มีผู้ป่วยโรคซึมเศร้าน้อยคนนักที่จะกล้าเปิดเผยตัวเองว่าเป็นโรคนี้ เนื่องมาจากสังคมปัจจุบันอาจจะยังไม่ยอมรับ บางคนถึงขนาดยังมีความเชื่อแบบผิดๆ ด้วยว่าคนที่เป็นโรคดังกล่าวนั้น บ้าบ้างล่ะ สติไม่ดีบ้างล่ะ หรืออะไรต่อมิอะไรที่จะนิยามกันไปต่างๆ นานา จึงทำให้ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้ไม่กล้าแม้กระทั่งไปพบจิตแพทย์ และนำไปสู่การฆ่าตัวตายได้ในที่สุด ซึ่งบุคคลที่เรากำลังจะกล่าวถึงก็เป็นบุคคลหนึ่งที่เคยผ่านจุดนั้นจนขนาดถึงขั้นปลิดชีพตัวเองมาแล้วเช่นกัน
เธอคือ “จอมเทียน จันสมรัก” นิสิตมหาวิทยาลัยชื่อดังที่เคยเผชิญหน้ากับโรคซึมเศร้าจนถึงขั้นผ่านการฆ่าตัวตายมาแล้วหลายครั้ง และออกมาเปิดเผยเรื่องราวของตัวเองผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ชื่อว่า “Jomtian Jansomrag” ถึงการเผชิญหน้ากับโรคดังกล่าว จนถูกแชร์และเป็นที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวาง
แม้วันนี้เธออาจจะยังไม่ได้หายดีร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ทว่าเรื่องราวที่เธอจะเล่าต่อไปนี้ คงจะช่วยให้กำลังใจและวิทยาทานให้กับคนที่ต้องเผชิญเรื่องราวเลวร้ายจากโรคดังกล่าวได้ดีไม่น้อย ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เธอหวังไว้
• จากข้อมูลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะเห็นว่าสังคมสมัยนี้มีคนที่เป็นโรคซึมเศร้าค่อนข้างเยอะ คิดว่าเพราะอะไร คนถึงได้เป็นโรคนี้มากขึ้น
จอมรู้สึกว่าสังคมตอนนี้มีความเปลี่ยนแปลงไป พ่อแม่ไม่ค่อยเลี้ยงลูกด้วยตัวเองกัน พ่อแม่มักจะออกไปทำงาน ไม่ค่อยมีคนคอยดูแลให้ความห่วงใย ส่งลูกให้พี่เลี้ยงดูแล เด็กขาดความอบอุ่น บางส่วนมันเกิดมาจากพื้นฐานครอบครัว ถ้าครอบครัวสามารถเป็นที่ปรึกษาของเขาได้ ก็จะช่วยได้เยอะ อย่างที่จอมดีขึ้นเร็ว เพราะจอมเล่าให้คุณแม่ฟังได้ทุกอย่าง เช่น คุณแม่คะ จอมป่วย จอมกรีดข้อมือตัวเอง พอคุณแม่รับฟังก็จะรู้สึกดีแล้ว แต่คุณแม่ชี้ให้เห็นถึงว่า ถ้าจอมเหนื่อย คุณแม่ก็คอยบอกให้จอมหายเหนื่อย จอมอยากให้คุณพ่อคุณแม่ดูแลลูกด้วยตัวเอง
แต่โรคซึมเศร้า ส่วนหนึ่งน่าจะเกี่ยวกับพันธุกรรม เพราะจากที่อ่านหนังสือมาเขาบอกว่ามันมีผล อีกอย่างก็จะเพราะมีสิ่งเร้าภายนอกด้วยที่ทำให้เป็นโรคนี้ได้ แต่สำหรับจอม จอมคิดว่าเป็นช่วงชีวิตวัยเด็กมากกว่า เพราะจากที่จอมได้คุยกับเพื่อนคนอื่นๆ หลายคนเลย ส่วนมากจะเป็นตั้งแต่เด็ก จอมจะทราบมาว่าพื้นฐานในวัยเด็กของเขาเป็นยังไง เขาถูกเลี้ยงมายังไง ครอบครัวเขาเป็นยังไง มันมีผลถึงตอนโต สังเกตเลยว่าคนที่เป็นโรคซึมเศร้ามักจะเป็นตอนช่วงวัยรุ่น เช่นเดียวกับจอมก็สะสมมาตั้งแต่วัยเด็กเหมือนกัน เพราะจอมอยู่กับคุณแม่ที่เป็นโรคประสาทมาตั้งแต่เด็ก แต่ที่จอมรับมือกับปัญหาได้ เพราะถึงคุณแม่จะเป็นโรคประสาท แต่ก็เป็นคุณแม่ที่ดีมาก
• เราจะรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นหรือไม่เป็นโรคซึมเศร้า
มันสามารถสังเกตได้ชัดอยู่แล้ว คือร่างกายเราจะผิดปกติไป ควบคุมตัวเองไม่ได้ ทำงานไม่ได้ ไม่มีกำลังใจในการทำงาน นอนหลับมากเกินไป อยู่ๆ ก็จะนอนไปเลย หรือยิ่งนอนยิ่งเหนื่อย เริ่มทานอาหารไม่ได้ เริ่มไม่อยากเล่าอะไรให้ใครฟัง เรียกร้องความสนใจ เช่น ทำร้ายตัวเอง อันนี้ถือว่าเป็นโรคซึมเศร้าแล้วค่ะ ส่วนคนที่ยังไม่ถึงขนาดนั้น อาจจะแค่เครียด คือจะไม่รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไป ง่ายๆ เราลองเช็กตัวเองดูว่าเรามีอาการไหม เสิร์ชหาในกูเกิลได้เลยค่ะ ถ้ารู้ตัวทัน คุณไปหานักจิตวิทยา คุณไปคุยไปปรึกษาก่อน คุณก็จะไม่เป็นโรคนี้ เพราะโรคนี้ควรพบหมอ ถ้าเราไปปรึกษาคนอื่น คนอื่นอาจจะมีความคิดเห็นเยอะแยะมากมายไปหมด แต่มันอาจจะผิดก็ได้ อาจจะทำให้เราเป็นหนักขึ้น สู้เราไปหาคนที่รู้จริงไปเลยดีกว่า เขาจะช่วยเราได้มากขึ้น
• ส่วนตัวคุณ สาเหตุของโรคซึมเศร้ามาจากอะไร และเริ่มเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่
ส่วนหนึ่งมาจากเรื่องคุณแม่เลยค่ะ เพราะเราได้เห็นคุณแม่อยู่ตลอดเวลาว่าเขาป่วยยังไง มีอารมณ์แปรปรวนยังไง และญาติก็ไม่ได้ดูแลคุณแม่ ดูแลอยู่ห่างๆ แค่ไม่ให้คุณแม่ไปทำความเดือดร้อนให้คนอื่น แต่จอมจะอยู่กับคุณแม่มาโดยตลอด จอมจะรับทุกความคิด ทุกอารมณ์ของแม่ และตอนนั้น จอมไม่ได้เรียนหนังสือด้วย เพราะว่าแม่อาการหนักมาก จับจอมขังไว้ในบ้านเลย ไม่ให้ไปเรียน เขาจะสอนเอง เขาหวงมาก ตอนเด็กๆ จนอายุ 9 ขวบจอมก็จะไม่ได้เข้าสังคมเลย จะอยู่กับคุณแม่ตลอด เพิ่งจะได้มาเรียนก็เมื่อตอน 9 ขวบเองค่ะ เพราะว่าคุณแม่โดนจับเข้าโรงพยาบาลซึ่งนี่ก็เป็นแผลหนึ่งเลยนะคะ ชีวิตจอมพลิกเลยทุกอย่าง จากเด็กที่อยู่ในสวนกล้วยไม้ ไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรเลย อยู่ๆ คุณแม่โดนจับเข้าโรงพยาบาลไป
แต่เราก็สะสมความเครียดมาตลอด คืออะไรนิดๆ หน่อยๆ เราก็เครียดไปหมด แต่ไม่เคยไปหาหมอนะคะ จอมเริ่มไปหานักจิตวิทยาเมื่อตอนมัธยมต้นเพราะเราต้องหลอกพาคุณแม่ไปหาหมอ หมอยังบอกอยู่เลยว่าเราสุขภาพจิตดีมาก โอเคทุกอย่างเลย แต่ตอนนั้นก็มีบ้างเหมือนกันนะคะที่ทำร้ายตัวเอง เพียงแต่เป็นการทำร้ายตัวเองเพื่อเรียกร้องให้คุณแม่ทานยา เพราะจอมไม่รู้จะทำยังไง จอมพยายามหลอกคุณแม่ไปหาหมอ พอพาไปไม่ได้ พูดไม่ได้ ไม้อ่อนก็ไม่ได้ ไม้แข็งก็ไม่ได้ ขู่ก็ไม่ได้ จอมก็เลยทำร้ายตัวเองเลย เราเลือกที่จะทำร้ายตัวเองเพื่อที่จะให้คุณแม่ทานยา คือคุณแม่เป็นโรคประสาท จะไม่รู้ตัวว่าตัวเองป่วย ซึ่งถ้าคุณเป็นโรคซึมเศร้าแล้วคุณไม่รักษา อาจจะพัฒนาเป็นโรคประสาทได้ เพราะคุณแม่ก็จะเริ่มจากการเป็นโรคซึมเศร้าก่อนแล้วถึงเป็นโรคประสาทเหมือนกันค่ะ
• เริ่มมาป่วยเป็นโรคซึมเศร้าได้ยังไงคะ ทั้งๆ ที่ตอนแรกคุณหมอบอกว่าสุขภาพจิตเราดีมากอยู่เลย
จอมมาเริ่มมีอาการที่รู้ว่าตัวเองเป็นแน่ๆ ก็เมื่อช่วงปิดเทอมสองของมหาวิทยาลัยปีที่สอง ตอนนั้นเราเริ่มทำงานไม่ค่อยได้ แต่แรกๆ ยังไม่รู้ตัวนะคะ จนกระทั่งมาออกลายตอนปีสองเลย ต้องไปหานักจิตวิทยา แถมตอนนั้นแม่จอมอาการเริ่มหนักมากขึ้น เราก็เลยเครียดสะสมมากขึ้น รู้สึกว่าตัวเองเริ่มไม่ไหวแล้ว ก็เลยไปพบนักจิตวิทยาเลยค่ะ แต่ตอนแรกที่ไป ก็ปรึกษาเรื่องคุณแม่ก่อน ประมาณว่าเราจะจัดการความคิดยังไงดี ที่เรามาอยู่มหาวิทยาลัยแล้วทิ้งคุณแม่ไว้ที่บ้านคนเดียว คุณแม่ก็อาการแย่ลงเรื่อยๆ นักจิตวิทยาก็แนะนำให้เราไปพบจิตแพทย์เพื่อคุยเรื่องยา ตอนนั้นจอมยังไม่ป่วยนะคะ เรายังไปพบหมอเพื่อรักษาแม่อยู่ ยังปกติอยู่ แต่หลังจากนั้น พอเริ่มเห็นตัวเองทำงานไม่ได้ ซึ่งมันมาออกลายเอาช่วงปิดเทอมมหาวิทยาลัยปีสอง ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เรากดดันมากเรื่องงาน ไหนจะเรื่องของตัวเองอีก แถมคุณแม่ก็มาอาการหนักขึ้นมากอีก
จอมคิดเสมอนะคะว่าเราจะปล่อยปัญหานี้ไม่ได้นะ เราจะต้องเข้มแข็งนะ แต่คนที่เป็นโรคซึมเศร้าก็คือคนที่เข้มแข็งมากเกินไป ไม่ยอมขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง จอมไปหาหมอให้คุณแม่เอง ไปเอายามาเอง บังคับแม่ฉีดยาเอง ซึ่งเราก็ทำเองทั้งหมด ไม่ขอความช่วยเหลือจากใคร จอมเริ่มแย่ในช่วงที่ปิดเทอมพอดี อาการของจอมก็คือ เราเริ่มเที่ยวกลางคืน เริ่มหาอะไรมาเติมเต็ม แต่มันก็ไม่ได้ช่วยเลย ยิ่งเราดื่มแอลกอฮอล์เข้าไป ฮอร์โมนในสมองยิ่งแปรปรวน อีกอย่างการที่เราต้องลุกจากเตียงเป็นอะไรที่ลำบากมาก จอมค้นหาข้อมูลในกูเกิล ก็ชัดเลยว่าเราเป็นแล้วจริงๆ จอมก็เลยไปหาหมอ ปรากฏว่าเราก็เป็นโรคซึมเศร้าจริงๆ ตั้งแต่นั้นมาก็เริ่มทานยามาตลอดค่ะ
• เริ่มทานยาแล้วเป็นยังไงต่อคะ
ปรากฏว่าเรากลับเจอเอฟเฟกต์ของยา ทำให้จอมผอมลงอย่างรวดเร็วมาก ซึ่งยาที่จอมทานอยู่ มีผลกระทบต่อลำไส้ ทำให้อาเจียน ทานข้าวไม่ได้ ช่วงแรกแย่มากเลยนะคะ เราเริ่มรู้สึกว่าอาการเราแย่ลง อารมณ์แปรปรวนมากขึ้นเพราะว่ายาเข้าไปปรับฮอร์โมนในสมอง จอมเริ่มทำร้ายตัวเองมากขึ้น
จอมจะบอกว่าปัจจัยนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่รักษาในช่วงแรกเริ่มรู้สึกว่าอาการมันแย่ลง แต่ถ้าคุณผ่านช่วงนี้ไปได้ ทุกอย่างจะโอเค ตอนนั้นจอมถามหมอตรงๆ เลยนะคะว่าการทานยาโรคซึมเศร้าทำให้ทำร้ายตัวเองมากขึ้นในช่วงแรกจริงๆ ไหม ซึ่งหมอก็ตอบจอมกลับมาว่า ผลวิจัยออกมาเป็นแบบนั้น ผลข้างเคียงของยาทำให้ทำร้ายตัวเองมากขึ้นหรือเปล่า อันนี้เราก็ยังไม่ชัวร์ แต่ส่วนมากจะเป็นแบบนั้นค่ะ
• อยากย้อนถามถึงก่อนหน้าที่เป็นโรคซึมเศร้า เราใช้ชีวิตอย่างไรบ้างคะ
แฮปปี้ค่ะ ก็มีเพื่อนสนิทจบมัธยมปลายมาก็ได้เกรดเฉลี่ย 3.9 เป็นคนเรียนดี มีความสามารถพิเศษ สอบติดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ คะแนนก็ได้สูงในระดับของคณะ เข้ามาเรียนได้ปกติ ทำงานได้ปกติเลยค่ะ แต่พอมาเป็นโรคซึมเศร้า การใช้ชีวิตเราเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยค่ะ อีกอย่างตอนนั้นคุณแม่หายปกติแล้วด้วย
• คุณแม่หายแล้ว แต่เรามาเป็นต่อหรือคะ
ประมาณนั้นเลยค่ะ พอคุณแม่หายป่วย จอมก็มาคิดว่าเราไม่มีภาระอะไรแล้ว ไม่ต้องดูแลคุณแม่แล้ว มีแต่ต้องดูแลตัวเอง ทำความฝันของตัวเอง เพราะจอมไม่เคยมีชีวิตที่เป็นของตัวเองเลย แต่พอมาคิด ก็ไม่รู้ว่าจะต้องมีชีวิตต่อไปเพื่ออะไร คือเป็นปัญหาของคนเป็นโรคนี้มาก... ตอนแรกเราต้องดูแลคุณแม่ เรามีภาระ มีอะไรที่ต้องทำ แต่ตอนนี้หมดภาระจากคุณแม่แล้ว แถมเราก็ป่วยด้วย ก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อไปในชีวิตอีกแล้ว เหมือนไม่มีแรงจูงใจที่จะทำอะไรต่อไปอีกแล้ว มันไม่ชินแล้ว เหมือนเป็นชีวิตใหม่ ที่มีชีวิตเป็นของเราเองจริงๆ แต่ก่อน จอมให้คุณแม่สำคัญเป็นที่หนึ่ง แต่พอจอมป่วยเป็นโรคซึมเศร้าแล้ว เราต้องเป็นที่หนึ่ง ต้องรักตัวเองให้มากที่สุด แต่จอมคิดว่าเราไม่สามารถอยู่ไปได้อีกแล้ว แล้วพอหาคำตอบได้แล้วว่าตัวเองไม่สามารถทำอะไรได้ ครั้งสุดท้าย จอมเลยเลือกที่จะกินยาเข้าไป 70 เม็ด เพราะเราอยากจะปล่อยวางทุกอย่างแล้ว
• กินยาฆ่าตัวตาย?
ตอนนั้นเราคิดว่า เอาให้ชัวร์ๆ ไปเลย ไม่มีอะไรให้ทำแล้ว เราไม่กลัวที่จะต้องเสียชีวิตเลย ไม่อยากอยู่บนโลกนี้แล้ว... จอมหาข้อมูลจากในกูเกิล ส่วนใหญ่คนที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าก็มักจะไปอ่านประสบการณ์การทำร้ายตัวเองและเอามาใช้ สำหรับจอม ใช้เวลาไม่นานในการหาข้อมูลเลยนะคะ เอาจริงๆ จอมเป็นคนฉลาดนะ แต่ดันนำไปใช้ในทางที่ผิด ตอนนั้นเราเดินไปร้านขายยาเลยค่ะ บอกเขาว่าเราขอซื้อยาตัวนี้หน่อย เราจะซื้อไปให้คุณแม่ จอมไม่ขอเอ่ยชื่อยานะคะ แต่เป็นยาที่สามารถซื้อได้ในร้านขายยาได้ เภสัชฯ สามารถจ่ายให้ได้ แล้วถ้าเราอ้างเหตุผลที่ถูกต้อง เราจะซื้อได้ในจำนวนมาก คนที่เป็นโรคนี้จะซื้อยาพวกนี้สะสมไว้ จอมซื้อมาได้ 7 แผง แผงหนึ่งจะมี 10 เม็ด
พอได้ยามาแล้วเราก็ตัดสินใจทานยาไปเรื่อยๆ และระหว่างที่กิน เราจะทิ้งหลักฐานเรียบร้อย เพื่อจะไม่ให้คุณหมอรู้ เพราะว่าถ้าคุณหมอมาค้นกระเป๋า ถ้าเขาเห็นซองยา เขาจะรู้ทันทีว่าเราทานยาอะไรเข้าไป และเขาจะรักษาเราถูกวิธี จอมตั้งใจจะไม่บอก และจะให้อาการหนักมากก่อน ตอนนั้นที่กินยาไปครบเจ็ดสิบเม็ดแล้ว ชีวิตพังมากเลยนะคะ เริ่มมองอะไรไม่เห็น มือไม้สั่น เขียนหนังสือไม่ได้ ทานข้าวไม่ได้ สมองพังหมด เรารู้สึกได้ว่าเราแย่ชัวร์ เพราะอาการที่เราเขียนหนังสือไม่ได้ มันแย่มากแล้ว จอมเป็นคนใช้มือเขียนหนังสือบ่อยๆ อยู่แล้ว เลยนึกว่า การเขียนไม่ได้ วาดรูปไม่ได้ อาการมันเป็นแบบนี้นี่เอง การมองไม่เห็นมันเป็นแบบนี้นี่เอง อันนั้นเป็นความกลัวแวบแรก แต่ก็ยังไม่ได้อะไรมาก และคิดว่าตัวเองอาการหนักมากแล้ว เราเลยหามตัวเองไปห้องฉุกเฉินแล้วบอกกับคุณหมอว่า เราเป็นอะไรก็ไม่รู้
ตอนแรกคุณหมอฉีดยาแก้ปวดให้เพราะไม่รู้ว่าเราเป็นอะไร ซึ่งถ้าไม่มีพี่หมอที่เป็นนิสิตแพทย์เข้ามาคุยด้วย ถ้าเขาแค่มารักษาเฉยๆ จอมคงจะต้องเสียชีวิตไปแล้ว แต่การถาม การคุย ความใส่ใจจากพี่หมอ คืออารมณ์ความรู้สึกที่เป็นห่วงเราจริงๆ มันเป็นตัวดึงตัวสุดท้าย ทำให้เราบอกเขาไปว่าเราพยายามกินยาฆ่าตัวตาย จอมบอกเลยค่ะว่าเรากินยาตัวนี้มา และเราก็เงียบไปเลย สุดท้ายเราเห็นภาพตัวเองโดนล้างท้อง และต้องใส่เครื่องวัดหัวใจไว้ตลอดเวลา เพราะว่าคนอื่นที่เขาหัวใจล้มเหลว ก็เพราะเคยทำแบบนี้
• วินาทีที่ลืมตามา แล้วเห็นว่าตัวเองรอดชีวิต ตอนนั้นคิดยังไงบ้างคะ
คิดว่าเราจะไม่ตายแล้ว เพราะถ้าคนจะตาย คงต้องตายไปแล้วแหละ นี่ขนาดทานยาไปทั้งหมดเจ็ดสิบเม็ดยังไม่ตายเลย เราเลยรู้สึกเบื่อที่จะทำร้ายตัวเองแล้ว เบื่อที่จะอยากตายแล้ว เบื่อไปหมดแล้ว เรานอนอยู่ในห้องฉุกเฉิน คุณแม่ก็นั่งรถมาหา หมอนักจิตวิทยามากันเต็มไปหมดเลย จอมจะเป็นคนที่รู้จัก เพราะจอมเข้าห้องฉุกเฉินบ่อย
หลังจากนั้น จอมมานั่งถามตัวเองว่าจริงๆ แล้วตัวเองคิดยังไง จะกลับมาเรียนก็ไม่ทันแล้ว จอมขาดเรียนบ่อย จอมไม่ได้ทำร้ายตัวเองแค่ครั้งสองครั้งนะคะ แต่มันเจ็ดแปดครั้งไปแล้ว แต่ครั้งนี้จอมคิดว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้าย เพราะจอมมั่นใจว่าเราจะต้องตายแล้วแน่ๆ
• ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกของการฆ่าตัวตายด้วยเหรอคะ
ใช่ค่ะ คือเราจะหาข้อมูลจาก Google มาตลอดว่าเขาทำกันยังไงบ้าง Google นี่แหละตัวดีเลย จอมจะอ่านหมดเลยนะคะ อย่างยาแก้ปวดมันไม่ส่งผล มันแค่ทำให้ตับพัง กรีดข้อมือ จอมก็ลองมาแล้วหนึ่งครั้ง ที่ทำไปเพราะเรารู้สึกชอบในความเจ็บปวด ทำแล้วรู้สึกดีขึ้น หัวใจจะเต้นแปลกๆ แต่กรีดข้อมือ แผลเราสมานเร็วมาก มากจนเราคงไม่เป็นอะไรแล้วแหละ
อย่างยาล้างห้องน้ำ จอมจะไม่กินนะคะ เพราะถ้าไม่ตาย คุณจะพังแน่ๆ วิธีนี้เราก็ไม่เสี่ยงไม่ทำ เราจะรู้ว่าอะไรเสี่ยง ไม่เสี่ยง แต่เราใช้ความฉลาดในทางที่ผิดไง ก็เลยมีบ้างที่กินแค่แชมพูผสมครีมอาบน้ำ ก็โดนล้างท้องอีก โดนล้างท้องมา จนคุณหมอจำได้แล้ว ซึ่งในชีวิตเราล้างท้องมาประมาณ 4-5 รอบได้
• ก่อนหน้านั้นคนรอบข้างทราบหรือไม่ว่าเราเป็นโรคซึมเศร้า
ไม่ค่ะ ไม่มีใครทราบเลย ถึงตอนที่จอมเป็นอยู่ ก็ไม่มีใครทราบเลย จนจอมออกมาเปิดเผยตัวเองว่าเราเป็นโรคซึมเศร้า แล้วมียอดแชร์ในเฟซบุ๊กเป็นจำนวนมาก เลยทำให้หลายคนรู้ว่าจอมเป็นยังไง เพราะปกติ จอมก็จะยิ้มหัวเราะปกติเลย ส่วนมากคนที่เป็นก็จะแบบนี้ล่ะค่ะ จะดูแทบไม่ออกเลย ยกเว้นที่จะมาอยู่ใกล้ชิด ในสังคมการทำงานจริงๆ เราจะเห็นได้จากการงานเขาเริ่มแย่ลง อันนั้นคือจะเห็นได้ชัดเลย
• พอรู้แล้ว คนรอบข้างว่ายังไงบ้างคะ เรามีวิธีการอยู่ในสังคมอย่างไรบ้าง
คนที่สนิทและใกล้ตัวจอมมากๆ เขาก็จะมีลำบากใจนิดหน่อย อย่างเพื่อนในคณะ จอมก็บอกเขาไปตรงๆ เลยว่ามีอะไรก็พูดกัน กลัวหรือว่าอะไรก็ให้บอกกันตรงๆ เพราะยิ่งเขาไม่พูด เก็บเงียบ ผู้ป่วยจะคิดไปเอง จะยิ่งกังวลว่าคนอื่นจะต้องไม่ชอบแน่ๆ เราไม่มีค่าพอหรือเปล่า จะคิดไปต่างๆ นานา จอมคิดว่าการพูดตรงๆ จะดีกว่า แต่ผู้ป่วยเองก็ควรที่จะพูดตรงๆ ด้วยว่ารู้สึกยังไง เพื่อนบางคนเขาไม่รู้ว่าจะต้องคุยกับจอมยังไง เขาจะทวงงานจอมยังไง เขากลัวที่เวลาพูดออกมาแล้วจะทำให้แย่ลงหรือเปล่า ก็จะมีเพื่อนหลายคนที่ปลีกตัวออกไปบ้าง เราต้องเอาตัวเองไปเข้าหาคนอื่นด้วย ถ้ามัวแต่หลบอยู่ในห้องมืดๆ คุณคิดว่าใครจะช่วยคุณได้ และใครจะกล้าที่จะเดินเข้าไปช่วยคุณ คุณต้องเดินออกมาด้วย
• หลายคนที่เป็นโรคซึมเศร้าเขาจะปิดไม่ให้คนอื่นได้รู้ แล้วทำไมจอมถึงกล้าเปิดเผยว่าเราเป็นล่ะคะ
จอมอยากให้ความรู้เรื่องนี้มันกระจายออกไปมากขึ้น ไม่อยากให้ใครมาเสียเวลาในชีวิตต่อไป เราเหมือนเอาตัวเองเป็นกรณีตัวอย่าง เพราะจอมก็ได้เห็นจากคุณแม่มาแล้ว ถ้าความรู้แพร่หลายมาตั้งแต่ตอนคุณแม่จอมป่วย จอมมั่นใจว่าคุณแม่จะไม่ป่วยเป็นโรคประสาทแน่นอน มันมีเยอะมากนะคะคนที่เขาไม่กล้าเปิดเผยเพราะพ่อแม่บางคนเขาอาจจะเป็นห่วงอนาคตลูกว่าถ้ารู้ว่าเป็นโรคซึมเศร้าแล้ว ต่อไปถ้าไปทำงานอาจจะมีผลกระทบต่อการทำงาน บางครอบครัวยังมองโรคนี้ว่าเป็นคนบ้าอยู่ อย่างจอมเองก็เคยยกมือถามในงานเสวนาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนะคะว่า ถ้าจอมเปิดเผยว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้า จะดีไหม ควรทำไหม หมอเขาก็เตือนมาว่าอาจจะมีผลต่ออนาคต เวลาคุณสมัครงานนะ แต่ว่าถ้ารับไหวก็เปิดได้ ซึ่งหมอก็เป็นห่วง แต่ตัดสินใจว่าออกมาพูดดีกว่า ส่วนตัวจอมคิดว่าก็ไม่อยากจะให้ใครมาเปิดเผยว่าตัวเองป่วยเหมือนเรานะคะ เพราะแผลของใครก็แผลของมัน ไม่จำเป็นต้องโชว์แผลให้คนอื่นได้รับรู้ แต่จอมไม่อยากเห็นใครเสียชีวิตเพราะโรคนี้ จอมเลยไม่กลัวที่จะเปิดเผย
• หลายคนไม่กล้าเปิดเผยเพราะกลัวจะถูกสังคมมองว่าบ้า ตรงนี้คิดเห็นอย่างไร ส่วนตัวเคยโดนบ้างไหม
ไม่บ้าค่ะ (ตอบเร็ว) ถ้าบ้าคือคุณต้องไม่รู้ตัวเองว่าคุณเป็นอะไร คนที่เป็นโรคซึมเศร้าคือคนที่เข้มแข็งเกินไป คนที่เก็บปัญหาไว้กับตัวเองมากเกินไป การที่คุณเป็นโรคซึมเศร้าไม่ได้แปลว่าคุณเป็นคนบ้า คุณแค่เป็นคนที่ชอบทำอะไรด้วยตัวเองมากกว่า ไม่บ้าแน่นอนค่ะ คุณรู้ว่าตัวเองป่วย คุณพาตัวเองไปหาหมอได้ คือคุณเก่งนะ ไม่ใช่เล่นๆ เลยนะ
จริงๆ โรคซึมเศร้าไม่อันตรายกับคนอื่นนะคะ แต่อันตรายกับตัวเอง อาจจะอันตรายต่อคนอื่นในแง่ที่เราอาจจะส่งต่อแผลของเราไปให้คนอื่นโดยไม่รู้ตัว อย่างบางที จอมไปคุยกับเพื่อน และอยู่ๆ มาอีกวัน จอมทำร้ายตัวเองเข้าโรงพยาบาล เพื่อนก็อาจจะคิดว่า แย่แล้วเราไปทำอะไรให้เขาต้องเข้าโรงพยาบาลหรือเปล่า เพื่อนก็จะเก็บไปเครียด อันนี้คือส่งต่อแผลให้คนอื่น เขาจะคิดไปเองแหละ เวลาเราทักไปเรียกร้องความสนใจจากคนอื่น จากคนที่เขาอยากให้เรามาสนใจ ก็คืออาจจะเป็นการส่งต่อแผลให้เขา เวลาเราทำร้ายตัวเอง คนที่เขารักเรา เขาเสียใจไหม
• ถามถึงวิธีการรักษาหน่อยค่ะว่ามีวิธีการรักษาอย่างไรบ้าง
ตอนแรกที่ไปรักษา จอมก็เข้าไปหาจิตแพทย์เลยนะคะ คุณหมอก็จะมานั่งคุยกับเราเลยว่ามีปัญหาอะไรบ้าง เปิดใจคุยกับคุณหมอทุกอย่าง คุณหมอก็จะให้การบ้านมาทำ คุณหมอจะถามว่า ความรักคืออะไร สเปกผู้ชายเป็นยังไง อยากจะแต่งงานไหม ใครสำคัญที่สุด จัดลำดับชีวิต คือคิดยากมาก คุณหมอเขาจะค่อยๆ จัดระบบความคิด และให้เราคิดได้ด้วยตัวเอง เขาจะถาม จะแย้งเรา ประมาณว่าจริงหรือเปล่า ซึ่งยาที่เรากิน จะแค่รักษาสารเคมีในสมองเราได้ ถ้าเราไม่สามารถจัดการกับประเด็นที่ทำให้สารเคมีในสมองให้ดีได้ เราก็จะไม่หายจากโรคนี้ เราต้องจัดการกับปัญหาให้ถูกวิธี อะไรที่รู้ว่าจัดการไม่ได้ ก็ปล่อยทิ้งไป อย่าเก็บมาคิด อะไรที่ขอความช่วยเหลือได้ คุณควรขอ ไม่ใช่เก็บเอาไว้คิดเองคนเดียว
ทุกวันนี้ผ่านมาได้สี่เดือนเต็มที่จอมไม่ทำร้ายตัวเอง ตอนนี้จอมทานยาคุณหมออยู่ด้วยค่ะ การทานยาก็จะต้องทานประมาณหกเดือน ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป จะไปหักดิบเลยไม่ได้ เพราะมันเกี่ยวกับสารเคมีในสมอง ถ้าหยุดไปเลย ร่างกายก็จะเกิดการแปรปรวนได้ แต่บางครั้งจอมก็ยังมีความคิดที่จะทำร้ายตัวเองอยู่ จอมยังต้องปรับสมดุลระหว่างการทำตามหน้าที่กับทำเพื่อตัวเองไม่ค่อยได้ ยังต้องใช้เวลาต่อไปอีกหน่อย แต่เราก็ดีขึ้นแล้วนะคะ ดีจนคุณหมอชมเลยค่ะ (ยิ้ม)
โรคนี้สามารถรักษาหายขาดได้ ในบางกรณี ที่ไม่หายคือทานยาแล้วหยุดยาเอง คือไม่กล้าก้าวข้ามจุดแรกไป ประมาณว่าพอทานยาเข้าไปและรู้สึกว่าอาการดีขึ้นนิดนึงก็หยุดยาเองโดยที่คุณหมอไม่ได้สั่งก็จะไม่หาย แต่อย่างคุณแม่จอมที่หายได้เพราะทานยาตามคุณหมอสั่งค่ะ
• ตอนนี้มีความสุขมากขึ้นแล้วใช่ไหมคะ นอกจากการทานยาแล้วเราใช้วิธีอย่างอื่นบำบัดด้วยไหมคะ มีวิธีการคลายเครียดอย่างไรอีกบ้างคะ
ตอนนี้จอมมีชีวิตเป็นของตัวเอง เหมือนกับวัยรุ่นทั่วไปที่มีปัญหาเรื่องเรียนบ้าง คุยกับหนุ่มๆ แล้วเลิกกันบ้าง แต่ว่าเราก็ไม่ได้เครียดจนอยากจะซึมเศร้าอีกแล้ว เพราะจอมป่วยจะป่วยสุดจริงๆ ส่วนเวลาจอมหายแล้วคือจอมจะหายเลย ยอมรับว่าช่วงแรกการเรียนเสียไปแน่นอนค่ะ มันทำให้จอมเรียนแย่ลงจริงๆ เพราะว่าจอมเอาแต่ใจตัวเองมากขึ้น ถ้าจอมรู้ตัวว่าเครียดขึ้นมา จอมจะทิ้งทุกอย่างที่ทำอยู่ ณ ตอนนั้นเลย แล้วก็จะออกไปข้างนอก ไปหาเพื่อนบ้างค่ะ
จอมชอบคลายเครียดโดยวิธีการรับประทาน ซึ่งเป็นการคลายเครียดที่ดีที่สุด ดูซีรีส์บ้าง บางทีก็จะเอาตัวเองออกไปเจอสังคม ไปฟังการเสวนา ไปร่วมกิจกรรม แล้วก็เขียนหนังสือบ้าง จอมชอบเขียนเพราะจะได้ทบทวน ได้มองเห็นตัวเอง
• คิดว่าสังคมควรให้กำลังใจกลุ่มคนเหล่านี้อย่างไร มีคำไหนควรพูดและไม่ควรพูดกับผู้ป่วยโรคนี้บ้างไหมคะ
ที่ไม่ควรพูดคือคำว่าแกไหว แกทำได้ เราไม่ควรที่จะไปพูดคำเหล่านี้เพื่อกดดันเขา แค่เขาป่วย เขาก็รู้สึกไม่ไหวแล้ว บางคนมาบอกให้เราพักบ้าง บางคนมาบอกให้เราสู้ๆ บางทีฟังแล้วเรารู้สึกเหนื่อยค่ะ แต่ก็แล้วแต่ช่วงด้วยนะคะ ถ้าเป็นช่วงที่หนักๆ ถ้ามีใครมาบอกว่าจอมสู้ๆ นะ คือเราจะไม่อยากสู้เลย
แต่ที่จอมฟังแล้วรู้สึกดี ส่วนมากเขาจะไม่ค่อยพูดอะไรมาก เขาจะฟังแล้วอยู่ข้างๆ เรา จะรู้สึกได้ด้วยตัวเองว่า เขาจะอยู่ตรงนั้นแหละ ไม่ว่าเราจะเป็นยังไง เขาจะไม่ตัดสินจอมว่าจอมเป็นอะไร ไม่ต้องมาพูดเยอะ ไม่ต้องมากดดัน ไม่ต้องมาแนะนำวิธีแก้ไขปัญหาให้ เพราะบางทีคนที่มาแนะนำอาจจะแนะนำผิดก็ได้ ให้เขาได้พบผู้รู้ดีกว่า แล้วตัวคุณเองก็ควรที่จะต้องไปพบนักจิตวิทยาเพื่อให้เขาแนะนำดีกว่า อย่างเพื่อนจอมสนิทมากที่คบกันมาเป็นสิบปี เขาก็รู้ว่าจอมป่วย แต่เขาก็พูดอะไรไม่ได้ เขาจะปล่อยให้จอมคิดได้ด้วยตัวเอง
• ในฐานะที่เราเคยเป็นโรคนี้มาก่อน เราอยากให้สติหรือพูดให้กำลังใจคนที่เป็นเช่นเดียวกันกับเราอย่างไรบ้าง
จอมอยากบอกว่าคุณไม่ได้อยู่คนเดียวนะ มีเพื่อนเป็นเยอะแยะ เราเข้าใจนะ เราเคยผ่านจุดนี้มา เราเคยทำมาเหมือนคุณ ไม่เป็นไรนะ และมันก็จะผ่านไป ทุกวันนี้ก็มีคนเข้ามาปรึกษาเรานะคะ อย่างถ้าเป็นแต่ก่อนช่วงที่ยังไม่ได้แชร์ลงในในโซเชียล เราก็มีรวมกลุ่มคนที่เป็นโรคซึมเศร้าในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งจอมเปิดตัวว่าจอมเป็นโรคซึมเศร้ามาตั้งนานแล้ว คนอื่นก็เริ่มมีทักเข้ามาปรึกษา ให้เราพาไปพบจิตวิทยาหน่อย ก็มีคนรู้จักเรามากขึ้นเรื่อยๆ เราเหมือนได้แชร์ประสบการณ์ ได้พูดคุยกันว่าคุณใช้ชีวิตยังไง คุณเปิดเผยไหม ซึ่งก็มีอีกหลายๆ คนที่ไม่เปิดเผย คือเราคุยกับคนที่เป็นเหมือนกับเรา เราจะรู้สึกว่าเราโอเคกว่า เราก็รู้ว่าเขาเข้าใจเรา
เรื่อง : วรัญญา งามขำ และ สุนิสา ศรีสุข
ภาพ : วชิร สายจำปา
เธอคือ “จอมเทียน จันสมรัก” นิสิตมหาวิทยาลัยชื่อดังที่เคยเผชิญหน้ากับโรคซึมเศร้าจนถึงขั้นผ่านการฆ่าตัวตายมาแล้วหลายครั้ง และออกมาเปิดเผยเรื่องราวของตัวเองผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ชื่อว่า “Jomtian Jansomrag” ถึงการเผชิญหน้ากับโรคดังกล่าว จนถูกแชร์และเป็นที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวาง
แม้วันนี้เธออาจจะยังไม่ได้หายดีร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ทว่าเรื่องราวที่เธอจะเล่าต่อไปนี้ คงจะช่วยให้กำลังใจและวิทยาทานให้กับคนที่ต้องเผชิญเรื่องราวเลวร้ายจากโรคดังกล่าวได้ดีไม่น้อย ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เธอหวังไว้
• จากข้อมูลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะเห็นว่าสังคมสมัยนี้มีคนที่เป็นโรคซึมเศร้าค่อนข้างเยอะ คิดว่าเพราะอะไร คนถึงได้เป็นโรคนี้มากขึ้น
จอมรู้สึกว่าสังคมตอนนี้มีความเปลี่ยนแปลงไป พ่อแม่ไม่ค่อยเลี้ยงลูกด้วยตัวเองกัน พ่อแม่มักจะออกไปทำงาน ไม่ค่อยมีคนคอยดูแลให้ความห่วงใย ส่งลูกให้พี่เลี้ยงดูแล เด็กขาดความอบอุ่น บางส่วนมันเกิดมาจากพื้นฐานครอบครัว ถ้าครอบครัวสามารถเป็นที่ปรึกษาของเขาได้ ก็จะช่วยได้เยอะ อย่างที่จอมดีขึ้นเร็ว เพราะจอมเล่าให้คุณแม่ฟังได้ทุกอย่าง เช่น คุณแม่คะ จอมป่วย จอมกรีดข้อมือตัวเอง พอคุณแม่รับฟังก็จะรู้สึกดีแล้ว แต่คุณแม่ชี้ให้เห็นถึงว่า ถ้าจอมเหนื่อย คุณแม่ก็คอยบอกให้จอมหายเหนื่อย จอมอยากให้คุณพ่อคุณแม่ดูแลลูกด้วยตัวเอง
แต่โรคซึมเศร้า ส่วนหนึ่งน่าจะเกี่ยวกับพันธุกรรม เพราะจากที่อ่านหนังสือมาเขาบอกว่ามันมีผล อีกอย่างก็จะเพราะมีสิ่งเร้าภายนอกด้วยที่ทำให้เป็นโรคนี้ได้ แต่สำหรับจอม จอมคิดว่าเป็นช่วงชีวิตวัยเด็กมากกว่า เพราะจากที่จอมได้คุยกับเพื่อนคนอื่นๆ หลายคนเลย ส่วนมากจะเป็นตั้งแต่เด็ก จอมจะทราบมาว่าพื้นฐานในวัยเด็กของเขาเป็นยังไง เขาถูกเลี้ยงมายังไง ครอบครัวเขาเป็นยังไง มันมีผลถึงตอนโต สังเกตเลยว่าคนที่เป็นโรคซึมเศร้ามักจะเป็นตอนช่วงวัยรุ่น เช่นเดียวกับจอมก็สะสมมาตั้งแต่วัยเด็กเหมือนกัน เพราะจอมอยู่กับคุณแม่ที่เป็นโรคประสาทมาตั้งแต่เด็ก แต่ที่จอมรับมือกับปัญหาได้ เพราะถึงคุณแม่จะเป็นโรคประสาท แต่ก็เป็นคุณแม่ที่ดีมาก
• เราจะรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นหรือไม่เป็นโรคซึมเศร้า
มันสามารถสังเกตได้ชัดอยู่แล้ว คือร่างกายเราจะผิดปกติไป ควบคุมตัวเองไม่ได้ ทำงานไม่ได้ ไม่มีกำลังใจในการทำงาน นอนหลับมากเกินไป อยู่ๆ ก็จะนอนไปเลย หรือยิ่งนอนยิ่งเหนื่อย เริ่มทานอาหารไม่ได้ เริ่มไม่อยากเล่าอะไรให้ใครฟัง เรียกร้องความสนใจ เช่น ทำร้ายตัวเอง อันนี้ถือว่าเป็นโรคซึมเศร้าแล้วค่ะ ส่วนคนที่ยังไม่ถึงขนาดนั้น อาจจะแค่เครียด คือจะไม่รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไป ง่ายๆ เราลองเช็กตัวเองดูว่าเรามีอาการไหม เสิร์ชหาในกูเกิลได้เลยค่ะ ถ้ารู้ตัวทัน คุณไปหานักจิตวิทยา คุณไปคุยไปปรึกษาก่อน คุณก็จะไม่เป็นโรคนี้ เพราะโรคนี้ควรพบหมอ ถ้าเราไปปรึกษาคนอื่น คนอื่นอาจจะมีความคิดเห็นเยอะแยะมากมายไปหมด แต่มันอาจจะผิดก็ได้ อาจจะทำให้เราเป็นหนักขึ้น สู้เราไปหาคนที่รู้จริงไปเลยดีกว่า เขาจะช่วยเราได้มากขึ้น
• ส่วนตัวคุณ สาเหตุของโรคซึมเศร้ามาจากอะไร และเริ่มเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่
ส่วนหนึ่งมาจากเรื่องคุณแม่เลยค่ะ เพราะเราได้เห็นคุณแม่อยู่ตลอดเวลาว่าเขาป่วยยังไง มีอารมณ์แปรปรวนยังไง และญาติก็ไม่ได้ดูแลคุณแม่ ดูแลอยู่ห่างๆ แค่ไม่ให้คุณแม่ไปทำความเดือดร้อนให้คนอื่น แต่จอมจะอยู่กับคุณแม่มาโดยตลอด จอมจะรับทุกความคิด ทุกอารมณ์ของแม่ และตอนนั้น จอมไม่ได้เรียนหนังสือด้วย เพราะว่าแม่อาการหนักมาก จับจอมขังไว้ในบ้านเลย ไม่ให้ไปเรียน เขาจะสอนเอง เขาหวงมาก ตอนเด็กๆ จนอายุ 9 ขวบจอมก็จะไม่ได้เข้าสังคมเลย จะอยู่กับคุณแม่ตลอด เพิ่งจะได้มาเรียนก็เมื่อตอน 9 ขวบเองค่ะ เพราะว่าคุณแม่โดนจับเข้าโรงพยาบาลซึ่งนี่ก็เป็นแผลหนึ่งเลยนะคะ ชีวิตจอมพลิกเลยทุกอย่าง จากเด็กที่อยู่ในสวนกล้วยไม้ ไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรเลย อยู่ๆ คุณแม่โดนจับเข้าโรงพยาบาลไป
แต่เราก็สะสมความเครียดมาตลอด คืออะไรนิดๆ หน่อยๆ เราก็เครียดไปหมด แต่ไม่เคยไปหาหมอนะคะ จอมเริ่มไปหานักจิตวิทยาเมื่อตอนมัธยมต้นเพราะเราต้องหลอกพาคุณแม่ไปหาหมอ หมอยังบอกอยู่เลยว่าเราสุขภาพจิตดีมาก โอเคทุกอย่างเลย แต่ตอนนั้นก็มีบ้างเหมือนกันนะคะที่ทำร้ายตัวเอง เพียงแต่เป็นการทำร้ายตัวเองเพื่อเรียกร้องให้คุณแม่ทานยา เพราะจอมไม่รู้จะทำยังไง จอมพยายามหลอกคุณแม่ไปหาหมอ พอพาไปไม่ได้ พูดไม่ได้ ไม้อ่อนก็ไม่ได้ ไม้แข็งก็ไม่ได้ ขู่ก็ไม่ได้ จอมก็เลยทำร้ายตัวเองเลย เราเลือกที่จะทำร้ายตัวเองเพื่อที่จะให้คุณแม่ทานยา คือคุณแม่เป็นโรคประสาท จะไม่รู้ตัวว่าตัวเองป่วย ซึ่งถ้าคุณเป็นโรคซึมเศร้าแล้วคุณไม่รักษา อาจจะพัฒนาเป็นโรคประสาทได้ เพราะคุณแม่ก็จะเริ่มจากการเป็นโรคซึมเศร้าก่อนแล้วถึงเป็นโรคประสาทเหมือนกันค่ะ
• เริ่มมาป่วยเป็นโรคซึมเศร้าได้ยังไงคะ ทั้งๆ ที่ตอนแรกคุณหมอบอกว่าสุขภาพจิตเราดีมากอยู่เลย
จอมมาเริ่มมีอาการที่รู้ว่าตัวเองเป็นแน่ๆ ก็เมื่อช่วงปิดเทอมสองของมหาวิทยาลัยปีที่สอง ตอนนั้นเราเริ่มทำงานไม่ค่อยได้ แต่แรกๆ ยังไม่รู้ตัวนะคะ จนกระทั่งมาออกลายตอนปีสองเลย ต้องไปหานักจิตวิทยา แถมตอนนั้นแม่จอมอาการเริ่มหนักมากขึ้น เราก็เลยเครียดสะสมมากขึ้น รู้สึกว่าตัวเองเริ่มไม่ไหวแล้ว ก็เลยไปพบนักจิตวิทยาเลยค่ะ แต่ตอนแรกที่ไป ก็ปรึกษาเรื่องคุณแม่ก่อน ประมาณว่าเราจะจัดการความคิดยังไงดี ที่เรามาอยู่มหาวิทยาลัยแล้วทิ้งคุณแม่ไว้ที่บ้านคนเดียว คุณแม่ก็อาการแย่ลงเรื่อยๆ นักจิตวิทยาก็แนะนำให้เราไปพบจิตแพทย์เพื่อคุยเรื่องยา ตอนนั้นจอมยังไม่ป่วยนะคะ เรายังไปพบหมอเพื่อรักษาแม่อยู่ ยังปกติอยู่ แต่หลังจากนั้น พอเริ่มเห็นตัวเองทำงานไม่ได้ ซึ่งมันมาออกลายเอาช่วงปิดเทอมมหาวิทยาลัยปีสอง ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เรากดดันมากเรื่องงาน ไหนจะเรื่องของตัวเองอีก แถมคุณแม่ก็มาอาการหนักขึ้นมากอีก
จอมคิดเสมอนะคะว่าเราจะปล่อยปัญหานี้ไม่ได้นะ เราจะต้องเข้มแข็งนะ แต่คนที่เป็นโรคซึมเศร้าก็คือคนที่เข้มแข็งมากเกินไป ไม่ยอมขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง จอมไปหาหมอให้คุณแม่เอง ไปเอายามาเอง บังคับแม่ฉีดยาเอง ซึ่งเราก็ทำเองทั้งหมด ไม่ขอความช่วยเหลือจากใคร จอมเริ่มแย่ในช่วงที่ปิดเทอมพอดี อาการของจอมก็คือ เราเริ่มเที่ยวกลางคืน เริ่มหาอะไรมาเติมเต็ม แต่มันก็ไม่ได้ช่วยเลย ยิ่งเราดื่มแอลกอฮอล์เข้าไป ฮอร์โมนในสมองยิ่งแปรปรวน อีกอย่างการที่เราต้องลุกจากเตียงเป็นอะไรที่ลำบากมาก จอมค้นหาข้อมูลในกูเกิล ก็ชัดเลยว่าเราเป็นแล้วจริงๆ จอมก็เลยไปหาหมอ ปรากฏว่าเราก็เป็นโรคซึมเศร้าจริงๆ ตั้งแต่นั้นมาก็เริ่มทานยามาตลอดค่ะ
• เริ่มทานยาแล้วเป็นยังไงต่อคะ
ปรากฏว่าเรากลับเจอเอฟเฟกต์ของยา ทำให้จอมผอมลงอย่างรวดเร็วมาก ซึ่งยาที่จอมทานอยู่ มีผลกระทบต่อลำไส้ ทำให้อาเจียน ทานข้าวไม่ได้ ช่วงแรกแย่มากเลยนะคะ เราเริ่มรู้สึกว่าอาการเราแย่ลง อารมณ์แปรปรวนมากขึ้นเพราะว่ายาเข้าไปปรับฮอร์โมนในสมอง จอมเริ่มทำร้ายตัวเองมากขึ้น
จอมจะบอกว่าปัจจัยนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่รักษาในช่วงแรกเริ่มรู้สึกว่าอาการมันแย่ลง แต่ถ้าคุณผ่านช่วงนี้ไปได้ ทุกอย่างจะโอเค ตอนนั้นจอมถามหมอตรงๆ เลยนะคะว่าการทานยาโรคซึมเศร้าทำให้ทำร้ายตัวเองมากขึ้นในช่วงแรกจริงๆ ไหม ซึ่งหมอก็ตอบจอมกลับมาว่า ผลวิจัยออกมาเป็นแบบนั้น ผลข้างเคียงของยาทำให้ทำร้ายตัวเองมากขึ้นหรือเปล่า อันนี้เราก็ยังไม่ชัวร์ แต่ส่วนมากจะเป็นแบบนั้นค่ะ
• อยากย้อนถามถึงก่อนหน้าที่เป็นโรคซึมเศร้า เราใช้ชีวิตอย่างไรบ้างคะ
แฮปปี้ค่ะ ก็มีเพื่อนสนิทจบมัธยมปลายมาก็ได้เกรดเฉลี่ย 3.9 เป็นคนเรียนดี มีความสามารถพิเศษ สอบติดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ คะแนนก็ได้สูงในระดับของคณะ เข้ามาเรียนได้ปกติ ทำงานได้ปกติเลยค่ะ แต่พอมาเป็นโรคซึมเศร้า การใช้ชีวิตเราเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยค่ะ อีกอย่างตอนนั้นคุณแม่หายปกติแล้วด้วย
• คุณแม่หายแล้ว แต่เรามาเป็นต่อหรือคะ
ประมาณนั้นเลยค่ะ พอคุณแม่หายป่วย จอมก็มาคิดว่าเราไม่มีภาระอะไรแล้ว ไม่ต้องดูแลคุณแม่แล้ว มีแต่ต้องดูแลตัวเอง ทำความฝันของตัวเอง เพราะจอมไม่เคยมีชีวิตที่เป็นของตัวเองเลย แต่พอมาคิด ก็ไม่รู้ว่าจะต้องมีชีวิตต่อไปเพื่ออะไร คือเป็นปัญหาของคนเป็นโรคนี้มาก... ตอนแรกเราต้องดูแลคุณแม่ เรามีภาระ มีอะไรที่ต้องทำ แต่ตอนนี้หมดภาระจากคุณแม่แล้ว แถมเราก็ป่วยด้วย ก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อไปในชีวิตอีกแล้ว เหมือนไม่มีแรงจูงใจที่จะทำอะไรต่อไปอีกแล้ว มันไม่ชินแล้ว เหมือนเป็นชีวิตใหม่ ที่มีชีวิตเป็นของเราเองจริงๆ แต่ก่อน จอมให้คุณแม่สำคัญเป็นที่หนึ่ง แต่พอจอมป่วยเป็นโรคซึมเศร้าแล้ว เราต้องเป็นที่หนึ่ง ต้องรักตัวเองให้มากที่สุด แต่จอมคิดว่าเราไม่สามารถอยู่ไปได้อีกแล้ว แล้วพอหาคำตอบได้แล้วว่าตัวเองไม่สามารถทำอะไรได้ ครั้งสุดท้าย จอมเลยเลือกที่จะกินยาเข้าไป 70 เม็ด เพราะเราอยากจะปล่อยวางทุกอย่างแล้ว
• กินยาฆ่าตัวตาย?
ตอนนั้นเราคิดว่า เอาให้ชัวร์ๆ ไปเลย ไม่มีอะไรให้ทำแล้ว เราไม่กลัวที่จะต้องเสียชีวิตเลย ไม่อยากอยู่บนโลกนี้แล้ว... จอมหาข้อมูลจากในกูเกิล ส่วนใหญ่คนที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าก็มักจะไปอ่านประสบการณ์การทำร้ายตัวเองและเอามาใช้ สำหรับจอม ใช้เวลาไม่นานในการหาข้อมูลเลยนะคะ เอาจริงๆ จอมเป็นคนฉลาดนะ แต่ดันนำไปใช้ในทางที่ผิด ตอนนั้นเราเดินไปร้านขายยาเลยค่ะ บอกเขาว่าเราขอซื้อยาตัวนี้หน่อย เราจะซื้อไปให้คุณแม่ จอมไม่ขอเอ่ยชื่อยานะคะ แต่เป็นยาที่สามารถซื้อได้ในร้านขายยาได้ เภสัชฯ สามารถจ่ายให้ได้ แล้วถ้าเราอ้างเหตุผลที่ถูกต้อง เราจะซื้อได้ในจำนวนมาก คนที่เป็นโรคนี้จะซื้อยาพวกนี้สะสมไว้ จอมซื้อมาได้ 7 แผง แผงหนึ่งจะมี 10 เม็ด
พอได้ยามาแล้วเราก็ตัดสินใจทานยาไปเรื่อยๆ และระหว่างที่กิน เราจะทิ้งหลักฐานเรียบร้อย เพื่อจะไม่ให้คุณหมอรู้ เพราะว่าถ้าคุณหมอมาค้นกระเป๋า ถ้าเขาเห็นซองยา เขาจะรู้ทันทีว่าเราทานยาอะไรเข้าไป และเขาจะรักษาเราถูกวิธี จอมตั้งใจจะไม่บอก และจะให้อาการหนักมากก่อน ตอนนั้นที่กินยาไปครบเจ็ดสิบเม็ดแล้ว ชีวิตพังมากเลยนะคะ เริ่มมองอะไรไม่เห็น มือไม้สั่น เขียนหนังสือไม่ได้ ทานข้าวไม่ได้ สมองพังหมด เรารู้สึกได้ว่าเราแย่ชัวร์ เพราะอาการที่เราเขียนหนังสือไม่ได้ มันแย่มากแล้ว จอมเป็นคนใช้มือเขียนหนังสือบ่อยๆ อยู่แล้ว เลยนึกว่า การเขียนไม่ได้ วาดรูปไม่ได้ อาการมันเป็นแบบนี้นี่เอง การมองไม่เห็นมันเป็นแบบนี้นี่เอง อันนั้นเป็นความกลัวแวบแรก แต่ก็ยังไม่ได้อะไรมาก และคิดว่าตัวเองอาการหนักมากแล้ว เราเลยหามตัวเองไปห้องฉุกเฉินแล้วบอกกับคุณหมอว่า เราเป็นอะไรก็ไม่รู้
ตอนแรกคุณหมอฉีดยาแก้ปวดให้เพราะไม่รู้ว่าเราเป็นอะไร ซึ่งถ้าไม่มีพี่หมอที่เป็นนิสิตแพทย์เข้ามาคุยด้วย ถ้าเขาแค่มารักษาเฉยๆ จอมคงจะต้องเสียชีวิตไปแล้ว แต่การถาม การคุย ความใส่ใจจากพี่หมอ คืออารมณ์ความรู้สึกที่เป็นห่วงเราจริงๆ มันเป็นตัวดึงตัวสุดท้าย ทำให้เราบอกเขาไปว่าเราพยายามกินยาฆ่าตัวตาย จอมบอกเลยค่ะว่าเรากินยาตัวนี้มา และเราก็เงียบไปเลย สุดท้ายเราเห็นภาพตัวเองโดนล้างท้อง และต้องใส่เครื่องวัดหัวใจไว้ตลอดเวลา เพราะว่าคนอื่นที่เขาหัวใจล้มเหลว ก็เพราะเคยทำแบบนี้
• วินาทีที่ลืมตามา แล้วเห็นว่าตัวเองรอดชีวิต ตอนนั้นคิดยังไงบ้างคะ
คิดว่าเราจะไม่ตายแล้ว เพราะถ้าคนจะตาย คงต้องตายไปแล้วแหละ นี่ขนาดทานยาไปทั้งหมดเจ็ดสิบเม็ดยังไม่ตายเลย เราเลยรู้สึกเบื่อที่จะทำร้ายตัวเองแล้ว เบื่อที่จะอยากตายแล้ว เบื่อไปหมดแล้ว เรานอนอยู่ในห้องฉุกเฉิน คุณแม่ก็นั่งรถมาหา หมอนักจิตวิทยามากันเต็มไปหมดเลย จอมจะเป็นคนที่รู้จัก เพราะจอมเข้าห้องฉุกเฉินบ่อย
หลังจากนั้น จอมมานั่งถามตัวเองว่าจริงๆ แล้วตัวเองคิดยังไง จะกลับมาเรียนก็ไม่ทันแล้ว จอมขาดเรียนบ่อย จอมไม่ได้ทำร้ายตัวเองแค่ครั้งสองครั้งนะคะ แต่มันเจ็ดแปดครั้งไปแล้ว แต่ครั้งนี้จอมคิดว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้าย เพราะจอมมั่นใจว่าเราจะต้องตายแล้วแน่ๆ
• ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกของการฆ่าตัวตายด้วยเหรอคะ
ใช่ค่ะ คือเราจะหาข้อมูลจาก Google มาตลอดว่าเขาทำกันยังไงบ้าง Google นี่แหละตัวดีเลย จอมจะอ่านหมดเลยนะคะ อย่างยาแก้ปวดมันไม่ส่งผล มันแค่ทำให้ตับพัง กรีดข้อมือ จอมก็ลองมาแล้วหนึ่งครั้ง ที่ทำไปเพราะเรารู้สึกชอบในความเจ็บปวด ทำแล้วรู้สึกดีขึ้น หัวใจจะเต้นแปลกๆ แต่กรีดข้อมือ แผลเราสมานเร็วมาก มากจนเราคงไม่เป็นอะไรแล้วแหละ
อย่างยาล้างห้องน้ำ จอมจะไม่กินนะคะ เพราะถ้าไม่ตาย คุณจะพังแน่ๆ วิธีนี้เราก็ไม่เสี่ยงไม่ทำ เราจะรู้ว่าอะไรเสี่ยง ไม่เสี่ยง แต่เราใช้ความฉลาดในทางที่ผิดไง ก็เลยมีบ้างที่กินแค่แชมพูผสมครีมอาบน้ำ ก็โดนล้างท้องอีก โดนล้างท้องมา จนคุณหมอจำได้แล้ว ซึ่งในชีวิตเราล้างท้องมาประมาณ 4-5 รอบได้
• ก่อนหน้านั้นคนรอบข้างทราบหรือไม่ว่าเราเป็นโรคซึมเศร้า
ไม่ค่ะ ไม่มีใครทราบเลย ถึงตอนที่จอมเป็นอยู่ ก็ไม่มีใครทราบเลย จนจอมออกมาเปิดเผยตัวเองว่าเราเป็นโรคซึมเศร้า แล้วมียอดแชร์ในเฟซบุ๊กเป็นจำนวนมาก เลยทำให้หลายคนรู้ว่าจอมเป็นยังไง เพราะปกติ จอมก็จะยิ้มหัวเราะปกติเลย ส่วนมากคนที่เป็นก็จะแบบนี้ล่ะค่ะ จะดูแทบไม่ออกเลย ยกเว้นที่จะมาอยู่ใกล้ชิด ในสังคมการทำงานจริงๆ เราจะเห็นได้จากการงานเขาเริ่มแย่ลง อันนั้นคือจะเห็นได้ชัดเลย
• พอรู้แล้ว คนรอบข้างว่ายังไงบ้างคะ เรามีวิธีการอยู่ในสังคมอย่างไรบ้าง
คนที่สนิทและใกล้ตัวจอมมากๆ เขาก็จะมีลำบากใจนิดหน่อย อย่างเพื่อนในคณะ จอมก็บอกเขาไปตรงๆ เลยว่ามีอะไรก็พูดกัน กลัวหรือว่าอะไรก็ให้บอกกันตรงๆ เพราะยิ่งเขาไม่พูด เก็บเงียบ ผู้ป่วยจะคิดไปเอง จะยิ่งกังวลว่าคนอื่นจะต้องไม่ชอบแน่ๆ เราไม่มีค่าพอหรือเปล่า จะคิดไปต่างๆ นานา จอมคิดว่าการพูดตรงๆ จะดีกว่า แต่ผู้ป่วยเองก็ควรที่จะพูดตรงๆ ด้วยว่ารู้สึกยังไง เพื่อนบางคนเขาไม่รู้ว่าจะต้องคุยกับจอมยังไง เขาจะทวงงานจอมยังไง เขากลัวที่เวลาพูดออกมาแล้วจะทำให้แย่ลงหรือเปล่า ก็จะมีเพื่อนหลายคนที่ปลีกตัวออกไปบ้าง เราต้องเอาตัวเองไปเข้าหาคนอื่นด้วย ถ้ามัวแต่หลบอยู่ในห้องมืดๆ คุณคิดว่าใครจะช่วยคุณได้ และใครจะกล้าที่จะเดินเข้าไปช่วยคุณ คุณต้องเดินออกมาด้วย
• หลายคนที่เป็นโรคซึมเศร้าเขาจะปิดไม่ให้คนอื่นได้รู้ แล้วทำไมจอมถึงกล้าเปิดเผยว่าเราเป็นล่ะคะ
จอมอยากให้ความรู้เรื่องนี้มันกระจายออกไปมากขึ้น ไม่อยากให้ใครมาเสียเวลาในชีวิตต่อไป เราเหมือนเอาตัวเองเป็นกรณีตัวอย่าง เพราะจอมก็ได้เห็นจากคุณแม่มาแล้ว ถ้าความรู้แพร่หลายมาตั้งแต่ตอนคุณแม่จอมป่วย จอมมั่นใจว่าคุณแม่จะไม่ป่วยเป็นโรคประสาทแน่นอน มันมีเยอะมากนะคะคนที่เขาไม่กล้าเปิดเผยเพราะพ่อแม่บางคนเขาอาจจะเป็นห่วงอนาคตลูกว่าถ้ารู้ว่าเป็นโรคซึมเศร้าแล้ว ต่อไปถ้าไปทำงานอาจจะมีผลกระทบต่อการทำงาน บางครอบครัวยังมองโรคนี้ว่าเป็นคนบ้าอยู่ อย่างจอมเองก็เคยยกมือถามในงานเสวนาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนะคะว่า ถ้าจอมเปิดเผยว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้า จะดีไหม ควรทำไหม หมอเขาก็เตือนมาว่าอาจจะมีผลต่ออนาคต เวลาคุณสมัครงานนะ แต่ว่าถ้ารับไหวก็เปิดได้ ซึ่งหมอก็เป็นห่วง แต่ตัดสินใจว่าออกมาพูดดีกว่า ส่วนตัวจอมคิดว่าก็ไม่อยากจะให้ใครมาเปิดเผยว่าตัวเองป่วยเหมือนเรานะคะ เพราะแผลของใครก็แผลของมัน ไม่จำเป็นต้องโชว์แผลให้คนอื่นได้รับรู้ แต่จอมไม่อยากเห็นใครเสียชีวิตเพราะโรคนี้ จอมเลยไม่กลัวที่จะเปิดเผย
• หลายคนไม่กล้าเปิดเผยเพราะกลัวจะถูกสังคมมองว่าบ้า ตรงนี้คิดเห็นอย่างไร ส่วนตัวเคยโดนบ้างไหม
ไม่บ้าค่ะ (ตอบเร็ว) ถ้าบ้าคือคุณต้องไม่รู้ตัวเองว่าคุณเป็นอะไร คนที่เป็นโรคซึมเศร้าคือคนที่เข้มแข็งเกินไป คนที่เก็บปัญหาไว้กับตัวเองมากเกินไป การที่คุณเป็นโรคซึมเศร้าไม่ได้แปลว่าคุณเป็นคนบ้า คุณแค่เป็นคนที่ชอบทำอะไรด้วยตัวเองมากกว่า ไม่บ้าแน่นอนค่ะ คุณรู้ว่าตัวเองป่วย คุณพาตัวเองไปหาหมอได้ คือคุณเก่งนะ ไม่ใช่เล่นๆ เลยนะ
จริงๆ โรคซึมเศร้าไม่อันตรายกับคนอื่นนะคะ แต่อันตรายกับตัวเอง อาจจะอันตรายต่อคนอื่นในแง่ที่เราอาจจะส่งต่อแผลของเราไปให้คนอื่นโดยไม่รู้ตัว อย่างบางที จอมไปคุยกับเพื่อน และอยู่ๆ มาอีกวัน จอมทำร้ายตัวเองเข้าโรงพยาบาล เพื่อนก็อาจจะคิดว่า แย่แล้วเราไปทำอะไรให้เขาต้องเข้าโรงพยาบาลหรือเปล่า เพื่อนก็จะเก็บไปเครียด อันนี้คือส่งต่อแผลให้คนอื่น เขาจะคิดไปเองแหละ เวลาเราทักไปเรียกร้องความสนใจจากคนอื่น จากคนที่เขาอยากให้เรามาสนใจ ก็คืออาจจะเป็นการส่งต่อแผลให้เขา เวลาเราทำร้ายตัวเอง คนที่เขารักเรา เขาเสียใจไหม
• ถามถึงวิธีการรักษาหน่อยค่ะว่ามีวิธีการรักษาอย่างไรบ้าง
ตอนแรกที่ไปรักษา จอมก็เข้าไปหาจิตแพทย์เลยนะคะ คุณหมอก็จะมานั่งคุยกับเราเลยว่ามีปัญหาอะไรบ้าง เปิดใจคุยกับคุณหมอทุกอย่าง คุณหมอก็จะให้การบ้านมาทำ คุณหมอจะถามว่า ความรักคืออะไร สเปกผู้ชายเป็นยังไง อยากจะแต่งงานไหม ใครสำคัญที่สุด จัดลำดับชีวิต คือคิดยากมาก คุณหมอเขาจะค่อยๆ จัดระบบความคิด และให้เราคิดได้ด้วยตัวเอง เขาจะถาม จะแย้งเรา ประมาณว่าจริงหรือเปล่า ซึ่งยาที่เรากิน จะแค่รักษาสารเคมีในสมองเราได้ ถ้าเราไม่สามารถจัดการกับประเด็นที่ทำให้สารเคมีในสมองให้ดีได้ เราก็จะไม่หายจากโรคนี้ เราต้องจัดการกับปัญหาให้ถูกวิธี อะไรที่รู้ว่าจัดการไม่ได้ ก็ปล่อยทิ้งไป อย่าเก็บมาคิด อะไรที่ขอความช่วยเหลือได้ คุณควรขอ ไม่ใช่เก็บเอาไว้คิดเองคนเดียว
ทุกวันนี้ผ่านมาได้สี่เดือนเต็มที่จอมไม่ทำร้ายตัวเอง ตอนนี้จอมทานยาคุณหมออยู่ด้วยค่ะ การทานยาก็จะต้องทานประมาณหกเดือน ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป จะไปหักดิบเลยไม่ได้ เพราะมันเกี่ยวกับสารเคมีในสมอง ถ้าหยุดไปเลย ร่างกายก็จะเกิดการแปรปรวนได้ แต่บางครั้งจอมก็ยังมีความคิดที่จะทำร้ายตัวเองอยู่ จอมยังต้องปรับสมดุลระหว่างการทำตามหน้าที่กับทำเพื่อตัวเองไม่ค่อยได้ ยังต้องใช้เวลาต่อไปอีกหน่อย แต่เราก็ดีขึ้นแล้วนะคะ ดีจนคุณหมอชมเลยค่ะ (ยิ้ม)
โรคนี้สามารถรักษาหายขาดได้ ในบางกรณี ที่ไม่หายคือทานยาแล้วหยุดยาเอง คือไม่กล้าก้าวข้ามจุดแรกไป ประมาณว่าพอทานยาเข้าไปและรู้สึกว่าอาการดีขึ้นนิดนึงก็หยุดยาเองโดยที่คุณหมอไม่ได้สั่งก็จะไม่หาย แต่อย่างคุณแม่จอมที่หายได้เพราะทานยาตามคุณหมอสั่งค่ะ
• ตอนนี้มีความสุขมากขึ้นแล้วใช่ไหมคะ นอกจากการทานยาแล้วเราใช้วิธีอย่างอื่นบำบัดด้วยไหมคะ มีวิธีการคลายเครียดอย่างไรอีกบ้างคะ
ตอนนี้จอมมีชีวิตเป็นของตัวเอง เหมือนกับวัยรุ่นทั่วไปที่มีปัญหาเรื่องเรียนบ้าง คุยกับหนุ่มๆ แล้วเลิกกันบ้าง แต่ว่าเราก็ไม่ได้เครียดจนอยากจะซึมเศร้าอีกแล้ว เพราะจอมป่วยจะป่วยสุดจริงๆ ส่วนเวลาจอมหายแล้วคือจอมจะหายเลย ยอมรับว่าช่วงแรกการเรียนเสียไปแน่นอนค่ะ มันทำให้จอมเรียนแย่ลงจริงๆ เพราะว่าจอมเอาแต่ใจตัวเองมากขึ้น ถ้าจอมรู้ตัวว่าเครียดขึ้นมา จอมจะทิ้งทุกอย่างที่ทำอยู่ ณ ตอนนั้นเลย แล้วก็จะออกไปข้างนอก ไปหาเพื่อนบ้างค่ะ
จอมชอบคลายเครียดโดยวิธีการรับประทาน ซึ่งเป็นการคลายเครียดที่ดีที่สุด ดูซีรีส์บ้าง บางทีก็จะเอาตัวเองออกไปเจอสังคม ไปฟังการเสวนา ไปร่วมกิจกรรม แล้วก็เขียนหนังสือบ้าง จอมชอบเขียนเพราะจะได้ทบทวน ได้มองเห็นตัวเอง
• คิดว่าสังคมควรให้กำลังใจกลุ่มคนเหล่านี้อย่างไร มีคำไหนควรพูดและไม่ควรพูดกับผู้ป่วยโรคนี้บ้างไหมคะ
ที่ไม่ควรพูดคือคำว่าแกไหว แกทำได้ เราไม่ควรที่จะไปพูดคำเหล่านี้เพื่อกดดันเขา แค่เขาป่วย เขาก็รู้สึกไม่ไหวแล้ว บางคนมาบอกให้เราพักบ้าง บางคนมาบอกให้เราสู้ๆ บางทีฟังแล้วเรารู้สึกเหนื่อยค่ะ แต่ก็แล้วแต่ช่วงด้วยนะคะ ถ้าเป็นช่วงที่หนักๆ ถ้ามีใครมาบอกว่าจอมสู้ๆ นะ คือเราจะไม่อยากสู้เลย
แต่ที่จอมฟังแล้วรู้สึกดี ส่วนมากเขาจะไม่ค่อยพูดอะไรมาก เขาจะฟังแล้วอยู่ข้างๆ เรา จะรู้สึกได้ด้วยตัวเองว่า เขาจะอยู่ตรงนั้นแหละ ไม่ว่าเราจะเป็นยังไง เขาจะไม่ตัดสินจอมว่าจอมเป็นอะไร ไม่ต้องมาพูดเยอะ ไม่ต้องมากดดัน ไม่ต้องมาแนะนำวิธีแก้ไขปัญหาให้ เพราะบางทีคนที่มาแนะนำอาจจะแนะนำผิดก็ได้ ให้เขาได้พบผู้รู้ดีกว่า แล้วตัวคุณเองก็ควรที่จะต้องไปพบนักจิตวิทยาเพื่อให้เขาแนะนำดีกว่า อย่างเพื่อนจอมสนิทมากที่คบกันมาเป็นสิบปี เขาก็รู้ว่าจอมป่วย แต่เขาก็พูดอะไรไม่ได้ เขาจะปล่อยให้จอมคิดได้ด้วยตัวเอง
• ในฐานะที่เราเคยเป็นโรคนี้มาก่อน เราอยากให้สติหรือพูดให้กำลังใจคนที่เป็นเช่นเดียวกันกับเราอย่างไรบ้าง
จอมอยากบอกว่าคุณไม่ได้อยู่คนเดียวนะ มีเพื่อนเป็นเยอะแยะ เราเข้าใจนะ เราเคยผ่านจุดนี้มา เราเคยทำมาเหมือนคุณ ไม่เป็นไรนะ และมันก็จะผ่านไป ทุกวันนี้ก็มีคนเข้ามาปรึกษาเรานะคะ อย่างถ้าเป็นแต่ก่อนช่วงที่ยังไม่ได้แชร์ลงในในโซเชียล เราก็มีรวมกลุ่มคนที่เป็นโรคซึมเศร้าในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งจอมเปิดตัวว่าจอมเป็นโรคซึมเศร้ามาตั้งนานแล้ว คนอื่นก็เริ่มมีทักเข้ามาปรึกษา ให้เราพาไปพบจิตวิทยาหน่อย ก็มีคนรู้จักเรามากขึ้นเรื่อยๆ เราเหมือนได้แชร์ประสบการณ์ ได้พูดคุยกันว่าคุณใช้ชีวิตยังไง คุณเปิดเผยไหม ซึ่งก็มีอีกหลายๆ คนที่ไม่เปิดเผย คือเราคุยกับคนที่เป็นเหมือนกับเรา เราจะรู้สึกว่าเราโอเคกว่า เราก็รู้ว่าเขาเข้าใจเรา
Profile ชื่อ สกุล : จอมเทียน จันสมรัก ชื่อเล่น : จอม วันเกิด : 9 กุมภาพันธ์ 1994 อายุ : 22 ปี การศึกษา : คณะครุศาสตร์ เอกศิลปศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คติประจำใจ : time and tide wait for no man |
เรื่อง : วรัญญา งามขำ และ สุนิสา ศรีสุข
ภาพ : วชิร สายจำปา