทรานซ์คณะนิเทศฯ เลือกสาขาวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรฯ อันดับหนึ่ง มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 3 มหาวิทยาลัยแค่นี้ แต่ก็ไม่ติดคณะนิเทศฯหรือสาขาวารสารศาสตร์

“ไม่ต้องถามนะคะว่าทำไมไม่มีจุฬาฯ ธรรมศาสตร์...คะแนนไม่ถึงค้าาา”
เจ้าตัวเผยด้วยรอยยิ้มเต็มดวงหน้าในวันนี้ นั่นเพราะแม้ว่าไม่สามารถเลือกเข้าในสถาบันที่ชื่อเสียงนัมเบอร์วันในสายเรียนของประเทศ และลำดับสาขาวิชาที่เลือกก็ไม่ผ่าน ทว่าการเข้าเรียนมหาวิทยาลัยศิลปากร คณะโบราณคดี สาขาวิชาฝรั่งเศส กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของ “เจนนี่ ปาหนัน”

“เพราะมหาวิทยาลัยศิลปากร ตอนแรกไม่ได้มีความใฝ่ฝัน แต่คือเห็นว่ามีเอกฝรั่งเศส ก็เลยเลือกไว้สำรอง ทีนี้ก็ดันไปบนพระพิฆเนศ ขอให้ติด ม.เกษตรฯ โดยที่เราไม่รู้ว่าท่านเป็นสัญลักษณ์ของ ม.ศิลปากรด้วย คือด้วยความที่ซื่อ บ้านนา (หัวเราะ) ผลก็เลยติดที่นั่น ก็ได้เรียน เรียนๆ ไป ก็บังเอิญไปสนิทและรู้จักกับเพื่อนๆ พี่ๆ ที่เขาทำกลุ่มแทรชเชอร์ แบงค็อก เป็นกลุ่มจัดปาร์ตี้ เริ่มมาตั้งแต่ปี 2008 เป็นกลุ่มคนที่ฟังเพลงเหมือนกัน คอเดียวกัน คือเพลงยุค 90 ที่พวกเราเติบโตมา อย่างบ้านเราก็มีวง “ลูกกวาด” ค่ายอาร์เอส “มอส ปฏิภาณ” ค่ายแกรมมี่ สากลเราจะเป็น “บริทนีย์ สเปียร์ส” “แบ็คสตรีท บอยส์” เป็นเพลงป็อปเมื่อก่อน แต่ก็ไม่คิดว่าจะเปิดโอกาสให้เรามาสู่เส้นทางนี้ ตอนนั้นเราก็ไปร่วมงานกับเขาสนุกๆ จนเรียนจบ

“จบแล้วก็ไม่ได้ไปทำอะไรอย่างอื่น เพราะความใฝ่ฝันอยากทำงานสายนี้ แต่เราไม่ได้จบมาตรง บวกกับไม่มีประสบการณ์ สมัครงานก็เลยค่อนข้างที่จะยาก เราจบโบราณคดี แถมภาษาฝรั่งเศส เราก็ไม่ได้มีประสบการณ์ หรือมีการฝึกงานกับบริษัทสื่ออะไรเลย แต่ความตั้งใจเราอยากเป็นครีเอทีฟ ทำงานเบื้องหลัง ปุ๊บ ก็พยายามสมัครงานๆๆ แต่มันไม่ได้ หลายที่ แต่ไม่ใช่บริษัทใหญ่ เพราะเรารู้สึกว่าบริษัทเล็กๆ ที่เขาทำแค่โปรดักชันยังไม่รับเราเลย เราก็เลยไม่ได้มาบริษัทที่มันใหญ่โต

“จนผ่านไปหนึ่งปีแล้ว เราก็ไม่ทำงานอื่นเลย ไม่ลองไปเป็นอาชีพอื่น ทีนี้พอเข้าปีที่สอง เราก็คิดว่าเราต้องทำอะไรให้มีภาษีในด้านนี้ ก็เลยตัดสินใจไปสมัครเรียนต่อโท วารสารธรรมศาสตร์ สมัครสอบปุ๊บ ตั้งใจเต็มที่เลย เข้าห้องสอบวันแรก กางใบข้อสอบออกมาแล้วเขาจะมีกระดาษแนบมาว่าต้องยื่นผลคะแนน TU-GET คือคะแนนสอบภาษาอังกฤษของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภายในวันที่ 10 ซึ่งตอนนั้นเป็นสิ้นเดือนแล้ว แล้วเขาจะมีสอบเป็นรอบๆ เท่านั้น เราจะไปสอบใหม่ก็ไม่ทัน แสดงว่าที่เราเข้ามา เสียเปล่า เราก็อ้าว ตายแล้ว เสียเปล่าไปปีหนึ่ง ก็ต้องรอสอบใหม่ปีหนน้า”

การเข้าไปครั้งนั้นก็เลยกลายเป็นแค่ดูแนว และออกมาด้วยใจที่รอความหวังใหม่ในปีหน้า โดยไม่คาดคิดว่าปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นกำลังรออยู่

“คือเราจะรออย่างเดียวไม่ได้แล้ว เพราะเราไม่ได้ทำอะไรเลย เราก็จะไม่มีกินแล้ว (หัวเราะ) ความรู้สึกตอนนั้นมันเริ่มท้อแล้ว และความคิดที่ว่า เอ๊ะ อยากทำงานสายสื่ออย่างเดียว มันเริ่มลดลงแล้ว มันจะจริงสำหรับเราไหม ก็มีเริ่มคิดๆ บ้าง แต่เราก็ยังแน่วแน่อยู่ ยังไงก็อยากทำงานด้านนี้ ในระหว่างรอที่จะสอบป.โท เราก็เลยตัดสินใจลองทำงานอื่นดูก่อน ก็บังเอิญไปรู้จักกับรุ่นพี่ที่เขาทำร้านอาหาร เลยไปทำงานเป็นผู้จัดการร้าน ทีนี้ด้วยความที่มันเป็นงานบริการ เราก็เลยได้ประสบการณ์ทักษะเพิ่มมากขึ้น

“และในระหว่างที่ทำงานเป็นผู้จัดการร้านอาหาร กลุ่มแทรชเชอร์ เขาอยากทำวิดีโอพาโรดี้ (Video Parody) คือวิดีโอล้อเลียนอย่างต่างประเทศที่กำลังนิยม ส่วนในบ้านเรายังไม่เป็นที่รู้จักมากเท่าไหร่ แต่เมืองนอกเขาจะเริ่มทำกันแล้ว ที่ฝั่งเอเชียบ้านเราจะเห็นประเทศฟิลิปปินส์เขาจะทำคลิป ทางกลุ่มก็คิดคอนเซ็ปต์ขึ้นว่าจะทำเป็นเอ็มวีเพลง Before love ของริฮานน่า และเพราะเราก็มีความคล้ายทางผิว สามารถแต่งอะไรโน่นนี่ให้มันใกล้เคียงได้ เขาก็เลยเลือกเรา ก็เลยมาชักชวน เราก็คิดว่ากะเทยฟิลิปปินส์ทำได้ เราก็ทำได้ (หัวเราะ)

“ก็ทำกันขึ้นมา ปรากฏว่าได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ช่วงปี 2009-2010 สองเดือน มีคนดูล้านกว่ายอดวิว แต่อาจจะไม่ได้เป็นที่รู้จักในประเทศไทย เพราะคนดูส่วนใหญ่เป็นต่างประเทศ มีแต่คนเข้ามาชื่นชมในความพยายามที่จะทำให้เหมือนและออกมาดี ขณะที่ใช้งบแค่ 3,000 บาท มีรายการเอาคลิปไปพูดถึง เราก็ทำตัวต่อไป ก็ได้เสียงตอบรับมากเหมือนเดิม ต่อมา เราก็เลยลองทำโปรโมตกลุ่มเราบ้างเพื่อให้เป็นที่รู้จัก ก็ได้ผลตอบรับดีเกินคาด จากที่เราจัดกลุ่มปาร์ตี้กันจำนวนคนหลักร้อยก็กลายเป็นหลักพันคน”

นั่นเองจึงทำให้เจนนี่สอบผ่านเรื่องการสื่อสาร การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า กล้าแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นคุณสมบัติหนึ่งของอาชีพครีเอทีฟที่ต้องมี และเปิดโอกาสให้ก้าวเข้าสู่เส้นทาง “เบื้องหลัง” ในเวลาต่อมา

“พี่ๆ ที่ร่วมงาน มีบางคนได้ไปยื่นโปรไฟล์แล้วได้ทำงานอยู่แชนแนลวีไทยแลนด์ เขาก็มาเห็นเรา เลยฝากถามมาว่าสนใจไหมที่จะมาทำอย่างนี้ เป็นครีเอทีฟ เราก็เอ๊ย... สนใจสิ เพราะเป็นสิ่งที่เราหามาตลอด แต่ตอนนี้ เขามาหาเราเอง เราก็เลยตกปากรับคำเข้าไปทำ แต่ประจวบเหมาะกับว่าตอนนั้นสอบพอดีและผลสอบประกาศว่าเราติดในช่วงที่เข้าไปทำ เราก็เอาแล้ว ชีวิตมันถึงทางที่ต้องเลือก เนื่องจากเวลาเรียนกับเวลางานมันตรงกัน เราจัดรายการตอนสองทุ่ม เรียนภาคปกติ 17.00 - 20.00 น. ทุกวัน เราก็เลยเลือกงานไว้ เพราะเรามองว่าเราสามารถศึกษาหาความรู้จากงานได้ แล้วมันเป็นความฝันของเรา และได้เงินเลี้ยงปากท้องของเราด้วย ก็ทิ้งการเรียนไปเลย (หัวเราะ)

“ทีนี้ ด้วยความที่เราไม่มีพื้นฐานที่ดี เข้าไปปุ๊บ เราต้องเป็นงานเลย ก็ยากมากกก.... เราต้องใช้วิธีอาศัยดูคนในองค์กรว่าเขาทำงานอย่างไร ก็ถามๆ เขา อะไรที่เราไม่รู้ เขาก็มีการบอกว่ามันต้องเป็นขั้นเป็นตอนอย่างนี้ แต่เรื่องลึกๆ ลงไป เราต้องเรียนรู้เอง เราก็เรียนรู้ ทุกแผนก ตรงนั้นทำอย่างนี้ ตรงนี้ทำอย่างไร เราก็ยังไงต้องเป็นให้เร็วที่สุด ก็ใช้เวลาไม่นาน เราพยายามใช้วิธีครูพักลักจำไปเรื่อยๆ ให้เร็วที่สุด”

ด้วยโชคชะตาอย่างที่เจ้าตัวกล่าวหรือความสามารถก็ไม่มีใครล่วงรู้ ณ เวลานั้น แต่ที่แน่ๆ เพียงระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งปี จากครีเอทีฟรายการเจแปนบราโว โอกาสก็ขยับเปิดให้สังคมบ้านเราได้รู้จักสาวสองนาม “เจนนี่ ปาหนัน” ในรายการยอดนิยมอย่าง “ไอแอม ไซแอม”

“เนื่องจากโชคดีที่รายการเป็นแพตเทิร์นเดิมให้เราได้ศึกษา ตอนนั้นรายการ เจแปนบราโว รายการเพลงญี่ปุ่น เราฟังเพลงเยอะ หลากหลาย ปาร์ตี้เยอะ (หัวเราะ) ก็เลยกลายเป็นว่าเรามีข้อมูลความรู้เพลงญี่ปุ่นอยู่บ้าง มันก็เลยไม่ได้ยากมากสักเท่าไหร่ เพราะเรามาทำต่อ ก็เลยไม่ยากที่จะหาไอเดียอะไรมาเล่นในรายการ อย่างรายการจะมีช่วงชาร์ตเพลงญี่ปุ่น เราก็แค่เอาแพตเทิร์นเดิมมาทำ แต่มีแตกยอดต่อประเด็น เราเอาชาร์ตเพลงช้า เร็ว วันนั้นเราก็ทำเป็นธีมรายการแบบข่าว ประเด็นความเศร้า ความรักอะไรอย่างนี้ ส่วนใหญ่จะเล่นไอเดียเป็นกระแสสังคมและควบคุมโทนรายการ ทำให้เป็นโทนเดียวกัน ไม่ใช่ว่ามี 4 เบรก ทั้ง 4 เบรกเป็นวาไรตี้ ไม่เหมือนกัน ก็พยายามคุมโทน ไอเดีย อาจจะไม่ได้อะไรมาก เพราะรายการเป็นแพตเทิร์น

“ก็เลยพยายามเพิ่มสีสันอะไรให้มันชัดเจนขึ้นมาหน่อย แต่ไม่ได้มีโดดเด่นอะไรมาก มีบางทีใส่แก๊กตลกลงไป มีแขกรับเชิญ เราก็มีการ cover ศิลปินขึ้นมา โดยเราก็ไปเล่นเป็นศิลปิน อะไรที่เราถนัด เราก็ไป cover วันนี้มีเพื่อน เราก็เอามาเล่นเป็นศิลปินวันนั้นกันดีกว่า ก็มาเล่นเปิดตัวเป็นศิลปิน

“หรือบางทีก็พยายามลองเสนอแง่มุมในเรื่องของภาพ สมมติถ้าวันนี้มีโชว์ เราอยากให้โชว์มันไม่ได้เริ่มจากเวทีได้ไหม อาจจะค่อยๆ เดินร้องเข้ามา คือพยายามใส่เข้าไป สังเกตจากคนอื่นที่เขามีไอเดีย บางทีไอเดียเดียวกัน เอามาทำกับรายการเราก็ได้นะ หรือบางทีเขาอย่างนี้ เราสามารถใส่อย่างนี้ได้ด้วย รอบข้างมันจะสอนเรา เราเห็นรายการอื่นทำ เราก็เปิดรับหมด เพราะเราไม่มีทฤษฏี เราคิดว่าได้ ก็ลองเอามา ซึ่งก็โชคดีที่คนรอบข้างเขาก็เก่ง พี่ๆ หัวหน้า มีความถนัดในด้านต่างๆ เยอะ เราก็เรียนรู้จากตรงนั้น แต่เขาก็ยังไม่ได้อะไรมาก เราก็พยายามเล็กๆ น้อยๆ เพิ่งแพลมๆ (หัวเราะ) ประสบการณ์มันก็ยังสอนเราไม่เยอะ ชั่วโมงบินยังไม่สูงก็เลยแบบไม่ได้เยอะแยะอะไรมาก แต่ก็ทำให้เราเหมือนสำเร็จหลักสูตรการเรียนทางด้านนี้

“ก็ทำที่นั่นได้ปีกว่าๆ เราก็อยากมองหาโอกาสที่จะเรียนรู้เพิ่มมากขึ้น เรียนระดับมหาวิทยาลัย ก็ย้ายมาอยู่แบง แชนแนล ช่องจีเอ็มเอ็ม เพราะแบง แชนแนล ตอนนั้นกำลังเป็นกระแส ให้อิสระกับการคิด การนำเสนอ อิสระในการได้ทำงานในรูปแบบที่ออกนอกแพตเทิร์นนอกกรอบเยอะมาก ก็เป็นความท้าทาย เป็นการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เราก็วัยรุ่นอยากจะพัฒนาสิ่งที่รัก ก็มาลอง”

ดั่งก้นแก้วที่รอเติมเต็ม
ค้นตัวตนสู่เส้นทางตัวเอง

• การพลิกตัวเองเข้ามาอยู่ในความท้าทายสายใหม่เป็นอย่างไรบ้าง

อึ้ง (หัวเราะ) เป็นอะไรที่แปลกใหม่กับเรา แล้วมันออกมาในรูปแบบที่ใช่ คือที่นี่เป็นบริษัทที่ผลิตรายการทีวีหลุดจากแพตเทิร์นเดิม จากที่เราเคยทำมา ทำงานในสตูดิโอ แต่ที่นี่ แพตเทิร์นทุกอย่างไม่ต้องไปยึดติดอะไรมากเลย รายการในสตูที่นั่งคุย อย่างเช่นรายการแตกฟองไลฟ์ที่เข้ามาทำตอนแรก พิธีกรสองคนคุยกันอยู่ จู่ๆ ทีมงานข้างล่างสามารถพูดตอบโต้กับพิธีกรได้เลย แตกต่างจากเมื่อก่อน เวลาครีเอทีฟหรือทีมงานจะส่งสารอะไรให้กับพิธีกร ต้องชูป้าย แล้วต้องเงียบๆ แต่ที่นี่ อยากบอกอะไรบอกเลย เพียงแต่วิธีการบอกจะต้องไม่ได้ทำให้รูปแบบรายการเสียหาย ยิ่งมาทำ “เทยเที่ยวไทย” ยิ่งหนักเลย แทบจะเป็นรายการเดียวรายการแรกในประเทศที่มีแพตเทิร์นแต่ไม่มีแพตเทิร์น

• แล้วเราเรียนรู้ศึกษารับมืออย่างไร

แรกๆ ทำแค่ 2 ช่วง สลับกับพี่ฝน แต่คือเขาทำมาในรูปแบบที่ดีมาก เราก็ดำเนินการต่อไปให้มันไม่หลุดและไม่หายไป ไม่ให้มันแย่ลง เราก็อาศัยแตกกิ่งก้านไปในต้นไม้เดิมในช่วงต้นๆ จากนั้นก็พยายามหาความเปลี่ยนแปลงอะไรมาใส่ไปเรื่อยๆ แต่จริงๆ โชคดีที่ทีมงานเดิมเขาเก่งกันอยู่แล้ว พี่ป๋อมแป๋มเขาคิดสร้างรายการนี้ขึ้นมา เขาเป็นคนเก่ง เวลาทำงานก็ต้องหาข้อมูลหรือทำอะไรที่มันให้เขารู้สึกว่าโอเค แต่ก็มีบางช่วงที่คิดไม่ได้ คิดแล้วตัน เพราะว่าเขาทำมากันหมดแล้วช่วงเกิดของรายการสองสามปี เขาแหวกแนวกันไปเยอะมาก เราต้องทำอะไรที่มันต้องแหวกมากกว่าเดิม

ยกตัวอย่างง่ายๆ เลย พอเรามีอะไร เราตัน ตอนนั้นที่เราแก้ได้คือวิธีการถนัดที่เราเคยทำมา คือการ cover ของเดิมให้มันเป็นรูปแบบใหม่ เหมือนพอทำที่นี่ เราได้รู้อย่างหนึ่งว่า คำว่า ครีเอทีฟหรือการสร้างสรรค์ มันไม่ได้จำเป็นต้องสร้างสรรค์สิ่งใหม่ มันนำสิ่งเก่าเพื่อมาทำให้เป็นรูปแบบใหม่ก็ได้ มันก็คือการสร้างสรรค์ พอปุ๊บคิดอย่างนั้น ก็เข้ามาทางนี้ นำของเก่ามาตีโจทย์ใหม่ ทำให้มันใหม่ อย่างการ cover เพลง เราอามาให้พิธีกร cover เพลงในรายการเพื่อประชาสัมพันธ์เพื่อโฆษณาสปอนเซอร์ เราจะมายื่นพูดข้อมูลอย่างเดียวเลยก็ไม่ได้ มันไม่ใหม่ ไม่เก๋ ไม่สร้างสรรค์ เราก็ cover ด้วยการเอาเพลงมาแปลงเนื้อ เขาเคยทำมาแล้ว เราก็คูณไปเลย ขอทำ cover แบบนี้ แปลเนื้อ ที่มันเป็นจังหวะเดียวกันแต่เป็น 3 เพลง เขาก็รู้สึกว่ามันเหนือชั้นกว่าเดิม เหนือชั้นขึ้น

• ก็เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ความสามารถของเราเปล่งออกมาให้เห็นในหน้ากล้องรายการ

จริงๆ การเข้ามาอยู่หน้ากล้อง ต้องบอกก่อนว่า พอเราเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของรายการเทยเที่ยวไทย อย่างที่บอก รายการนี้มันไม่เหมือนรายการอื่นตรงที่ทุกคนที่เป็นทีมงานสามารถเข้าออกหน้ากล้องตลอดเวลา เข้าไปเล่นสนุก ตลก มันไม่ใช่แพตเทิร์นที่โฟกัสแต่พิธีกร ครีเอทีฟห้าม และรายการนี้เป็นรายการท่องเที่ยว พอมีอะไรหลุดเข้าไปในกล้องบ้างหรือเกิดการผิดพลาด กล้องสั่น กล้องเหวี่ยง มันก็เลยไมได้ดูว่าเป็นเรื่องข้อผิดพลาด เพราะมันทำให้รายการไม่ได้เป็นทางการมาก เราก็เลยมีโอกาสได้เข้าไปอยู่ในกล้อง

เทปแรกที่เราเข้าไปแล้ว หลังจากนั้นก็ติดเลย ก็เข้าสู่ปีที่ 4 ที่มาอยู่ที่นี่ ทำรายการเทยเที่ยวไทยได้ 2 ปี เป็นเทปที่ถ่ายทำพาไปเที่ยว แอดเวนเจอร์ปาร์ค แล้วเราโดนพี่ป๋อมแป๋มสั่งให้กระโดดหอ จริงๆ ตอนนั้นที่โอน้อยออกเพื่อหาคน เราไม่โดน แต่พี่ป๋อมแป๋มโดน แล้วเราไปหัวเราะเขาเยอะ เขาก็บอกว่าถ้าเขาโดน เราต้องโดนด้วย แล้วโดนหนักกว่า ต้องกระโดดสูงกว่า ทีนี้ ด้วยความที่เรากลัวความสูงเป็นส่วนตัวจริงๆ อยู่แล้ว เราก็กรี๊ด ตะโกนร้องขอชีวิตต่างๆ นานา กลัวมาก แต่กลับกลายเป็นว่าทุกคนตลกมาก จึงเป็นตอนที่พีคสำหรับเรามาก คนก็จะพูดถึงเราและก็มีบางคนพูดว่าเทปนี้เจนนี่มาแล้ว ก็ไม่รู้จะดีใจดีไหม (หัวเราะ) แต่พอมาย้อนดูตัวเองก็ตลกตัวเองเหมือนกัน เพราะมันออกมาจากสัญชาตญาณของเรา ก็เลยกลายเป็นจุดที่คนเห็นชอบ จากนั้นก็มีความถี่ในการออกมาเรื่อยๆ

ก็ต้องขอบพระคุณพี่ป๋อมแป๋ม เพราะเหมือนพี่ป้อมแป๋มเขาเห็นอะไรในตัวเรา เขาเป็นคนฉลาดมาก สามารถดึงคาแรกเตอร์หรือความสามารถออกมาได้โดยไม่รู้ตัว จุดเด่นที่สามารถเล่น จุดที่เป็นประโยชน์ต่อรายการออกมาได้ ก็มีพี่ๆ อีกหลายคน อย่างพี่เป็ดแอดมิน พี่ปาล์มตากล้อง หรือพี่ฝน พี่นุ้ย พี่นุ่น เขาก็ดึงมา สถานการณ์ไหนจะเอาใครมาเล่นดี พี่ป๋อมแป๋มเขาก็จะรู้ เขามีวิสัยทัศน์ แล้วเราก็ยำง่าย (หัวเราะ) ก็เลยได้ออกมาและเราก็ได้ขยับเป็นพิธีกร ก็เลยมีโอกาสได้เรียนรู้การทำงานตรงนี้

• การขยับสู่พิธีกรโดยบังเอิญรู้สึกอย่างไรบ้าง และต้องเพิ่มเติมทักษะอย่างไรหรือไม่

กดดันมาก (ลากเสียง) ครั้งแรกที่ได้ยินพี่ป๋อมแป๋มจะให้เราเป็นพิธีกรเทยเที่ยวไทย เราบอกว่าเราไม่อยากทำ ทั้งๆ ที่พอพี่ป๋อมแป๋มให้เราออกหน้ากล้องแล้วผู้ใหญ่เห็นความสามารถให้เราไปเป็นพิธีกรรายการ 2piece 2please ของทางช่องก่อน แต่เราก็ยังกลัว เพราะพี่ๆ เขาเป็นคนเก่ง แล้วเราไม่ได้เก่งขนาดเขา และยิ่งภาพของรายการเทยเที่ยวไทยมันเป็นภาพจำไปแล้วของพี่สามคนที่เป็นตำนาน เราก็...จะดีเหรอ ถ้าเข้าไป ยังไม่มั่นใจ เราก็กลัวว่าจะทำไม่ได้ พี่เขาก็บอกว่าทำได้ ยังไงก็ทำได้ ถ้าทำไม่ได้ พี่ก็ไม่เอาออกมาหรอก เขาเลือกแล้ว

ทีนี้ พอตกปากรับคำเราก็ต้องพัฒนาให้ทันเขา ก็ใช้วิธีการศึกษาคนรอบข้างก่อนเหมือนเดิม เวลาพี่ๆ พิธีกรสามคนเวลาไปเที่ยวทำอะไรยังไง วิธีการนำเสนอสถานที่ วิธีการเล่นมุก วิธีการหาเรื่องราว ที่ไม่ได้มีข้อมูลอะไรหรือว่าไม่ได้มีแอกทิวิตี้อะไรให้เล่นมาก เราก็พยายามศึกษาดูจากพี่ๆ เขา และพยายามทำ แรกๆ เราก็ยังไม่เป็นตัวของตัวเอง เล่นไปเรื่อยๆ ตามเขา เล่นในรูปแบบเดียวกับเขา ก็เลยยังไม่โดดเด่น เราก็รู้สึกว่าเขาเอาเรามา เขาอยากได้อะไรแบบใหม่ๆ อยากได้อะไรที่มันเป็นตัวเรา ไม่ใช่แบบเขา เราก็มองจุดเด่นที่คนมองเห็นเราคืออะไร เราเริ่มคิดจากจุดเด่นที่คนมองเห็นเราคืออะไร แล้วเราสามารถเอาอะไรมาเล่นได้บ้าง เราก็เอามาทำ

• เอกลักษณ์หรือจุดเด่นๆ ของเราเป็นอย่างไร

ยกตัวอย่างที่เรามองเห็นแล้วเราก็เอามาเล่นจนเป็นที่ยอมรับและจดจำ คือเราเป็นคนใต้ เราเป็นกะเทยตัวดำ เราก็รู้สึกว่าบางที เราเอาความเป็นตัวตนเรามาเล่น เพราะเราเกิดมาตอนทำงานแทรชเชอร์ เราก็เล่นกับความเป็นตัวเรา เราชื่อ เจนนี่ ปาหนัน ก็ใส่นามสกุล “ณ หาดใหญ่แดงไก่ทอด” ไปด้วย คือพรีเซนต์ความเป็นหาดใหญ่ แล้วถ้าเราลองเอาอะไรที่มันเป็นตัวเรา คนจำได้ว่าเรามาจากภาคใต้มาเล่น มันน่าจะโอเค น่าจะเกิดเป็นแนวทางของเรา ก็เลยเอามาร่วม คล้ายๆ Cover ล้อเลียน แต่เพิ่มเติมเปลี่ยนเป็นร้องแร็ปภาษาใต้ และพยายามหาข้อมูลที่เป็นกระแสมาเล่น แล้วใส่ความเป็นตัวเราเข้าไป เช่นครั้งหนึ่ง มีรายการ RAP IS NOW กำลังฮิตมาก เราก็เลยเอามาเล่นในรายการบ้าง เอามาแร็ปใส่ตากล้อง มันก็เป็นแก๊กอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้นจากตัวเราและยังไม่เคยเกิดขึ้นในรายการ

พอหันกลับมามองที่ตัวเอง หาจุดอะไรที่คนมองเห็น อาจจะไม่ใช่จุดเด่น แต่คนมองเห็นอะไรเรา บางทีอาจจะเป็นเรื่องไม่ดี เป็นเรื่องที่โดนล้อ เราก็เอามาเล่นตัวเอง ขายตัวเอง (หัวเราะ) มันก็เลยได้เป็นแนวทางใหม่ จนมีชื่อฉายาใหม่จากรายการเทยเที่ยวไทย จากการที่มองตัวเองแล้วปล่อยมันออกมาว่า สมิหลา J. ทุกวันนี้ก็มีหลายคนที่ตาม หรือดูรายการ เรียกเราอย่างนั้น เราก็เป็นอะไรที่ภูมิใจมากที่ตัวตนเราชัดเจนและคนดูเปิดรับ

• นอกจากค้นหาตัวเองให้เจอ มีอย่างอื่นอีกไหมเพิ่มเติมที่ทำให้เราก้าวมาตรงนี้ได้

การเปิดรับ ซึ่งจริงๆ ทุกๆ คนที่เป็นครีเอทีฟเขาก็จะเสพสื่ออื่น เปิดรับสื่ออื่นๆ เยอะอยู่แล้ว สังเกตพี่ป๋อมแป๋มเองจะดูสื่อเยอะมาก สื่อนอกก็เสพเยอะ เพราะรายการเมืองนอกจะมีไอเดียอะไรใหม่ๆ เยอะมาก เราก็จะสามารถนำมาปรับใช้กับรายการ นี่ก็เป็นแนวทางที่เรียนรู้จากพี่ป๋อมแป๋ม แต่ที่สำคัญคือพี่ป๋อมแป๋มจะบอกเสมอว่าเราอย่าทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้วที่เทเท่าไหร่ก็ล้นออก

ขอแค่คว้าโอกาสและกล้าอย่างสร้างสรรค์
บทสรุปความสำเร็จที่เริ่มจากศูนย์

“ชีวิตมันต้องเรียนรู้หนึ่งเลย มันสามารถเรียนรู้ได้ตลอดเวลา มันมีสิ่งใหม่ๆ เสมอ อย่าคิดว่ารู้แล้ว สองคือโอกาส โอกาสดีๆ เข้ามาเยอะมาก แล้วเราคว้าไว้หมด อันไหนที่เราคิดว่าทำได้เราก็คว้าไว้ ถ้าน้องๆ หลายคนมีโอกาสเข้ามาแล้วอยากให้ลองทำ เพราะอย่างเรา โอกาสที่เข้ามา เราไม่ถนัดหรือว่ามีพื้นฐานเลยสักอัน แต่เรามีใจ ลองทำดู แล้วทำๆ ให้เต็มที่

“สามคือการแสดงออก การกล้าแสดงออก หลายๆ คนมีความสามารถมีพื้นฐานมีข้อมูล ขอให้แสดงออกมา บางคนรอโอกาสอย่างเดียวก็ไม่ได้ ก็ต้องแสดงออกมา แต่สำคัญเลยคือแสดงออกมาอย่างสร้างสรรค์ หลายคนมีอะไรในหัวเยอะมาก คุณอยากเป็นที่รู้จักยอมรับ อยากให้คนได้เห็น แต่ว่าแสดงออกมาในแบบที่ไม่สร้างสรรค์ อย่างทำคลิปที่มันมีความโป๊เปลือยหรือขัดต่อศีลธรรม

“มันอาจจะเป็นที่รู้จักหรือเป็นกระแส แต่มันไม่ยั่งยืน ถ้าคุณทำอะไรออกมาสร้างสรรค์ เขาจะยอมรับ พอยอมรับ เราจะอยู่ไปได้ตลอด หลายๆ คนเก่งมาก เดี๋ยวนี้สื่อสามารถทำให้เราเปิดเผยตัวตนได้ง่ายดายมาก แต่ว่าใช้อย่างไรให้ถูก ให้มันสร้างสรรค์”

เจนนี่เน้นย้ำเสริมถึงเส้นทางชีวิตที่จับพลัดจับผลูของความมุ่งมั่นจนก้าวขึ้นมาเป็นครีเอทีฟอย่างที่ฝัน ได้ทำงานในวงการบันเทิงฐานะพิธีกรอย่างที่ชอบ และล่าสุดกับอีกบทบาทใหม่

“ไม่เคยคิดเลย เราไม่ได้คิดว่าเราอยากจะเป็นดาราหรือว่าอะไร แต่ว่าคือเราอยากทำงานสายสื่อ และด้วยความที่เราเข้ามาแล้วโชคดีที่ได้อยู่ในโปรดักชันที่ค่อนข้างเป็นที่ชื่นชอบ เป็นที่นิยม รายการที่มีชื่อเสียง คนก็เลยได้เห็น มันก็เลยได้ต่อยอดไปในงานอื่นๆ ให้เราได้ไปเรียนรู้”
เจนนี่เผยถึงบทบาทหน้างานละครที่นอกเหนือหน้าที่พิธีกร

“ตอนนี้ก็เพิ่งเริ่มถ่ายละครของช่องเวิร์คพอยท์ เรื่องนางแค้น รับบทเป็นมดแดง หนึ่งในนางโชว์ที่มีคาแรกเตอร์เป็นสีสันของโรงละคร เขาก็คงเห็นว่าเรามีความเหมาะ ตรงนี้มันเหมือนวิชาเป็นอีกหนึ่งเมเจอร์ของมหาวิทยาลัยที่เราเรียนอยู่ เรามีความรู้สึกว่ามันเป็นโอกาสดีๆ ที่เราได้ไปศึกษา เพราะไม่ได้มีเรียนพื้นฐานแอกติ้ง เราไปเรียนพร้อมเขาเลย ก็โชคดีที่ได้ไปเรียนรู้ประสบการณ์ดีๆ

“ก็ย้ำอีกครั้งว่า ไม่ได้คาดคิด จากวันนั้นมาวันนี้ ใครๆ ที่เห็นว่ามีประโยชน์และอยากจะเลือกเดินเส้นทางสายนี้ แม้จะไม่ได้เรียนมาหรือว่าทำอย่างอื่นๆ ก็แล้วแต่ ขอให้เรามีไว้คือ เรียนรู้ คว้าโอกาส และกล้าแสดงออก เชื่อว่าเราทำได้ทุกคนค่ะ”






เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : วรวิทย์ พานิชนันท์

กำลังโหลดความคิดเห็น