กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ หรือพระนามเดิม พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ แม้จะเป็นลูกเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินและมีตำแหน่งราชการใหญ่โตในกองทัพ แต่ก็ทรงใช้ชีวิตผจญภัยอย่างลูกผู้ชายธรรมดาทั่วไป ในเวลากลางคืนมักจะเสด็จไปตามโรงยาฝิ่น ร้านขายสุรา และโรงบ่อนต่างๆทั้งฝั่งพระนครและฝั่งธนบุรี โดยมี นายเล่ นักเลงโตย่านนางเลิ้งและสะพานเหล็ก ซึ่งมีสมุนเป็นนักเลงจำนวนมากเป็นผู้ติดตามรับใช้ บางครั้งก็ทรงไปนอนคุยกับพวกสูบฝิ่นอยู่ในโรงยาฝิ่นโดยไม่มีใครรู้ว่าพระองค์เป็นใคร
ต่อมาเจ้าพี่เจ้าน้องทราบเรื่อง จึงนำไปเพ็ดทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชบิดา ว่ากรมหลวงชุมพรฯประพฤติตนไม่เหมาะสม คบนักเลง กินข้างถนน นอนโรงยาฝิ่น ทำให้เสื่อมเสียถึงราชวงศ์
ร. ๕ ยังไม่ทรงเชื่อเรื่องนี้นัก จึงออกสืบหาความจริงด้วยพระองค์เอง ทรงปลอมเป็นราษฎรสามัญเช่นกัน เสด็จด้วยรถม้าคันเล็กๆไปจอดที่หน้าบ่อนต้นมะขาม นางเลิ้ง แล้วเสด็จพระราชดำเนินไปตามโรงยาฝิ่นและร้านสุราย่านนั้น พอเสด็จมาถึงหน้าโรงยาฝิ่นก็ทอดพระเนตรเห็นเสด็จในกรมฯพร้อมด้วยนายเล่ข้าติดตาม ออกมาจากโรงยาฝิ่นพอดี ร.๕ ทรงจับได้คาหนังคาเขา จึงชี้พระหัตถ์ไปที่กรมหลวงชุมพรฯ แล้วรับสั่งว่า
“นั่นแน่ อาภากร ประพฤติตนแบบที่เขาฟ้องจริงๆ”
เมื่อตามเสด็จกลับไปที่รถม้าแล้ว กรมหลวงชุมพรฯก็ก้มลงกราบพระบาทพระราชบิดาแล้วทูลว่า ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อจะสืบหาข่าว ว่าใครคิดร้ายต่อเสด็จพ่อ คิดกบฏต่อบ้านต่อเมือง หรือจะลักขโมยเข้าปล้นกันที่ไหน จะได้ป้องกันได้ทันท่วงที สมเด็จพระปิยมหาราชจึงทรงลูบหลังพระโอรสองค์โปรด พร้อมกับรับสั่งว่า
“อ้อ อย่างนั้นดอกหรือ”
รุ่งขึ้นก็รับสั่งให้เสด็จในกรมฯเข้าเฝ้า และพระราชทานสร้อยสังวาลทองคำฝังเพชร ๑ สาย เป็นรางวัลความดีความชอบที่ออกสืบราชการลับ เสด็จในกรมฯเลยถือโอกาสบรรจุนายเล่เข้ารับราชการเป็นทหารเรือ ยศว่าที่นายเรือตรี มีหน้าที่คอยติดตามเสด็จเวลาออก “สืบราชการลับ” โดยเฉพาะ