เด็กสาวหน้าตาน่ารักในชุดนักเรียนที่มีลีลาการเล่นกีตาร์เบสอย่างคล่องแคล่วราวกับนักดนตรีมืออาชีพนั้น หากใครได้สัมผัสการรับฟังหรือชมเป็นครั้งแรกแล้ว เชื่อได้เลยว่า ภาพที่เห็นตรงหน้านั้นมันช่างขัดแย้งกันเหลือเกิน แต่มันก็เป็นไปแล้วกับ สาวน้อย “ปันปัน - รสิกา สายแสง” คนนี้

จากจุดเริ่มต้นที่เหลือแค่ตำแหน่งเดียวในวงดนตรี ผ่านการฝึกซ้อมทั้งทางทฤษฎีและปฎิบัติมาเป็นเวลานาน ไปจนถึงเดินสายประกวดทั้งเวทีใหญ่และเล็กมากมาย จนกลายเป็นที่พูดถึงในวงแคบๆ ของเหล่านักดนตรีในสังคมออนไลน์ และขยายวงกว้างไปในระดับกว้าง กับการแสดงต่อหน้าคณะกรรมการ ในรายการ ไทยแลนด์ ก็อท’ส ทาเลนต์ (Thailand Got’s Talent) ฤดูกาลที่ 6 ในนามวง ดิ แอมบูแลนซ์ (The Ambulance) จนสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมวงกว้างในเวลาต่อมา...

• ปันปันเริ่มสนใจเล่นดนตรีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ
ปันปัน : ช่วงประมาณ ม.1 ค่ะ คือหนูไปเรียนพิเศษกับเพื่อน แล้วเพื่อนก็ชวนเล่นดนตรีค่ะ เพราะเพื่อนเขามีวงก่อน แล้วเขาก็ชวนหนูไปเล่นด้วยกัน ซึ่งก่อนหน้านั้นเล่นอะไรไม่เป็นเลย ตอนแรกที่ยังไม่เข้ามา เพื่อนๆ ทุกคนเขาจองตำแหน่งอื่นหมดแล้ว แถมกลองก็มีเพื่อนที่เล่นเป็นอยู่แล้ว จนมาเหลือที่เบสตัวเดียว ตอนนั้นยังลังเล แต่มันก็เหลืออย่างเดียว ก็เลยได้มาเล่นตำแหน่งนี้ แถมที่บ้านก็ให้เล่นและสนับสนุน
อ.ชาติชาย (ชาญกล - ผู้ดูแลวง) : คือปันปันเขาเป็นเพื่อนกับลูกสาวผม (ลูกหวาย - ปลายฟ้า ชาญกล มีอกีตาร์โซโล) เพราะเห็นพ่อทำดนตรีมานาน ก็อยากจะใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ อยากเล่นดนตรี อยากตั้งวง เราก็โอเค ตั้งวง ก็ชวนมาทีละคน รวมถึงปันปันด้วย ซึ่งในตอนแรก ไหนๆ ก็ไม่เป็นอยู่แล้ว แต่จริงๆ คือหน้าตาได้ เราก็โอเค เพราะว่ามากี่คนก็ไม่เป็นอยู่แล้วล่ะ อย่างตัวปันปัน ได้เปรียบ คือครูคิดล่วงหน้าแล้วว่าเขาจะดัง แต่เด็กไม่ได้คิดหรอก เขามาเล่นเพราะความรักเพื่อน ถามว่าในตอนนั้นรักดนตรีหรือยัง เราดูรู้เลยว่ายังหรอก แต่ตั้งใจซ้อม ด้วยความกลัวมากกว่า เพราะครูจะดุ (หัวเราะเบาๆ) ก็เลยเก่ง เพราะต้องซ้อม มาทำเป็นเล่นไม่ได้
ปันปัน : หลังจากนั้น หนูก็หัดเล่นไปเรื่อยๆ ก็เริ่มชอบ และอยู่กับมันไปเรื่อยๆ เลยค่ะ ก็ซ้อมๆ ช่วงแรกๆ ถือว่าหนักเหมือนกัน ช่วงที่หัดเล่นใหม่ๆ หนูก็ซ้อมเยอะศึกษาเยอะ แล้วก็มีรุ่นพี่มาสอนด้วยค่ะ คือที่โรงเรียนจะเป็นแบบรุ่นพี่สอนต่อรุ่นน้อง ตอนนั้นอยู่ ม.1 ก็จะมีพี่ ม.6 มาสอนเบสให้กับหนู

• เรามีการวางกรอบเวลาอย่างไรในการซ้อม
ปันปัน : สามช่วงเวลาเลยค่ะ ตอนเช้าก็ 1 ชั่วโมง ตอนกลางวันอีก 1 ชั่วโมง ตอนเย็นอีก 2 ชั่วโมง พอกลับบ้านก็ไปทบทวนอีกครั้ง สรุปคือ หนึ่งในสามของวัน
อ.ชาติชาย : แรกๆ ก็ซ้อมเยอะเลย ครูต้องขออนุญาตว่าไม่ต้องเข้าแถว ก็มาซ้อม จนไปเรียน กลางวันก็ซื้ออะไรมากินที่นี่ แล้วก็ซ้อม พอเลิกเรียนก็ซ้อม เพราะเด็กๆ ที่นี่ เวลาทำอะไร เขาจะจริงจัง มุ่งมั่นจริงๆ

• อิทธิพลทางดนตรีของปันปันคือใคร ที่ทำให้เราอยากเล่นแบบเขาบ้าง
ปันปัน : หนูชอบวงญี่ปุ่นที่ชื่อ Scandal ค่ะ เป็นวงผู้หญิงหมดเลย คือเขาประสบความสำเร็จ คนรู้จักเยอะมาก เล่นดนตรีเก่ง แล้วก็เป็นผู้หญิงด้วย หนูก็เห็นว่าเขาดีค่ะ เป็นต้นแบบ เพราะด้วยภาพลักษณ์เขาด้วยค่ะ ส่วนวงไทย หนูชอบ “โพลีแคท” กับ “สเลอ” เพราะว่าเราชอบสไตล์เฉพาะตัวของวง มันชัดมากค่ะ หนูชอบความเป็นตัวเองของวง แนวทาง และความเป็นเอกลักษณ์ของวง ถ้าเกิดเอาทางนั้นก็เป็นทางนั้นไปเลย ส่วนเพลงสากลชอบ The 1975 เพราะว่าชอบนักร้องค่ะ (หัวเราะ) และก็ชอบสไตล์ คือฟังแล้วก็รู้เลยว่าเป็นเขา

• พอเริ่มเล่นได้แล้ว ก็เริ่มไปประกวดในเวทีต่างๆ
ปันปัน : ใช่ค่ะ พอเล่นได้ ขึ้น ม.2 ก็เริ่มประกวดค่ะ งานแรกน่าจะเป็นงาน Search to be The Star ที่ เดอะมอลล์ บางกะปิ งานนั้นเป็นงานแรก ได้เข้าถึงรอบชิงเลย แต่ก็ไม่ได้รางวัล เพราะว่าเราสู้กับเด็ก ม.5-ม.6 ก็ไม่ได้ แถมเป็นเด็กผู้หญิงด้วย ภาคดนตรีก็อยู่ในระดับนึง แต่ยังไม่ถึงไม่ได้ ช่วงนั้นหนูได้เห็นแบบรุ่นพี่ ม.5 ม.6 แล้วก็ตื่นเต้นด้วย แรกๆ ความรู้สึกในการเล่นยังไม่มีเท่าไหร่ ยืนแข็งๆ กันอยู่
• จากที่ปันปันเล่ามาทำให้นึกถึงกรณีโมเดิร์นด็อกในช่วง ม.ต้น ที่โดนรุ่นพี่ในโรงเรียนแซว เราเคยโดนแบบนี้มั้ย
อ.ชาติชาย : ส่วนใหญ่ไม่ค่อยกล้า เพราะเขารู้ว่าเป็นลูกอาจารย์ (หัวเราะ) ไม่กล้าแน่ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ซึ่งเราว่าเราไม่ดุนะ แต่เด็กชอบว่าเราดุ ส่วนข้างนอกก็เหมือนกัน ไม่ค่อยมีเหตุการณ์แบบนี้ ด้านนี้จะไม่ค่อยมี แต่ข้อดีมันอยู่ที่เด็กกลุ่มนี้เป็นเด็กผู้หญิงแล้วเรามาเลือกทางหนักให้เขาตั้งแต่แรกเลย เพราะว่ามันจะให้ตรงข้ามกับบุคลิก เราอาจจะได้คะแนนจากตรงนี้ จากที่ครูวางไว้ แล้วคนมองทั่วไปมองว่าน่ารัก แต่เก่งจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ประมาณนี้ ผลก็เลยมาตอน ม.4 ที่ได้แชมป์เยอะแยะเลย

• พอหลังจากเวทีนั้น เรารู้สึกว่าเริ่มที่จะแกร่งกล้ามากขึ้นประมาณนั้น
ปันปัน : ก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ เพราะเราซ้อมกันตลอดทุกวัน ตามที่อาจารย์ตั้งเลยค่ะ เช้ากลางวันเย็น
อ.ชาติชาย : แต่พอ ม.ปลาย เรียนหนักขึ้น เลยเหลือแค่เช้ากับเย็น อย่างปันปัน เขามีพรสวรรค์กว่าลูกผม แต่ชีวิตเขาหลากหลาย ชีวิตเขาชอบศิลปะด้วย ดนตรีเขาอาจจะบางกว่าลูกผม ซึ่งต่างจากลูกหวายที่แบกภาระของวง เลยอาจจะซ้อมเยอะ

• พอได้มาแข่งในรายการ เป็นยังไงบ้าง
อ.ชาติชาย : เด็กตื่นนะ แต่ครูดีใจ เพราะว่าเขาแข่งเยอะมาก จนเขาไม่ตื่นเต้นเลย เขาเดินสายไปแข่งตามที่ต่างๆ ทั้งสุพรรณบุรี ชลบุรี ระยอง เราดูเขาแข่งจนรู้สึกว่า ทำไมลูกๆ เราไม่ตื่นเต้นวะ ซึ่งปกติจะต้องตื่นเต้นนะ เราดูเรารู้สึกว่า เราตกใจ แต่พอมารายการนี้ พวกเขาตื่นเต้น เราก็รู้สึกว่าเขาก็ยังปกติอยู่ (หัวเราะ)

• ซึ่งพอรายการได้ออกอากาศไปแล้ว ทำให้กระแสของปันปันถูกพูดถึงวงกว้างยิ่งขึ้น
อ.ชาติชาย : ตอนนี้ ยอดวิวประมาณ 2 ล้านกว่า ซึ่งตอนนี้ยอดวิวเราสูงที่สุด จากบรรดาผู้เข้าประกวดทั้งหมด อาจจะด้วยปัจจัยหลายอย่าง ทั้งจากตัวน้องเอง หรือ ตัววง The Ambulance คือจริงๆ เราไม่ได้เจตนานะ เราซ้อมเพลง “สู้” ของ หิน เหล็ก ไฟ แล้วเราเอาไปลงเฟสบุ๊คปกติ แล้วอยู่ดีๆ มันก็เกิดกระแสขึ้นมา 2 ล้านกว่าวิว คนก็รู้จัก จากนั้นเราก็ไปประกวดเวทีไฮสคูลแบนด์ สะใจไวฝัน ซีซั่น 2 แล้วเราก็ได้แชมป์ นอกจากนั้นยังได้เข้ารอบสุดท้าย โออิชิแบนด์ คอนเทสต์ ซึ่งเราก็ได้ popular vote พอหลังจากนั้นอีกก็มาเล่นดนตรีแก้บน ที่ทำให้ปันปันดัง ซึ่งคลิปนี้ทำให้ดังกระฉูด คนดูประมาณ 2 ล้านกว่า พอเราออกรายการ ทุกคนจำได้ ทุกคนก็พูดต่อๆ กัน

• แล้วพอเราเริ่มถูกพูดถึงในโลกออนไลน์แล้ว ความรู้สึกแรกเป็นยังไง
ปันปัน : ตอนแรกตกใจค่ะ ที่มีคนพูดถึงเราเยอะขนาดนี้ คือไม่ได้คิดว่ามันจะขนาดนั้น แต่พอมาเจอเข้า ก็ดีใจที่มีคนให้ความสนใจกับวงค่ะ
อ.ชาติชาย : จริงๆ น้องก็ไม่ได้คาดหวังว่าเล่นกันเป็นแบนด์ แล้วเราก็ไม่นึกว่าปันปันจะโดดเด่นขึ้นมากว่าใคร เพราะคลิปที่โรงเรียน ครูก็เป็นคนถ่ายเอง เราก็โพสไปเรื่อย แต่เผอิญว่า ตู้เบสมันอยู่ตรงกลาง และกลองไฟฟ้า ทีนี้มันไม่มีอะไรกั้น เราก็เอาไปกั้น มันก็เลยอยู่ตรงกลาง แล้วพอภาพมันออกไป ปันปันก็เลยเด่นกว่าเพื่อน ต่อมาคนก็เลยโทรเข้ามาๆ เด้งไม่หยุดเลย ถามว่าปันปันก็ดีใจแหละ แต่ไม่รู้สึกว่าวิเศษอะไรหรอก ปัจจัยหนึ่งคิดว่า เขาน่าจะเคยชินแล้ว
• จากการเล่นเบสของเรา คิดว่ายังมีอะไรที่กังวลอีกมั้ย
ปันปัน : หนูคิดว่าหนูยังไม่รู้อะไรอีกเยอะค่ะ แบบเทคนิคใหม่ๆ อีกอย่าง มีคำหนึ่งที่อาจารย์จะสอนเสมอว่า ห้ามพูดว่าเราดีที่สุด เพราถ้าเราคิดอย่างงี้ เราจะหยุดพัฒนา มันไม่มีดีที่สุด คือต้องไปเรื่อยๆ จริงๆ แต่ ณ ตอนนี้ เพิ่งเริ่มนับ 1-2-3 ส่วนการได้จากการเล่นเบสนั้น หนูคิดว่าก็ต้องวางตัวให้ดีๆ ทั้งกับเพื่อน และคนในสังคมมากขึ้นค่ะ (ยิ้ม)





เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : พลภัทร วรรณดี และ แฟนเพจ The Ambulance
จากจุดเริ่มต้นที่เหลือแค่ตำแหน่งเดียวในวงดนตรี ผ่านการฝึกซ้อมทั้งทางทฤษฎีและปฎิบัติมาเป็นเวลานาน ไปจนถึงเดินสายประกวดทั้งเวทีใหญ่และเล็กมากมาย จนกลายเป็นที่พูดถึงในวงแคบๆ ของเหล่านักดนตรีในสังคมออนไลน์ และขยายวงกว้างไปในระดับกว้าง กับการแสดงต่อหน้าคณะกรรมการ ในรายการ ไทยแลนด์ ก็อท’ส ทาเลนต์ (Thailand Got’s Talent) ฤดูกาลที่ 6 ในนามวง ดิ แอมบูแลนซ์ (The Ambulance) จนสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมวงกว้างในเวลาต่อมา...
• ปันปันเริ่มสนใจเล่นดนตรีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ
ปันปัน : ช่วงประมาณ ม.1 ค่ะ คือหนูไปเรียนพิเศษกับเพื่อน แล้วเพื่อนก็ชวนเล่นดนตรีค่ะ เพราะเพื่อนเขามีวงก่อน แล้วเขาก็ชวนหนูไปเล่นด้วยกัน ซึ่งก่อนหน้านั้นเล่นอะไรไม่เป็นเลย ตอนแรกที่ยังไม่เข้ามา เพื่อนๆ ทุกคนเขาจองตำแหน่งอื่นหมดแล้ว แถมกลองก็มีเพื่อนที่เล่นเป็นอยู่แล้ว จนมาเหลือที่เบสตัวเดียว ตอนนั้นยังลังเล แต่มันก็เหลืออย่างเดียว ก็เลยได้มาเล่นตำแหน่งนี้ แถมที่บ้านก็ให้เล่นและสนับสนุน
อ.ชาติชาย (ชาญกล - ผู้ดูแลวง) : คือปันปันเขาเป็นเพื่อนกับลูกสาวผม (ลูกหวาย - ปลายฟ้า ชาญกล มีอกีตาร์โซโล) เพราะเห็นพ่อทำดนตรีมานาน ก็อยากจะใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ อยากเล่นดนตรี อยากตั้งวง เราก็โอเค ตั้งวง ก็ชวนมาทีละคน รวมถึงปันปันด้วย ซึ่งในตอนแรก ไหนๆ ก็ไม่เป็นอยู่แล้ว แต่จริงๆ คือหน้าตาได้ เราก็โอเค เพราะว่ามากี่คนก็ไม่เป็นอยู่แล้วล่ะ อย่างตัวปันปัน ได้เปรียบ คือครูคิดล่วงหน้าแล้วว่าเขาจะดัง แต่เด็กไม่ได้คิดหรอก เขามาเล่นเพราะความรักเพื่อน ถามว่าในตอนนั้นรักดนตรีหรือยัง เราดูรู้เลยว่ายังหรอก แต่ตั้งใจซ้อม ด้วยความกลัวมากกว่า เพราะครูจะดุ (หัวเราะเบาๆ) ก็เลยเก่ง เพราะต้องซ้อม มาทำเป็นเล่นไม่ได้
ปันปัน : หลังจากนั้น หนูก็หัดเล่นไปเรื่อยๆ ก็เริ่มชอบ และอยู่กับมันไปเรื่อยๆ เลยค่ะ ก็ซ้อมๆ ช่วงแรกๆ ถือว่าหนักเหมือนกัน ช่วงที่หัดเล่นใหม่ๆ หนูก็ซ้อมเยอะศึกษาเยอะ แล้วก็มีรุ่นพี่มาสอนด้วยค่ะ คือที่โรงเรียนจะเป็นแบบรุ่นพี่สอนต่อรุ่นน้อง ตอนนั้นอยู่ ม.1 ก็จะมีพี่ ม.6 มาสอนเบสให้กับหนู
• เรามีการวางกรอบเวลาอย่างไรในการซ้อม
ปันปัน : สามช่วงเวลาเลยค่ะ ตอนเช้าก็ 1 ชั่วโมง ตอนกลางวันอีก 1 ชั่วโมง ตอนเย็นอีก 2 ชั่วโมง พอกลับบ้านก็ไปทบทวนอีกครั้ง สรุปคือ หนึ่งในสามของวัน
อ.ชาติชาย : แรกๆ ก็ซ้อมเยอะเลย ครูต้องขออนุญาตว่าไม่ต้องเข้าแถว ก็มาซ้อม จนไปเรียน กลางวันก็ซื้ออะไรมากินที่นี่ แล้วก็ซ้อม พอเลิกเรียนก็ซ้อม เพราะเด็กๆ ที่นี่ เวลาทำอะไร เขาจะจริงจัง มุ่งมั่นจริงๆ
• อิทธิพลทางดนตรีของปันปันคือใคร ที่ทำให้เราอยากเล่นแบบเขาบ้าง
ปันปัน : หนูชอบวงญี่ปุ่นที่ชื่อ Scandal ค่ะ เป็นวงผู้หญิงหมดเลย คือเขาประสบความสำเร็จ คนรู้จักเยอะมาก เล่นดนตรีเก่ง แล้วก็เป็นผู้หญิงด้วย หนูก็เห็นว่าเขาดีค่ะ เป็นต้นแบบ เพราะด้วยภาพลักษณ์เขาด้วยค่ะ ส่วนวงไทย หนูชอบ “โพลีแคท” กับ “สเลอ” เพราะว่าเราชอบสไตล์เฉพาะตัวของวง มันชัดมากค่ะ หนูชอบความเป็นตัวเองของวง แนวทาง และความเป็นเอกลักษณ์ของวง ถ้าเกิดเอาทางนั้นก็เป็นทางนั้นไปเลย ส่วนเพลงสากลชอบ The 1975 เพราะว่าชอบนักร้องค่ะ (หัวเราะ) และก็ชอบสไตล์ คือฟังแล้วก็รู้เลยว่าเป็นเขา
• พอเริ่มเล่นได้แล้ว ก็เริ่มไปประกวดในเวทีต่างๆ
ปันปัน : ใช่ค่ะ พอเล่นได้ ขึ้น ม.2 ก็เริ่มประกวดค่ะ งานแรกน่าจะเป็นงาน Search to be The Star ที่ เดอะมอลล์ บางกะปิ งานนั้นเป็นงานแรก ได้เข้าถึงรอบชิงเลย แต่ก็ไม่ได้รางวัล เพราะว่าเราสู้กับเด็ก ม.5-ม.6 ก็ไม่ได้ แถมเป็นเด็กผู้หญิงด้วย ภาคดนตรีก็อยู่ในระดับนึง แต่ยังไม่ถึงไม่ได้ ช่วงนั้นหนูได้เห็นแบบรุ่นพี่ ม.5 ม.6 แล้วก็ตื่นเต้นด้วย แรกๆ ความรู้สึกในการเล่นยังไม่มีเท่าไหร่ ยืนแข็งๆ กันอยู่
• จากที่ปันปันเล่ามาทำให้นึกถึงกรณีโมเดิร์นด็อกในช่วง ม.ต้น ที่โดนรุ่นพี่ในโรงเรียนแซว เราเคยโดนแบบนี้มั้ย
อ.ชาติชาย : ส่วนใหญ่ไม่ค่อยกล้า เพราะเขารู้ว่าเป็นลูกอาจารย์ (หัวเราะ) ไม่กล้าแน่ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ซึ่งเราว่าเราไม่ดุนะ แต่เด็กชอบว่าเราดุ ส่วนข้างนอกก็เหมือนกัน ไม่ค่อยมีเหตุการณ์แบบนี้ ด้านนี้จะไม่ค่อยมี แต่ข้อดีมันอยู่ที่เด็กกลุ่มนี้เป็นเด็กผู้หญิงแล้วเรามาเลือกทางหนักให้เขาตั้งแต่แรกเลย เพราะว่ามันจะให้ตรงข้ามกับบุคลิก เราอาจจะได้คะแนนจากตรงนี้ จากที่ครูวางไว้ แล้วคนมองทั่วไปมองว่าน่ารัก แต่เก่งจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ประมาณนี้ ผลก็เลยมาตอน ม.4 ที่ได้แชมป์เยอะแยะเลย
• พอหลังจากเวทีนั้น เรารู้สึกว่าเริ่มที่จะแกร่งกล้ามากขึ้นประมาณนั้น
ปันปัน : ก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ เพราะเราซ้อมกันตลอดทุกวัน ตามที่อาจารย์ตั้งเลยค่ะ เช้ากลางวันเย็น
อ.ชาติชาย : แต่พอ ม.ปลาย เรียนหนักขึ้น เลยเหลือแค่เช้ากับเย็น อย่างปันปัน เขามีพรสวรรค์กว่าลูกผม แต่ชีวิตเขาหลากหลาย ชีวิตเขาชอบศิลปะด้วย ดนตรีเขาอาจจะบางกว่าลูกผม ซึ่งต่างจากลูกหวายที่แบกภาระของวง เลยอาจจะซ้อมเยอะ
• พอได้มาแข่งในรายการ เป็นยังไงบ้าง
อ.ชาติชาย : เด็กตื่นนะ แต่ครูดีใจ เพราะว่าเขาแข่งเยอะมาก จนเขาไม่ตื่นเต้นเลย เขาเดินสายไปแข่งตามที่ต่างๆ ทั้งสุพรรณบุรี ชลบุรี ระยอง เราดูเขาแข่งจนรู้สึกว่า ทำไมลูกๆ เราไม่ตื่นเต้นวะ ซึ่งปกติจะต้องตื่นเต้นนะ เราดูเรารู้สึกว่า เราตกใจ แต่พอมารายการนี้ พวกเขาตื่นเต้น เราก็รู้สึกว่าเขาก็ยังปกติอยู่ (หัวเราะ)
• ซึ่งพอรายการได้ออกอากาศไปแล้ว ทำให้กระแสของปันปันถูกพูดถึงวงกว้างยิ่งขึ้น
อ.ชาติชาย : ตอนนี้ ยอดวิวประมาณ 2 ล้านกว่า ซึ่งตอนนี้ยอดวิวเราสูงที่สุด จากบรรดาผู้เข้าประกวดทั้งหมด อาจจะด้วยปัจจัยหลายอย่าง ทั้งจากตัวน้องเอง หรือ ตัววง The Ambulance คือจริงๆ เราไม่ได้เจตนานะ เราซ้อมเพลง “สู้” ของ หิน เหล็ก ไฟ แล้วเราเอาไปลงเฟสบุ๊คปกติ แล้วอยู่ดีๆ มันก็เกิดกระแสขึ้นมา 2 ล้านกว่าวิว คนก็รู้จัก จากนั้นเราก็ไปประกวดเวทีไฮสคูลแบนด์ สะใจไวฝัน ซีซั่น 2 แล้วเราก็ได้แชมป์ นอกจากนั้นยังได้เข้ารอบสุดท้าย โออิชิแบนด์ คอนเทสต์ ซึ่งเราก็ได้ popular vote พอหลังจากนั้นอีกก็มาเล่นดนตรีแก้บน ที่ทำให้ปันปันดัง ซึ่งคลิปนี้ทำให้ดังกระฉูด คนดูประมาณ 2 ล้านกว่า พอเราออกรายการ ทุกคนจำได้ ทุกคนก็พูดต่อๆ กัน
• แล้วพอเราเริ่มถูกพูดถึงในโลกออนไลน์แล้ว ความรู้สึกแรกเป็นยังไง
ปันปัน : ตอนแรกตกใจค่ะ ที่มีคนพูดถึงเราเยอะขนาดนี้ คือไม่ได้คิดว่ามันจะขนาดนั้น แต่พอมาเจอเข้า ก็ดีใจที่มีคนให้ความสนใจกับวงค่ะ
อ.ชาติชาย : จริงๆ น้องก็ไม่ได้คาดหวังว่าเล่นกันเป็นแบนด์ แล้วเราก็ไม่นึกว่าปันปันจะโดดเด่นขึ้นมากว่าใคร เพราะคลิปที่โรงเรียน ครูก็เป็นคนถ่ายเอง เราก็โพสไปเรื่อย แต่เผอิญว่า ตู้เบสมันอยู่ตรงกลาง และกลองไฟฟ้า ทีนี้มันไม่มีอะไรกั้น เราก็เอาไปกั้น มันก็เลยอยู่ตรงกลาง แล้วพอภาพมันออกไป ปันปันก็เลยเด่นกว่าเพื่อน ต่อมาคนก็เลยโทรเข้ามาๆ เด้งไม่หยุดเลย ถามว่าปันปันก็ดีใจแหละ แต่ไม่รู้สึกว่าวิเศษอะไรหรอก ปัจจัยหนึ่งคิดว่า เขาน่าจะเคยชินแล้ว
• จากการเล่นเบสของเรา คิดว่ายังมีอะไรที่กังวลอีกมั้ย
ปันปัน : หนูคิดว่าหนูยังไม่รู้อะไรอีกเยอะค่ะ แบบเทคนิคใหม่ๆ อีกอย่าง มีคำหนึ่งที่อาจารย์จะสอนเสมอว่า ห้ามพูดว่าเราดีที่สุด เพราถ้าเราคิดอย่างงี้ เราจะหยุดพัฒนา มันไม่มีดีที่สุด คือต้องไปเรื่อยๆ จริงๆ แต่ ณ ตอนนี้ เพิ่งเริ่มนับ 1-2-3 ส่วนการได้จากการเล่นเบสนั้น หนูคิดว่าก็ต้องวางตัวให้ดีๆ ทั้งกับเพื่อน และคนในสังคมมากขึ้นค่ะ (ยิ้ม)
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : พลภัทร วรรณดี และ แฟนเพจ The Ambulance