xs
xsm
sm
md
lg

ชีวิตต้องสู้ของลูกกรรมกร “พอล-วรัตน์พล” สร้างตนร่ำรวยด้วยธุรกิจออนไลน์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ลูกกรรมกร-เรียนทุนโรงเรียน ได้ทุนอาหารกลางวันจากวัด ดิ้นรนจนจบปริญญาหาเงินเลี้ยงแม่ แต่แล้วชีวิตก็เหมือนตกสู่ขุมนรก เมื่อติดหนี้หลายแสนจนตัดสินใจฆ่าตัวตาย...แต่แล้วเขาก็กลับมา กอบกู้ตัวเองด้วยธุรกิจออนไลน์ รุ่งเรืองถึงขั้นที่ “วิทวัส” ยังต้องจัดเวลาให้เขาออกรายการ

“พอล-วรัตน์พล วรัทย์วรกุล” เป็นอีกหนึ่งคนซึ่งอยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับความยากจนมาตั้งแต่เกิด ด้วยการเป็นลูกกรรมกรก่อสร้างที่ต้องต่อสู้กับความจนทุกวิถีทางโดยหางานทำมาตั้งแต่ยังเด็ก ผ่านมาแล้วหลากหลายงานแต่ความขยันก็ไม่สามารถช่วยให้เขาหนีพ้นจากความจนได้ แถมยังติดหนี้บัตรเครดิตเป็นแสนๆ ชีวิตถึงทางตัน ถึงขั้นคิดสั้นฆ่าตัวตาย

อย่างไรก็ตาม จนถึงตอนนี้ หลังจากโมงยามแห่งความตกต่ำได้ผ่านพ้น “พอล-วรัตน์พล” กลับมาหยัดยืนดำรงตนได้อย่างสง่างามอีกครั้ง ด้วยสติ และด้วยความเพียร อีกทั้งการเรียนรู้และเปิดโอกาสให้ตัวเอง ชื่อของเขากลายเป็นที่ยอมรับนับถือในกลุ่มคนที่ทำธุรกิจออนไลน์

อะไรคือธุรกิจออนไลน์
ธุรกิจออนไลน์ที่เขาทำเป็นอย่างไร?
เพราะอะไร แม้กระทั่งรายการโทรทัศน์ยอดนิยมอย่าง “วิทวัส สุนทรวิเนตร์” แห่งรายการตีสิบ ยังหยิบเอาเรื่องราวชีวิตของเขามาเปิดเผยต่อผู้ชม
บางที...เรื่องราวนี้ อาจเป็นแสงเล็กๆ อีกหนึ่งแสงที่แทงเข้าไปในโลกมืดมนซึ่งหลายคนกำลังผจญอยู่...
เพราะการต่อสู้ ความหวัง และการไม่ยอมแพ้ คือแก่นแท้ที่ปลุกปั้นมนุษย์ได้คนแล้วคนเล่า...

• เริ่มจากความยากจน...

ต้องบอกก่อนว่าผมเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน แม่เป็นกรรมกรก่อสร้าง ส่วนพ่อก็ทิ้งพวกเราไปตั้งแต่ 3 ขวบ มีชีวิตรอดมาได้ก็เพราะว่าแม่ไปเป็นกรรมกรก่อสร้าง หาเงินมาเลี้ยงดูพวกเรา บางทีก็กินข้าวโรยน้ำตาลหรือไม่ก็น้ำมันหมูคลุกๆ ให้ชีวิตอยู่รอดไป

ส่วนตัวผมเรียนที่โรงเรียนวัด ซึ่งแม่ให้ไปเรียนจริง แต่ว่าไม่มีเงินให้เรียน ก็เลยต้องไปขอทุนที่โรงเรียน แล้วก็ทุนอาหารกลางวันจากวัด หลังจากนั้นผมก็มาเข้าโรงเรียนชายล้วน เป็นโรงเรียนพลทหารก็ขอทุนอาหารกลางวันเขากินเหมือนเดิม จนสอบเข้ามหาวิทยาลัย ผมก็เอนทรานซ์แข่งกับเขานี่แหละ แต่สอบไม่ติดก็เลยต้องไปเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง แต่ตอนเรียนที่มหาวิทยาลัย แม่ไม่มีแรงที่จะหาเงินได้แล้ว เพราะแม่แก่แล้ว เราก็เลยต้องไปทำงานเสิร์ฟ หาเงินมาเลี้ยงแม่ แล้วก็ส่งตัวเองเรียนด้วย

ผมทำอย่างนั้น 4 ปีจนเรียนจบ และทำงานประจำครั้งแรกในชีวิต คือเราไม่อยากเสิร์ฟเบียร์แล้ว เรารู้สึกว่าไม่มั่นคง เราอยากมีชีวิตที่มั่นคงมากขึ้น ตอนนั้นไปทำงานประจำครั้งแรกได้เงินเดือน 6,000 บาท ต้องบอกว่ามันไม่พอจริงๆ เพราะเราอยู่ในกรุงเทพฯ ด้วย พอไม่พอ เราก็ไปขอเขาทำโอทีเพิ่ม ซึ่งเขาก็เมตตา เลยทำให้เรามีรายได้เพิ่มขึ้นมารวมๆ แล้วได้หนึ่งหมื่นบาทต่อเดือน ซึ่งก็ยังไม่พออยู่ดี แต่เราไม่รู้จะทำยังไง ขณะที่ไม่มีความคิดอยากจะเปลี่ยนงานหรือย้าย เพราะว่าเรารู้สึกว่าเราต้องสู้ ซึ่งการย้ายหรือว่าการเปลี่ยนงานผมมองว่ามันเป็นการหนีมากกว่าที่จะสู้ เราอยากได้รายได้เพิ่ม ก็เลยหาอะไรทำเพิ่ม ปรากฏว่าก็ไปเสิร์ฟเบียร์เหมือนเดิม ชีวิตผมจะวนๆ แบบนี้เลยคือ ทำงานประจำ ทำโอทีแล้วก็เสิร์ฟเบียร์ ได้นอนวันหนึ่งแค่ 2-3 ชั่วโมงเท่านั้นเองครับ (ยิ้ม)

เอาจริงๆ จะบอกว่าผมทำงานประจำตั้งแต่ตอนที่ผมยังเรียนไม่จบเลยด้วยซ้ำ ไปเป็นพนักงานรับโทรศัพท์บ้าง ก็เสิร์ฟเบียร์บ้าง ทำมาจนถึงอายุ 25 ปี ก็รู้สึกว่าชีวิตเรา โอ้โห! เหนื่อยมายาวนานมาก แต่ทำไม ทั้งๆ ที่เราขยันขนาดนี้ แทนที่เราจะรวย เราจะประสบความสำเร็จ กลายเป็นว่าสิ่งที่เราขยันไป กลับได้รับผลตอบแทนคือเป็นหนี้บัตรเครดิตหลายแสนบาทเลย ตอนนั้นเครียด ทะเลาะกับแม่ ทะเลาะกับแฟน สุดท้ายไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยตัดสินใจฆ่าตัวตาย

• ฆ่าตัวตาย?...

ใช่ครับ ตอนนั้นตัดสินใจว่าจะไม่อยู่แล้ว เราก็เลยขึ้นไปบนดาดฟ้าชั้น 6 ของหอที่เช่าอยู่ ปรากฏว่าวินาทีที่จะกระโดด ผมรู้เลยว่าคนเรารักตัวกลัวตายกันทุกคน คือขนาดว่าไม่อยากอยู่แล้วนะยังกลัว ขึ้นไปผมขาสั่นเลยนะ (หัวเราะ) พอเกิดความกลัว มันก็ทำให้เรามีสติขึ้นมานิดหนึ่ง ตอนนั้นคิดถึงหน้าแม่ เพราะถ้าเราตายไปจริงๆ นะ แม่ไม่มีเรา แม่ก็ทำมาหากินไม่ได้ เพราะเขาอายุเยอะแล้ว ถ้าเราไม่อยู่ ทุกอย่างมันก็จบหมด ก็เลยตัดสินใจฮึด ไม่เอา อดทนสู้ต่อดีกว่า เลยถอยหลังมา แต่ก็ไม่ไว้ใจตัวเอง กลัวคิดสั้นอีก ก็เลยรีบวิ่งลงบันไดหนีไฟไปเลย วิ่งมาอยู่ข้างล่าง ตั้งสติใหม่ เริ่มคิดย้อนไปถึงอดีต ยอมรับว่ามันสับสนว่าจะทำยังไงกับชีวิตดี

พอตั้งสติได้ ผมเลยคิดว่าถ้าอยากเปลี่ยนชีวิต ซึ่งเราก็เคยได้ยินคำพูดจากในหนังสือที่เขาบอกว่าคบคนแบบไหน ก็เป็นคนแบบนั้น ถามว่าจริงไหม พอเรานึกย้อนกลับไป เออ มันก็จริง อย่างตอนเด็กที่ผมอาศัยอยู่กับแม่ในห้องเช่าในสลัม ผมก็มีเพื่อนที่ชอบสูบบุหรี่ เพื่อนชอบดมกาว ตัวเราก็ไม่ได้อยากดมกาว ไม่ได้อยากสูบบุหรี่หรอก แต่เชื่อไหมครับว่าพออยู่ด้วยกันบ่อยๆ สุดท้ายเราก็ลอง ผมก็นั่งเหวอ เมากาวไปกับเขาด้วย เราก็รู้สึกว่า เฮ้ย! อะไรวะเนี่ย นี่ขนาดว่าเราไม่อยากจะทำเลยนะ แต่เห็นทุกวัน เราก็ดันทำตาม เราก็เลยได้รู้ว่าคบคนแบบไหนมันเป็นแบบนั้นจริงๆ นะ (ยิ้ม)

แล้วถ้าเราอยากรวย อยากประสบความสำเร็จในชีวิต ผมก็มองว่าถ้าเราอยู่ในสังคมแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่มีทางรวยแน่ๆ ก็เลยคิดว่าถ้าอยากรวย เราก็ต้องกล้าที่จะคบกับคนรวย แต่มองไปรอบๆ ตัวผมก็ยังไม่เห็นว่าใครจะรวยเลย ก็จนเหมือนผมนี่แหละ (หัวเราะ) ก็ไม่รู้จะทำยังไง ผมก็เลยไปหาหนังสือที่คนรวยๆ เขาเขียนมาอ่าน พออ่านเสร็จก็สรุปกับตัวเองได้อย่างหนึ่งว่าถ้าเราอยากรวย อยากประสบความสำเร็จในชีวิตต้องมีธุรกิจ หรือว่าจะต้องมีกิจการอะไรบางอย่างเป็นของตัวเอง

จากนั้นเป็นต้นมา ผมเลยคิดกับตัวเองว่าเราจะต้องมีธุรกิจ มีกิจการเป็นของตนเองให้ได้ ไม่งั้นคงลืมตาอ้าปากไม่ได้แล้วชาตินี้ ผมมองหาธุรกิจเยอะมากเลยในตอนนั้นว่าจะทำอะไรดี มองแม้กระทั่งว่าอะไรที่มันจะทำแล้วได้เงินเยอะๆ มากกว่างานประจำที่เราทำ ดูตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนนั่งกินก๋วยเตี๋ยวหน้าปากซอย เวลาที่สั่งก๋วยเตี๋ยวจริงๆ เราสั่งที่โต๊ะก็ได้ เดี๋ยวก็มีคนมารับออเดอร์ แต่เราอยากเห็น ก็เดินไปสั่งตรงที่เขาลวกก๋วยเตี๋ยวเลยเพราะเราจะแอบดูเงินในกระป๋องเขา ก็เห็นนะว่าเขาได้เงินเยอะ เงินเต็มกระป๋องเลย ตอนนั้นเราเลยคิดว่าหรือจะขายก๋วยเตี๋ยวดี ไปดูแฟรนไชส์ชายสี่บะหมี่เกี๊ยว ราคาอยู่ที่สี่หมื่นกว่าบาท แต่ว่ายังไม่ได้ขายนะ เพราะจะต้องมีรถเข็น หมูแดง เส้น เก้าอี้ พร้อมขายรวมๆ แล้วก็หลายแสน โห!! แล้วเราจะเอาปัญญามาจากไหน เพราะเราก็หาเช้ากินค่ำ เหลือเก็บก็แทบไม่มี สรุปเราก็ต้องกลับไปเก็บเงิน ผมก็ตั้งหน้าตั้งตาเก็บเงิน เพราะมันไม่มีอะไรในโลกที่เราได้มาฟรี

วันนั้นจำได้ว่าอาจารย์พันธุ์ทตต์ สิรภพธาดา เขาสอนเรื่องคอมพิวเตอร์ มาบอกเราว่าครูเปิดสอนเรื่องออนไลน์อยู่นะ ลองไปเรียนดู ผมก็ลองไปนะครับ แล้วผมถือว่าผมได้เรียนฟรี อะไรที่ผมจะตอบแทนครูได้ก็จะทำ แล้วผมก็ไปเป็นเหมือนหน้าม้าในห้อง คอยปรบมือ คอยกรี๊ดให้ครู ซึ่งครูเขาก็ชอบใจ เพราะบรรยากาศในห้องมันดี สนุก จากวันนั้น ครูเลยบอกว่ามีครูสอนเรื่องออนไลน์หลายคอร์ส เลยลองไปเรียนดู ครูให้เราเรียนฟรีเพราะชอบ

พอเรียนจนครบทุกคอร์ส มันก็ได้ผลึกทางความคิดอยู่ข้อหนึ่งว่า จริงๆ แล้วเราไม่ต้องมีทุนมากมาย เพียงแค่เรารู้เรื่องออนไลน์ซึ่งมันมาตอบโจทย์เรื่องการไม่ต้องใช้ทุนในการประกอบธุรกิจเยอะๆ ได้ เพราะว่าหน้าร้านคือ “ตัวตนเสมือน” ที่มันอยู่บนโลกออนไลน์ มันไม่ต้องมานั่งลงทุนกับหน้าร้านจริงๆ เงินจริงๆ ไม่ต้องทำแบบนั้น เราก็เลยมองว่าเดี๋ยวเราทำออนไลน์ดูดีกว่า ตั้งแต่วันนั้นผมก็เลยเริ่มฝึกเขียนเว็บ ฝึกทำโปรแกรมโฟโต้ชอป ฝึกโปรแกรมต่างๆ ตอนแรกเราก็ไม่รู้ว่าจะขายอะไร ทำเว็บไซต์ขึ้นมาไว้ก่อน พอทำเสร็จสมบูรณ์ มีตะกร้าสินค้ามีระบบการขายเรียบร้อย ผมก็คุยกับแฟนว่าเราจะเอากระเบื้องที่บ้านแฟนมาขาย เพราะบ้านแฟนเป็นโรงงานกระเบื้องอยู่แล้ว เอากระเบื้องมาถ่ายรูปขายลงในเว็บ

• พอได้ทำธุรกิจในออนไลน์ แบบนี้ก็เริ่มตั้งตัวได้แล้วใช่หรือเปล่า

จากที่ขายกระเบื้อง สรุปแล้วหักลบกลบหนี้ ผมมีกำไรอยู่ 40 เปอร์เซ็นต์ ยอดขายผมเดือนหนึ่งได้ประมาณล้านกว่าบาท กำไรหลักแสน ตอนนั้นก็เริ่มลืมตาอ้าปากได้ มีคอนโดเป็นของตัวเองครั้งแรก มีรถคันแรกในชีวิต

• อยากให้ขยายความคำว่า “ธุรกิจออนไลน์” ให้คนที่ยังไม่เข้าใจฟังหน่อยค่ะ

พูดง่ายๆ ก็คือ ช่องทางการจัดจำหน่าย ปกติ เราพึ่งพาการจัดจำหน่ายโดยใช้หน้าร้านเป็นทำเลที่ตั้งในการกระจายสินค้าออกไป บางคนก็ไปพึ่งสื่อ สมัยก่อนก็ไปพึ่งสื่อทีวีซึ่งมันลงทุนสูงมาก ไม่รวยจริง ไม่มีทุนจริง มันทำไม่ได้ พอคนไปพึ่งสื่อวิทยุ หนังสือพิมพ์ ถามว่าดีไหม มันดีนะแต่ว่ามันลงทุนสูงไง คุ้มไม่คุ้มว่ากันอีกที แต่ออนไลน์ เนื่องจากต้นทุนมันต่ำมาก จุดคุ้มทุนสร้างได้ง่ายมาก แทบไม่ต้องกังวลว่าจะคุ้มไม่คุ้มเลย เพราะว่ามันคุ้มแน่ๆ มันเข้าถึงคนจำนวนมหาศาลได้เร็วในราคาที่มันต่ำมาก เพราะฉะนั้นการทำธุรกิจออนไลน์ก็คือคุณทำอะไรก็ได้ แค่ใช้ช่องทางออนไลน์ในการทำตลาด แล้วคุณจะพบถึงความมหัศจรรย์ของการทำตลาดออนไลน์ที่ต้นทุนต่ำ แต่รีเทิร์นสูง แล้วก็ทำให้คุณพลิกชีวิตมารวยได้ ใครที่บอกทำไม่เป็น อยากให้ลองศึกษาดู เดี๋ยววันหนึ่ง คุณก็เป็นเอง หรือแค่เล่นเฟซบุ๊ก เล่นไลน์ เล่นอินสตาแกรมได้ ก็สบายแล้ว มันไม่ได้ยากเลยครับ (ยิ้ม)

• จะว่าไป อะไรคือแรงบันดาลใจที่ทำให้เราฝ่าฟันมาได้ขนาดนี้

ต้องบอกว่า เวลาที่ชีวิตมันส่งบทเรียนแรงๆ มาให้ มันจะทำให้เราคิดได้เร็ว คือผมบอกได้เลยนะ ถ้าวันนั้นไม่ถึงขั้นคิดฆ่าตัวตาย ผมก็ยังคิดไม่ได้นะ ก็ยังคงชิล แล้วหลอกตัวเองไปวันๆ ว่าไม่เป็นไร ชีวิตแบบนี้ก็สุขสบายแล้ว ซึ่งมันจะเป็นอุปสรรคสำหรับชีวิตที่ดีกว่า เราจะไม่สามารถมีชีวิตที่ดีกว่านี้ได้เลย ถ้าเราบอกว่ามันดีแล้ว แต่ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยโกหกตัวเองนะ ผมบอกเสมอว่าชีวิตเรามันไม่ดีเลย อยากดีกว่านี้ ไม่อยากจนอยู่แบบนี้ ผมก็เลยรู้สึกว่าต้องดิ้นรน ปรับตัวมาตลอด พัฒนามาเรื่อยๆ จะว่าล้มเหลวตลอดเลย มันก็ไม่ใช่ มันเรียกว่าค่อยๆ พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ มากกว่า ระหว่างทางนั้น เราก็เจอปัญหาอุปสรรคตลอด แต่เราก็สู้ เราก็ค่อยๆ แก้ ค่อยๆ ปรับปรุง ค่อยๆ เปลี่ยนแปลง จนมันลงตัว จนอยู่ได้

ผมว่าดีนะ สำหรับบางคนที่เจอปัญหา เจออุปสรรคอยู่ เพราะมันทำให้คิดได้เร็ว คือประวัติเศรษฐีมันต้องลำบากๆ แบบนี้แหละ จะต้องเจออะไรหนักๆ แบบนี้แหละ (หัวเราะ)

• ทุกวันนี้ ถือว่าชีวิตตัวเองอยู่ในจุดที่ดีหรือสมบูรณ์แบบแล้วหรือยัง

ผมไม่เคยมองอย่างนั้นเลยนะครับ ผมมองว่า คำว่า “ดี” บางทีมันก็เป็นอุปสรรคของคำว่า “ดีกว่า” คำว่า “ดีกว่า” มันก็เป็นอุปสรรคของคำว่า “ดีที่สุด” ผมว่าชีวิตมันไปไกลกว่านั้นได้ ผมค่อยๆ ค้นพบสัจธรรมในชีวิตไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่ง เราคงจะบรรลุหลักการอะไรเพิ่มมากขึ้นหลายอย่าง ชีวิตก็คงเดินทางเข้าใกล้ความสุขมากขึ้น แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีอะไรสุขไปกว่าความสงบ เพราะว่าแม้จะขับซูเปอร์คาร์หรือขับรถอะไร มันก็คล้ายๆ กัน ก็ไม่ได้ขับแล้วมันจะสุขกว่ากัน ตอนมีคอนโดเป็นของตัวเอง หรือมีบ้าน มีคฤหาสน์เป็นของตัวเอง มันก็เหมือนกัน ที่สุดแล้วเราก็นอนเตียงแค่นั้น เราจะนอนกลิ้งอะไรนักหนา ใช่ไหม (ยิ้ม)

ตอนนี้ผมก็ใช้ชีวิตตามอัตภาพ อย่างตอนนั้นอยากจะกินอะไรสักอย่างก็ดูก่อนว่ากี่บาท แพงไปก็ไม่เอา เอาเท่าที่กินไหว ทุกวันนี้ก็ใช้จ่ายให้สมฐานะ ให้มันมีความสุข ไม่อร่อยก็ไม่กิน คือชีวิตเรามันเลือกได้แล้ว เราไม่จำเป็นจะต้องอนาถเหมือนแต่ก่อน ก็เรียกว่าใช้จ่ายสมฐานะ แต่ไม่ต้องไปเวอร์อะไรมากมาย ผมไม่เคยหลงตัวเอง มีคนบอกว่าผมมีเงินหลักล้าน ก็ยังคุยเหมือนตอนมีเงินหลักหมื่นเลย ชาวบ้านยังไง ก็ยังชาวบ้านอย่างนั้น (หัวเราะ) เพราะผมมองว่าคุณค่าของความเป็นคนไม่ได้อยู่ที่ตัวเงิน เรามองว่าศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน จะรวยจะจนก็คนเหมือนกัน

• หลังจากที่เราประสบความสำเร็จแล้ว เรามองย้อนกลับไปในวันที่เราลำบากเรื่องราวตรงนั้นสอนอะไรเราบ้าง

บางทีถ้าเราไม่เจอปัญหาหรือว่าอุปสรรคขนาดนั้น ก็ไม่รู้หรอกว่าความสุขสบายมันเป็นยังไง ต้องเจอแบบนั้นถึงจะรู้ว่าความสุขความสบายมันมีค่ามาก เพราะว่าเราลำบากมาก่อน เรารู้ว่าความจนมันน่ากลัว เพราะฉะนั้นก็จะมองทุกอย่างในชีวิตเป็นบทเรียน สอนเราถ้าไม่มีวันนั้นก็คงไม่เก่งขนาดนี้หรอก อย่างทุกวันนี้ผมได้เพื่อน ได้สังคม ซึ่งมันตีค่าเป็นเงินทองไม่ได้ เพื่อนดีๆ คนหนึ่งมีค่ามากกว่าเงินเป็นล้านมากองอยู่ตรงหน้าอีกนะครับ

• ถ้าอยากประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อยแบบคุณบ้างจะต้องทำอย่างไร

ขยันเป็นพื้นไว้ครับ แล้วก็เรียนรู้จากคนสำเร็จไว้แค่นั้นก็พอแล้ว โอเคขยันเป็นเรื่องที่ดีแต่ถ้าขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย แต่ยังไงจะรวยก็ต้องขยัน เขาเรียกว่าความขยันเป็นหัวใจเศรษฐี มันเป็นพื้นฐานของคนรวย คือขี้เกียจแล้วมาหวังรวย บางทีเป็นไปได้สำหรับคนที่รับมรดกมาจากพ่อแม่รวย ตระกูลรวยอยู่แล้ว แต่ถ้าจะเอาจากดินสู่ดาวแล้วยังขี้เกียจตัวเป็นขน อย่าหวังจะรวยเลย ไม่รวยหรอก ถ้าจะรวย ต้องแยกแยะให้ได้ว่าเวลาในชีวิตมันมีจำกัดอะไรคือเนื้องานราคาถูก อะไรเนื้องานราคาแพง

ผมบอกง่ายๆ เลยว่า รู้แล้วไม่ทำ มีค่าเท่ากับไม่รู้ คือผมเป็นประเภทที่อ่านไปทำไป ฟังไปทำไป ดูไปทำไป คือบางที ไปดูวิดีโอ ดูเสร็จทำเลย ผมศรัทธาคำว่า Action สุดๆ ในชีวิต ผมเชื่อว่าไม่เป็นอะไรหรอก แต่ก็ทำไปก่อน เดี๋ยวมันก็เป็น แต่อย่าไปดูถูกตัวเอง อย่าไปบอกกับตัวเองว่าเราทำไม่ได้ เราไม่ได้เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ เราไม่เคยทำมาก่อน เราไม่มีประสบการณ์ อันนี้มันเป็นความคิดที่คับแคบ พอไม่กล้าทำ มันก็ไม่เกิดผลลัพธ์อะไร ลองผมคิดอย่างเดียวแล้วไม่ทำ ผมจะมีวันนี้ได้ยังไงถูกไหม แปลว่าผมทำมาเยอะ และก็ไม่ใช่ว่าผมทำมาถูกนะ ทำผิดทำถูกทำมั่วทำซั่ว ล้มเหลวมาก็มี แต่พอเราทำแล้ว เรามีประสบการณ์เดี๋ยวเราก็รู้เองแหละ ทำผิดไปเดี๋ยวเราก็รู้ว่าทำถูกแล้วมันเป็นยังไง แต่ต้องทำนะ เพราะถ้าไม่ทำแล้วหวังจะถูก มันไม่มีทาง

• ในอนาคตวางแผนเรื่องธุรกิจต่อไปอย่างไรบ้าง

ตอนนี้ก็มีหลายอย่างที่จะทำ ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์สอนพิเศษ สอนอยู่ที่มหาลัยศรีปทุม สอน MINI MBA สอนเกี่ยวกับวิธีคิดที่ถูกต้องให้มุ่งตรงสู่ความร่ำรวยทำยังไง และก็มีมูลนิธิไอคอน พอลเลชั่น เพื่อจะส่งต่อรายได้จากการทำธุรกิจให้กับเด็กน้อยผู้ยากไร้ในชนบทในประเทศไทย และอีกอย่างหนึ่ง เป็นโปรเจกต์ที่อยากทำเหมือนกัน คือเกี่ยวกับการทำธุรกิจ ส่งต่อให้กับผู้คนให้เขาได้เลียนแบบจากคนที่สำเร็จจริงๆ เขาจะได้เอาไปต่อยอดได้ (ยิ้ม)

 










 
Profile

ชื่อ : วรัตน์พล วรัทย์วรกุล
ชื่อเล่น : พอล
วันเกิด : 10 พฤษภาคม 2526
อายุ : 32 ปี
การศึกษา : ปริญญาตรี
อาชีพ : นักธุรกิจออนไลน์



 

 
<
เรื่อง : วรัญญา งามขำ, กมลชนก บุญเพ็ง
ภาพ : วรวิทย์ พานิชนันท์

กำลังโหลดความคิดเห็น