xs
xsm
sm
md
lg

ล้วงตัวตนคนดนตรีที่เจ๋งสุดคนหนึ่งแห่งทศวรรษ! “แจ๊ป เดอะริชแมนทอย”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ทรงผมหน้าม้า ไล่ลงมาเป็นเสื้อสีฉูดฉาด ก่อนส่งต่อสายตาไปยังขาเดฟรัดติ้วหลากสี เป็นเอกลักษณ์ที่ตีคู่ไปกับเสียงดนตรีและการขับร้องในทำนองออกเหน่อยียวน ทั้งหมดนี้คือสรรพคุณของวงดนตรีที่ดังมากที่สุดวงหนึ่งของบ้านเราในตลอดระยะเวลากว่าสิบปีที่ผ่านมา “TRMT“ หรือ “เดอะริชแมนทอย”

สถานะหนึ่งของพวกเขา เปรียบได้ดั่งไอคอนทางดนตรีอีกวงหนึ่งซึ่งแผ้วถางกรุยทางด้วยการหยิบนำของเก่ามาเล่าใหม่ในสไตล์ที่แปลกต่าง เกิดเป็นบทเพลงร่วมสมัยที่หลอมรวมแฟชั่นจากหลายยุค ผสมลูกกรุงปนสากลได้อย่างลงตัว จากผลงานตั้งแต่ สาวรำวง, ดาวเด่น, สะดุดรัก, ม้าป่า มาจนถึง “กระเป๋าแบนแฟนยิ้ม” หรือ “อ๊อด อ๊อด” ฯลฯ

และในวันนี้ เรื่องราวของพวกเขากลายเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่จะได้รับการถ่ายทอดบอกเล่าในหนังใหญ่ “Deadstock” หรือ “รัก ปี ลึก” ที่ชวนเราให้นึกถึงสิ่งงามๆ ของ “สิ่งเก่าๆ” ในคืนวันอันเก่าก่อน โดยมี “แจ๊ป-วีรณัฐ ทิพยมณฑล” ฟรอนต์แมนและผู้ร่วมก่อตั้งลำนำสะดิ้งของเล่นคนรวยแห่งเดอะริชมอนทอย ร่วมแสดงด้วย

เปิ๊ดสะก๊าดคันทรี่ลูกกรุง
แบบ เดอะริชแมนทอย

“จุดเริ่มต้นของการเล่นดนตรีก็ช่วงประมาณ ม.1 ครับ เล่นเพราะว่าอยากจีบสาว”
ฟรอนต์แมนแห่งวงเดอะริชแมนทอย เริ่มต้นสนทนาถึงถนนดนตรี ที่แม้ว่าความรักความชอบหญิงสาวในคราวนั้น จะกลายเป็นความหลัง แต่ดนตรีก็ยังดำเนินต่อไป กลายเป็นหนึ่งในความสำเร็จของชีวิตที่ทำให้เด็กหนุ่มวัย 13 ก้าวขึ้นมาเป็นดาวเด่นในยุคสมัยต่อมา

“แต่จริงๆ อิทธิพลน่าจะมาตั้งแต่เด็กๆ กว่านั้น คือเราได้ฟังเพลงมาตลอด เพราะคุณพ่อคุณแม่ชอบเปิดเพลงในรถ เวลาไปรับไปส่งเราไปโรงเรียนก็เปิดเพลงฟังทางวิทยุ ก็โตมากับเพลงไทย พี่เบิร์ด ธงไชย ไมโคร นูโว เต๋า-สมชาย บอยสเก๊าท์ ก็โตมากับตรงนั้น แล้วพอเราอยากเล่น คุณพ่อซึ่งสมัยวัยรุ่น ท่านก็พอจะเล่นกีตาร์ได้ก๊อกๆ แก๊กๆ เราก็ให้ท่านสอนคอร์ดนั้นคอร์ดนี้ เพลงโน้นเพลงนี้

“หลังจากนั้น เราก็ต่อยอดเอง และพอดีว่าในช่วงที่เรียนอัสสัมชัญ เขาก็มีการประกวดดนตรีด้วย เราได้เห็นรุ่นพี่ที่เท่ๆ หนึ่งในนั้นก็คือพี่กวาง วง AB Normal เราก็รู้สึกว่าอยากจะเท่เหมือนเขา ก็คิดทำวงขึ้นมา จากกีตาร์โปร่ง ก็มาหัดเรียนกีตาร์ไฟฟ้า ตามสเต็ป”

เกิดเป็นวงดนตรีที่มีชื่อว่า “D”
“จริงๆ  ถึงตอนนี้ยังไม่รู้ว่าคิดอะไร จึงไปคิดว่าเราเป็นวงที่ดี เล่นดีนั่นแหละครับ (หัวเราะ) แต่อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ตั้งชื่อว่าวง D เพราะช่วงนั้น เราจะเห็นโฆษณาค่ายมือถือก็มีแต่ตัว Dเอามา ก็ไม่รู้”

“แต่ก็ยังไม่ได้เป็นแนวอย่างปัจจุบันนี้นะ” นักร้องหนุ่มออกตัวในช่วงต้นที่เริ่มค้นหาแนวทาง
“คือไม่เล่นเพลงตลาดซะทีเดียว เล่นเพลงโมเดิร์นด็อกบ้าง โยคีเพลย์บอยบ้าง เล่นเพลงยามของวงลาบานูน 4 เต่าเธอ ก็มีหลายๆ วงเล่นอยู่ ส่วนเพลงต่างประเทศก็เพลงของโอเอซิส แกะเพลงอย่างนั้นเล่น หรือวงที่เขาประกวดกันก็ยังเอาเพลงของเอ็กซ์ เจแปน (X Japan) มาเล่นอยู่ ก็ไม่ง่าย แกะโซโลไม่เป็น ก็เลยต้องไปเรียนกีตาร์ต่อ เป็นเรื่องราวที่มันผูกกันไป”

หลังจากนั้นไม่นาน แววความสามารถก็ฉาดฉายเพียงในระยะเวลาไม่กี่ปี
“เราวุ่นอยู่กับทางนี้ การเรียนเราก็ห่วยเป็นทุนเดิม ก็ยิ่งห่วยไปกันใหญ่ คือไม่สอบซ่อม ก็ผ่านแบบปริ่มๆ ตลอดเวลา ก่อนจะมาถึงช่วงที่จะต้องเอนทรานซ์ แต่ที่สุดแล้ว ช่วงนั้นพอดีว่ามหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา มีการเปิดคณะวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มี 4 แขนง คือ คลาสสิก แจ๊ส ซาวด์เอ็นจิเนียร์ และธุรกิจดนตรี เนื่องจากเราพอจะมีหัวทางธุรกิจและชอบดนตรีอยู่แล้ว เราก็เลยเลือกธุรกิจดนตรี รู้สึกว่าแขนงนี้น่าสนใจและน่าจะเหมาะกับเรา แล้วพอเข้าไป มันก็ทำให้เราได้ฟังเพลงหลากหลายมาก แถมได้มีเพื่อนอีก มันก็เกิดการต่อยอดกันไปใหญ่

โลกใบเดิมก็เปิดกว้าง 360 องศา ขณะที่พัฒนาการก็รุดหน้าขึ้นทุกที
“ก็ไม่เคยคิดฝันครับ อย่างที่เล่าไป จากเล่นเพราะอยากจีบสาว เราก็ได้รับวัฒนธรรมดนตรี มันได้คุยกับเพื่อนเยอะ เราก็ไปศึกษาเพิ่มเติม สืบค้นเรื่องราวทางดนตรี ไม่ใช่แค่โอเอซิส แต่มันถอยขึ้นไปไกลกว่านั้น ยุค 70-60 ดนตรีเป็นอย่างไร ก็สืบเนื่องมา พอเดอะ บีเทิลส์ ก็มี “ครีเดนซ์” “เคลียร์วอเทอร์ รีไววอล” “เลด เซพพลิน” ไปจนถึงบ็อบ ดีแลน

“พอเราลงลึกไป เราก็ผนวกกลายมาเป็นเรา ถ้าถามว่าเสน่ห์ของยุคเก่าเป็นอย่างไร จริงๆ แล้วก็ไม่ได้ชอบแค่ฮิปปี้ เพราะก่อนหน้านั้น ก็เป็นมอส เป็นเอลวิส เพรสลีย์ ซึ่งก็ชอบ มันก็เลยมีเสน่ห์ของทุกๆ ยุคมั้งครับ เราก็เอามาผสมผสาน ฉะนั้น จริงๆ แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เราแค่ไปเริ่มมันเฉยๆ เพราะดนตรีแบบนี้มันก็มีมาตั้งแต่ยุคไหนๆ แล้ว ตั้งแต่ 30 - 40 ปีที่แล้ว มันแค่กลับมาแปลกอีกรอบหนึ่ง เด็กรุ่นเราหรือเด็กรุ่นใหม่อาจจะไม่เคยเห็นหรือเปล่า เขาก็เลยรู้สึกว่ามันแปลก ทั้งที่จริงๆ มันมีมาตั้งนานแล้ว

“แรกๆ ก็ยังทำไม่เต็มที่ เรายังเซลฟ์ วัยรุ่นมันต้องเซลฟ์ๆ (มั่นใจในตัวเองสูง) ซึ่งจริงๆ มันก็มีทั้งห่วยและดี อะไรก็ไม่รู้ แต่จุดนั้นมันเป็นจุดดีของการเป็นวัยรุ่น คืออยากทำอะไรต้องทำ เออ ยิ่งแปลกกลายเป็นว่ายิ่งรู้สึกเด่น เหมือนแว้นมอเตอร์ไซค์ ก็รู้สึกว่ามันแปลกแยกนะ ไม่ดี แต่มันก็เด่น คล้ายๆ เรื่องอย่างนี้ การทำเพลงมันก็คล้ายกัน ทุกคนก็อยากเด่นในความเป็นโลกนี้ แต่อยู่ที่ว่าจะเด่นด้วยวิธีไหน”

ในระหว่างค้นหาตัวตน หนุ่มนักร้องบอกเล่าแบบติดตลกว่าลุคของตน ณ ตอนนั้น สามารถหยิบคำว่า “หมายังเห่า” มาใช้ได้อย่างไม่เคอะเขิน

“4 โมงเย็น เลิกเรียนมาเดินสยาม ก็ไม่แตกต่างมาก ณ ตอนนั้น เพราะเรียนอยู่ แต่มันก็มีความแปลกขึ้นมาหน่อย ถ้าพูดถึงในมหาวิทยาลัย เพราะเราใส่ขาเดฟรัดๆ ผมเผ้ามึนๆ เริ่มอยากมีสไตล์แบบนั้นแบบนี้

“ด้านเพลงก็เหมือนกับว่า หลังจากได้ศึกษาเรียนรู้แล้ว เราก็ค่อยๆ เริ่มเป็นตัวเอง เราเคยไปเล่นดนตรีกลางคืน เหมือนนักดนตรีคนอื่นๆ เล่นอะคูสติก เพลงเบเกอรี่บ้างอะไรบ้าง แต่ก็ไม่รอด เพราะมันเป็นลักษณะ “วัน แมน โชว์” เกินไป เราอาจจะเหมาะกับการเป็นแบนด์ เป็นวงดนตรี ซึ่งในยุคนั้นเขาก็ฮิตทำเพลงกันเอง ช่วงยุคแฟต เรดิโอ ยุคอินดี้เบ่งบาน เราก็ฟอร์มวงกับเพื่อนรุ่นเดียวกัน”

“จนกระทั่งกลายมาเป็นเดอะริชแมนทอย”
เจ้าตัวกล่าวด้วยรอยยิ้ม เพราะนอกจากชื่อจะมีความหมายที่สอดคล้องกับรูปลักษณ์และแนวดนตรี ยังเหมาะเจาะกับชื่อเพลงเปิดตัวในยุคแรกๆ อย่าง “ดาวเด่น” และ “สาวรำวง” สองซิงเกิลในค่ายยักษ์ใหญ่

“คำว่าเดอะริชแมนทอย มันมาจากรถโฟล์กเต่า ซึ่งถ้าใครรู้จัก มันจะมีคำโปรยว่า โฟล์กสวาเกน อิส นอท อะ คาร์, อิส อะ ริชแมนส์ ทอย”( Volkswagen isn't a car, it's a rich man's toy.) ซึ่งจริงๆ มันก็แปลว่าของเก่า แต่มันไม่ใช่แค่ของ รถโฟล์กเก่าไม่ใช่แค่รถ แต่มันคือของเล่นคนรวย ต้องมีตังค์ถึงเล่นได้ ประมาณนี้ ก็เลยรู้สึกว่าคำนั้นแปลกดี มีความเก๋ไก๋ เราชอบก็เอามาตั้ง แค่นั้นเอง

“แล้วพอทำวง ก็ทำเพลงเสนอค่ายต่างๆ ซ้อมวง จนได้มาส่งค่ายใหญ่แล้วเขาชอบ เพลงสาวรำวงกับเพลงดาวเด่น ก็กลายเป็นที่รู้จัก ซึ่งแรกๆ ก็ไม่ได้คิดว่าใครจะชอบ เพราะตอนวัยรุ่นจะออกแนวทำก็ทำ ทำเพราะอยากทำ ถ้าถามว่ากลุ่มคนฟังจะรับได้ไหม คิดว่าน่าจะรับได้ เนื่องจากเขารู้ว่าสไตล์มันมาจากฝรั่งอีกทีหนึ่งซึ่งตอนนั้นมันเป็นยุคของเดอะสโตรกส์ (The Strokes), คิงส์ ออฟ ลีออน (Kings of Leon) วงร็อกอเมริกัน) และอาร์กติก มังกีส์ (Arctic Monkeys) ออกมาด้วย เราต่างก็อินไปกับอันนั้นอยู่แล้ว

“แต่มันจะแปลกแยกตอนยังเรียน อยู่ในคณะก็ค่อนข้างแปลก ยุคนั้นเป็นยุคฝรั่งจะฮิตอีโม ส่วนเมืองไทยบ้านเราก็จะเป็นเบเกอรี่ เป็นแฟตเรดิโอ ยังไม่มีเพลงอย่างที่ว่ามานั้นหรอก ไม่มีเพลงแบบนั้นออกมาเลย และเราก็ไม่ได้คาดหมายมาก่อนว่าใครจะชอบ แต่ถ้าเกิดคนจะชอบ ก็จะมีคนแบบเราอยู่บ้าง คิดแค่นั้น อยากเท่ ก็มีแค่นั้น วัยรุ่น ความเป็นวัยรุ่นเท่านั้นที่จะทำได้ ซึ่งนิสัยส่วนตัวเราชอบคิดอะไรประหลาดๆ เช่น เริ่มตั้งแต่ที่บ้านเลย สมมติว่าเขากินข้าวสวยธรรมดา เป็นข้าวขาวที่เราทานกัน เราก็จะมองว่าทำไมต้องกินแต่ข้าวอันนี้ ทำไมไม่ลองกินข้าวอีกแบบหนึ่ง ข้าวแดง เพราะข้าวแดงมันก็ดี

“หรืออย่างเรื่องเขาห้ามกลับรถในที่ห้ามกลับ จริงๆ แล้วอะไรที่เขาห้าม มันทำได้ เพราะมันเคยทำได้ เขาเลยต้องห้ามไง แต่ทำแล้วดีไม่ดีอีกเรื่อง หรือมันอาจจะดีก็ได้ เลยไม่รู้ว่าตรรกะจริงๆ ของโลกมนุษย์แล้วมันมาจากตรงไหนว่าอะไรถูกอะไรผิด เรื่องเล็กๆ ประมาณนี้ มันก็ต่อยอดมาจากอันนั้นว่าทำไมเราต้องทำอันนี้ ทีนี้ พอคิดอย่างนั้นมันก็ทำอะไรก็ได้ แต่ก็อยู่ในพื้นฐานของความเป็นจริง มันก็ต้องถูกต้องด้วย ไม่มั่วซั่ว มีหลักมีการของเรา”

รักมันต้องจัดเป็นชุด
เปิดเกมรุก และก้าวไปให้ถึงฝั่งฝัน

หลังจากมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ ความแปลกแยกแตกต่างกลายเป็นเรื่องที่ยอมรับ และเรียนรู้เสร็จสรรพว่าเส้นทางที่ย่างก้าวมา คือใช่ การมุ่งหน้าเต็มที่ในวิถีของตัวเอง จึงเพิ่มพูนขึ้น

.หลังจากประสบความสำเร็จ มีผลงานกับค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ เราไปอย่างไรต่อ

พอมีงานเพลง เป็นศิลปินในค่ายใหญ่ ก็เริ่มวาดลวดลายความเป็นเราได้เต็มที่ อย่างเรื่องการแต่งตัว ก็กล้ามากขึ้น (หัวเราะ) ส่วนผลงานเพลง เราก็ได้ทำเพลงในทิศทางที่เราชอบ อย่างการแต่งเนื้อร้อง คำที่ใช้ในอัลบัมเต็มอัลบัมแรก 'สะดุดรัก' ตอนประมาณปี 2550 ที่มาอยู่กับค่ายสมอลล์รูม คำประเภท “ในลิ้นชัก” พี่ๆ ที่นี่ พี่เชาวเรข (เชาวเลข สร่างทุกข์ ปัจจุบันเป็นผู้บริหารและผู้ก่อตั้งค่ายเพลงทิกเกอร์ มิวสิก) เขาก็เป็นคนเขียนเพลงในช่วงเวลานั้น ที่ดังๆ อย่างแนวอาร์มแชร์ ซึ่งเราชอบ เขาก็เป็นส่วนหนึ่งซึ่งทำให้อยากมาร่วมทำเพลงกับค่ายสมอลล์รูมด้วย จากแต่เดิม อิทธิพลที่เราได้มาจากการฟังเพลงของพ่อที่เปิดวงชาตรี สุนทราภรณ์ จากที่เราชอบวงสี่เต่าเธอ เขาจะใช้คำประเภทนี้ในเพลง แล้วมันก็มีความอัลเทอร์ฯ ด้วย ก็มาประยุกต์ใช้ได้ ปนๆ มา อย่างในเพลง “แดนสวรรค์คอยอยู่” เพลง “ม้าป่า”

.นั่นคือที่มาของคลังคำ แต่นอกจากนั้นมันเพิ่มความหมายในบทเพลงเหมือนแฝงปรัชญาไปด้วยในตัว

ใช่ๆ วิธีคิดมันก็ขึ้นอยู่กับว่าอยากจะเขียนเรื่องอะไร แล้วก็ตั้งหัวข้อไว้ จากนั้นก็เขียนไปให้ถึงเรื่องนั้น ก็ต้องมีการไปฟังเพลงเก่าด้วย และหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องราวนั้นประกอบ เพื่อให้ได้ส่วนเพลงแบบนั้นมา เพราะเราเป็นคนที่ทำอะไรแล้วต้องทำให้สุดทาง เป็นนิสัยตั้งแต่เด็กๆ เราเป็นลูกคนเดียว พอที่บ้านจะให้อะไร อย่างขอกีตาร์ สมมติว่ามันมีไอ้ตัวที่ดีที่สุดรุ่นนี้ราคา 3 หมื่น เขาจะซื้อ 15,000 บาทให้ก็ไม่เอา ถ้ารู้ว่ามีอันอื่นๆ ที่ดีกว่า ก็จะเอาไอ้อันที่ดีสุด มันก็เป็นนิสัยส่วนตัวทุกอย่างมันต้องดีที่สุด

ฉะนั้น พอมาทำอะไรเอง ก็รู้สึกว่าถ้ามันไม่ดี จะรู้สึกหงุดหงิด เราก็เลยจะเต็มที่ในทุกเรื่อง อย่างมีคลิปคลิปหนึ่ง ตอนนั้นเล่นในงานที่เป็นโปรเจกต์เล็กๆ มีโจทย์ให้ประมาณว่าแลกเพลงกันเล่น เราก็เล่นเพลงอกหักของวงบอดี้สแลม เราก็เล่นเต็มที่เกลือกกลิ้ง คือทำอะไรมันก็จะล้นๆ หน่อย ก็อยากจะให้มันสุด สุดแบบตอนนั้นมันก็จะเล่นบ้าๆ ท่าทางก็เลยออกมาเป็นอย่างนั้น ท่าเล่นกีตาร์ ท่าร้อง มันก็มาจากตรงนั้น

.เลยกลายเป็นมนต์เสน่ห์ของเราด้วยส่วนหนึ่งหรือไม่ที่ทำให้ถูกกล่าวขวัญเป็นหนึ่งในไอคอน ความสุดกู่ ความเต็มที่ ที่ใครเห็นแล้วต้องนึกถึงเดอะริชแมนทอย

คือมันมีมุมคล้ายๆ ว่าเราทำอะไร เป็นโรคจิตด้วย อย่างเช่น หนึ่ง เขาทำอะไร เราจะทำอีกอย่างหนึ่ง มันมีนิสัยแบบนั้นอยู่ ซึ่งมันก็ดีต่อบางเรื่อง ถ้าเป็นเรื่องงานศิลปะจะดี มันก็ได้สิ่งใหม่ แต่ถ้าอยู่ดีๆ เป็นเรื่องขับรถหรือว่าเรื่องใช้ชีวิตในสังคม ถ้าเขาทำอันนี้กัน แล้วเราไปทำอีกอันหนึ่งซึ่งผิดทาง มันก็ไม่ดี ก็ต้องดูเป็นเรื่องๆ ไป

ยกตัวอย่างเช่น หลังอัลบัมแรกสองปี เราทำอัลบัมที่ 2 “กระเป๋าแบนแฟนยิ้ม” ก็รู้สึกว่าเพลงแบบอัลบัมแรก มันเล่นได้แต่ในปาร์ตี้ แต่เราอยากไปเล่นที่อื่นด้วยบ้าง อยากสู่วงกว้าง เพราะเราทำเพลงก็อยากให้คนฟังเยอะที่สุด มันก็เลยต้องใส่ความเป็นเมนสตรีมเข้าไปในเพลง มีความเป็นป็อป ก็ใส่ผสมลงไป มันก็เลยขมวดลงมาเป็นว่าจริงๆ แล้วเพลงแบบเราผสมผสานอะไรไปได้อีก เนื้อเรื่องที่มันป็อปขึ้น แต่ว่ายังเข้มข้นอยู่ ยังเป็นเราอยู่ ก็เลยออกมาเป็นกระเป๋าแบนแฟนยิ้ม ส่วนเพลงอ๊อด อ๊อด จริงๆ มันก็คือเพลงจดหมายถึงเมียเช่า เป็นเนื้อหาโทนอย่างนั้น คือเอาไทยคำ อังกฤษคำ มาใช้ในการเขียน แล้วก็บวกกับความเป็นตัวตนของวงเรา เอามาทำต่อเป็นเพลง คือมีต้นไอเดียแล้วก็ต่อยอดมา

.ท่ามกลางกระแสดนตรีที่เชี่ยวกราก วงใหม่ๆ เกิดขึ้นมา ตรงนี้เรามองอย่างไร

จริงๆ มันเป็นเช่นนี้มาทุกยุคครับ มันจะตลกมาก ถ้าเกิดวงนั้นอยู่ในทุกยุค แต่จริงๆ มันก็พอแล้ว ไม่ว่าดนตรีหรือทุกๆ อย่าง บริษัท หนังสือ ค่ายเพลง หรืออะไรก็ตาม มันจะมีช่วงเวลาจังหวะประมาณหนึ่ง ถ้ายกคำทางพุทธศาสนา ก็จะมีช่วงที่ขึ้นและลง ถ้าขึ้นตลอด งงแน่ เพราะมันไม่มีใครขึ้นได้ตลอด แล้วเราก็ไม่ได้วางวงเราให้เป็นอย่างนั้น แต่ของเราจะกลางๆ คือเราอยากทำเพลงและทัวร์สัก 10 งาน ไม่ได้อยากจะมีงาน 30 วัน มันเป็นการวางชีวิตประมาณหนึ่ง ก็เลยรู้สึกว่าถ้าเราวางใจสุด เราก็จะไปสุด อยากมีงานเยอะๆ แต่ตอนนี้ไม่ได้วางแบบนั้น เราแค่วางไว้ว่าอยากมีงานประมาณนี้ แค่นั้นเอง

อีกอย่าง เรามองวงการโดยรวมด้วย ปัจจุบันนี้ ดนตรีสไตล์ยุค 80 มันเวิร์ก วง “โพลีแคท” เขาก็เป็นตัวแทนตรงนั้นไป ก็ดีแล้ว คือโลกดนตรีมันไม่ได้เป็นแค่ยุค 60-70 แล้วเราจะไปอยู่ตรงนั้นทำไม มันไม่จำเป็น แต่หน้าที่ของศิลปินก็ผลิตงานกันไป ถึงผลงานจะดีอย่างไรก็ไม่เท่ากับจังหวะของเรา

.คือไม่ได้ยึดติดว่าเราจะต้องป็อปตลอดเวลา

ก็เป็นอย่างนั้น ถ้าคิดอะไรออก ก็มีเพลงใหม่ออก และเราก็ไม่ได้ผ่านง่ายๆ ในการทำเพลงแต่ละเพลง ก่อนจะออกอัลบัม 1-2 คิดมาทั้งชีวิตเพื่อจะเป็นอัลบัม พูดถึงความยาวนานของประสบการณ์ชีวิตที่จะทุ่มเพื่ออันนี้ ทุกวันนี้ก็เลยต้องสะสมก่อน เราอยากจะขบแก่นมันจริงๆ แล้วทำมันทีเดียวเลย ไม่อย่างนั้นจะทำมันทำไม ตอนนี้อัลบัมที่ 4 ก็กำลังอยู่ในช่วงประมวลผล ก็เว้นวรรคนานหน่อย ต้องประมวลผลความคิดเยอะมากกว่าจะได้เพลงแต่ละเพลง แต่มันเป็นแค่ความคิด มันเลยดูไม่เหนื่อย ภายนอกดูไม่เหนื่อย มันเลยไม่เห็น ขนาดตัวเราเอง ยังคิดเลยว่าเราเหนื่อยหรือเปล่า เพราะเราไม่ได้ทำอะไร แต่จริงๆ มันเป็นงานคนละแบบ เหนื่อยคนละอย่าง ต้องใช้ลักษณะของกายภาพในการเล่นดนตรี ก็คล้ายๆ ดารา แป๊บเดียวได้เงินเยอะ แต่จริงๆ แล้ว หารู้ไม่ว่าทั้งรูปลักษณ์เขาที่มี ทักษะการแสดงที่มา มันก็ต้องดีจริงๆ และมันจะมีสักกี่คนที่เป็น someone คนนั้น

จริงๆ เรื่องพวกนี้สอนกันไม่ได้ ในความเป็นจริงแล้ว ต้องเป็นนิสัยลึกๆ ส่วนตัวมันต้องมีความบ้าๆ อยากจะทำอะไรสักอย่างเป็นเชื้ออยู่แล้ว ถ้าตั้งใจทำสิ่งที่ชอบแล้วก็ตั้งใจทำ ก็แค่นั้น แต่พูดถึงคนที่กลางๆ ว่าให้ทำ พูดถึงคนที่ไม่มีเชื้อนี้อยู่ในตัว จะออกมาอย่างไร เอาที่ซ่อนไว้ออกมาอย่างไร เอาเข้าจริง คนก็พูดประโยคนี้มาเป็นชาติแล้ว “เฮ้ย...แค่ลองฝัน แค่มีก้าวแรก เราก็ผ่านแล้ว” แต่จริงๆ ถ้าคนมันทำไม่ได้ ก็คือทำไม่ได้ ฟังเหมือนเรื่องน่าเศร้า แต่เขาไม่มี มันก็คือไม่มี ซึ่งเข้าใจได้ บางประโยคมันก็ไปจุดให้ความคิดเขามีความฝันขึ้นมาได้ แต่ส่วนใหญ่ 80 เปอร์เซ็นต์ พอเขาฝันแล้วเขาก็ไม่ได้ทำ ที่สุดแล้วนอนเล่นเน็ตสบายกว่าเยอะ

ผิดพลาดเป็นบทเรียน
แปลงเปลี่ยนเป็นการเติบโต

“คือทุกจังหวะของชีวิต มันก็มีความเข้มข้นของเรา อยู่ที่ว่าเราจะกลับไปมองแล้วกลับไปพูดถึงเรื่องไหน”
นักร้องหนุ่มกล่าวนำเข้าสู่ภาพยนตร์ “Deathstock รักปีลึก” ซึ่งเขาร่วมแสดงเป็นครั้งแรกในชีวิต หลังลัดเลาะจุดเริ่มและแนวความคิดจนก่อเกิดเป็นตัวตนคนดนตรี เดอะริชแมนทอย ที่กำลังจะถูกถ่ายทอดออกมาให้เห็นในรูปแบบของภาพยนตร์

“จริงๆ แล้วโปรเจกต์หนังเรื่องนี้มันเกิดจากการที่คุยกับพี่ชีวา (ชีวา ลาภิณตั้งสุทธิ ผู้อำนวยการสร้างและหนึ่งในผู้กำกับของหนังเรื่องดังกล่าว) นั่งคุยเล่นๆ จนกลายมามีบทมีอะไรที่พี่เขาไปต่อเติม ที่สุดแล้ว ไปๆ มาๆ พี่เขาก็บอกว่าให้เราเล่นหนังเรื่องนี้ไปด้วยเลย ซึ่งก็คือเล่นเป็นตัวเอง ไม่ต่างจากตัวเองมาก เป็นนักดนตรี ชื่อเจ๋ง เป็นเพื่อนพระเอก แต่เป็นเพื่อนรุ่นพี่ แล้วก็มีอาชีพเป็นนักดนตรีกลางคืนด้วย

“ศิลปินทุกคน นักดนตรี ก็มักจะมีเพื่อนที่จะชอบคุยเรื่องเพลง เรื่องดนตรีกันอยู่แล้ว ซึ่งบทนั้นจะเป็นบทของเราในเรื่อง จะเป็นคนคอยแนะนำหลายๆ อย่างให้กับพระเอก เรื่องเพลงบ้าง เรื่องความรักบ้าง เรื่องชีวิตบ้าง”

กว่า 30 ปี บนเส้นทางชีวิตที่แหวกแปลกขนบ จนเป็นไอคอนสัญลักษณ์หนึ่งของยุค กว่า 9 ปี บนเส้นทางดนตรีที่หลากหลายเมโลดี้ท่วงทำนอง

“คนเรามันก็ผิดพลาดกันทุกวัน ผิดพลาดเรื่องนั้นเรื่องนี้แล้วก็เอามาเป็นแบบสอนให้เราจะไม่ผิดพลาดมันอีก เพราะว่ามีความโตขึ้น ก็มีเปลี่ยนแปลงทุกวัน สมมติตอนเด็ก รู้ว่าขี่จักรยานล้ม เราก็จะไม่ขี่แบบนั้นอีกแล้ว เพราะเรารู้เจ็บ มันจะเป็นแผล บทเรียนชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมด ก็เรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาดแล้วก็เอามาสร้างจังหวะใหม่ในชีวิต ในวันพรุ่งนี้หรือวินาทีนี้

“สุดท้ายก็ขอฝากผลงานภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยครับ เป็นครั้งแรกที่เล่น อาจจะเล่นไม่เยอะ ไม่ได้หลากฉาก ก็มึนๆ นิดหนึ่ง (หัวเราะ) แต่เทกไม่เยอะนะครับ เพราะเราก็ไม่ได้ต้องการอะไรที่ไม่ใช่เรา มันก็สนุกไปอีกแบบ ก็เดี๋ยวรอดูในโรงนะครับ”

เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร

กำลังโหลดความคิดเห็น