ถ้าพูดถึงน้องหมาที่โด่งดังในยุคนี้ ต้องยกให้ “คุณทองแดง” เอารูปพิมพ์บนเสื้อออกมาเท่าไหร่ๆก็ไม่พอกับความต้องการของแฟนๆ แต่ถ้าเป็นสมัยก่อนต้องยกให้ “คุณย่าเหล” หมาข้างถนนที่มีบุญวาสนาได้อยู่ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งนอกจากย่าเหลจะซื่อสัตย์อย่างหมาแล้ว ยังแสนรู้อย่างคนด้วย
ย่าเหลเป็นหมาไทยธรรมดา ทั้งยังเป็นหมาเร่ร่อน ในราว พ.ศ.๒๔๕๒ ย่าเหลยังเป็นลูกหมาสีขาวสลับน้ำตาล เข้าไปอาศัยในเรือนจำจังหวัดนครปฐม เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯเสด็จเรือนจำแห่งนี้ ย่าเหลตัวเลอะนุ่นเพราะนอนอยู่ในกระชุนุ่นวิ่งผ่านขบวนเสด็จจึงถูกไล่ แต่ก็แอบเข้ามาเฝ้าคลอเคลียไม่ห่างพระยุคลบาท เมื่อทรงแสดงพระเมตตาเจ้าหมาน้อย พระพุทธเกษตรานุรักษ์ พัสดีเรือนจำจึงทูลถวาย ตอนนั้นย่าเหลยังไม่มีชื่อ ชะตาจึงพลิกผันจากหมาในคุกไม่มีเจ้าของ มาเป็นหมาในวังของล้นเกล้าฯรัชกาลที่ ๖
ที่จริง ร. ๖ ทรงเรียกย่าเหลว่า “ย้าเล่” ซึ่งมาจาก “ยาร์ดเลย์” ชื่อตัวละครในนิยายฝรั่งเศสเรื่อง “พอลล์ แอนด์ ยาร์ดเลย์” ที่ทรงให้ชื่อภาษาไทยว่า “เพื่อนตาย” ยาร์ดเลย์เป็นผู้เสียสละยอมตายแทนเพื่อนในการทำสงครามใต้ดินฝรั่งเศสกับเยอรมัน เพื่อให้ความรักของเพื่อนกับแฟนสาวสมหวัง
เมื่อโตขึ้นร่างกายของย่าเหลสูงใหญ่ ขนปุกปุย วิ่งตามเสด็จไม่ยอมห่าง เมื่อสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้าประทับอยู่ที่ใด ย่าเหลก็จะหมอบเฝ้าอยู่ตรงนั้น ในด้านความแสนรู้ของย่าเหลนั้น มีเรื่องเล่ากันไว้มากมาย อย่างในคราวฝึกเสือป่าที่พระราชวังสนามจันทร์ นครปฐม ย่าเหลได้เดินตรวจแถว และเมื่อเห็นว่าเสือป่าคนใดแต่งกายไม่เรียบร้อย ก็จะเข้าไปคาบแขนดึงออกมาจากแถวให้ทอดพระเนตร
ขณะที่ความแสนรู้ของย่าเหลสร้างความโปรดปรานจากพระเจ้าอยู่หัว ก็ได้สร้างความขุ่นเคือง ริษยา จนถึงอาฆาตแค้นให้แก่ผู้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทไม่น้อย มหาดเล็กบางคนรวมถึงเจ้านายบางองค์เคยถูกย่าเหลขู่กรรโชก บ้างก็ถูกกัด แต่ก็ไมมีใครกล้าตอบโต้ ได้แต่กล้ำกลืนความแค้นไว้ จนวันหนึ่งเมื่อลับพระเนตรพระกรรณ มหาดเล็กกลุ่มหนึ่งก็คิดบัญชีแค้นกับย่าเหล ซึ่งแน่นอนว่าย่าเหลไม่มีทางตอบโต้กับคน โดยเฉพาะคนหมู่ มันก็ได้แต่กล้ำกลืนความแค้นไว้เช่นกัน คนที่ทำร้ายก็คิดว่าย่าเหลเป็นหมา ไม่สามารถไปฟ้องได้ แต่ย่าเหลฉลาดกว่าที่คิด เมื่อมหาดเล็กกลุ่มนั้นมาเข้าเฝ้า ย่าเหลจึงปราดเข้าหาคนที่ทำร้ายมัน ทั้งเห่ากรรโชก ทั้งกัด แล้ววิ่งกลับมาข้างพระนั่ง จากนั้นก็วิ่งเข้าหามหาดเล็กกลุ่มนั้นทั้งเห่าทั้งกัดอีก ซึ่งผู้ที่ถูกย่าเหลคิดบัญชีแค้นเข้าบ้างก็ได้แต่ปัดป้อง โต้ตอบอะไรไม่ได้ อาการวิ่งไปวิ่งมาของย่าเหลนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯก็ทรงเข้าพระทัยได้ว่า เกิดอะไรขึ้นระหว่างคนกลุ่มนี้กับย่าเหล จึงรับสั่งด้วยความกริ้วว่า
“ไอ้พวกนี้ มันต้องรังแกหมาของข้าแน่”
จากนั้นก็ทรงบริภาษมหาดเล็กกลุ่มนี้ที่ทำกับย่าเหล ซึ่งทำเอาทุกคนขนหัวลุกไปตามกัน ต่างหวาดกลัวโทษที่จะตามมา ซึ่งไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพวกตน
ในราว พ.ศ. ๒๔๕๕ มีมหาดเล็กคนหนึ่งถูกไล่ออกในโทษฐานไม่ซื่อสัตย์ หลังจากนั้นราวเดือนเศษได้แอบเข้ามาในที่ประทับ ย่าเหลได้กลิ่นจึงเข้างับแขนแล้วดึงมาเข้าเฝ้า เคราะห์ดีที่ไม่มีอาวุธจึงถูกปล่อยไป
ต่อมาอีกไม่กี่เดือน ขณะที่ย่าเหลตามเสด็จพระราชดำเนินไปถวายผ้าพระกฐินที่วัดราชบพิตร ข้างกระทรวงมหาดไทย ย่าเหลอาจจะถูกล่อด้วยตัวเมียหรือตามตัวเมียไปเอง ข้ามคลองหลอดไปที่สวนเจ้าเชตถ์ ข้างวังสราญรมย์ และไปถูกยิงที่นั่น โดยไม่สามารถหาตัวคนยิงได้ กระสุนปืนฝังที่ต้นขาขวา แพทย์หลวงได้ทำการผ่าตัดเอาหัวกระสุนออก อาการไม่สู้สาหัสนัก แต่อยู่มาได้อีก ๗ วันย่าเหลก็สิ้นชีวิต
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงโศกเศร้าเสียพระทัยในการจากไปของย่าเหลอย่างมาก โปรดฯให้จัดขบวนแห่อย่างมโหฬารไปที่วัดพระปฐมเจดีย์ นครปฐม แห่เวียนรอบแล้วนำขึ้นเผาที่เมรุชั่วคราว โปรดให้สร้างอนุสาวรีย์หล่อด้วยทองเหลืองขนาดเท่าตัวจริง ตั้งไว้ที่หน้าพระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ ในพระราชวังสนามจันทร์ บรรจุกระดูกย่าเหลและคำกลอนอาลัยไว้ที่ฐาน
ส่วนหีบที่บรรจุศพย่าเหลก่อนเผา ซึ่งแกะลวดลายอย่างสวยงาม ขณะนี้ตั้งแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์สถานพระปฐมเจดีย์ ด้านตะวันออกขององค์พระปฐมเจดีย์
คำกลอนที่ติดไว้ที่อนุสาวรีย์ย่าเหลนั้น สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า รัชกาลที่ ๖ ทรงพระราชนิพนธ์ด้วยพระองค์เอง ซึ่งแสดงว่าทรงพระเมตตาและอาลัยย่าเหลอย่างมาก ใครอ่านแล้วก็น้ำตาซึมไปตามกัน ข้อความในคำอาลัยนั้นมีว่า
“อนุสาวรีย์นี้เตือนจิตร์ให้กูคิดรำพึงถึงสหาย
โอ้อาไลยใจจู่อยู่ไม่วายกูเจ็บคล้ายศรศักดิ์ปักอุรา
ยากที่ใครเขาจะเห็นหัวอกกูเพราะเขาดูเพื่อนเห็นแต่เปนหมา
เขาดูแต่เปลือกนอกแห่งกายาไม่เปนฤกตรึกตราถึงดวงใจ
เพื่อนเปนมิตรชิดกูอยู่เนืองนิตย์จะหามิตรเหมือนเจ้าที่ไหนได้
ทุกทิวาราตรีไม่มีไกลกูไปไหนเจ้าเคยเปนเพื่อนทาง
ช่างจงรักภักดีไม่มีหย่อนจะนั่งนอนยืนเดินไม่เหินห่าง
ถึงยามกินเคยกินกับกูพลางถึงยามนอนๆ ข้างไม่ห่างไกล
อันตัวเพื่อนเหมือนมนุษย์สุจริตจะผิดอยู่แต่เพียงพูดไม่ได้
แต่เมื่อกูใคร่รู้ความในใจก็มองดูรู้ได้ในดวงตา
โออกกูดูเพื่อนอยู่หลัดๆเพื่อมาพลัดพรากไปไม่เห็นหน้า
กูเผลอๆ ก็ชะเง้อเผื่อเพื่อนมาเสียงกุกกักก็ผวาตั้งตามอง
อันความตายเป็นธรรมดาโลกกูอยากตัดความโศกกมลหมอง
นี่เพื่อนตายเพราะผู้ร้ายมันมุ่งปองเอาปืนจ้องสังหารผลาญชีวี
เพื่อนมอดม้วยด้วยมือทุรชนเอารูปคนสวมใส่คลุมใจผี
เปนคนจริงฤาจะปราศซึ่งปรานีนี่รากษสอัปปรีปราศเมตตา
มันยิงเพื่อนเหมือนกูพลอยถูกด้วยแทบจะม้วยชีวังสิ้นสังขาร์
จะหาเพื่อนเหมือนเจ้าที่ไหนมาช้ำอุราอาไลยไม่วายวัน
เมื่อยามมีชีวิตร์สนิทใจยามบรรไลยลับล่วงดวงใจสั่น
ด้วยอำนาจจงรักภักดีนั้นขอให้เพื่อนขึ้นสวรรค์สำราญรมย์
ถึงจะมีหมาอื่นมาแทนที่กูก็รักเพื่อนนี้เปนปฐม
ที่ไหนเล่าจะสนิทและชิดชมที่ไหนเล่าจะนิยมเท่าเพื่อนรัก
ถึงแม้จะไม่มีรูปนี้ไว้รูปเพื่อนฝังดวงใจกูตระหนัก
แต่รูปนี้ไว้เปนพยานรักให้ประจักษ์แก่คนผู้ไมตรี
เพื่อนเปนเยี่ยงอย่างมิตรสนิทยิ่งภักดีจริงต่อกูอยู่เต็มที่
แม้คนใดเปนได้อย่างเพื่อนนี้ก็ควรนับว่าดีที่สุดเอย”
ย่าเหลเกิดเป็นหมาข้างถนน แต่ได้รับความเมตตารักใคร่จากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็เพราะความซื่อสัตย์จงรักภักดี มีความฉลาดแสนรู้คล้ายกับเป็นคน ชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่ทำความดีแล้ว ไม่ว่าคนหรือสัตว์ ย่อมได้ดีตอบแทน อันเป็นหลักธรรมในพระพุทธศาสนา และผู้ที่ประกอบกรรมชั่ว ก็ย่อมได้รับผลกรรมชั่วตอบแทนเช่นกัน มีคำกล่าวที่น่าคิดประโยคหนึ่งว่า
“เกิดเป็นคน ทำดีไม่ได้ อายย่าเหล”