เพราะหน้าตาไม่สวย ทำให้เธอพลาดโอกาสหลายอย่างในชีวิตไป โดยเฉพาะต้องเสียโอกาสไปกับความฝันที่มีมาตั้งแต่เด็ก อย่างการร้องเพลงที่เธอทำได้ดีถึงขนาดได้รางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระเทพฯ
“เณ-ฑิฆัมพร พงษ์สุวรรณ” หนึ่งในผู้เข้าร่วมโครงการ Let me in Thailand คนที่ 6 ที่ปัจจุบันเป็นเจ้าของผลงานเพลงลุกทุ่ง ชื่อเพลงว่า “ดาวฝัน” ภายใต้สังกัด ยุ้งข้าว เรคคอร์ด แต่ก่อนหน้านี้ เธอเป็นลูกเป็ดขี้เหร่ มีอุปสรรคในเรื่องหน้าตา ทำให้พลาดโอกาสบนเส้นทางความฝันด้านการร้องเพลงไปหลายครั้งหลายหน จนกระทั่งมีโอกาสได้เข้าร่วมโครงการศัลยกรรมเปลี่ยนชีวิต และชีวิตของเธอก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ โดยเฉพาะชีวิตในด้านการเป็นนักร้อง...
• เห็นว่าตอนนี้เป็นนักร้องภายใต้สังกัด ยุ้งข้าว เรคคอร์ด แถมมีผลงานออกมาแล้วด้วย ขอถามถึงเรื่องการร้องเพลงหน่อยค่ะว่าเราชื่นชอบการร้องเพลงมาตั้งแต่ตอนไหน อย่างไร
ตั้งแต่จำความได้เลยค่ะ น่าจะช่วงประถมศึกษาปีที่ 5 ปีที่ 6 ตอนนั้นก็ได้ร่วมกิจกรรม เริ่มร้องเพลงงานโรงเรียน เป็นกิจกรรมในโรงเรียน เลยมีความรู้สึกว่าเราไปทางนี้ได้ พอเข้ามัธยมต้น ประมาณ ม.2 พ่อกับแม่เหมือนจะเห็นแววในตัวลูกก็เลยสนับสนุนด้วยการส่งไปเรียนเทคนิคการร้องเพลงเพิ่มเติม โดยรวมแล้วคุณพ่อจะเป็นคนสอนมากกว่า และเหมือนเป็นพรสวรรค์เราด้วย เริ่มประกวด ล่ารางวัล เราได้รางวัลใหญ่ตอนมัธยมปลายเป็นรางวัลเกียรติยศ รางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระเทพฯ รางวัลนี้เป็นรางวัลแรกเลยค่ะ
ตอนนั้น เณจะได้เซ็นสัญญา ออกอัลบัมด้วยนะคะ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ออก ปีนั้นเขาจัดประกวดเพื่อจะหานักร้องให้บริษัทเอาไว้เดินสาย ช่วยขายของอะไรประมาณนั้น เขาก็เซ็นสัญญาให้เรา ตกลงกันว่าจะออกอัลบัมให้ ในสัญญาระบุไว้ว่า 3 ปี แต่สุดท้ายก็คือไม่ได้ออก
• จะได้ออกอัลบัม แต่ชวดไม่ได้ออก ทั้งๆ ที่เซ็นสัญญาแล้ว ไม่ทราบว่าเกิดจากอุปสรรคอะไรคะ
เขาบอกกับเราว่าไม่มีจุดขาย ประมาณว่าหน้าตาขายไม่ได้ แต่จริงๆ เณคิดว่าเขาไม่กล้าลงทุนมากกว่า อาจจะเป็นข้ออ้างมากกว่า
• อุปสรรคในการร้องเพลงอยู่ที่หน้าตาไม่เป็นจุดขาย?
ใช่ค่ะ หลังจากเหตุการณ์นั้น เณก็ไม่ได้ประกวดร้องเพลงนานมากเลยนะคะ เหมือนเขาดองไว้ เราก็ไม่กล้าไปไหนอยู่แล้ว เพราะกลัวจะฟ้องร้องเราว่าเราไปประกวดให้ที่อื่น ก็เป็นอยู่แบบนั้นประมาณ 5 ปี คนที่เขาไปประกวดร้องเพลงด้วยกันกับเรา เขาก็ไปเป็นนักร้องกันหมด คือคนอื่นเขาได้โอกาสไปแล้ว แต่เราไม่ได้ ก็เสียใจนะคะ
• ไม่ได้ร้องเพลงเลย 5 ปี ทั้งๆ ที่เป็นความฝัน แล้วตอนนั้นเราทำอะไรคะ
ครอบครัวเณ มีพ่อเป็นทหาร แม่เป็นแม่บ้าน ฐานะปานกลาง แต่ว่าก็ค้าขายด้วยอะไรด้วย ตอนนั้นเป็นช่วงที่เรียนมหา’ลัยพอดี ก็มีไปร้องเพลงกลางคืนตามโรงแรม ร้านอาหาร คือรับงานทั่วไปแบบอิสระกับเพื่อนๆ บ้าง แต่ไม่ได้ไปประกวดที่ไหน ก็ทำงานไปพักหนึ่งแล้วแม่ก็เสีย ทำให้ช่วงนั้นต้องหยุดร้องเพลงไปอีกเป็นปี เพราะเสียใจเรื่องแม่มาก เหมือนคนที่ฝันมาด้วยกัน ไปด้วยกัน แล้วเขามาหายไป ก็เลยรู้สึกนอยด์ แต่สุดท้ายก็กลับมาร้องเพลงใหม่เพราะยังอยากเป็นนักร้องอยู่ คิดว่ายังต้องไปให้ถึงตรงนั้น (ยิ้ม) จนมาอยู่กับแฟน พอดีทางบ้านแฟนก็พอมีฐานะก็ช่วยในหลายๆ อย่าง อันนี้ก็ถือว่าตัวเองมีความโชคดี ส่วนหนึ่งคือมีคุณพ่อคุณแม่แฟนเขาเอ็นดูและให้ความรักเรา เหมือนพ่อแม่เราด้วย
• เพราะหน้าตาทำให้ต้องพลาดโอกาสมาก็หลายครั้ง เพราะคนมองหน้าตามากกว่ามองความสามารถของเรา
เสียใจ รู้สึกแย่มากนะคะ มีความรู้สึกว่ามันใช่เหรอ ทั้งๆ ที่ในสัญญามันไม่มีความเกี่ยวข้อง คือยังไงคุณก็ต้องทำให้เรา ด้วยความที่ว่าตอนนั้นเราก็เด็กและที่บ้านไม่มีเงิน พอมาคิดตอนนี้เราก็สามารถฟ้องร้องได้นะ แต่ว่าตอนนั้นเราไม่มีเงินที่จะไปดำเนินเรื่อง ไปจ้างทนาย และอีกอย่างเราก็ไม่มีความรู้ ก็เลยปล่อยให้มันผ่านไป
เอาจริงๆ เณเป็นสายตระเวนประกวดร้องเพลงมาตั้งแต่เด็กๆ นะคะ เราเชื่อมั่นว่าตัวเรามีความสามารถ มีความพยายามเต็มร้อย ง่ายๆ คือไปที่ไหนก็มีคนรู้จัก เณไปประกวดตั้งแต่รุ่นพี่ตั๊กแตน ชลดา พี่หญิง ธิติกานต์ ตอนนั้นพี่ตั๊กแตนก็ไปประกวดรุ่นที่หนูได้รางวัลแหละค่ะ แต่ว่าพี่เขาตกรอบไป เพราะว่ากรรมการบอกว่าพี่เขาเสียงดีมาก แต่ร้องเลียนแบบศิลปินมากไป แต่จริงๆ พี่เขาเก่งมากนะคะ ตอนหลังพี่เขาก็เลยกลายเป็นว่าได้รับโอกาสจากสื่อมวลชนที่เข้ามาดู แต่ส่วนตัวเรา เราได้รางวัล เราคิดว่าชีวิตตัวเองจะเปลี่ยนไปในทางที่ดี แต่กลับไม่เลย เรากลับไม่ได้รับโอกาสตรงนั้น เหมือนถูกปฏิเสธ
พอเป็นยุคสมัยใหม่ มันจะเป็นรูปแบบการออดิชั่นซะส่วนใหญ่ แล้วพอไปรายการหนึ่งเป็นรายการใหญ่เลยค่ะ เขาบอกมาว่าเราเสียงดีนะ แต่เวทีนี้อาจจะไม่เหมาะกับเรา ให้เราไปรายการที่ถนัดจะดีกว่า คือตอนนั้นเราเอาเพลงลูกทุ่งไปออดิชัน ในรูปแบบการออดิชันบอกไว้ว่าเราสามารถนำเพลงอะไรมาร้องก็ได้ ซึ่งเราถนัดเพลงลูกทุ่งก็เลยเอาเพลงลูกทุ่งไปร้อง แต่พอวันที่ฟังประกาศผล ก็รู้สึกว่าทำไมตัวเองถึงไม่ได้ คือเณไม่ได้เข้าข้างตัวเองนะคะ คือเราฟัง เขาก็ไม่ได้ร้องดีกว่าเรามาก เราก็พอได้นะ ความสามารถเราก็ถึงนะ แต่ว่าทำไมล่ะ แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดน้อยใจว่าทำไม เพราะเรามีความรู้สึกว่าหน้าตามันไม่น่าจะเกี่ยวข้องอะไร
แล้วก็มีอีกที่หนึ่งเป็นการออดิชันเหมือนกัน เวทีนี้เขาก็บอกเหมือนกันค่ะว่าเราเสียงดีนะ แต่อีกคนที่ได้เขาหน้าตาดีกว่า เหมือนเอาเราไปเปรียบเทียบ ไม่ได้ว่าเราโดยตรง เราก็นึกในใจตลอดนะคะว่ามันเกี่ยวด้วยเหรอ
• เคยน้อยเนื้อต่ำใจจนถึงขั้นท้อแท้และอยากล้มเลิกความตั้งใจในการร้องเพลงไหมคะ
เคยนะคะ มีท้อบ้างค่ะ แต่ว่าเราก็ไม่หยุด เพราะยังคิดว่าต้องได้ ถ้าเราพยายาม แต่เราก็ไม่เคยน้อยใจตัวเอง หรือคิดว่าตัวเองด้อยค่านะคะ เพราะยังไงเราก็มีความรู้สึกว่ามันไม่เกี่ยว แต่เราก็ยอมรับว่า อาจจะมีคิดบ้างว่าทำไมไม่มองกันที่ความสามารถ ทำไมอะไรหลายๆ อย่างต้องเอาหน้าตามาเกี่ยว เพราะคนเราบางทีเขามีความสามารถนะอะไรประมาณนี้ค่ะ
• แต่เห็นว่าเรามีจุดพลิกผันในชีวิต เพราะเราได้ไปเข้าโครงการทำศัลยกรรมเปลี่ยนชีวิตกับรายการ Let me in มา
ใช่ค่ะ ตอนนั้นเราแต่งงานมีลูกแล้ว ก็ได้ไปเจอโฆษณาในรายการหนึ่งในเฟสบุ๊คว่ารับสมัคร let me in พลิกชีวิตคนที่มีปัญหา เราก็เลยหาข้อมูล หารายละเอียดว่าเป็นรายการอะไร เพราะตอนแรกเรารู้แต่ว่าเป็นรายการดังของประเทศเกาหลี พอหารายละเอียดรู้แล้วว่าเป็นรายการที่คัดเลือกคนไปทำศัลยกรรม แฟนก็เลยบอกว่าลองไปสมัครดูสิ ก็ไม่ได้เสียอะไร เพราะหน้าเราก็น่าทำ (หัวเราะ)
เณลองสมัครดูค่ะ ประมาณ 2-3 เดือน ก็ได้รับข่าวดีว่าเราผ่านเข้ารอบ ตอนนั้นก็ตกใจนะว่าเราได้ด้วยเหรอ จำได้ว่าเณเขียนเล่าเรื่องตัวเองไปประมาณว่าเราอยากเป็นนักร้อง แต่ติดที่หน้าตาเราไม่ดี เราประกวดที่ไหนก็มีมีฟีดแบ็คกลับมาว่าหน้าตาเราไม่ผ่าน ทำให้เสียโอกาสไปหลายครั้ง
ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนฝันเลยนะคะ เราได้จริงๆ เหรอ แต่ถ้าไม่ได้เข้าโครงการนี้ก็ไม่เสียใจนะคะ แต่พอเข้ารอบก็ดีใจมากเหมือนเป็นของขวัญ เป็นรางวัล ยิ่งกว่าถูกล็อตเตอรี่ ทุกวันนี้ยังคิดว่ามันเป็นความฝัน ใครจะคิดว่าอยู่กับหน้าเดิมมา 20 ปี แล้วจะมาได้หน้าใหม่ มันยิ่งกว่านิยายในชีวิต ดีใจจนอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก (ยิ้ม)
• แล้วทำศัลยกรรมอะไรไปบ้างคะ คาดหวังไว้มากน้อยแค่ไหนว่าเราจะต้องสวยกลับมาแน่ๆ
ปัญหาของเณ คือโครงหน้าของเณจะเหมือนผู้ชาย โหนกแก้มใหญ่ มีกราม ช่วงแก้มเป็นรอยบุบ เหมือนช่วงอายุ 20 กลางๆ กรามเราเริ่มใหญ่ขึ้น อาจจะเป็นสาเหตุมาจากไม่ถอนฟันคุดหรือเปล่าไม่แน่ใจ กระดูกมันอาจจะเปลี่ยน โครงหน้าปรับ รู้สึกว่าหน้าตัวเองเหมือนผู้ชาย แฟนก็จะล้อ เป็นตัวการ์ตูนไดโนเสาร์ (หัวเราะ) คุณหมอเลยบอกว่าจะปรับโครงหน้าให้หวานขึ้น ลดโหนกแก้ม กราม แก้จมูกใหม่ ตัดปีกจมูก ขยับขากรรไกรเข้า เพราะว่าคางเรายื่นออกมานิดหนึ่ง ฉีดไขมันข้างหน้า แล้วก็ทำหน้าอก เราไปอยู่ที่นู่นประมาณ 3 เดือน
ถามว่าคาดหวังไหม ก็คาดหวังนะคะ แต่สิ่งที่เราได้รับมันเกินกว่าที่เราคาดหวังไว้ คือมันดีมาก มันเหมือนเป็นความโชคดี เหมือนเป็นรางวัลให้เรา ที่เราได้รับมา ดีใจมาก จนอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้เลยค่ะ (ยิ้ม) จริงๆ ที่เณไปไม่ได้อยากจะเน้นความสวยเท่าไหร่ เพราะเราก็มีครอบครัวแล้วเลยไม่ได้อะไรกับตรงนี้ เพียงแต่เราอยากจะทำงานด้านร้องเพลง เราอยากเป็นนักร้อง พอมันมีโอกาสเข้ามา ก็เลยลองไปดู ซึ่งแฟนก็สนับสนุน ทางบ้านแฟน พ่อ ทุกคนก็สนับสนุน แฟนก็เลี้ยงลูกให้ด้วยก็เลยโอเคไป
• พอศัลยกรรมมาแล้วชีวิตเปลี่ยนไปไหมคะ
เปลี่ยนค่ะ เปลี่ยนไปมาก หนึ่งคือเปลี่ยนในเรื่องของเรื่องหน้าตา ทำให้คนสนใจเรามากขึ้น แต่ว่าเรื่องการใช้ชีวิตก็ยังเหมือนเดิม ก็ยังเลี้ยงลูกอยู่กับสามีเหมือนเดิม ทำงานบ้านเหมือนเดิม แต่ได้รับความสนใจจากคนอื่นมากขึ้น มีหลายคนอยากทำเหมือนเรา บางคนอยากเป็นนักร้องเหมือนเราแต่ไม่สวยจะทำยังไง เขาก็จะมาปรึกษา
อีกอย่างที่เปลี่ยนคือเมื่อก่อนจะมีคนที่ดูถูกเราเยอะ อย่างเณ เณจะขายของเกี่ยวกับความสวยความงามด้วย ก็จะมีคนมาบอกว่าหน้าอย่างนี้ จะขายได้ด้วยเหรอ ดูถูกประมาณว่าเขาสวย เราทำไม่ได้อย่างเขาหรอก แต่พอได้มาเป็นหนึ่งใน let me in มันสร้างความมั่นใจให้เรามากขึ้น และหลายๆ คนที่เคยดูถูกเราเขาก็ยอมรับในตัวเรา
เราได้รับโอกาส ความฝันเราก้าวขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง ทำให้เราได้มีเพลงเป็นของตัวเอง พอกลับมาจากรายการ ทางบริษัทยุ้งข้าว เรคคอร์ด ก็ได้ให้โอกาสทำซิงเกิลเพลงให้หนึ่งเพลง เราก็เลยมีความรู้สึกว่าความฝันเราไปอีกขึ้นหนึ่งแล้ว ตอนนี้มันเหมือนได้เริ่มต้นด้วยการเป็นศิลปิน และก็อยากมีผลงานเพลงต่อไปเรื่อยๆ (ยิ้ม)
• พอหน้าตาดีแล้วสังคมยอมรับมากขึ้นใช่ไหมคะ แล้วมีถูกไม่ยอมรับจากคนอื่นบ้างไหมคะ ประมาณว่าสวยได้เพราะศัลยกรรมอยู่ดีอะไรประมาณนี้
มีค่ะ บางคนเขาก็จะบอกว่า งั้นๆ แหละ บางคนก็บอกว่าโอเคนะ มีทั้งด้านลบด้านบวก เป็นเรื่องปกติค่ะ คือเราเตรียมใจไว้แล้ว แต่มันอยู่ที่เรามากกว่า เราทำผลงาน สร้างสรรค์ไปให้มันดีที่สุด หน้าที่ของเรา ใครจะพูดอะไร ตรงนี้ไม่ค่อยใส่ใจ คือเราห้ามความคิดคนไม่ได้อยู่แล้ว เราคิดแค่ว่ามันเป็นโอกาสที่เราได้รับ ถามว่าถ้าเป็นเขาได้รับ เขาก็ต้องคว้าไว้เหมือนกัน มีคนว่าเราก็รู้สึกนะ แต่จะคิดว่าช่างมันเถอะ ถ้าจะไปนั่งอธิบาย ก็ไม่มีประโยชน์ คือเขาเชื่ออย่างนั้น เราจะไปเปลี่ยนความคิดเขาก็ไม่ได้ เราทำในสิ่งที่เราทำให้มันดีก็พอ คือทำออกมาเป็นผลงาน ให้เขายอมรับ ว่าเราทำได้จะดีกว่า
• ทั้งหมดทั้งมวลที่เล่ามา เหมือนว่ายุคนี้คนฟังเพลงด้วยตามากกว่า ตรงนี้เราคิดเห็นอย่างไรบ้าง
ใช่ค่ะ ยุคนี้ต้องเป็นประมาณว่าดูแล้วต้องสวย ต้องหล่อ ถึงจะทำให้เพลิน แต่เรามีความรู้สึกว่าเป็นเพียงองค์ประกอบเล็กๆ มากกว่า อย่างน้อยถ้าเราฟัง มันก็คงต้องเพราะ ถ้าฟังแล้ว คนร้องไม่เพราะ แป๊ปเดียว เราก็ไม่ฟัง ถ้าให้เณเปรียบนะ สมัยก่อนนักร้องจะใช้ความสามารถล้วนๆ เลยนะคะ ยกตัวอย่าง อย่างพี่สุนารี ราชสีมา พี่เขาก็คนโคราชเหมือนเณนะคะ แต่อาจจะเป็นด้วยโอกาสหลายๆ อย่างของพี่เขา แล้วยิ่งมาถึงยุคนี้หน้าตาสำคัญมาก ยิ่งไปใหญ่เลย เราก็เลยมีโอกาสน้อยลง
เณจะบอกว่าส่วนตัวเณชอบฟังเพลงสากลนะ เขาก็ไม่ได้เน้นหน้าตา คือบางคนก็ไม่ได้สวยมาก แต่เขาเสียงดี ร้องเพลงเพราะ มองมาตรฐานเขา โอเคมากกว่าบ้านเรา บ้านเราจะเน้นเอาบุคลิกภาพ หน้าตา รูปลักษณ์ภายนอกก่อน เสียงมาเรียนทีหลังเพิ่มเติม เลยรู้สึกว่ามันไม่ได้คุณภาพ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองร้องดีอะไรมากมายนะคะ แต่หลายคนที่เขาร้องดี เขาก็ไม่มีโอกาสที่จะได้ อยากให้คนมองการร้องเพลงแบบคุณภาพมากกว่า จริงๆ รูปลักษณ์มันก็มีส่วนในการขาย แต่มันก็สามารถเสริมเติมแต่งได้ อย่างฝรั่งเขาก็ไม่ได้สวยมาก หล่อมาก แต่เขาก็ขายได้ เพราะว่ามีความสามารถ อยากให้เป็นแบบนั้นมากว่า หรืออย่างยุคก่อนก็ยังโอเค คือมีคุณภาพกว่า แต่มาวัยรุ่นสมัยนี้เน้นคนติดตาม เพราะวัยรุ่นชอบคนสวย คนหล่อ
ลึกๆ แล้วเณว่าองค์ประกอบจริงๆ เสียงมาก่อนนะคะ อารมณ์เพลง ถ้าเสียงดี ก็จะฟังแล้วเพลิน ก็อยากฟังอีก เณเป็นแฟนคลับแม่พุ่มพวง ฟังยังไงก็ไม่เบื่อ เป็นเพลงที่อมตะมาก ไม่ว่าเพลงเร็ว ก็ร้องเพราะ อยากฟังแบบนั้นมากกว่า สมัยนี้อาจจะเลียนแบบเกาหลีมากเกินไป แต่ก็โอเคไม่ได้บอกว่าแย่นะคะ
• ถามจริง เราเคยคิดไหมว่าวันหนึ่งเราต้องกลับมาเอาคืนคนที่เคยดูถูกเราไว้ให้ได้
เคยคิดค่ะ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะอะไร อย่างน้อยก็แค่อยากทำให้เขาคิดว่าเราทำได้ แค่นั้นเอง คือเราไม่ได้ต้องการไปแข่งขันอะไรกับใคร แค่อยากให้คนที่ดูถูกเรา มองว่าคนอย่างเราก็มีความสามารถ
• แล้วคิดว่าหน้าตามีผลต่อการใช้ชีวิตในประจำวันไหม
ทุกวันนี้ถือว่าจำเป็นนะ อย่างไปสมัครงาน ถ้ามีคนสวยกับคนไม่สวยไปสมัคร ส่วนใหญ่เขาก็จะเลือกคนสวย แต่อย่างบางคนหน้าตาไม่สวย แต่ความสามารถเก่งบางทีเขาก็เลือกคนนั้น แต่ก็อย่างที่บอกว่ามันก็ต้องมีองค์ประกอบหลายๆ อย่างด้วย ถามว่าจำเป็นไหมก็จำเป็น เพราะส่วนใหญ่ก็จะมีเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกเข้ามาเกี่ยวอยู่ดีค่ะ
เณว่ายุคสมัยนี้มันหลายๆ อย่าง ต้องมาพร้อมกัน ยิ่งถ้ามีคนที่เด่นกว่า ได้ทั้งหน้าตา ความสามารถ แน่นอนว่าต้องมีสิทธิ์มากกว่าอยู่แล้ว คือไม่ต้องไปเปรียบกับอะไรมาก เหมือนเราเลือกซื้อเพชรกับเลือกซื้อหิน เราก็ต้องชอบเพชร เพราะมันสวยกว่า ไม่ต้องตกแต่งอะไรมากมันก็สวย
• อยากทราบว่าเณผ่านมาได้ยังไงคะ มีวิธีจัดการหรือคติในในการใช้ชีวิตอย่างไรที่ทำให้ตัวเองมีความสุขบ้าง
เราอย่าไปใส่ใจคนรอบข้างมาก คิดแค่ว่าคนข้างๆ เรา คนที่รักเรามี ให้ความสำคัญกับคนๆ นั้นดีกว่าที่เราจะไปนั่งคิดว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร คือมันไม่ได้ทำให้ชีวิตเราดีหรือไม่ดี แต่คนข้างๆ เราที่คอยอยู่กับเรามากกว่า ที่เขาคอยช่วย เราล้ม เราเจ็บ เราสุข คนที่ร่วมสุขกับเรา เราให้ความสำคัญในตรงนั้นดีกว่า คือไม่ได้ไปใส่ใจคนอื่น ที่เขามาพูดว่าเราดีหรือไม่ดี เรารู้ตัวเราเองถ้าเราทำดีแล้ว ทุกอย่างจะดีเอง
เณไม่ได้คิดอะไรมาก ถ้ามีปัญหา เราก็จะบอกว่าไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวมันก็ผ่านไป แค่พยายามทำให้มันดีที่สุดค่ะ เหมือนปลอบใจตัวเอง แต่เราก็ยอมรับว่าเราเป็นอย่างนี้ ก็เลยไม่ได้รู้สึกทำให้เราใช้ชีวิตอะไรยาก เพียงแต่ว่าเราอยากเป็นนักร้อง มีความฝันเท่านั้นเอง ส่วนตัวเณมีแฟน มีพ่อและครอบครัวของแฟน มีญาติๆ ที่จะคอยให้กำลังใจกันตลอด ที่สำคัญ เณมีลูกที่เป็นกำลังใจที่ดี ทำให้เราหายเหนื่อย (ยิ้ม)
• ในฐานะที่ผ่านการทำศัลยกรรมมาอยากให้พูดถึงข้อดีข้อเสียของการศัลยกรรมหน่อยค่ะ
ความจริง การทำศัลยกรรมมันก็เป็นการพัฒนาจุดด้อย ให้ดีขึ้น ถ้าสำหรับบางคนที่ทำในขอบเขตที่จำกัด ก็โอเค คือบางคนเอาไปใช้หากิน อย่างเป็นพริตตี้ เขาก็เอาไปใช้งานของเขา แต่อย่างบางคนถ้าไม่ได้ใช้อะไรมาก เราก็ไม่ต้องไปทำเยอะ เพราะผลเสียมันก็มีค่ะ เพราะถ้าไม่ได้ศึกษา หรือศึกษามาน้อย แล้วไปทำมันอาจจะทำให้เกิดการผิดพลาด ต้องไปแก้ไข บางคนทำแล้ว คิดว่าตัวเองจะสวย กลายเป็นไม่สวยก็มี
ต้องศึกษาเยอะๆ ค่ะ ถามว่ามันดีไหม มันก็ดี ทำให้เรามีบุคลิกภาพที่ดี ทำในขอบเขตที่จำกัดว่ามันโอเคแล้วก็พอ คือบางคนเสพติด แล้วบางทีทำเยอะเกิน ก็เลยทำให้เกินสวย ตัวอย่างก็มีให้ดูเยอะ บางคนทำจนแบบว่าแก้ไม่ได้แล้ว แล้วมันผิดพลาดไปแล้ว ตอนนั้นเสียใจก็ไม่ได้แล้ว อย่างอนาคต เณจะทำอีกไหม ตอบเลยว่าไม่แน่ค่ะ ผู้หญิงอ่ะเนอะ เห็นตรงนั้นก็อยากทำ ตรงนี้ก็อยากทำ (หัวเราะ)
• วางแผนอนาคตไว้อย่างไรต่อไปบ้างคะ มีความฝันอื่นอกจากการร้องเพลงบ้างไหม
ไม่มีนะคะ เพราะเรามีความฝันอยากจะสร้างผลงานเพลงอย่างเดียว อยากร้องเพลงให้เพื่อนๆ ฟังเยอะๆ มันเป็นความชอบ อยากอยู่ในสายนี้ต่อไป เพราะมันเป็นความสุขที่เราได้ร้องเพลงให้คนอื่นฟัง ตอนนี้ก็ได้เซ็นสัญญาไปแล้วสัญญา 3 ปี มีซิงเกิ้ล 1 เพลง ก็กำลังโปรโมทและให้เพื่อนๆ ติดตาม ยอดวิวอยู่ที่ประมาณ 2 แสน อยู่ในระดับที่พอใจมาก อีกอย่างตอนนี้ก็มีธุรกิจเล็กๆ เกี่ยวกับครีม เริ่มทำกับแฟน พอดีทางบ้านแฟนเขาทำอยู่แล้ว ก็เลยมาช่วยแฟนอีกที เป็นแบรนด์ของตัวเองแต่ก็ยังเป็นแบรนด์เล็กๆ อยู่ค่ะ
• อยากให้กำลังใจคนที่เขาอยู่ในจุดเดียวกันกับจุดที่เราเคยผ่านอย่างไรบ้าง
เณอยากบอกคนที่มีความฝันแต่เขาไปไม่ถึง เพราะอาจจะติดปัญหาตรงที่หน้าตาไม่สวยเหมือนกันกับเณ ว่าวันนี้อาจจะยังไม่ใช่โอกาสของเขา แต่วันข้างหน้าถ้าเขาทำดีแล้ว มันต้องมีโอกาสแน่นอน เณเชื่อว่าอย่างนั้นนะคะ ก่อนที่เณจะมาถึงจุดนี้ได้ เณก็สู้มาเป็น 10 ปีเหมือนกัน สำหรับเณ เณว่ามันนานมากซึ่งหลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเราผ่านอะไรมาบ้าง เณก็บอกอะไรไม่ได้มาก ได้แต่บอกว่าให้เขาพยายามสู้ต่อไป เพราะวันหนึ่งต้องมีคนที่มองเห็นความสามารถของเรา และพร้อมที่จะให้โอกาสเรา เหมือนที่เณได้รับ ในรายการ let me in เพราะเขามองเห็นถึงความสามารถของเณตรงนี้
มีคนเข้ามาปรึกษาเณเยอะเหมือนกันนะคะ อย่างตอนแรกๆ ที่กลับมาจากรายการ let me inใหม่ๆ จะมีน้องนักศึกษามาถามว่าพี่เณทำอย่างไรถึงจะได้เป็นแบบพี่คะ ก็เลยให้คำปรึกษาเขาไป ว่าจริงๆ บางครั้งมันไม่ได้อะไรมาง่ายๆ แต่มันต้องอยู่ที่เราด้วยว่าเราพยายามมากน้อยแค่ไหน สักวันหนึ่ง ถ้าเราทำเต็มที่แล้วมันได้หรือไม่ได้ แต่เราก็มีความภูมิใจว่าเราทำดีที่สุดแล้ว
ผลงานเพลง
เรื่อง : วรัญญา งามขำ, นงนุช พุดขาว
ภาพ : พลภัทร วรรณดี และ Let me in Thailand
“เณ-ฑิฆัมพร พงษ์สุวรรณ” หนึ่งในผู้เข้าร่วมโครงการ Let me in Thailand คนที่ 6 ที่ปัจจุบันเป็นเจ้าของผลงานเพลงลุกทุ่ง ชื่อเพลงว่า “ดาวฝัน” ภายใต้สังกัด ยุ้งข้าว เรคคอร์ด แต่ก่อนหน้านี้ เธอเป็นลูกเป็ดขี้เหร่ มีอุปสรรคในเรื่องหน้าตา ทำให้พลาดโอกาสบนเส้นทางความฝันด้านการร้องเพลงไปหลายครั้งหลายหน จนกระทั่งมีโอกาสได้เข้าร่วมโครงการศัลยกรรมเปลี่ยนชีวิต และชีวิตของเธอก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ โดยเฉพาะชีวิตในด้านการเป็นนักร้อง...
• เห็นว่าตอนนี้เป็นนักร้องภายใต้สังกัด ยุ้งข้าว เรคคอร์ด แถมมีผลงานออกมาแล้วด้วย ขอถามถึงเรื่องการร้องเพลงหน่อยค่ะว่าเราชื่นชอบการร้องเพลงมาตั้งแต่ตอนไหน อย่างไร
ตั้งแต่จำความได้เลยค่ะ น่าจะช่วงประถมศึกษาปีที่ 5 ปีที่ 6 ตอนนั้นก็ได้ร่วมกิจกรรม เริ่มร้องเพลงงานโรงเรียน เป็นกิจกรรมในโรงเรียน เลยมีความรู้สึกว่าเราไปทางนี้ได้ พอเข้ามัธยมต้น ประมาณ ม.2 พ่อกับแม่เหมือนจะเห็นแววในตัวลูกก็เลยสนับสนุนด้วยการส่งไปเรียนเทคนิคการร้องเพลงเพิ่มเติม โดยรวมแล้วคุณพ่อจะเป็นคนสอนมากกว่า และเหมือนเป็นพรสวรรค์เราด้วย เริ่มประกวด ล่ารางวัล เราได้รางวัลใหญ่ตอนมัธยมปลายเป็นรางวัลเกียรติยศ รางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระเทพฯ รางวัลนี้เป็นรางวัลแรกเลยค่ะ
ตอนนั้น เณจะได้เซ็นสัญญา ออกอัลบัมด้วยนะคะ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ออก ปีนั้นเขาจัดประกวดเพื่อจะหานักร้องให้บริษัทเอาไว้เดินสาย ช่วยขายของอะไรประมาณนั้น เขาก็เซ็นสัญญาให้เรา ตกลงกันว่าจะออกอัลบัมให้ ในสัญญาระบุไว้ว่า 3 ปี แต่สุดท้ายก็คือไม่ได้ออก
• จะได้ออกอัลบัม แต่ชวดไม่ได้ออก ทั้งๆ ที่เซ็นสัญญาแล้ว ไม่ทราบว่าเกิดจากอุปสรรคอะไรคะ
เขาบอกกับเราว่าไม่มีจุดขาย ประมาณว่าหน้าตาขายไม่ได้ แต่จริงๆ เณคิดว่าเขาไม่กล้าลงทุนมากกว่า อาจจะเป็นข้ออ้างมากกว่า
• อุปสรรคในการร้องเพลงอยู่ที่หน้าตาไม่เป็นจุดขาย?
ใช่ค่ะ หลังจากเหตุการณ์นั้น เณก็ไม่ได้ประกวดร้องเพลงนานมากเลยนะคะ เหมือนเขาดองไว้ เราก็ไม่กล้าไปไหนอยู่แล้ว เพราะกลัวจะฟ้องร้องเราว่าเราไปประกวดให้ที่อื่น ก็เป็นอยู่แบบนั้นประมาณ 5 ปี คนที่เขาไปประกวดร้องเพลงด้วยกันกับเรา เขาก็ไปเป็นนักร้องกันหมด คือคนอื่นเขาได้โอกาสไปแล้ว แต่เราไม่ได้ ก็เสียใจนะคะ
• ไม่ได้ร้องเพลงเลย 5 ปี ทั้งๆ ที่เป็นความฝัน แล้วตอนนั้นเราทำอะไรคะ
ครอบครัวเณ มีพ่อเป็นทหาร แม่เป็นแม่บ้าน ฐานะปานกลาง แต่ว่าก็ค้าขายด้วยอะไรด้วย ตอนนั้นเป็นช่วงที่เรียนมหา’ลัยพอดี ก็มีไปร้องเพลงกลางคืนตามโรงแรม ร้านอาหาร คือรับงานทั่วไปแบบอิสระกับเพื่อนๆ บ้าง แต่ไม่ได้ไปประกวดที่ไหน ก็ทำงานไปพักหนึ่งแล้วแม่ก็เสีย ทำให้ช่วงนั้นต้องหยุดร้องเพลงไปอีกเป็นปี เพราะเสียใจเรื่องแม่มาก เหมือนคนที่ฝันมาด้วยกัน ไปด้วยกัน แล้วเขามาหายไป ก็เลยรู้สึกนอยด์ แต่สุดท้ายก็กลับมาร้องเพลงใหม่เพราะยังอยากเป็นนักร้องอยู่ คิดว่ายังต้องไปให้ถึงตรงนั้น (ยิ้ม) จนมาอยู่กับแฟน พอดีทางบ้านแฟนก็พอมีฐานะก็ช่วยในหลายๆ อย่าง อันนี้ก็ถือว่าตัวเองมีความโชคดี ส่วนหนึ่งคือมีคุณพ่อคุณแม่แฟนเขาเอ็นดูและให้ความรักเรา เหมือนพ่อแม่เราด้วย
• เพราะหน้าตาทำให้ต้องพลาดโอกาสมาก็หลายครั้ง เพราะคนมองหน้าตามากกว่ามองความสามารถของเรา
เสียใจ รู้สึกแย่มากนะคะ มีความรู้สึกว่ามันใช่เหรอ ทั้งๆ ที่ในสัญญามันไม่มีความเกี่ยวข้อง คือยังไงคุณก็ต้องทำให้เรา ด้วยความที่ว่าตอนนั้นเราก็เด็กและที่บ้านไม่มีเงิน พอมาคิดตอนนี้เราก็สามารถฟ้องร้องได้นะ แต่ว่าตอนนั้นเราไม่มีเงินที่จะไปดำเนินเรื่อง ไปจ้างทนาย และอีกอย่างเราก็ไม่มีความรู้ ก็เลยปล่อยให้มันผ่านไป
เอาจริงๆ เณเป็นสายตระเวนประกวดร้องเพลงมาตั้งแต่เด็กๆ นะคะ เราเชื่อมั่นว่าตัวเรามีความสามารถ มีความพยายามเต็มร้อย ง่ายๆ คือไปที่ไหนก็มีคนรู้จัก เณไปประกวดตั้งแต่รุ่นพี่ตั๊กแตน ชลดา พี่หญิง ธิติกานต์ ตอนนั้นพี่ตั๊กแตนก็ไปประกวดรุ่นที่หนูได้รางวัลแหละค่ะ แต่ว่าพี่เขาตกรอบไป เพราะว่ากรรมการบอกว่าพี่เขาเสียงดีมาก แต่ร้องเลียนแบบศิลปินมากไป แต่จริงๆ พี่เขาเก่งมากนะคะ ตอนหลังพี่เขาก็เลยกลายเป็นว่าได้รับโอกาสจากสื่อมวลชนที่เข้ามาดู แต่ส่วนตัวเรา เราได้รางวัล เราคิดว่าชีวิตตัวเองจะเปลี่ยนไปในทางที่ดี แต่กลับไม่เลย เรากลับไม่ได้รับโอกาสตรงนั้น เหมือนถูกปฏิเสธ
พอเป็นยุคสมัยใหม่ มันจะเป็นรูปแบบการออดิชั่นซะส่วนใหญ่ แล้วพอไปรายการหนึ่งเป็นรายการใหญ่เลยค่ะ เขาบอกมาว่าเราเสียงดีนะ แต่เวทีนี้อาจจะไม่เหมาะกับเรา ให้เราไปรายการที่ถนัดจะดีกว่า คือตอนนั้นเราเอาเพลงลูกทุ่งไปออดิชัน ในรูปแบบการออดิชันบอกไว้ว่าเราสามารถนำเพลงอะไรมาร้องก็ได้ ซึ่งเราถนัดเพลงลูกทุ่งก็เลยเอาเพลงลูกทุ่งไปร้อง แต่พอวันที่ฟังประกาศผล ก็รู้สึกว่าทำไมตัวเองถึงไม่ได้ คือเณไม่ได้เข้าข้างตัวเองนะคะ คือเราฟัง เขาก็ไม่ได้ร้องดีกว่าเรามาก เราก็พอได้นะ ความสามารถเราก็ถึงนะ แต่ว่าทำไมล่ะ แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดน้อยใจว่าทำไม เพราะเรามีความรู้สึกว่าหน้าตามันไม่น่าจะเกี่ยวข้องอะไร
แล้วก็มีอีกที่หนึ่งเป็นการออดิชันเหมือนกัน เวทีนี้เขาก็บอกเหมือนกันค่ะว่าเราเสียงดีนะ แต่อีกคนที่ได้เขาหน้าตาดีกว่า เหมือนเอาเราไปเปรียบเทียบ ไม่ได้ว่าเราโดยตรง เราก็นึกในใจตลอดนะคะว่ามันเกี่ยวด้วยเหรอ
• เคยน้อยเนื้อต่ำใจจนถึงขั้นท้อแท้และอยากล้มเลิกความตั้งใจในการร้องเพลงไหมคะ
เคยนะคะ มีท้อบ้างค่ะ แต่ว่าเราก็ไม่หยุด เพราะยังคิดว่าต้องได้ ถ้าเราพยายาม แต่เราก็ไม่เคยน้อยใจตัวเอง หรือคิดว่าตัวเองด้อยค่านะคะ เพราะยังไงเราก็มีความรู้สึกว่ามันไม่เกี่ยว แต่เราก็ยอมรับว่า อาจจะมีคิดบ้างว่าทำไมไม่มองกันที่ความสามารถ ทำไมอะไรหลายๆ อย่างต้องเอาหน้าตามาเกี่ยว เพราะคนเราบางทีเขามีความสามารถนะอะไรประมาณนี้ค่ะ
• แต่เห็นว่าเรามีจุดพลิกผันในชีวิต เพราะเราได้ไปเข้าโครงการทำศัลยกรรมเปลี่ยนชีวิตกับรายการ Let me in มา
ใช่ค่ะ ตอนนั้นเราแต่งงานมีลูกแล้ว ก็ได้ไปเจอโฆษณาในรายการหนึ่งในเฟสบุ๊คว่ารับสมัคร let me in พลิกชีวิตคนที่มีปัญหา เราก็เลยหาข้อมูล หารายละเอียดว่าเป็นรายการอะไร เพราะตอนแรกเรารู้แต่ว่าเป็นรายการดังของประเทศเกาหลี พอหารายละเอียดรู้แล้วว่าเป็นรายการที่คัดเลือกคนไปทำศัลยกรรม แฟนก็เลยบอกว่าลองไปสมัครดูสิ ก็ไม่ได้เสียอะไร เพราะหน้าเราก็น่าทำ (หัวเราะ)
เณลองสมัครดูค่ะ ประมาณ 2-3 เดือน ก็ได้รับข่าวดีว่าเราผ่านเข้ารอบ ตอนนั้นก็ตกใจนะว่าเราได้ด้วยเหรอ จำได้ว่าเณเขียนเล่าเรื่องตัวเองไปประมาณว่าเราอยากเป็นนักร้อง แต่ติดที่หน้าตาเราไม่ดี เราประกวดที่ไหนก็มีมีฟีดแบ็คกลับมาว่าหน้าตาเราไม่ผ่าน ทำให้เสียโอกาสไปหลายครั้ง
ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนฝันเลยนะคะ เราได้จริงๆ เหรอ แต่ถ้าไม่ได้เข้าโครงการนี้ก็ไม่เสียใจนะคะ แต่พอเข้ารอบก็ดีใจมากเหมือนเป็นของขวัญ เป็นรางวัล ยิ่งกว่าถูกล็อตเตอรี่ ทุกวันนี้ยังคิดว่ามันเป็นความฝัน ใครจะคิดว่าอยู่กับหน้าเดิมมา 20 ปี แล้วจะมาได้หน้าใหม่ มันยิ่งกว่านิยายในชีวิต ดีใจจนอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก (ยิ้ม)
• แล้วทำศัลยกรรมอะไรไปบ้างคะ คาดหวังไว้มากน้อยแค่ไหนว่าเราจะต้องสวยกลับมาแน่ๆ
ปัญหาของเณ คือโครงหน้าของเณจะเหมือนผู้ชาย โหนกแก้มใหญ่ มีกราม ช่วงแก้มเป็นรอยบุบ เหมือนช่วงอายุ 20 กลางๆ กรามเราเริ่มใหญ่ขึ้น อาจจะเป็นสาเหตุมาจากไม่ถอนฟันคุดหรือเปล่าไม่แน่ใจ กระดูกมันอาจจะเปลี่ยน โครงหน้าปรับ รู้สึกว่าหน้าตัวเองเหมือนผู้ชาย แฟนก็จะล้อ เป็นตัวการ์ตูนไดโนเสาร์ (หัวเราะ) คุณหมอเลยบอกว่าจะปรับโครงหน้าให้หวานขึ้น ลดโหนกแก้ม กราม แก้จมูกใหม่ ตัดปีกจมูก ขยับขากรรไกรเข้า เพราะว่าคางเรายื่นออกมานิดหนึ่ง ฉีดไขมันข้างหน้า แล้วก็ทำหน้าอก เราไปอยู่ที่นู่นประมาณ 3 เดือน
ถามว่าคาดหวังไหม ก็คาดหวังนะคะ แต่สิ่งที่เราได้รับมันเกินกว่าที่เราคาดหวังไว้ คือมันดีมาก มันเหมือนเป็นความโชคดี เหมือนเป็นรางวัลให้เรา ที่เราได้รับมา ดีใจมาก จนอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้เลยค่ะ (ยิ้ม) จริงๆ ที่เณไปไม่ได้อยากจะเน้นความสวยเท่าไหร่ เพราะเราก็มีครอบครัวแล้วเลยไม่ได้อะไรกับตรงนี้ เพียงแต่เราอยากจะทำงานด้านร้องเพลง เราอยากเป็นนักร้อง พอมันมีโอกาสเข้ามา ก็เลยลองไปดู ซึ่งแฟนก็สนับสนุน ทางบ้านแฟน พ่อ ทุกคนก็สนับสนุน แฟนก็เลี้ยงลูกให้ด้วยก็เลยโอเคไป
• พอศัลยกรรมมาแล้วชีวิตเปลี่ยนไปไหมคะ
เปลี่ยนค่ะ เปลี่ยนไปมาก หนึ่งคือเปลี่ยนในเรื่องของเรื่องหน้าตา ทำให้คนสนใจเรามากขึ้น แต่ว่าเรื่องการใช้ชีวิตก็ยังเหมือนเดิม ก็ยังเลี้ยงลูกอยู่กับสามีเหมือนเดิม ทำงานบ้านเหมือนเดิม แต่ได้รับความสนใจจากคนอื่นมากขึ้น มีหลายคนอยากทำเหมือนเรา บางคนอยากเป็นนักร้องเหมือนเราแต่ไม่สวยจะทำยังไง เขาก็จะมาปรึกษา
อีกอย่างที่เปลี่ยนคือเมื่อก่อนจะมีคนที่ดูถูกเราเยอะ อย่างเณ เณจะขายของเกี่ยวกับความสวยความงามด้วย ก็จะมีคนมาบอกว่าหน้าอย่างนี้ จะขายได้ด้วยเหรอ ดูถูกประมาณว่าเขาสวย เราทำไม่ได้อย่างเขาหรอก แต่พอได้มาเป็นหนึ่งใน let me in มันสร้างความมั่นใจให้เรามากขึ้น และหลายๆ คนที่เคยดูถูกเราเขาก็ยอมรับในตัวเรา
เราได้รับโอกาส ความฝันเราก้าวขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง ทำให้เราได้มีเพลงเป็นของตัวเอง พอกลับมาจากรายการ ทางบริษัทยุ้งข้าว เรคคอร์ด ก็ได้ให้โอกาสทำซิงเกิลเพลงให้หนึ่งเพลง เราก็เลยมีความรู้สึกว่าความฝันเราไปอีกขึ้นหนึ่งแล้ว ตอนนี้มันเหมือนได้เริ่มต้นด้วยการเป็นศิลปิน และก็อยากมีผลงานเพลงต่อไปเรื่อยๆ (ยิ้ม)
• พอหน้าตาดีแล้วสังคมยอมรับมากขึ้นใช่ไหมคะ แล้วมีถูกไม่ยอมรับจากคนอื่นบ้างไหมคะ ประมาณว่าสวยได้เพราะศัลยกรรมอยู่ดีอะไรประมาณนี้
มีค่ะ บางคนเขาก็จะบอกว่า งั้นๆ แหละ บางคนก็บอกว่าโอเคนะ มีทั้งด้านลบด้านบวก เป็นเรื่องปกติค่ะ คือเราเตรียมใจไว้แล้ว แต่มันอยู่ที่เรามากกว่า เราทำผลงาน สร้างสรรค์ไปให้มันดีที่สุด หน้าที่ของเรา ใครจะพูดอะไร ตรงนี้ไม่ค่อยใส่ใจ คือเราห้ามความคิดคนไม่ได้อยู่แล้ว เราคิดแค่ว่ามันเป็นโอกาสที่เราได้รับ ถามว่าถ้าเป็นเขาได้รับ เขาก็ต้องคว้าไว้เหมือนกัน มีคนว่าเราก็รู้สึกนะ แต่จะคิดว่าช่างมันเถอะ ถ้าจะไปนั่งอธิบาย ก็ไม่มีประโยชน์ คือเขาเชื่ออย่างนั้น เราจะไปเปลี่ยนความคิดเขาก็ไม่ได้ เราทำในสิ่งที่เราทำให้มันดีก็พอ คือทำออกมาเป็นผลงาน ให้เขายอมรับ ว่าเราทำได้จะดีกว่า
• ทั้งหมดทั้งมวลที่เล่ามา เหมือนว่ายุคนี้คนฟังเพลงด้วยตามากกว่า ตรงนี้เราคิดเห็นอย่างไรบ้าง
ใช่ค่ะ ยุคนี้ต้องเป็นประมาณว่าดูแล้วต้องสวย ต้องหล่อ ถึงจะทำให้เพลิน แต่เรามีความรู้สึกว่าเป็นเพียงองค์ประกอบเล็กๆ มากกว่า อย่างน้อยถ้าเราฟัง มันก็คงต้องเพราะ ถ้าฟังแล้ว คนร้องไม่เพราะ แป๊ปเดียว เราก็ไม่ฟัง ถ้าให้เณเปรียบนะ สมัยก่อนนักร้องจะใช้ความสามารถล้วนๆ เลยนะคะ ยกตัวอย่าง อย่างพี่สุนารี ราชสีมา พี่เขาก็คนโคราชเหมือนเณนะคะ แต่อาจจะเป็นด้วยโอกาสหลายๆ อย่างของพี่เขา แล้วยิ่งมาถึงยุคนี้หน้าตาสำคัญมาก ยิ่งไปใหญ่เลย เราก็เลยมีโอกาสน้อยลง
เณจะบอกว่าส่วนตัวเณชอบฟังเพลงสากลนะ เขาก็ไม่ได้เน้นหน้าตา คือบางคนก็ไม่ได้สวยมาก แต่เขาเสียงดี ร้องเพลงเพราะ มองมาตรฐานเขา โอเคมากกว่าบ้านเรา บ้านเราจะเน้นเอาบุคลิกภาพ หน้าตา รูปลักษณ์ภายนอกก่อน เสียงมาเรียนทีหลังเพิ่มเติม เลยรู้สึกว่ามันไม่ได้คุณภาพ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองร้องดีอะไรมากมายนะคะ แต่หลายคนที่เขาร้องดี เขาก็ไม่มีโอกาสที่จะได้ อยากให้คนมองการร้องเพลงแบบคุณภาพมากกว่า จริงๆ รูปลักษณ์มันก็มีส่วนในการขาย แต่มันก็สามารถเสริมเติมแต่งได้ อย่างฝรั่งเขาก็ไม่ได้สวยมาก หล่อมาก แต่เขาก็ขายได้ เพราะว่ามีความสามารถ อยากให้เป็นแบบนั้นมากว่า หรืออย่างยุคก่อนก็ยังโอเค คือมีคุณภาพกว่า แต่มาวัยรุ่นสมัยนี้เน้นคนติดตาม เพราะวัยรุ่นชอบคนสวย คนหล่อ
ลึกๆ แล้วเณว่าองค์ประกอบจริงๆ เสียงมาก่อนนะคะ อารมณ์เพลง ถ้าเสียงดี ก็จะฟังแล้วเพลิน ก็อยากฟังอีก เณเป็นแฟนคลับแม่พุ่มพวง ฟังยังไงก็ไม่เบื่อ เป็นเพลงที่อมตะมาก ไม่ว่าเพลงเร็ว ก็ร้องเพราะ อยากฟังแบบนั้นมากกว่า สมัยนี้อาจจะเลียนแบบเกาหลีมากเกินไป แต่ก็โอเคไม่ได้บอกว่าแย่นะคะ
• ถามจริง เราเคยคิดไหมว่าวันหนึ่งเราต้องกลับมาเอาคืนคนที่เคยดูถูกเราไว้ให้ได้
เคยคิดค่ะ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะอะไร อย่างน้อยก็แค่อยากทำให้เขาคิดว่าเราทำได้ แค่นั้นเอง คือเราไม่ได้ต้องการไปแข่งขันอะไรกับใคร แค่อยากให้คนที่ดูถูกเรา มองว่าคนอย่างเราก็มีความสามารถ
• แล้วคิดว่าหน้าตามีผลต่อการใช้ชีวิตในประจำวันไหม
ทุกวันนี้ถือว่าจำเป็นนะ อย่างไปสมัครงาน ถ้ามีคนสวยกับคนไม่สวยไปสมัคร ส่วนใหญ่เขาก็จะเลือกคนสวย แต่อย่างบางคนหน้าตาไม่สวย แต่ความสามารถเก่งบางทีเขาก็เลือกคนนั้น แต่ก็อย่างที่บอกว่ามันก็ต้องมีองค์ประกอบหลายๆ อย่างด้วย ถามว่าจำเป็นไหมก็จำเป็น เพราะส่วนใหญ่ก็จะมีเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกเข้ามาเกี่ยวอยู่ดีค่ะ
เณว่ายุคสมัยนี้มันหลายๆ อย่าง ต้องมาพร้อมกัน ยิ่งถ้ามีคนที่เด่นกว่า ได้ทั้งหน้าตา ความสามารถ แน่นอนว่าต้องมีสิทธิ์มากกว่าอยู่แล้ว คือไม่ต้องไปเปรียบกับอะไรมาก เหมือนเราเลือกซื้อเพชรกับเลือกซื้อหิน เราก็ต้องชอบเพชร เพราะมันสวยกว่า ไม่ต้องตกแต่งอะไรมากมันก็สวย
• อยากทราบว่าเณผ่านมาได้ยังไงคะ มีวิธีจัดการหรือคติในในการใช้ชีวิตอย่างไรที่ทำให้ตัวเองมีความสุขบ้าง
เราอย่าไปใส่ใจคนรอบข้างมาก คิดแค่ว่าคนข้างๆ เรา คนที่รักเรามี ให้ความสำคัญกับคนๆ นั้นดีกว่าที่เราจะไปนั่งคิดว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร คือมันไม่ได้ทำให้ชีวิตเราดีหรือไม่ดี แต่คนข้างๆ เราที่คอยอยู่กับเรามากกว่า ที่เขาคอยช่วย เราล้ม เราเจ็บ เราสุข คนที่ร่วมสุขกับเรา เราให้ความสำคัญในตรงนั้นดีกว่า คือไม่ได้ไปใส่ใจคนอื่น ที่เขามาพูดว่าเราดีหรือไม่ดี เรารู้ตัวเราเองถ้าเราทำดีแล้ว ทุกอย่างจะดีเอง
เณไม่ได้คิดอะไรมาก ถ้ามีปัญหา เราก็จะบอกว่าไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวมันก็ผ่านไป แค่พยายามทำให้มันดีที่สุดค่ะ เหมือนปลอบใจตัวเอง แต่เราก็ยอมรับว่าเราเป็นอย่างนี้ ก็เลยไม่ได้รู้สึกทำให้เราใช้ชีวิตอะไรยาก เพียงแต่ว่าเราอยากเป็นนักร้อง มีความฝันเท่านั้นเอง ส่วนตัวเณมีแฟน มีพ่อและครอบครัวของแฟน มีญาติๆ ที่จะคอยให้กำลังใจกันตลอด ที่สำคัญ เณมีลูกที่เป็นกำลังใจที่ดี ทำให้เราหายเหนื่อย (ยิ้ม)
• ในฐานะที่ผ่านการทำศัลยกรรมมาอยากให้พูดถึงข้อดีข้อเสียของการศัลยกรรมหน่อยค่ะ
ความจริง การทำศัลยกรรมมันก็เป็นการพัฒนาจุดด้อย ให้ดีขึ้น ถ้าสำหรับบางคนที่ทำในขอบเขตที่จำกัด ก็โอเค คือบางคนเอาไปใช้หากิน อย่างเป็นพริตตี้ เขาก็เอาไปใช้งานของเขา แต่อย่างบางคนถ้าไม่ได้ใช้อะไรมาก เราก็ไม่ต้องไปทำเยอะ เพราะผลเสียมันก็มีค่ะ เพราะถ้าไม่ได้ศึกษา หรือศึกษามาน้อย แล้วไปทำมันอาจจะทำให้เกิดการผิดพลาด ต้องไปแก้ไข บางคนทำแล้ว คิดว่าตัวเองจะสวย กลายเป็นไม่สวยก็มี
ต้องศึกษาเยอะๆ ค่ะ ถามว่ามันดีไหม มันก็ดี ทำให้เรามีบุคลิกภาพที่ดี ทำในขอบเขตที่จำกัดว่ามันโอเคแล้วก็พอ คือบางคนเสพติด แล้วบางทีทำเยอะเกิน ก็เลยทำให้เกินสวย ตัวอย่างก็มีให้ดูเยอะ บางคนทำจนแบบว่าแก้ไม่ได้แล้ว แล้วมันผิดพลาดไปแล้ว ตอนนั้นเสียใจก็ไม่ได้แล้ว อย่างอนาคต เณจะทำอีกไหม ตอบเลยว่าไม่แน่ค่ะ ผู้หญิงอ่ะเนอะ เห็นตรงนั้นก็อยากทำ ตรงนี้ก็อยากทำ (หัวเราะ)
• วางแผนอนาคตไว้อย่างไรต่อไปบ้างคะ มีความฝันอื่นอกจากการร้องเพลงบ้างไหม
ไม่มีนะคะ เพราะเรามีความฝันอยากจะสร้างผลงานเพลงอย่างเดียว อยากร้องเพลงให้เพื่อนๆ ฟังเยอะๆ มันเป็นความชอบ อยากอยู่ในสายนี้ต่อไป เพราะมันเป็นความสุขที่เราได้ร้องเพลงให้คนอื่นฟัง ตอนนี้ก็ได้เซ็นสัญญาไปแล้วสัญญา 3 ปี มีซิงเกิ้ล 1 เพลง ก็กำลังโปรโมทและให้เพื่อนๆ ติดตาม ยอดวิวอยู่ที่ประมาณ 2 แสน อยู่ในระดับที่พอใจมาก อีกอย่างตอนนี้ก็มีธุรกิจเล็กๆ เกี่ยวกับครีม เริ่มทำกับแฟน พอดีทางบ้านแฟนเขาทำอยู่แล้ว ก็เลยมาช่วยแฟนอีกที เป็นแบรนด์ของตัวเองแต่ก็ยังเป็นแบรนด์เล็กๆ อยู่ค่ะ
• อยากให้กำลังใจคนที่เขาอยู่ในจุดเดียวกันกับจุดที่เราเคยผ่านอย่างไรบ้าง
เณอยากบอกคนที่มีความฝันแต่เขาไปไม่ถึง เพราะอาจจะติดปัญหาตรงที่หน้าตาไม่สวยเหมือนกันกับเณ ว่าวันนี้อาจจะยังไม่ใช่โอกาสของเขา แต่วันข้างหน้าถ้าเขาทำดีแล้ว มันต้องมีโอกาสแน่นอน เณเชื่อว่าอย่างนั้นนะคะ ก่อนที่เณจะมาถึงจุดนี้ได้ เณก็สู้มาเป็น 10 ปีเหมือนกัน สำหรับเณ เณว่ามันนานมากซึ่งหลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเราผ่านอะไรมาบ้าง เณก็บอกอะไรไม่ได้มาก ได้แต่บอกว่าให้เขาพยายามสู้ต่อไป เพราะวันหนึ่งต้องมีคนที่มองเห็นความสามารถของเรา และพร้อมที่จะให้โอกาสเรา เหมือนที่เณได้รับ ในรายการ let me in เพราะเขามองเห็นถึงความสามารถของเณตรงนี้
มีคนเข้ามาปรึกษาเณเยอะเหมือนกันนะคะ อย่างตอนแรกๆ ที่กลับมาจากรายการ let me inใหม่ๆ จะมีน้องนักศึกษามาถามว่าพี่เณทำอย่างไรถึงจะได้เป็นแบบพี่คะ ก็เลยให้คำปรึกษาเขาไป ว่าจริงๆ บางครั้งมันไม่ได้อะไรมาง่ายๆ แต่มันต้องอยู่ที่เราด้วยว่าเราพยายามมากน้อยแค่ไหน สักวันหนึ่ง ถ้าเราทำเต็มที่แล้วมันได้หรือไม่ได้ แต่เราก็มีความภูมิใจว่าเราทำดีที่สุดแล้ว
Profile ชื่อ สกุล : ฑิฆัมพร พงษ์สุวรรณ ชื่อเล่น : เณ วันเกิด : 26 เมษายน 2530 อายุ : 29 ปี อาชีพ : ศิลปินนักร้อง ผลงาน : เพลงดาวฝัน ค่ายยุ้งข้าว เรคคอร์ด |
ผลงานเพลง
เรื่อง : วรัญญา งามขำ, นงนุช พุดขาว
ภาพ : พลภัทร วรรณดี และ Let me in Thailand