สาวสวยน่ารักนักวาดภาพประกอบ “พริม-ศุภศรา” เจ้าของภาพวาดเก๋ไก๋ด้วยไอเดียสร้างสรรค์ที่เข้าตาแบรนด์แฟชั่นชั้นนำ ไล่ตั้งแต่ La Mer, Clinique, klaire, Lancome, Jo Malone และ DVF พูดได้ว่านาทีนี้ฝีมือในด้านศิลปะของเธอนั้น กำลังพีคมากๆ!
จากเด็กหญิงที่ชอบศิลปะ เติบโตมากับการวาดภาพ รักงานด้านนี้เป็นชีวิตจิตใจ ถึงขนาดที่ว่า เมื่อวันเวลาแห่งมหาวิทยาลัยใกล้เข้ามา เธอถึงกับแอบพ่อแม่ไปสอบเข้าสายศิลป์ ก่อนจะสอบติดได้อันดับหนึ่ง และจากนั้น ความผูกพันในงานศิลปะก็ยิ่งเพิ่มทวีคูณ ก่อนจบออกมาเป็นคนวาดภาพประกอบซึ่งมีผลงานโดดเด่นที่สุดคนหนึ่งของยุคนี้...“พริม-ศุภศรา หงส์ลดารมภ์”
• จุดเริ่มต้นนักวาดภาพประกอบ
พริมเรียนจบคณะมัณฑนศิลป์ เอกนิเทศศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากรมาค่ะ ซึ่งนิเทศศิลป์จะเป็นการเรียนเรื่องการออกแบบเพื่อการสื่อสาร อย่างเช่น การทำภาพยนตร์ ทำโฆษณา หรือทำหนังสือประมาณนี้ค่ะ ส่วนตัวพริมก็ชอบศิลปะอยู่แล้ว และพอชอบ เราก็เลยไปสอบและไปเรียนคณะนี้ดูเพื่อที่เราจะได้หาตัวตนว่าจริงๆ แล้วเราชอบอะไรมากที่สุด เพราะว่านิเทศศิลป์จะเป็นการเรียนเหมือนรวมออกแบบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นโลโก้ ลายผ้าหรืออะไรต่างๆ ได้หมดเลยค่ะ
• รู้ว่าตัวเองเริ่มชอบศิลปะตั้งแต่เมื่อไหร่
ศิลปะเหมือนติดตัวพริมมาตั้งแต่เด็กๆ เลยนะคะ พริมชอบวาดรูป อย่างเวลามีการบ้าน แทนที่เราจะทำการบ้าน แต่เรากลับไปวาดรูปแต่งสมุดการบ้านให้สวยก่อน เพราะเราชอบ พริมวาดรูปทุกวัน ตอนมัธยมก็เลยจะมีการรับทำงานฟรี อย่างเพื่อนๆ เวลามีวิชาศิลปะก็จะส่งมาให้พริมทำ เราก็วาดให้ เพราะเราชอบและมีความสุข
จริงๆ พริมเรียนมัธยมปลายสายวิทย์-คณิตมานะคะ เรียนตามครอบครัวซึ่งก็เหมือนครอบครัวทั่วไปที่อยากให้ลูกๆ เป็นหมอ ทำงานบัญชีหรืออะไรก็ได้ที่ไม่ใช่สายศิลปะ เพราะตอนนั้นทางบ้านเขายังไม่เชื่อว่าศิลปะจะใช้ทำอะไรได้ ทีนี้ พอเรียนมัธยมปลายใกล้จะจบเราก็เลยมาขอคุณแม่ว่าลองไปสอบสายที่เราชอบนั่นก็คือศิลปะ ซึ่งพอไปสอบก็โชคดีที่ได้ที่ 1 มา ซึ่งการที่เราสอบได้ที่ 1 จะได้สิทธิลดค่าเทอม คุณแม่ก็เลยโอเค เพราะไหนๆ เราก็สอบได้แล้ว ท่านก็เลยให้ลองเรียนดู จะชอบหรือไม่ชอบยังไงก็ค่อยว่ากันทีหลัง ซึ่งพอเราเรียนไปเรื่อยๆ เห็นปรากฏการณ์หลายอย่างเกี่ยวกับศิลปะ อย่างเช่น คนเดี๋ยวนี้ที่ดังๆ จะไม่ใช่ผู้ที่มีอิทธิพล นักการเมืองหรืออะไรพวกนี้แล้ว จะเริ่มมีผู้นำแฟชั่น ผู้นำการออกแบบ เหมือนเป็นเทรนด์เซตเตอร์อะไรประมาณนั้นค่ะ คุณแม่ก็จะเริ่มเห็นด้วยกับเรามากขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป
คุณแม่พริมเป็นคนที่น่ารักมากเลยนะคะ ท่านจะค่อยๆ เกลี้ยกล่อม เพราะคุณแม่จะให้เราไปทางไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ศิลปะซึ่งเขาจะมีวิธีพูดให้เบาๆ ไม่รุนแรง ว่าลูกไม่สนใจเรียนหมอเหรอ ไม่สนใจเรียนคณะนั้นเหรอ คณะนี้เหรอ ไปเป็นทูตไหม ไปเป็นแอร์โฮสเตสไหม แม่รู้จักคนที่เขาประสบความสำเร็จในสายอาชีพแบบนี้ ซึ่งเราก็สนใจนะคะเพราะเราก็เรียนสายวิทย์-คณิต แต่ก็แอบไปสอบศิลปะอยู่ดี พอสอบได้คุณแม่ก็สนับสนุน ทุ่มให้กับเราเต็มที่ อย่างตอนนี้พริมเรียนจบแล้ว ทำงานแล้ว คุณแม่ก็จะมานั่งคุยด้วยเวลาที่พริมทำงานซึ่งพริมชอบทำงานในห้องครัว คุณแม่ก็จะมาพูดกับพริมเปรยๆ ว่าแม่แอบไปดูมาแล้ว แม่อยากจะทำสตูดิโอให้ลูก คือคุณแม่จะฝันไกลกว่าพริมไปแล้วค่ะตอนนี้ (หัวเราะ)
• พอเรียนจบแล้วเราไปอยู่ในเส้นสายวาดภาพประกอบได้อย่างไรคะ อยู่ในวงการนี้มานานแล้วหรือยัง
พริมอยู่ในวงการนักวาดภาพประกอบมา 1 ปีครึ่งค่ะ เริ่มจากมีรุ่นพี่คนหนึ่งมาชวนให้พริมไปวาดรูปให้กับนิตยสารเล่มหนึ่งเป็นนิตยสารรายปักษ์ ออกเดือนละสองเล่ม จึงค่อนข้างมีงานถี่หน่อย พอทำงานถี่ๆ ปุ๊บ เราก็เลยเอางานที่เราทำมาลงในโซเชียลมีเดีย ต้องบอกเลยว่าเดี๋ยวนี้โซเชียลมีเดียมันทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น พอเราเอางานมาทยอยอัปลงสม่ำเสมอ คนก็จะเริ่มเข้ามาติดตาม มาเห็นผลงานเราค่ะ
• เห็นว่าตอนนี้เป็นนักวาดประกอบอิสระหรือ Illustrator Freelance ใช่ไหมคะ อาชีพตรงนี้หลักๆ แล้วทำงานยังไงบ้าง
มันเริ่มจากตอนที่เราทำให้กับนิตยสารแห่งหนึ่ง ระหว่างที่มีเวลาว่าง พริมก็จะพรีเซนต์ตัวเองด้วยการไปวาดรูปตามตลาดนัด ที่เลือกตลาดนัดเพราะคนค่อนข้างเยอะ พริมเลยไปเปิดบูทวาดภาพพอร์เทรต เพราะพริมคิดว่าการวาดภาพแบบนี้จะทำให้สามารถเข้าถึงคนได้ง่ายที่สุด เพราะใครๆ ก็อยากเห็นว่าหน้าตาตัวเองจะเป็นยังไงในภาพวาด เราไปทำแบบนี้ เราก็จะอาศัยฝากนามบัตรไปด้วย นั่นก็คือวิธีที่พริมจะเข้าหาคนหมู่มากค่ะ (ยิ้ม) บวกกับเวลาที่เราไปเจองานอะไรที่เรารู้สึกว่าเป็นงานที่ดี น่าทำ เราก็จะเสนอตัวไปให้เขา เอานามบัตรไปให้ ประมาณว่าเราสนใจร่วมงานกับเขามากเลย รบกวนเขาเข้าไปดูผลงานเราซึ่งเราจะอัปไว้ทางอินสตาแกรมประจำอยู่แล้ว อะไรประมาณนี้ค่ะ ก็จะมีทั้งได้งานบ้าง ไม่ได้บ้าง (ยิ้ม)
• เป็นฟรีแลนซ์แล้วไม่อยากทำงานประจำบ้างเหรอคะ
พอพริมเรียนจบมหาวิทยาลัย พริมก็รู้สึกว่าเราจะเอาดีทางด้านนี้แล้วไม่ว่าจะเป็นอะไร ขอให้เราได้ทำไปก่อน คือพริมจะยังไม่มีโจทย์ตั้งเซตไว้แบบแข็งแรง แต่ว่าพริมจะเป็นคนที่ไม่ปฏิเสธโอกาสที่เข้ามา เพราะพริมเชื่อว่าโอกาสทุกอย่างจะพาเราไปสู่ความสำเร็จได้
แต่ก่อนที่จะมาเป็นฟรีแลนซ์ พริมเคยทำงานประจำมาก่อนนะคะ เป็นนิตยสารอีกหัวหนึ่ง แต่ไปทำประจำก็ไม่พ้นเรื่องกราฟิก เรื่องภาพประกอบ แต่งานประจำ พริมว่ามันไม่ตอบโจทย์ ไม่อิสระ เราอยากจะทำให้มันสวยกว่านี้ แต่นายจ้างก็จะบอกว่าทำแค่นี้แหละพอแล้ว คือนอกจากจะไม่เป็นตัวเองแล้วมันก็เหมือนกับว่าเขาไม่ได้ตั้งใจขนาดนั้น เขาไม่ได้ทุ่มเทให้มันซึ่งอาจจะเป็นที่ที่พริมไปแล้วอาจจะไปไม่ถูกที่ด้วยมั้งคะ แต่ว่าพริมรู้สึกถึงความฉาบฉวยแล้วเราไม่สามารถที่จะไปฉาบฉวยกับเขาได้ เพราะเราอยากให้มันมีคุณภาพกว่านี้ เราอยากให้มันจริงกว่านี้ เราก็เลยคิดว่าเราออกมาจากตรงนั้นดีกว่า เพราะว่าก็ต้องยอมรับนะคะว่าสังคมการทำงาน บางทีก็เพื่อให้ตรงเป้าเฉยๆ ไม่ได้มีฉีกให้เกิดของใหม่ขึ้นมา อารมณ์เหมือนออกนอกกรอบไม่ได้ มันจะมีกรอบจำกัดเราอยู่
พริมจะบอกว่ารับงานประจำเป็นสิ่งที่ดีนะ แต่ว่าการทำงานประจำ ต่อให้เราพยายามจะครีเอทีฟแค่ไหน บางทีผู้ใหญ่เขาก็จะขอไว้ให้เราทำแค่นี้พอ เพราะมันไม่ขาย คือพูดง่ายๆ ว่าเราต้องทำงานส่งผู้ใหญ่มากกว่าที่จะเป็นตัวของตัวเอง เราเป็นตัวของตัวเองไม่ได้ แล้วพอเราออกมาเป็นฟรีแลนซ์ เริ่มมีจุดยืนชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ลูกค้าก็จะเห็นงานของเราเอง สุดท้ายลูกค้านั่นแหละที่จะเป็นคนเข้ามาหาเรา สิ่งที่พริมหวังไว้มาตลอดก็คือเราจะวาดอะไรก็ได้แต่ขอให้มันเป็นตัวเรา อันนี้คือจุดสูงสุดในการทำงาน พริมเลยเลือกที่จะมาเป็นฟรีแลนซ์ เพราะมันคือความเป็นเราค่ะ (ยิ้ม)
ส่วนตัวพริมค่อนข้างที่จะรักอิสระนะคะ คือกดดันได้ จู้จี้ได้แต่ว่าเราอยากเห็นคนที่พร้อมจะโตไปด้วยกัน พร้อมจะพัฒนาไปเรื่อยๆ ไม่มีวันจบมากกว่า จริงๆ พูดถึงคำว่ากดดันนี่เป็นสิ่งที่ดีมากเลยนะคะ ยิ่งกดดันเท่าไหร่ ยิ่งทำงานได้ดี พริมรู้สึกอย่างนี้นะคะ
• จากที่เริ่มต้นสร้างตัวตน มีอุปสรรคบ้างไหมคะ อย่างขายผลงานไม่ได้ ไม่มีคนจ้างอะไรประมาณนี้
มีนะคะแต่เราต้องปรับตัวให้ได้ ถ้าเกิดเรารู้ว่าแบบนี้มันไม่ขาย เราก็จะลองแบบอื่นไปเรื่อยๆ อย่างที่พริมบอกว่าตอนแรก พริมไปตลาดนัดไปวาดพอร์เทรต บางคนอาจจะคิดว่าพอร์เทรตคือเอาดินสอค่อยๆ วาดให้เงาเหมือนเป๊ะ ถึงจะสวย ครั้งแรกพริมก็ทำแบบนั้นนะคะ แต่เรารู้สึกไม่สนุก ครั้งที่สองเลยทำแบบสนุก พอเราทำแบบสนุกปุ๊บ มันไม่ขาย ครั้งที่สาม เราเลยต้องทำให้สนุกด้วยแล้วให้เหมือนด้วย พอมันเริ่มได้ปุ๊บ เราต้องคิดแล้วว่าเราจะทำให้ต่างจากคนอื่นยังไง เปลี่ยนเป็นสีชอล์ก เปลี่ยนสีไม้หรือสีอะคริลิกไหม เปลี่ยนทุกอย่างใส่กรอบ ใส่ถุง ใส่กล่อง แต่งบูทยังไง คือเราจะพัฒนาไปเรื่อยๆ เราจะอาศัยวิธีสังเกตจากสิ่งที่เราผ่านมาประมาณนั้นค่ะ ซึ่งต้องยอมรับจริงๆ ว่าบางทีมันก็ไม่ขาย เราต้องเอาตรงนั้นมาเพื่อพัฒนาตัวเองต่อไป
แต่พริมไม่กลัวเลยนะคะว่าจะไม่มีคนจ้าง เพราะแค่เราทำงานแล้วได้ความสุขกลับมา มันก็แทนเงินได้แล้วนะ หลายคนอาจจะบอกว่าเงินสามารถซื้อความสุขได้ แต่ถ้าเราได้ความสุขเลยโดยไม่ต้องมีตัวแปร สมมติเพื่อนแต่งนิยายอยู่ อยากได้ปก เราวาดให้เขา แล้วเขามีความสุข แล้วงานนั้นได้ออกไปตีพิมพ์ เราได้เห็นงานเราออกวางขาย อยู่บนชั้นหนังสือ ต่อให้มันจะเป็น Best Seller หรือไม่ก็ตาม แค่นั้นเราก็พอใจแล้ว แล้วเราคิดว่าเราจะเป็นอย่างนี้ต่อไปได้เรื่อยๆ นะคะ เพราะมันคือความสุข
• ตอนนี้มีผลงานอะไรบ้างคะ
งานภาพประกอบจริงๆ แล้วเป็นงานที่กว้างมากเลยนะคะ สามารถตอบโจทย์ได้ทุกสิ่งทุกอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็น Packaging ตกแต่งร้าน หรือจะทำอะไรเป็นของขวัญให้คนในวันเกิด วันแต่งงาน ได้หมดทุกอย่างเลย ที่พริมทำตอนนี้ที่เป็นแบรนด์ก็มีเยอะนะคะ เป็นเครื่องสำอางซะส่วนมาก เช่น La Mer, Clinique, klaire, Lancôme, Nylon Magazine, WE Magazine, นิตยสารชีวิจิต, น้ำหอม Jo Malone เสื้อผ้าอย่าง DVF ผ้าพันคอที่เคยทำให้จิม ทอมป์สัน และหลายแบรนด์
• ถ้าจะจ้างพริมวาดภาพชิ้นหนึ่งนี่แพงไหมคะ
จริงๆ ตรงนี้จะแล้วแต่โจทย์นะคะ ถ้าเป็นโจทย์ที่ให้เราวาดแค่โคคาโคลาแต่ขึ้นบิลบอร์ดรอบโลก มันก็คงจะไม่ใช่ราคาเดียวกับวาดภาพเหมือนเพื่อจะเอาไปให้ป้าข้างบ้าน อันนี้จะคนละราคาค่ะ ต้องแล้วแต่โจทย์ แล้วแต่เนื้องานนั้นๆ
ถามว่ามีคนจ้างเข้ามาเยอะไหม ก็มีคนจ้างเข้ามาเยอะเหมือนกันนะคะ สมมติว่าเพื่อนอยากได้ปกหนังสือ หรือมีใครจะแต่งงาน หรืองานวันเกิด พริมก็จะวาดให้ ทุกอย่างที่วาดก็จะไม่ซ้ำเดิมเลยนะคะ เราจะคิดเทคนิคแปลกๆ ใหม่ๆ มาลองตลอด เหมือนว่าเราจะใช้โอกาสตรงนี้มาเป็นข้ออ้างในการลอง ในการเล่นสนุก
• มีผลงานเยอะแบบนี้ ปลื้มกับผลงานชิ้นไหนมากที่สุด
ต้องพูดว่าพริมเป็นคนที่ไม่มีอะไรตายตัวเลยนะคะ ผลงานที่พริมปลื้มมากๆ งานนี้เป็นงานที่คุณแม่โทร.มาคุยกับพริมทางโทรศัพท์จากระยะไกล จากต่างจังหวัด ระหว่างที่เราคุยโทรศัพท์กับคุณแม่ไปด้วย อีกมือหนึ่งเราก็วาดรูปเล่นไปเรื่อยๆ พอวาดรูปเสร็จก็ได้ออกมาเป็นผู้หญิงหลายคนมากเลย ปรากฏว่าเออ มันสวยดี เราเลยเอาไปลงในอินสตาแกรม ตอนนั้นสวยหรือไม่สวยในสายตาคนอื่นก็ไม่รู้นะคะ แต่รู้แค่ว่าเราชอบ เราก็อัปลงไปเป็นเซตเลยนะคะ มีอยู่ 5 คน เราก็เอาไปปลื้มของเรา ตอนนั้นยังไม่มีใครสนใจเท่าไหร่ สักพักหนึ่งก็มีแบรนด์เสื้อผ้าแบรนด์หนึ่งติดต่อเข้ามา ซึ่งอันนี้เป็นแบรนด์ลายผ้าลายแรกในชีวิตเลยนะคะ เขามาขอซื้อภาพวาดเล่นของเราไปทำลายผ้าเพื่อเอาไปทำเป็นแจ็กเกตหนังของเขา เราดีใจมากเลยนะคะ แทบจะให้ฟรีเลยด้วยซ้ำ มันดีใจมากที่มีคนมาสนใจสิ่งที่เราวาดเล่น มันเป็นแค่การวาดเล่นตอนคุยโทรศัพท์ด้วยซ้ำ แต่มีคนเห็นค่าภาพเหล่านี้ขนาดนั้นเลย งานนี้เลยเป็นงานที่พริมภูมิใจมากที่สุดเลยค่ะ (ยิ้ม)
• แล้วมีผลงานชิ้นไหนบ้างไหมที่ทำให้เราหัวเสียหรือท้อจนไม่อยากวาดภาพแล้วบ้างไหมคะ หรือเรามีวิธีรับมือกับการคิดงานไม่ออกอย่างไร
ไม่มีงานที่ทำให้พริมท้อได้เลยนะคะ แต่อาจจะมีเหมือนกันที่เราทำงานกับลูกค้าแล้วลูกค้าบอกไม่โอเคเลยสักอย่าง เราเครียดมากนะ แต่พริมจะเป็นคนที่เชื่อว่าการพูดคุยกันดีที่สุดแล้ว เราก็เป็นคนที่ค่อนข้างจะอะลุ้มอล่วยเหมือนกัน เราก็จะแก้โดยการเอางานไปให้ดูถึงที่เลย นั่งแก้ นั่งคุยกันตรงนั้นไปเลย ให้ทั้งเขาและเราโอเค ไม่มีงานไหนที่จบงานแบบหัวเสียเลยนะคะ เพราะทุกงานเราทำเพื่ออยากจะให้งานออกมาดีที่สุดอยู่แล้ว
พริมมีคิดงานไม่ออกนะคะ ซึ่งถ้าเราคิดงานไม่ออกจริงๆ พริมมีอันหนึ่งที่อยากจะแนะนำให้ทำมากเลย มันคือการหลับตาวาดรูป คำว่าหลับตาวาดรูปของพริมอาจจะเป็นประมาณว่าเราไปทำงานฟรีก็ได้ เรารับงานใหญ่นี่โอเค เรามีเวลา แต่เราคิดงานไม่ออก งั้นมีใครแถวนี้อยากได้อะไรไหม เราทำให้ฟรีเลย เพราะว่าเราเครียดมาจากเรื่องนี้ แล้วเราก็ไปทำฟรีนะ เพราะเราทำฟรีแล้วเรารู้สึกสนุก เรารู้สึกไม่กดดันแล้วพอมันเป็นอย่างนั้นปุ๊บ มันมักจะได้อะไรที่ดีๆ ออกมา แล้วเราก็จะใช้สิ่งที่เราเรียนรู้จากโปรเจกต์เล็กๆ อย่างโปรเจกต์ฟรีพวกนี้กลับไปทำงานใหญ่ๆ ได้ค่ะ (ยิ้ม)
ส่วนใหญ่พริมจะวาดรูปทุกวันนะคะ จะมีบ้างที่อาจจะหยุดวาดบ้างเพราะเราจะหาความสมดุลให้กับตัวเอง อย่างเช่นอยากกลับไปทำอะไรที่เครียดๆ บ้างก็มี เพราะพริมคิดว่าก่อนที่เราจะมีความคิดสร้างสรรค์เราต้องอยู่ในสถานการณ์ที่เครียดๆ หรือน่าเบื่อมาก่อน เคยสังเกตไหมคะว่าเวลาที่เรานั่งห้องน้ำนานๆ มันจะมีอารมณ์ที่เราสามารถคิดอะไรได้เรื่อยเปื่อยมาก หรืออย่างเรานั่งบนรถเมล์ เราก็จะได้ไอเดียจากการนั่งรถเมล์ จากการเข้าห้องส้วมอะไรพวกนี้แหละค่ะ การที่เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในอะไรที่น่าเบื่อกว่า จะทำให้ความคิดสร้างสรรค์เราออกมาได้
• มาถึงจุดนี้แล้วคิดว่าการวาดรูปเป็นพรสวรรค์ของตัวเองไหมคะ
ต้องบอกว่ามันมาพร้อมกับพรแสวงนะคะ คือจะบอกว่าเราไม่ได้เรียนพิเศษเลยจริงๆ ก็คงไม่ขนาดนั้น เพราะว่าทุกๆ วันเราจะฝึกวาดรูปเองอยู่แล้ว เวลาที่พริมไปไหนมาไหน อย่างขึ้นรถไฟฟ้า พริมจะดูทุกๆ อย่างอยู่แล้ว เหมือนกับว่ามันฝังเข้าไปในใจเราแล้วว่า เราเข้าร้านนี้ เราเลือกร้านนี้เพราะอะไร เราชอบแบบนี้ เพราะเขาแต่งร้านไม่เหมือนที่อื่น หรือว่าเวลาเราเห็นโฆษณา เอ๊ย เขาทำแบบนี้แล้วเราอยากซื้อของชิ้นนี้เพราะอะไร เราจะคิดแบบนั้นมาโดยตลอดว่าทำไมเขาถึงทำแบบนั้นแบบนี้ แล้วอีกอย่าง งานโฆษณาเป็นงานที่ผ่านมาเยอะ กว่าจะออกมาพิมพ์บนนิตยสารหรือว่าพิมพ์อยู่ในรถไฟฟ้าได้ มันต้องผ่านสายตาผู้หลักผู้ใหญ่มาแล้วไม่รู้กี่คน ดังนั้น งานที่โชว์อยู่ทุกวันนี้คืองานที่โดนขัดเกลามาแล้ว เราอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เราเรียนรู้ตัวเองได้ตลอด
พริมจะเป็นคนที่ชอบสังเกตมาก เวลาเห็นอะไร ในใจก็จะคิดตามว่ามันดีเพราะอะไร อีกมุมเราก็จะมีติด้วยว่าถ้ามันไม่ดีล่ะ มันไม่ดีเพราะอะไร เราเจอโฆษณาตัวนี้อะไรที่จะทำให้มันดีกว่านี้ในสายตาเรา แล้วเราก็จะลองคุยกับเพื่อนดูว่าประมาณนี้ เราว่ามันน่าจะดีขึ้นกว่าเดิมนะ เธอคิดว่ายังไง ก็จะแลกเปลี่ยนความรู้ไปกับเพื่อนอยู่ตลอดค่ะ
จะบอกว่าศิลปะสามารถหาความรู้และสังเกตได้จากรอบๆ ตัว จะในโซเชียลก็ได้เพราะก็มีศิลปินหลายคนที่เขาเอางานตัวเองมาลง หรือรอบตัวเราก็ได้ พริมก็จะคอยสังเกตจากตรงนั้น มันได้ทุกอย่าง ทั้งต้นไม้ ดอกไม้ หรือจะอะไรมันเป็นศิลปะได้ มันเป็นแรงบันดาลใจให้เราได้หมด เราเริ่มสนใจการทดลองอื่นๆ อย่างเราวาดแล้วพับกระดาษคลี่ออกมามันเละ มันเป็นยังไง มันจะทำอะไรได้บ้าง จากตรงไหนอะไรทำนองนี้ค่ะ จะไม่ใช่แค่ดินสอกับปากกาแค่เพียงอย่างเดียว แต่มันคือการทำน้ำหกใส่ กระดาษยับอะไรพวกนี้ก็สามารถเอามาใช้ได้ ตอนนี้ก็กำลังสนใจในเรื่องพวกนี้อยู่เหมือนกันค่ะ
• ถามถึงสไตล์การวาดภาพและเทคนิคที่ใช้ประจำหน่อยค่ะว่าเอกลักษณ์ของเราเป็นอย่างไร
พริมจะอิงคำว่า Happy Accident ค่ะ อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ความเป๊ะ พริมไม่ต้องการความเป๊ะ ซึ่งสีที่สามารถตอบโจทย์ได้มากที่สุดก็คือสีน้ำ เพราะว่าสีน้ำถ้าเคยได้ลองเล่นดูแล้วจะรู้เลยว่ามันคุมยาก พอเราหยดสีไป บางทีมันก็แตกลาย บางทีก็ผสมกันมั่วนิ่ม มันวิ่งเละ ไม่เหมือนสีอะคริลิก คอมพิวเตอร์กราฟิกหรือสีไม้ให้เราคุมน้ำหนักได้ พริมชอบความพลิ้ว ดูแล้วสบายตา ดังนั้น ความสนุกมันอยู่ที่เราคุมมันไม่ได้ พอเราจิ้มไปแล้ว มันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เราก็จะจินตนาการต่อว่ามันจะเป็นยังไง อะไรก็ได้ที่ดูแล้วเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องเกร็งมาก
เรื่องสีสัน พริมจะชอบสีแนวดอกไม้ สีหวานๆ แต่จะไม่ใช่หวานขนมนะคะ จะชอบเป็นหวานธรรมชาติมากกว่า พริมชอบโทนสีหวานๆ แต่เราไม่ใช่คนหวานนะคะ เราจะเป็นคนที่ชอบสีสันเยอะๆ มากกว่า แต่พริมก็ไม่ถนัดทางสายดาร์ก ไม่ชอบอะไรที่เป็นความตาย (หัวเราะ)
ตอนนี้พริมกำลังทดลองอะไรอย่างอื่นอยู่ด้วย อย่างเช่น สีสเปรย์ จะชอบอะไรก็ได้ที่มันคุมยากๆ พริมว่ามันสนุกดี ซึ่งเทคนิคสีน้ำ พริมจะใช้เป็นประจำนะคะ แล้วก็จะมีทดลองอะไรไปเรื่อยๆ เพราะสีน้ำคนก็จะใช้เยอะ เวิร์กชอปก็มีเยอะ ซึ่งพริมคิดว่าคนสามารถเรียนรู้สีน้ำได้ แต่อยู่ที่ว่าเราจะประยุกต์ใช้กับมันยังไงมากกว่า
ส่วนแรงบันดาลใจในการวาดรูปพริมได้มาจากทุกอย่างเลยนะคะ แรงบันดาลใจหลักๆ ของพริมเลยคือวันที่เราตื่นขึ้นมาแล้วเรารู้สึกสงบ สมองปลอดโปร่ง มันคือการที่เราจัดการกับทุกอย่างรอบๆ ตัวของเราได้ บางคนอาจจะมีแรงบันดาลใจคือการไปเที่ยว ไปต่างประเทศ แต่พริมรู้สึกว่าแรงบันดาลใจมันเกิดขึ้นได้ง่ายกว่านั้นเยอะมาก เช่น ตื่นมา ผ้าซักแล้วพับเรียบร้อย หรือส่งงานได้ตามเวลา บ้านสะอาดสะอ้านเรียบร้อย ตื่นมาเราก็รู้สึกดีแล้วนะคะ หรือมีน้ำผลไม้สักแก้ว แดดส่องถึงโต๊ะทำงาน แค่นี้คือพริมก็สามารถทำงานได้แล้วนะคะ และพริมจะชอบความรู้สึกสะอาด ถ้าเกิดจะใช้เครื่องเขียนอะไรสักอย่างหรือจะใช้คอมพิวเตอร์ พริมจะซื้อสีขาวหมดเลย เหมือนกับว่าจะได้ปล่อยพื้นที่ให้เราจินตนาการต่อได้ตลอดเวลา คือเราต้องการความสะอาด ความคลีน (ยิ้ม)
• ชื่นชอบศิลปะขนาดนี้ ไม่ทราบว่าให้นิยามกับคำว่าศิลปะอย่างไรบ้างคะ
ศิลปะคือสิ่งที่ทำให้โลกนี้น่าอยู่เพราะศิลปะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นมา อย่างจะกินข้าวทั้งที จานก็ต้องจัดให้สวยงาม นั่นคือศิลปะ แม้กระทั่งกับเรื่องกินที่เป็นปัจจัยหลักหรือบนธนบัตร บนเงิน การใช้เงินก็ต้องมีศิลปะบนแบงก์ บนเหรียญ ทุกอย่าง เสื้อผ้าก็ต้องมีศิลปะ พริมว่ามันจำเป็นกับชีวิตประจำวันนะคะ เพราะถ้าไม่มีศิลปะ โลกนี้คงไม่น่าอยู่ ส่วนตัวพริมขาดศิลปะไม่ได้แน่ๆ ค่ะ
• แล้วในฐานะที่เป็นศิลปินคนหนึ่งมองวงการศิลปะในประเทศไทยยังไงบ้างคะ
พริมคิดว่าเป็นวงการที่น่าจับตามากเลยนะคะ ตอนนี้จะไม่ได้แข่งกันอยู่ในประเทศแล้ว เพราะพริมเชื่อว่าอีกไม่นาน ศิลปะไทยจะได้ออกไปข้างนอก พูดถึง street art ตอนนี้ก็ดังมากนะคะ อย่างที่ผ่านมา งาน “บุกรุก” ซึ่งเป็นงานที่นำกราฟฟิตีจากทั่วโลกมาไว้ในประเทศเรา ซึ่งพริมว่าอีกไม่นานของเราก็จะได้ไปต่างประเทศเหมือนกัน รวมถึงงานศิลปะทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นแฟชั่นต่างๆ อย่างแบรนด์ Kloset Milin ศิลปะมันก็คือการออกแบบทั้งหมดอาจจะมีไฟน์อาร์ตเข้าไปผสมอยู่ในนั้นก็ได้ ซึ่งของไทย พริมว่าน่าจับตามองมาก รวมถึงในตลาดโลกด้วย
• แล้วมุมมองต่ออาชีพนักวาดภาพประกอบฟรีแลนซ์ล่ะคะ
ถ้าอยากทำอาชีพนี้เราต้องเชื่อในสิ่งที่เรารัก พอเราทำในสิ่งที่เรารักปุ๊บ คนก็จะเห็นในสิ่งที่เราเป็น แล้วเขาก็จะเริ่มจ้างเรา จากสิ่งที่เรารัก เพราะสิ่งที่เรารักคือสิ่งที่เราทำออกมาได้ดีที่สุด ซึ่งพริมจะเชื่อแบบนั้นมาโดยตลอดนะคะ อีกอย่าง การแบ่งเวลาช่วยพัฒนาตัวเอง เพราะว่าถ้าเกิดเราแบ่งเวลาดี เราจะสามารถรับงานเท่าไหร่ก็ได้ (ยิ้ม) พริมเชื่อว่าฟรีแลนซ์ทุกคนเป็นคนแบบไหน ไม่อย่างนั้น เขาก็คงทำงานประจำไปแล้ว แต่คนที่อยากจะไปให้ไกลกว่านั้น โดยที่ไม่มีอะไรมากั้น ก็คือออกมาเป็นฟรีแลนซ์แล้วพัฒนาตัวเองทุกวัน ซึ่งพริมเชื่อว่าคนที่เป็นฟรีแลนซ์มีข้อนี้อยู่แล้ว และสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพื่อปากเพื่อท้องเลยก็คือเราต้องเป็นคนขยันและรับผิดชอบด้วย ซึ่งถ้าเกิดเราทำอะไรผิด เราต้องรับได้ว่าเราทำผิดนะ แล้วเราจะแก้ให้เขาได้ยังไง
• สมัยก่อนมีหลายคนมองคนทำงานในวงการศิลปะว่า “ไส้แห้ง” แล้วสมัยนี้มันหมดยุคไปแล้วหรือยังคะ
สมัยนี้ไม่จริงแล้วนะคะ หลักเลยต้องขอบคุณคนเจเนอเรชันนี้ด้วยนะ เพราะแต่ก่อนจะเป็นช่วงที่คนสนใจในวิชาการมากกว่า อย่างหมอ วิศวะ หรืออะไรต่างๆ ซึ่งศิลปะเขาอาจจะไม่กล้าที่จะเล่นสนุกมาก แต่สมัยนี้ พอศิลปะมันกลายเป็นเรื่องสนุก มันเปิดกว้างขึ้น มันเลยดีกว่า
• จะว่าไปแล้วเราได้อะไรจากศิลปะบ้าง คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง
พริมได้ความสุข ได้เห็นว่าศิลปะทำอะไรได้เยอะมากจากตอนแรกที่เราเองก็แอบดูถูกงานศิลปะเหมือนกัน ตอนแรกๆ พริมคิดว่าศิลปะมันทำอะไรไม่ได้หรอก ก็เชื่อแบบนั้นมาตลอด ไหนจะโดนคุณแม่หรือโดนทุกคนปลูกฝังมาตอนแรกๆ พอเราได้เข้ามาทำงานตรงนี้ ได้มาทำจริงๆ เรารู้ว่าศิลปะมันช่วยทุกอย่าง ทั้งช่วยเยียวยาจิตใจ ช่วยนู่นนี่นั่นสารพัด มันเป็นยิ่งกว่าเงินนะคะ อย่างสมมติเปรียบงานศิลปะกับทอง คือทองจะมีราคาเดียว แต่งานศิลปะชิ้นหนึ่ง ถ้ารูปโมนาลิซ่ารูปหนึ่ง คนไม่ได้ชอบ ขายกี่บาท ให้ฟรีก็ไม่เอา ถ้าเขาไม่ชอบ แต่ถ้ามีคนชอบมากๆ ต่อให้มีเงินแค่ไหนก็ซื้อไม่ได้แล้วนะคะ ภาพโมนาลิซ่าเนี่ย มันไม่เหมือนทองที่จะราคาเดียวตลอด พริมรู้สึกว่าศิลปะมันยังมีราคาในตัวมันเองที่น่าเหลือเชื่อมากๆ คือถ้าเกิดเราพรีเซนต์มันถูก เรามีทาร์เก็ตกรุ๊ปที่ถูกต้อง มันตอบโจทย์กันและกัน มันมีค่ามหาศาลเลยนะคะ (ยิ้ม)
ส่วนเรื่องความสำเร็จ..ทุกวันนี้พริมยังไม่คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จนะ เพราะเรายังเล็กๆ อยู่เลย ยังมีอะไรให้ทำอีกเยอะ ถ้าประสบความสำเร็จจริงๆ คงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง แต่ว่าตอนนี้เรายังคงไม่ถึงตรงนั้น ทุกวันนี้ก็อยากจะทำงานไปเรื่อยๆ มากกว่า ยังไม่อยากประสบความสำเร็จเลยเพราะจะได้ไม่พอ จะได้ทำต่อไปเรื่อยๆ ปล่อยให้เรื่องความสำเร็จเป็นเรื่องรองไป แล้วเรามาทำทุกวันนี้ให้ดีดีกว่า พริมไม่เชื่อว่าชื่อเสียงจะอยู่ได้นาน แต่พริมเชื่อว่าคุณภาพของงานสำคัญกว่า (ยิ้ม)
• ถ้ามีคนสนใจอยากจะทำงานเป็นฟรีแลนซ์เหมือนกับเราจะแนะนำเขาอย่างไรบ้างคะ
ทำเลยค่ะ เริ่มเลย ยิ่งเริ่มเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี อย่างพริมรู้ตัวช้าไปตั้งสี่ปี พริมเรียนศิลปะก็จริง เรียนนิเทศศิลป์มาก็จริง แต่ว่าระหว่างนั้นพริมไม่ได้วาดรูปเล่นเลย พริมเข้าไปแล้วพริมได้ที่ 1 ด้วยความบังเอิญ แล้วก็เรียนทุกอย่างทั้งๆ ที่เราก็ไม่เคยเชื่อมาก่อนว่าวาดรูปแล้วมันได้เงิน พริมก็จะไปเรียนอะไรก็ไม่รู้ที่ไม่ใช่พริม อย่างเช่น ทำโฆษณา ไปเรียนถ่ายภาพ ไปเรียนทำฟอนต์ ลงโปรแกรมอะไรพวกนี้ซึ่งมันไม่ใช่ ซึ่งพริมรู้สึกว่าตัวเองเริ่มช้าไป 4 ปี แต่เป็น 4 ปีที่ดีนะคะ เพราะมันทำให้เราเรียนรู้ว่าอย่างอื่นมันไม่ใช่ แต่ถ้าเกิดมีใครคนไหนที่รู้ตัวเองว่าชอบแล้วให้เริ่มได้เลย ไม่ต้องกลัว เพราะสิ่งที่เรารักยังไงก็ไม่ตาย อีกอย่างต้องมีพรแสวงด้วยค่ะ เพราะมันเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
พูดจริงๆ พริมเคยดูถูกอาชีพตัวเองมากๆ เพราะเราไม่เชื่อว่าการวาดรูปจะเอามาประยุกต์อะไรได้มาก เพราะเราเคยอ่านหนังสือการ์ตูนขายหัวเราะ ศิลปินมุกแต่ละมุกคือไส้แห้ง กินข้าวกับรูปปลาทูตลอด เราก็เลยคิดว่ามันคงทำอะไรไม่ได้มาก สุดท้ายแล้วต้องโชคดีจริงๆ ถึงได้เป็นไปแบบอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี แต่เราไม่ปฏิเสธโอกาส เราถึงได้รู้ว่าจริงๆ แล้วศิลปะมันทำได้ทุกอย่าง
• วางแผนอนาคตของตัวเองไว้ว่าอย่างไรบ้าง
จริงๆ พริมอยากเอามาทำเป็นแบรนด์ของตัวเองเหมือนกันนะคะ พริมจะชอบเรื่องความสวยความงาม คือถ้าเกิดไม่ใช่อะไรที่เป็นแฟชั่น พริมก็คงจะเปิดร้านดอกไม้ค่ะ ซึ่งพริมคิดว่าดอกไม้ก็เป็นอะไรที่ละเอียดอ่อนเหมือนกัน มันมีเรื่องราวที่เราจะสามารถนำไปมอบให้คนอื่นๆ ได้ มันสามารถทำให้คนอื่นมีความสุขได้เหมือนศิลปะ หรืออย่างแบรนด์ของแต่งบ้านที่เกิดจากงานศิลปะ ก็เป็นธุรกิจที่น่าสนใจเหมือนกัน เพราะประเทศไทยเรา งานฝีมือเยอะแยะมาก ถ้าเกิดเราเอามาประยุกต์อีกนิดหนึ่งที่เกี่ยวกับไฟน์อาร์ต ก็น่าสนใจไม่น้อย
3 เทคนิคการเป็นฟรีแลนซ์ให้ดีสไตล์พริม primiita
1.ใจรัก
ถ้าใจรักจะทำได้ทุกอย่าง พริมเชื่อว่าถ้าเกิดทุกคนทำได้ถ้าทำในสิ่งที่รัก อย่างถ้าเรารักที่จะปิ้งลูกชิ้นปิ้งวันหนึ่งจะต้องอร่อยแน่นอน ซึ่งวาดรูปก็เหมือนกันวาดบ่อยๆ ฝึกบ่อยๆ ก็จะสวยเอง
2.ต้องกระหายตลอดเวลา
นอกจากใจรักแล้วเราต้องไม่พอ ไม่ใช่ว่าลูกชิ้นปิ้งอันนี้อร่อยแล้วพอแล้ว มันต้องมีอีกพัฒนาอีกเรื่อยๆ มันต้องมีลูกชิ้นปิ้งไส้ชีส ไส้นู่นนี่นั่นหรืออะไรก็ไม่รู้ เราต้องคิดไปเรื่อยๆ
3.ต้องขยันและรับผิดชอบ
อาชีพนี้ต้องขยันและรับผิดชอบค่ะ ซึ่งบางทีอาจจะต้องขยันมากกว่าอาชีพอื่นด้วยนะคะเพราะว่าเราไม่ได้มีงานประจำ ไม่มีเจ้านาย ดังนั้นอาชีพเราจะสำเร็จได้เราต้องขยัน เราต้องคุมตัวเองให้อยู่ซึ่งถ้าเรามีสามข้อนี้ไม่มีทางที่จะทำไม่ได้ เราต้องเดินไกลกว่าที่คิดไว้แน่นอน
ผลงานของ primiita
เรื่อง : วรัญญา งามขำ
ภาพ : วรวิทย์ พานิชนันท์ และ อินสตาแกรม primiita
จากเด็กหญิงที่ชอบศิลปะ เติบโตมากับการวาดภาพ รักงานด้านนี้เป็นชีวิตจิตใจ ถึงขนาดที่ว่า เมื่อวันเวลาแห่งมหาวิทยาลัยใกล้เข้ามา เธอถึงกับแอบพ่อแม่ไปสอบเข้าสายศิลป์ ก่อนจะสอบติดได้อันดับหนึ่ง และจากนั้น ความผูกพันในงานศิลปะก็ยิ่งเพิ่มทวีคูณ ก่อนจบออกมาเป็นคนวาดภาพประกอบซึ่งมีผลงานโดดเด่นที่สุดคนหนึ่งของยุคนี้...“พริม-ศุภศรา หงส์ลดารมภ์”
• จุดเริ่มต้นนักวาดภาพประกอบ
พริมเรียนจบคณะมัณฑนศิลป์ เอกนิเทศศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากรมาค่ะ ซึ่งนิเทศศิลป์จะเป็นการเรียนเรื่องการออกแบบเพื่อการสื่อสาร อย่างเช่น การทำภาพยนตร์ ทำโฆษณา หรือทำหนังสือประมาณนี้ค่ะ ส่วนตัวพริมก็ชอบศิลปะอยู่แล้ว และพอชอบ เราก็เลยไปสอบและไปเรียนคณะนี้ดูเพื่อที่เราจะได้หาตัวตนว่าจริงๆ แล้วเราชอบอะไรมากที่สุด เพราะว่านิเทศศิลป์จะเป็นการเรียนเหมือนรวมออกแบบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นโลโก้ ลายผ้าหรืออะไรต่างๆ ได้หมดเลยค่ะ
• รู้ว่าตัวเองเริ่มชอบศิลปะตั้งแต่เมื่อไหร่
ศิลปะเหมือนติดตัวพริมมาตั้งแต่เด็กๆ เลยนะคะ พริมชอบวาดรูป อย่างเวลามีการบ้าน แทนที่เราจะทำการบ้าน แต่เรากลับไปวาดรูปแต่งสมุดการบ้านให้สวยก่อน เพราะเราชอบ พริมวาดรูปทุกวัน ตอนมัธยมก็เลยจะมีการรับทำงานฟรี อย่างเพื่อนๆ เวลามีวิชาศิลปะก็จะส่งมาให้พริมทำ เราก็วาดให้ เพราะเราชอบและมีความสุข
จริงๆ พริมเรียนมัธยมปลายสายวิทย์-คณิตมานะคะ เรียนตามครอบครัวซึ่งก็เหมือนครอบครัวทั่วไปที่อยากให้ลูกๆ เป็นหมอ ทำงานบัญชีหรืออะไรก็ได้ที่ไม่ใช่สายศิลปะ เพราะตอนนั้นทางบ้านเขายังไม่เชื่อว่าศิลปะจะใช้ทำอะไรได้ ทีนี้ พอเรียนมัธยมปลายใกล้จะจบเราก็เลยมาขอคุณแม่ว่าลองไปสอบสายที่เราชอบนั่นก็คือศิลปะ ซึ่งพอไปสอบก็โชคดีที่ได้ที่ 1 มา ซึ่งการที่เราสอบได้ที่ 1 จะได้สิทธิลดค่าเทอม คุณแม่ก็เลยโอเค เพราะไหนๆ เราก็สอบได้แล้ว ท่านก็เลยให้ลองเรียนดู จะชอบหรือไม่ชอบยังไงก็ค่อยว่ากันทีหลัง ซึ่งพอเราเรียนไปเรื่อยๆ เห็นปรากฏการณ์หลายอย่างเกี่ยวกับศิลปะ อย่างเช่น คนเดี๋ยวนี้ที่ดังๆ จะไม่ใช่ผู้ที่มีอิทธิพล นักการเมืองหรืออะไรพวกนี้แล้ว จะเริ่มมีผู้นำแฟชั่น ผู้นำการออกแบบ เหมือนเป็นเทรนด์เซตเตอร์อะไรประมาณนั้นค่ะ คุณแม่ก็จะเริ่มเห็นด้วยกับเรามากขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป
คุณแม่พริมเป็นคนที่น่ารักมากเลยนะคะ ท่านจะค่อยๆ เกลี้ยกล่อม เพราะคุณแม่จะให้เราไปทางไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ศิลปะซึ่งเขาจะมีวิธีพูดให้เบาๆ ไม่รุนแรง ว่าลูกไม่สนใจเรียนหมอเหรอ ไม่สนใจเรียนคณะนั้นเหรอ คณะนี้เหรอ ไปเป็นทูตไหม ไปเป็นแอร์โฮสเตสไหม แม่รู้จักคนที่เขาประสบความสำเร็จในสายอาชีพแบบนี้ ซึ่งเราก็สนใจนะคะเพราะเราก็เรียนสายวิทย์-คณิต แต่ก็แอบไปสอบศิลปะอยู่ดี พอสอบได้คุณแม่ก็สนับสนุน ทุ่มให้กับเราเต็มที่ อย่างตอนนี้พริมเรียนจบแล้ว ทำงานแล้ว คุณแม่ก็จะมานั่งคุยด้วยเวลาที่พริมทำงานซึ่งพริมชอบทำงานในห้องครัว คุณแม่ก็จะมาพูดกับพริมเปรยๆ ว่าแม่แอบไปดูมาแล้ว แม่อยากจะทำสตูดิโอให้ลูก คือคุณแม่จะฝันไกลกว่าพริมไปแล้วค่ะตอนนี้ (หัวเราะ)
• พอเรียนจบแล้วเราไปอยู่ในเส้นสายวาดภาพประกอบได้อย่างไรคะ อยู่ในวงการนี้มานานแล้วหรือยัง
พริมอยู่ในวงการนักวาดภาพประกอบมา 1 ปีครึ่งค่ะ เริ่มจากมีรุ่นพี่คนหนึ่งมาชวนให้พริมไปวาดรูปให้กับนิตยสารเล่มหนึ่งเป็นนิตยสารรายปักษ์ ออกเดือนละสองเล่ม จึงค่อนข้างมีงานถี่หน่อย พอทำงานถี่ๆ ปุ๊บ เราก็เลยเอางานที่เราทำมาลงในโซเชียลมีเดีย ต้องบอกเลยว่าเดี๋ยวนี้โซเชียลมีเดียมันทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น พอเราเอางานมาทยอยอัปลงสม่ำเสมอ คนก็จะเริ่มเข้ามาติดตาม มาเห็นผลงานเราค่ะ
• เห็นว่าตอนนี้เป็นนักวาดประกอบอิสระหรือ Illustrator Freelance ใช่ไหมคะ อาชีพตรงนี้หลักๆ แล้วทำงานยังไงบ้าง
มันเริ่มจากตอนที่เราทำให้กับนิตยสารแห่งหนึ่ง ระหว่างที่มีเวลาว่าง พริมก็จะพรีเซนต์ตัวเองด้วยการไปวาดรูปตามตลาดนัด ที่เลือกตลาดนัดเพราะคนค่อนข้างเยอะ พริมเลยไปเปิดบูทวาดภาพพอร์เทรต เพราะพริมคิดว่าการวาดภาพแบบนี้จะทำให้สามารถเข้าถึงคนได้ง่ายที่สุด เพราะใครๆ ก็อยากเห็นว่าหน้าตาตัวเองจะเป็นยังไงในภาพวาด เราไปทำแบบนี้ เราก็จะอาศัยฝากนามบัตรไปด้วย นั่นก็คือวิธีที่พริมจะเข้าหาคนหมู่มากค่ะ (ยิ้ม) บวกกับเวลาที่เราไปเจองานอะไรที่เรารู้สึกว่าเป็นงานที่ดี น่าทำ เราก็จะเสนอตัวไปให้เขา เอานามบัตรไปให้ ประมาณว่าเราสนใจร่วมงานกับเขามากเลย รบกวนเขาเข้าไปดูผลงานเราซึ่งเราจะอัปไว้ทางอินสตาแกรมประจำอยู่แล้ว อะไรประมาณนี้ค่ะ ก็จะมีทั้งได้งานบ้าง ไม่ได้บ้าง (ยิ้ม)
• เป็นฟรีแลนซ์แล้วไม่อยากทำงานประจำบ้างเหรอคะ
พอพริมเรียนจบมหาวิทยาลัย พริมก็รู้สึกว่าเราจะเอาดีทางด้านนี้แล้วไม่ว่าจะเป็นอะไร ขอให้เราได้ทำไปก่อน คือพริมจะยังไม่มีโจทย์ตั้งเซตไว้แบบแข็งแรง แต่ว่าพริมจะเป็นคนที่ไม่ปฏิเสธโอกาสที่เข้ามา เพราะพริมเชื่อว่าโอกาสทุกอย่างจะพาเราไปสู่ความสำเร็จได้
แต่ก่อนที่จะมาเป็นฟรีแลนซ์ พริมเคยทำงานประจำมาก่อนนะคะ เป็นนิตยสารอีกหัวหนึ่ง แต่ไปทำประจำก็ไม่พ้นเรื่องกราฟิก เรื่องภาพประกอบ แต่งานประจำ พริมว่ามันไม่ตอบโจทย์ ไม่อิสระ เราอยากจะทำให้มันสวยกว่านี้ แต่นายจ้างก็จะบอกว่าทำแค่นี้แหละพอแล้ว คือนอกจากจะไม่เป็นตัวเองแล้วมันก็เหมือนกับว่าเขาไม่ได้ตั้งใจขนาดนั้น เขาไม่ได้ทุ่มเทให้มันซึ่งอาจจะเป็นที่ที่พริมไปแล้วอาจจะไปไม่ถูกที่ด้วยมั้งคะ แต่ว่าพริมรู้สึกถึงความฉาบฉวยแล้วเราไม่สามารถที่จะไปฉาบฉวยกับเขาได้ เพราะเราอยากให้มันมีคุณภาพกว่านี้ เราอยากให้มันจริงกว่านี้ เราก็เลยคิดว่าเราออกมาจากตรงนั้นดีกว่า เพราะว่าก็ต้องยอมรับนะคะว่าสังคมการทำงาน บางทีก็เพื่อให้ตรงเป้าเฉยๆ ไม่ได้มีฉีกให้เกิดของใหม่ขึ้นมา อารมณ์เหมือนออกนอกกรอบไม่ได้ มันจะมีกรอบจำกัดเราอยู่
พริมจะบอกว่ารับงานประจำเป็นสิ่งที่ดีนะ แต่ว่าการทำงานประจำ ต่อให้เราพยายามจะครีเอทีฟแค่ไหน บางทีผู้ใหญ่เขาก็จะขอไว้ให้เราทำแค่นี้พอ เพราะมันไม่ขาย คือพูดง่ายๆ ว่าเราต้องทำงานส่งผู้ใหญ่มากกว่าที่จะเป็นตัวของตัวเอง เราเป็นตัวของตัวเองไม่ได้ แล้วพอเราออกมาเป็นฟรีแลนซ์ เริ่มมีจุดยืนชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ลูกค้าก็จะเห็นงานของเราเอง สุดท้ายลูกค้านั่นแหละที่จะเป็นคนเข้ามาหาเรา สิ่งที่พริมหวังไว้มาตลอดก็คือเราจะวาดอะไรก็ได้แต่ขอให้มันเป็นตัวเรา อันนี้คือจุดสูงสุดในการทำงาน พริมเลยเลือกที่จะมาเป็นฟรีแลนซ์ เพราะมันคือความเป็นเราค่ะ (ยิ้ม)
ส่วนตัวพริมค่อนข้างที่จะรักอิสระนะคะ คือกดดันได้ จู้จี้ได้แต่ว่าเราอยากเห็นคนที่พร้อมจะโตไปด้วยกัน พร้อมจะพัฒนาไปเรื่อยๆ ไม่มีวันจบมากกว่า จริงๆ พูดถึงคำว่ากดดันนี่เป็นสิ่งที่ดีมากเลยนะคะ ยิ่งกดดันเท่าไหร่ ยิ่งทำงานได้ดี พริมรู้สึกอย่างนี้นะคะ
• จากที่เริ่มต้นสร้างตัวตน มีอุปสรรคบ้างไหมคะ อย่างขายผลงานไม่ได้ ไม่มีคนจ้างอะไรประมาณนี้
มีนะคะแต่เราต้องปรับตัวให้ได้ ถ้าเกิดเรารู้ว่าแบบนี้มันไม่ขาย เราก็จะลองแบบอื่นไปเรื่อยๆ อย่างที่พริมบอกว่าตอนแรก พริมไปตลาดนัดไปวาดพอร์เทรต บางคนอาจจะคิดว่าพอร์เทรตคือเอาดินสอค่อยๆ วาดให้เงาเหมือนเป๊ะ ถึงจะสวย ครั้งแรกพริมก็ทำแบบนั้นนะคะ แต่เรารู้สึกไม่สนุก ครั้งที่สองเลยทำแบบสนุก พอเราทำแบบสนุกปุ๊บ มันไม่ขาย ครั้งที่สาม เราเลยต้องทำให้สนุกด้วยแล้วให้เหมือนด้วย พอมันเริ่มได้ปุ๊บ เราต้องคิดแล้วว่าเราจะทำให้ต่างจากคนอื่นยังไง เปลี่ยนเป็นสีชอล์ก เปลี่ยนสีไม้หรือสีอะคริลิกไหม เปลี่ยนทุกอย่างใส่กรอบ ใส่ถุง ใส่กล่อง แต่งบูทยังไง คือเราจะพัฒนาไปเรื่อยๆ เราจะอาศัยวิธีสังเกตจากสิ่งที่เราผ่านมาประมาณนั้นค่ะ ซึ่งต้องยอมรับจริงๆ ว่าบางทีมันก็ไม่ขาย เราต้องเอาตรงนั้นมาเพื่อพัฒนาตัวเองต่อไป
แต่พริมไม่กลัวเลยนะคะว่าจะไม่มีคนจ้าง เพราะแค่เราทำงานแล้วได้ความสุขกลับมา มันก็แทนเงินได้แล้วนะ หลายคนอาจจะบอกว่าเงินสามารถซื้อความสุขได้ แต่ถ้าเราได้ความสุขเลยโดยไม่ต้องมีตัวแปร สมมติเพื่อนแต่งนิยายอยู่ อยากได้ปก เราวาดให้เขา แล้วเขามีความสุข แล้วงานนั้นได้ออกไปตีพิมพ์ เราได้เห็นงานเราออกวางขาย อยู่บนชั้นหนังสือ ต่อให้มันจะเป็น Best Seller หรือไม่ก็ตาม แค่นั้นเราก็พอใจแล้ว แล้วเราคิดว่าเราจะเป็นอย่างนี้ต่อไปได้เรื่อยๆ นะคะ เพราะมันคือความสุข
• ตอนนี้มีผลงานอะไรบ้างคะ
งานภาพประกอบจริงๆ แล้วเป็นงานที่กว้างมากเลยนะคะ สามารถตอบโจทย์ได้ทุกสิ่งทุกอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็น Packaging ตกแต่งร้าน หรือจะทำอะไรเป็นของขวัญให้คนในวันเกิด วันแต่งงาน ได้หมดทุกอย่างเลย ที่พริมทำตอนนี้ที่เป็นแบรนด์ก็มีเยอะนะคะ เป็นเครื่องสำอางซะส่วนมาก เช่น La Mer, Clinique, klaire, Lancôme, Nylon Magazine, WE Magazine, นิตยสารชีวิจิต, น้ำหอม Jo Malone เสื้อผ้าอย่าง DVF ผ้าพันคอที่เคยทำให้จิม ทอมป์สัน และหลายแบรนด์
• ถ้าจะจ้างพริมวาดภาพชิ้นหนึ่งนี่แพงไหมคะ
จริงๆ ตรงนี้จะแล้วแต่โจทย์นะคะ ถ้าเป็นโจทย์ที่ให้เราวาดแค่โคคาโคลาแต่ขึ้นบิลบอร์ดรอบโลก มันก็คงจะไม่ใช่ราคาเดียวกับวาดภาพเหมือนเพื่อจะเอาไปให้ป้าข้างบ้าน อันนี้จะคนละราคาค่ะ ต้องแล้วแต่โจทย์ แล้วแต่เนื้องานนั้นๆ
ถามว่ามีคนจ้างเข้ามาเยอะไหม ก็มีคนจ้างเข้ามาเยอะเหมือนกันนะคะ สมมติว่าเพื่อนอยากได้ปกหนังสือ หรือมีใครจะแต่งงาน หรืองานวันเกิด พริมก็จะวาดให้ ทุกอย่างที่วาดก็จะไม่ซ้ำเดิมเลยนะคะ เราจะคิดเทคนิคแปลกๆ ใหม่ๆ มาลองตลอด เหมือนว่าเราจะใช้โอกาสตรงนี้มาเป็นข้ออ้างในการลอง ในการเล่นสนุก
• มีผลงานเยอะแบบนี้ ปลื้มกับผลงานชิ้นไหนมากที่สุด
ต้องพูดว่าพริมเป็นคนที่ไม่มีอะไรตายตัวเลยนะคะ ผลงานที่พริมปลื้มมากๆ งานนี้เป็นงานที่คุณแม่โทร.มาคุยกับพริมทางโทรศัพท์จากระยะไกล จากต่างจังหวัด ระหว่างที่เราคุยโทรศัพท์กับคุณแม่ไปด้วย อีกมือหนึ่งเราก็วาดรูปเล่นไปเรื่อยๆ พอวาดรูปเสร็จก็ได้ออกมาเป็นผู้หญิงหลายคนมากเลย ปรากฏว่าเออ มันสวยดี เราเลยเอาไปลงในอินสตาแกรม ตอนนั้นสวยหรือไม่สวยในสายตาคนอื่นก็ไม่รู้นะคะ แต่รู้แค่ว่าเราชอบ เราก็อัปลงไปเป็นเซตเลยนะคะ มีอยู่ 5 คน เราก็เอาไปปลื้มของเรา ตอนนั้นยังไม่มีใครสนใจเท่าไหร่ สักพักหนึ่งก็มีแบรนด์เสื้อผ้าแบรนด์หนึ่งติดต่อเข้ามา ซึ่งอันนี้เป็นแบรนด์ลายผ้าลายแรกในชีวิตเลยนะคะ เขามาขอซื้อภาพวาดเล่นของเราไปทำลายผ้าเพื่อเอาไปทำเป็นแจ็กเกตหนังของเขา เราดีใจมากเลยนะคะ แทบจะให้ฟรีเลยด้วยซ้ำ มันดีใจมากที่มีคนมาสนใจสิ่งที่เราวาดเล่น มันเป็นแค่การวาดเล่นตอนคุยโทรศัพท์ด้วยซ้ำ แต่มีคนเห็นค่าภาพเหล่านี้ขนาดนั้นเลย งานนี้เลยเป็นงานที่พริมภูมิใจมากที่สุดเลยค่ะ (ยิ้ม)
• แล้วมีผลงานชิ้นไหนบ้างไหมที่ทำให้เราหัวเสียหรือท้อจนไม่อยากวาดภาพแล้วบ้างไหมคะ หรือเรามีวิธีรับมือกับการคิดงานไม่ออกอย่างไร
ไม่มีงานที่ทำให้พริมท้อได้เลยนะคะ แต่อาจจะมีเหมือนกันที่เราทำงานกับลูกค้าแล้วลูกค้าบอกไม่โอเคเลยสักอย่าง เราเครียดมากนะ แต่พริมจะเป็นคนที่เชื่อว่าการพูดคุยกันดีที่สุดแล้ว เราก็เป็นคนที่ค่อนข้างจะอะลุ้มอล่วยเหมือนกัน เราก็จะแก้โดยการเอางานไปให้ดูถึงที่เลย นั่งแก้ นั่งคุยกันตรงนั้นไปเลย ให้ทั้งเขาและเราโอเค ไม่มีงานไหนที่จบงานแบบหัวเสียเลยนะคะ เพราะทุกงานเราทำเพื่ออยากจะให้งานออกมาดีที่สุดอยู่แล้ว
พริมมีคิดงานไม่ออกนะคะ ซึ่งถ้าเราคิดงานไม่ออกจริงๆ พริมมีอันหนึ่งที่อยากจะแนะนำให้ทำมากเลย มันคือการหลับตาวาดรูป คำว่าหลับตาวาดรูปของพริมอาจจะเป็นประมาณว่าเราไปทำงานฟรีก็ได้ เรารับงานใหญ่นี่โอเค เรามีเวลา แต่เราคิดงานไม่ออก งั้นมีใครแถวนี้อยากได้อะไรไหม เราทำให้ฟรีเลย เพราะว่าเราเครียดมาจากเรื่องนี้ แล้วเราก็ไปทำฟรีนะ เพราะเราทำฟรีแล้วเรารู้สึกสนุก เรารู้สึกไม่กดดันแล้วพอมันเป็นอย่างนั้นปุ๊บ มันมักจะได้อะไรที่ดีๆ ออกมา แล้วเราก็จะใช้สิ่งที่เราเรียนรู้จากโปรเจกต์เล็กๆ อย่างโปรเจกต์ฟรีพวกนี้กลับไปทำงานใหญ่ๆ ได้ค่ะ (ยิ้ม)
ส่วนใหญ่พริมจะวาดรูปทุกวันนะคะ จะมีบ้างที่อาจจะหยุดวาดบ้างเพราะเราจะหาความสมดุลให้กับตัวเอง อย่างเช่นอยากกลับไปทำอะไรที่เครียดๆ บ้างก็มี เพราะพริมคิดว่าก่อนที่เราจะมีความคิดสร้างสรรค์เราต้องอยู่ในสถานการณ์ที่เครียดๆ หรือน่าเบื่อมาก่อน เคยสังเกตไหมคะว่าเวลาที่เรานั่งห้องน้ำนานๆ มันจะมีอารมณ์ที่เราสามารถคิดอะไรได้เรื่อยเปื่อยมาก หรืออย่างเรานั่งบนรถเมล์ เราก็จะได้ไอเดียจากการนั่งรถเมล์ จากการเข้าห้องส้วมอะไรพวกนี้แหละค่ะ การที่เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในอะไรที่น่าเบื่อกว่า จะทำให้ความคิดสร้างสรรค์เราออกมาได้
• มาถึงจุดนี้แล้วคิดว่าการวาดรูปเป็นพรสวรรค์ของตัวเองไหมคะ
ต้องบอกว่ามันมาพร้อมกับพรแสวงนะคะ คือจะบอกว่าเราไม่ได้เรียนพิเศษเลยจริงๆ ก็คงไม่ขนาดนั้น เพราะว่าทุกๆ วันเราจะฝึกวาดรูปเองอยู่แล้ว เวลาที่พริมไปไหนมาไหน อย่างขึ้นรถไฟฟ้า พริมจะดูทุกๆ อย่างอยู่แล้ว เหมือนกับว่ามันฝังเข้าไปในใจเราแล้วว่า เราเข้าร้านนี้ เราเลือกร้านนี้เพราะอะไร เราชอบแบบนี้ เพราะเขาแต่งร้านไม่เหมือนที่อื่น หรือว่าเวลาเราเห็นโฆษณา เอ๊ย เขาทำแบบนี้แล้วเราอยากซื้อของชิ้นนี้เพราะอะไร เราจะคิดแบบนั้นมาโดยตลอดว่าทำไมเขาถึงทำแบบนั้นแบบนี้ แล้วอีกอย่าง งานโฆษณาเป็นงานที่ผ่านมาเยอะ กว่าจะออกมาพิมพ์บนนิตยสารหรือว่าพิมพ์อยู่ในรถไฟฟ้าได้ มันต้องผ่านสายตาผู้หลักผู้ใหญ่มาแล้วไม่รู้กี่คน ดังนั้น งานที่โชว์อยู่ทุกวันนี้คืองานที่โดนขัดเกลามาแล้ว เราอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เราเรียนรู้ตัวเองได้ตลอด
พริมจะเป็นคนที่ชอบสังเกตมาก เวลาเห็นอะไร ในใจก็จะคิดตามว่ามันดีเพราะอะไร อีกมุมเราก็จะมีติด้วยว่าถ้ามันไม่ดีล่ะ มันไม่ดีเพราะอะไร เราเจอโฆษณาตัวนี้อะไรที่จะทำให้มันดีกว่านี้ในสายตาเรา แล้วเราก็จะลองคุยกับเพื่อนดูว่าประมาณนี้ เราว่ามันน่าจะดีขึ้นกว่าเดิมนะ เธอคิดว่ายังไง ก็จะแลกเปลี่ยนความรู้ไปกับเพื่อนอยู่ตลอดค่ะ
จะบอกว่าศิลปะสามารถหาความรู้และสังเกตได้จากรอบๆ ตัว จะในโซเชียลก็ได้เพราะก็มีศิลปินหลายคนที่เขาเอางานตัวเองมาลง หรือรอบตัวเราก็ได้ พริมก็จะคอยสังเกตจากตรงนั้น มันได้ทุกอย่าง ทั้งต้นไม้ ดอกไม้ หรือจะอะไรมันเป็นศิลปะได้ มันเป็นแรงบันดาลใจให้เราได้หมด เราเริ่มสนใจการทดลองอื่นๆ อย่างเราวาดแล้วพับกระดาษคลี่ออกมามันเละ มันเป็นยังไง มันจะทำอะไรได้บ้าง จากตรงไหนอะไรทำนองนี้ค่ะ จะไม่ใช่แค่ดินสอกับปากกาแค่เพียงอย่างเดียว แต่มันคือการทำน้ำหกใส่ กระดาษยับอะไรพวกนี้ก็สามารถเอามาใช้ได้ ตอนนี้ก็กำลังสนใจในเรื่องพวกนี้อยู่เหมือนกันค่ะ
• ถามถึงสไตล์การวาดภาพและเทคนิคที่ใช้ประจำหน่อยค่ะว่าเอกลักษณ์ของเราเป็นอย่างไร
พริมจะอิงคำว่า Happy Accident ค่ะ อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ความเป๊ะ พริมไม่ต้องการความเป๊ะ ซึ่งสีที่สามารถตอบโจทย์ได้มากที่สุดก็คือสีน้ำ เพราะว่าสีน้ำถ้าเคยได้ลองเล่นดูแล้วจะรู้เลยว่ามันคุมยาก พอเราหยดสีไป บางทีมันก็แตกลาย บางทีก็ผสมกันมั่วนิ่ม มันวิ่งเละ ไม่เหมือนสีอะคริลิก คอมพิวเตอร์กราฟิกหรือสีไม้ให้เราคุมน้ำหนักได้ พริมชอบความพลิ้ว ดูแล้วสบายตา ดังนั้น ความสนุกมันอยู่ที่เราคุมมันไม่ได้ พอเราจิ้มไปแล้ว มันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เราก็จะจินตนาการต่อว่ามันจะเป็นยังไง อะไรก็ได้ที่ดูแล้วเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องเกร็งมาก
เรื่องสีสัน พริมจะชอบสีแนวดอกไม้ สีหวานๆ แต่จะไม่ใช่หวานขนมนะคะ จะชอบเป็นหวานธรรมชาติมากกว่า พริมชอบโทนสีหวานๆ แต่เราไม่ใช่คนหวานนะคะ เราจะเป็นคนที่ชอบสีสันเยอะๆ มากกว่า แต่พริมก็ไม่ถนัดทางสายดาร์ก ไม่ชอบอะไรที่เป็นความตาย (หัวเราะ)
ตอนนี้พริมกำลังทดลองอะไรอย่างอื่นอยู่ด้วย อย่างเช่น สีสเปรย์ จะชอบอะไรก็ได้ที่มันคุมยากๆ พริมว่ามันสนุกดี ซึ่งเทคนิคสีน้ำ พริมจะใช้เป็นประจำนะคะ แล้วก็จะมีทดลองอะไรไปเรื่อยๆ เพราะสีน้ำคนก็จะใช้เยอะ เวิร์กชอปก็มีเยอะ ซึ่งพริมคิดว่าคนสามารถเรียนรู้สีน้ำได้ แต่อยู่ที่ว่าเราจะประยุกต์ใช้กับมันยังไงมากกว่า
ส่วนแรงบันดาลใจในการวาดรูปพริมได้มาจากทุกอย่างเลยนะคะ แรงบันดาลใจหลักๆ ของพริมเลยคือวันที่เราตื่นขึ้นมาแล้วเรารู้สึกสงบ สมองปลอดโปร่ง มันคือการที่เราจัดการกับทุกอย่างรอบๆ ตัวของเราได้ บางคนอาจจะมีแรงบันดาลใจคือการไปเที่ยว ไปต่างประเทศ แต่พริมรู้สึกว่าแรงบันดาลใจมันเกิดขึ้นได้ง่ายกว่านั้นเยอะมาก เช่น ตื่นมา ผ้าซักแล้วพับเรียบร้อย หรือส่งงานได้ตามเวลา บ้านสะอาดสะอ้านเรียบร้อย ตื่นมาเราก็รู้สึกดีแล้วนะคะ หรือมีน้ำผลไม้สักแก้ว แดดส่องถึงโต๊ะทำงาน แค่นี้คือพริมก็สามารถทำงานได้แล้วนะคะ และพริมจะชอบความรู้สึกสะอาด ถ้าเกิดจะใช้เครื่องเขียนอะไรสักอย่างหรือจะใช้คอมพิวเตอร์ พริมจะซื้อสีขาวหมดเลย เหมือนกับว่าจะได้ปล่อยพื้นที่ให้เราจินตนาการต่อได้ตลอดเวลา คือเราต้องการความสะอาด ความคลีน (ยิ้ม)
• ชื่นชอบศิลปะขนาดนี้ ไม่ทราบว่าให้นิยามกับคำว่าศิลปะอย่างไรบ้างคะ
ศิลปะคือสิ่งที่ทำให้โลกนี้น่าอยู่เพราะศิลปะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นมา อย่างจะกินข้าวทั้งที จานก็ต้องจัดให้สวยงาม นั่นคือศิลปะ แม้กระทั่งกับเรื่องกินที่เป็นปัจจัยหลักหรือบนธนบัตร บนเงิน การใช้เงินก็ต้องมีศิลปะบนแบงก์ บนเหรียญ ทุกอย่าง เสื้อผ้าก็ต้องมีศิลปะ พริมว่ามันจำเป็นกับชีวิตประจำวันนะคะ เพราะถ้าไม่มีศิลปะ โลกนี้คงไม่น่าอยู่ ส่วนตัวพริมขาดศิลปะไม่ได้แน่ๆ ค่ะ
• แล้วในฐานะที่เป็นศิลปินคนหนึ่งมองวงการศิลปะในประเทศไทยยังไงบ้างคะ
พริมคิดว่าเป็นวงการที่น่าจับตามากเลยนะคะ ตอนนี้จะไม่ได้แข่งกันอยู่ในประเทศแล้ว เพราะพริมเชื่อว่าอีกไม่นาน ศิลปะไทยจะได้ออกไปข้างนอก พูดถึง street art ตอนนี้ก็ดังมากนะคะ อย่างที่ผ่านมา งาน “บุกรุก” ซึ่งเป็นงานที่นำกราฟฟิตีจากทั่วโลกมาไว้ในประเทศเรา ซึ่งพริมว่าอีกไม่นานของเราก็จะได้ไปต่างประเทศเหมือนกัน รวมถึงงานศิลปะทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นแฟชั่นต่างๆ อย่างแบรนด์ Kloset Milin ศิลปะมันก็คือการออกแบบทั้งหมดอาจจะมีไฟน์อาร์ตเข้าไปผสมอยู่ในนั้นก็ได้ ซึ่งของไทย พริมว่าน่าจับตามองมาก รวมถึงในตลาดโลกด้วย
• แล้วมุมมองต่ออาชีพนักวาดภาพประกอบฟรีแลนซ์ล่ะคะ
ถ้าอยากทำอาชีพนี้เราต้องเชื่อในสิ่งที่เรารัก พอเราทำในสิ่งที่เรารักปุ๊บ คนก็จะเห็นในสิ่งที่เราเป็น แล้วเขาก็จะเริ่มจ้างเรา จากสิ่งที่เรารัก เพราะสิ่งที่เรารักคือสิ่งที่เราทำออกมาได้ดีที่สุด ซึ่งพริมจะเชื่อแบบนั้นมาโดยตลอดนะคะ อีกอย่าง การแบ่งเวลาช่วยพัฒนาตัวเอง เพราะว่าถ้าเกิดเราแบ่งเวลาดี เราจะสามารถรับงานเท่าไหร่ก็ได้ (ยิ้ม) พริมเชื่อว่าฟรีแลนซ์ทุกคนเป็นคนแบบไหน ไม่อย่างนั้น เขาก็คงทำงานประจำไปแล้ว แต่คนที่อยากจะไปให้ไกลกว่านั้น โดยที่ไม่มีอะไรมากั้น ก็คือออกมาเป็นฟรีแลนซ์แล้วพัฒนาตัวเองทุกวัน ซึ่งพริมเชื่อว่าคนที่เป็นฟรีแลนซ์มีข้อนี้อยู่แล้ว และสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพื่อปากเพื่อท้องเลยก็คือเราต้องเป็นคนขยันและรับผิดชอบด้วย ซึ่งถ้าเกิดเราทำอะไรผิด เราต้องรับได้ว่าเราทำผิดนะ แล้วเราจะแก้ให้เขาได้ยังไง
• สมัยก่อนมีหลายคนมองคนทำงานในวงการศิลปะว่า “ไส้แห้ง” แล้วสมัยนี้มันหมดยุคไปแล้วหรือยังคะ
สมัยนี้ไม่จริงแล้วนะคะ หลักเลยต้องขอบคุณคนเจเนอเรชันนี้ด้วยนะ เพราะแต่ก่อนจะเป็นช่วงที่คนสนใจในวิชาการมากกว่า อย่างหมอ วิศวะ หรืออะไรต่างๆ ซึ่งศิลปะเขาอาจจะไม่กล้าที่จะเล่นสนุกมาก แต่สมัยนี้ พอศิลปะมันกลายเป็นเรื่องสนุก มันเปิดกว้างขึ้น มันเลยดีกว่า
• จะว่าไปแล้วเราได้อะไรจากศิลปะบ้าง คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง
พริมได้ความสุข ได้เห็นว่าศิลปะทำอะไรได้เยอะมากจากตอนแรกที่เราเองก็แอบดูถูกงานศิลปะเหมือนกัน ตอนแรกๆ พริมคิดว่าศิลปะมันทำอะไรไม่ได้หรอก ก็เชื่อแบบนั้นมาตลอด ไหนจะโดนคุณแม่หรือโดนทุกคนปลูกฝังมาตอนแรกๆ พอเราได้เข้ามาทำงานตรงนี้ ได้มาทำจริงๆ เรารู้ว่าศิลปะมันช่วยทุกอย่าง ทั้งช่วยเยียวยาจิตใจ ช่วยนู่นนี่นั่นสารพัด มันเป็นยิ่งกว่าเงินนะคะ อย่างสมมติเปรียบงานศิลปะกับทอง คือทองจะมีราคาเดียว แต่งานศิลปะชิ้นหนึ่ง ถ้ารูปโมนาลิซ่ารูปหนึ่ง คนไม่ได้ชอบ ขายกี่บาท ให้ฟรีก็ไม่เอา ถ้าเขาไม่ชอบ แต่ถ้ามีคนชอบมากๆ ต่อให้มีเงินแค่ไหนก็ซื้อไม่ได้แล้วนะคะ ภาพโมนาลิซ่าเนี่ย มันไม่เหมือนทองที่จะราคาเดียวตลอด พริมรู้สึกว่าศิลปะมันยังมีราคาในตัวมันเองที่น่าเหลือเชื่อมากๆ คือถ้าเกิดเราพรีเซนต์มันถูก เรามีทาร์เก็ตกรุ๊ปที่ถูกต้อง มันตอบโจทย์กันและกัน มันมีค่ามหาศาลเลยนะคะ (ยิ้ม)
ส่วนเรื่องความสำเร็จ..ทุกวันนี้พริมยังไม่คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จนะ เพราะเรายังเล็กๆ อยู่เลย ยังมีอะไรให้ทำอีกเยอะ ถ้าประสบความสำเร็จจริงๆ คงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง แต่ว่าตอนนี้เรายังคงไม่ถึงตรงนั้น ทุกวันนี้ก็อยากจะทำงานไปเรื่อยๆ มากกว่า ยังไม่อยากประสบความสำเร็จเลยเพราะจะได้ไม่พอ จะได้ทำต่อไปเรื่อยๆ ปล่อยให้เรื่องความสำเร็จเป็นเรื่องรองไป แล้วเรามาทำทุกวันนี้ให้ดีดีกว่า พริมไม่เชื่อว่าชื่อเสียงจะอยู่ได้นาน แต่พริมเชื่อว่าคุณภาพของงานสำคัญกว่า (ยิ้ม)
• ถ้ามีคนสนใจอยากจะทำงานเป็นฟรีแลนซ์เหมือนกับเราจะแนะนำเขาอย่างไรบ้างคะ
ทำเลยค่ะ เริ่มเลย ยิ่งเริ่มเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี อย่างพริมรู้ตัวช้าไปตั้งสี่ปี พริมเรียนศิลปะก็จริง เรียนนิเทศศิลป์มาก็จริง แต่ว่าระหว่างนั้นพริมไม่ได้วาดรูปเล่นเลย พริมเข้าไปแล้วพริมได้ที่ 1 ด้วยความบังเอิญ แล้วก็เรียนทุกอย่างทั้งๆ ที่เราก็ไม่เคยเชื่อมาก่อนว่าวาดรูปแล้วมันได้เงิน พริมก็จะไปเรียนอะไรก็ไม่รู้ที่ไม่ใช่พริม อย่างเช่น ทำโฆษณา ไปเรียนถ่ายภาพ ไปเรียนทำฟอนต์ ลงโปรแกรมอะไรพวกนี้ซึ่งมันไม่ใช่ ซึ่งพริมรู้สึกว่าตัวเองเริ่มช้าไป 4 ปี แต่เป็น 4 ปีที่ดีนะคะ เพราะมันทำให้เราเรียนรู้ว่าอย่างอื่นมันไม่ใช่ แต่ถ้าเกิดมีใครคนไหนที่รู้ตัวเองว่าชอบแล้วให้เริ่มได้เลย ไม่ต้องกลัว เพราะสิ่งที่เรารักยังไงก็ไม่ตาย อีกอย่างต้องมีพรแสวงด้วยค่ะ เพราะมันเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
พูดจริงๆ พริมเคยดูถูกอาชีพตัวเองมากๆ เพราะเราไม่เชื่อว่าการวาดรูปจะเอามาประยุกต์อะไรได้มาก เพราะเราเคยอ่านหนังสือการ์ตูนขายหัวเราะ ศิลปินมุกแต่ละมุกคือไส้แห้ง กินข้าวกับรูปปลาทูตลอด เราก็เลยคิดว่ามันคงทำอะไรไม่ได้มาก สุดท้ายแล้วต้องโชคดีจริงๆ ถึงได้เป็นไปแบบอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี แต่เราไม่ปฏิเสธโอกาส เราถึงได้รู้ว่าจริงๆ แล้วศิลปะมันทำได้ทุกอย่าง
• วางแผนอนาคตของตัวเองไว้ว่าอย่างไรบ้าง
จริงๆ พริมอยากเอามาทำเป็นแบรนด์ของตัวเองเหมือนกันนะคะ พริมจะชอบเรื่องความสวยความงาม คือถ้าเกิดไม่ใช่อะไรที่เป็นแฟชั่น พริมก็คงจะเปิดร้านดอกไม้ค่ะ ซึ่งพริมคิดว่าดอกไม้ก็เป็นอะไรที่ละเอียดอ่อนเหมือนกัน มันมีเรื่องราวที่เราจะสามารถนำไปมอบให้คนอื่นๆ ได้ มันสามารถทำให้คนอื่นมีความสุขได้เหมือนศิลปะ หรืออย่างแบรนด์ของแต่งบ้านที่เกิดจากงานศิลปะ ก็เป็นธุรกิจที่น่าสนใจเหมือนกัน เพราะประเทศไทยเรา งานฝีมือเยอะแยะมาก ถ้าเกิดเราเอามาประยุกต์อีกนิดหนึ่งที่เกี่ยวกับไฟน์อาร์ต ก็น่าสนใจไม่น้อย
3 เทคนิคการเป็นฟรีแลนซ์ให้ดีสไตล์พริม primiita
1.ใจรัก
ถ้าใจรักจะทำได้ทุกอย่าง พริมเชื่อว่าถ้าเกิดทุกคนทำได้ถ้าทำในสิ่งที่รัก อย่างถ้าเรารักที่จะปิ้งลูกชิ้นปิ้งวันหนึ่งจะต้องอร่อยแน่นอน ซึ่งวาดรูปก็เหมือนกันวาดบ่อยๆ ฝึกบ่อยๆ ก็จะสวยเอง
2.ต้องกระหายตลอดเวลา
นอกจากใจรักแล้วเราต้องไม่พอ ไม่ใช่ว่าลูกชิ้นปิ้งอันนี้อร่อยแล้วพอแล้ว มันต้องมีอีกพัฒนาอีกเรื่อยๆ มันต้องมีลูกชิ้นปิ้งไส้ชีส ไส้นู่นนี่นั่นหรืออะไรก็ไม่รู้ เราต้องคิดไปเรื่อยๆ
3.ต้องขยันและรับผิดชอบ
อาชีพนี้ต้องขยันและรับผิดชอบค่ะ ซึ่งบางทีอาจจะต้องขยันมากกว่าอาชีพอื่นด้วยนะคะเพราะว่าเราไม่ได้มีงานประจำ ไม่มีเจ้านาย ดังนั้นอาชีพเราจะสำเร็จได้เราต้องขยัน เราต้องคุมตัวเองให้อยู่ซึ่งถ้าเรามีสามข้อนี้ไม่มีทางที่จะทำไม่ได้ เราต้องเดินไกลกว่าที่คิดไว้แน่นอน
Profile ชื่อ : ศุภศรา หงศ์ลดารมภ์ ชื่อเล่น : พริม วันเกิด : 24 มิถุนายน 2535 อายุ : 23 ปี การศึกษา : คณะมัณฑนศิลป์ เอกนิเทศศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร อาชีพ : Illustrator Freelance |
ผลงานของ primiita
เรื่อง : วรัญญา งามขำ
ภาพ : วรวิทย์ พานิชนันท์ และ อินสตาแกรม primiita