xs
xsm
sm
md
lg

มีไม่ครบ ใช่ว่าชีวิตจะจบสิ้น! “เดียร์-ลลิดา” สาวสวยผู้มาจากโลกที่แหว่งวิ่น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เปิดมุมมองความคิด “เดียร์-ลลิดา” ทายาทแสนสวยของอดีตรองนางสาวไทย ผู้ใช้ความไม่เพอร์เฟกต์เป็นแรงผลักดันจนประสบความสำเร็จ

หลายคนอาจมองชีวิตที่แหว่งวิ่นขาดหาย ด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว และพาตัวเองเลี้ยวสู่ทางนรก บางคนอาจยกเอา “ส่วนที่หายไป” เป็นข้ออ้างที่ยิ่งใหญ่เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับความเหลวแหลกของตัวเอง แต่สำหรับหญิงสาวผู้นี้ “เดียร์-ลลิดา ทองหล่อ” เธอกลับใช้เรื่องราวดราม่าในวัยเยาว์ ปรับเปลี่ยนเป็นพลังในการย่างก้าว

หลังจากพ่อแม่แยกทางกันในวันนั้น ชีวิตบางส่วนของเธอเหมือนถูกบั่นทิ้ง แต่ก็ด้วยเหตุนั้นที่กลายเป็นแรงผลักดันให้ผู้หญิงคนหนึ่งก้าวมาถึงจุดนี้ และบางที มุมมองความคิดที่เธอมี อาจเป็นแสงส่องทางให้กับใครบางคนที่กำลังเดินอยู่บนความวกวนแหว่งวิ่นของชีวิต...

   • เท่าที่ดูจากโปรไฟล์ คุณทำงานมาหลายอย่างมาก เป็นทั้งแอร์โฮสเตส นักแสดง นางแบบ พิธีกร

เดียร์ชอบการทำงานค่ะ เริ่มทำงานตั้งแต่อายุ 17-18 ปี โอกาสตอนนั้นมันมีอะไรให้เราได้ทำได้ตื่นเต้น เราก็อยากที่จะทำตลอดเวลา เรารู้สึกเห็นประโยชน์ของการทำงานตั้งแต่เด็กด้วย จะได้ไม่ไปเดือดร้อนพ่อ เวลาที่เราอยากจะได้ของสักชิ้นหนึ่ง เราไม่ต้องขอเงินพ่อ อีกอย่าง เราสามารถช่วยเหลือพ่อได้อีกทาง

ตอนเด็กๆ ทุกคนคงมีความฝัน เราเองก็เหมือนกัน เคยฝันอยากทำงานบันเทิง เพราะเรามีคุณแม่เป็นไอดอล (หนิง-ศศิมาภรณ์ ไชยโกมล อดีตรองนางสาวไทย) ที่ทำงานในวงการบันเทิงมาก่อน เราก็รู้สึกเหมือนเราอินมาตั้งแต่เด็กโดยที่เราไม่รู้ตัว มันเหมือนซึมซับเข้าร่างกายไปแล้ว ดังนั้น ช่วงที่เดียร์เรียนปี 4 ก็ได้มีโอกาสไปประกวดรายการต่างๆ ขณะที่ตอนนี้ก็เป็นพิธีกรรายการห้องข่าวบันเทิง แล้วก็มีรับละครบ้างประปรายค่ะ (ยิ้ม)

ส่วนแอร์โฮสเตส เราไปทำเพราะรู้สึกว่าอยากไปเรียนต่อ อยากลองไปเป็นแอร์โฮสเตส คือเหมือนว่าเรามีความฝันหลายๆ อย่างในตอนเด็กว่าเราอยากจะทำอะไรบ้าง เราก็เลยเดินตามความฝันทำในสิ่งที่อยากจะทำ เราทำมาเกือบครบ เหมือนมีจุดประกายว่าเราจะไปเพิ่มเรื่องภาษา ก็เลยไปเรียนที่เมลเบิร์นค่ะ ตอนนั้นจะเรียนโทด้วย แต่ว่าคิดไปคิดมาลองมาเป็นแอร์โฮสเตสดีกว่า ก็ไปสมัครที่บางกอก แอร์เวย์ส แล้วก็ได้เป็นแอร์โฮสเตส 2 ปีค่ะ (ยิ้ม)

   • ได้เป็นแอร์โฮสเตสแล้วทำไมพลิกผันกลับมาทำงานในวงการบันเทิงอีกล่ะคะ

ตอนทำงานเป็นแอร์โฮสเตสก็สนุกดีนะคะ ประสบการณ์เยอะ ได้เดินทางบ่อยๆ ได้ไปในที่ที่เราไม่เคยไป ส่วนตัวเราเป็นคนชอบเที่ยวด้วย ชอบเที่ยวมากๆ คือเดินทางแล้วไม่รู้สึกเหนื่อยเลย เรามีความฝันอีกอย่างหนึ่งคืออยากไปเที่ยวรอบโลกให้ได้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ติดอยู่ที่ว่าสายการบินที่เราทำ เป็นสายการบินที่ไปไม่ได้ไกลมาก จะอยู่แค่ในโซนแถบเอเชีย มันอยู่แค่โซนใกล้ๆ เช่น พม่า ลาว อินเดีย แล้วก็มีมัลดีฟส์ ไม่ได้ไกลมาก ไม่ได้ไปโซนยุโรปเลย พอเหมือนว่าไม่ได้ไปไกล ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คาดหวังไว้ อีกอย่างเราสุขภาพไม่ดีด้วย เลยทำให้ต้องออกจากการเป็นแอร์โฮสเตส และกลับมาทำงานในวงการบันเทิงอีกครั้งค่ะ (ยิ้ม)

   • แล้วจากประสบการณ์ของการทำงานทั้งหมด ทั้งงานทางด้านสายบันเทิง และแอร์โฮสเตส คิดว่าตัวเองชอบทางด้านไหนมากกว่ากันคะ

ลึกๆ แล้ว เดียร์ชอบการพูดจาสื่อสารค่ะ เวลาที่ได้พูดให้คนรู้สึกดี พูดให้คนมีความสุขไปกับเรา พูดแล้วเขาเข้าใจ อีกอย่างประสบการณ์ชีวิตที่เราพอจะผ่านมาบ้างก็เป็นแบบนี้ จึงทำให้เราพูดได้ดี คะแนนทรานสคริปต์ กลายเป็นว่าวิชาการพูดหรือการสื่อสารจะได้เกรดดีมาก เลยคิดว่าสงสัยเราคงจะมาทางด้านนี้จริงๆ ก็เลยจุดประกาย พอลาออกจากการเป็นแอร์โฮสเตส พอดีว่าเวิร์คพอยท์เปิดรับสมัครอยู่เลยได้มาทำตรงนี้ค่ะ คือเดียร์ชอบการพูด การเป็นพิธีกรมากที่สุดแล้วในตอนนี้ พูดได้เลยว่าเน้นเรื่องพิธีกรเป็นหลัก ตอนนี้เลยไม่ได้คิดอะไรอย่างอื่นแล้วค่ะ (ยิ้ม)

   • ดูเหมือนจะเป็นเวิร์กกิ้งวูแมน อะไรคือแรงผลักที่ทำให้เดียร์ประสบความสำเร็จในชีวิตได้ขนาดนี้คะ

พูดจริงๆ ครอบครัวเดียร์ พ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่เด็กค่ะ ช่วงนั้นก็มีดราม่าอยู่เหมือนกัน ก็ต้องใช้ความอดทนและความเข้มแข็งและต้องใช้สติด้วย เพราะถ้าพลาดไปนิดเดียวก็จะกลายเป็นเหมือนคนอื่นๆ ประชดชีวิตในด้านไม่ดี ก็พยายามดึงสติตัวเอง แต่ก็ยังดีที่มีพี่ๆ ที่น่ารัก มีญาติคอยบอกว่าอย่าทำอะไรที่ไม่ดีนะ หรือเหมือนแบบมีคนที่คอยมองเราอยู่นะ มีคนให้กำลังใจอยู่ แต่เดียร์ก็ไม่ได้เป็นเด็กที่มีปัญหาอะไร ก็เลยไม่ได้คิดว่าการที่ครอบครัวตัวเองไม่สมบูรณ์ มันจะทำให้เรากลายเป็นคนแย่ เป็นคนไม่ดีในสังคม ไปทำให้สังคมเดือดร้อน 

เรารู้สึกว่า อะไรที่มันทำให้เราเสียใจ อะไรที่มันทำให้เรามีปมอยู่ในใจ เก็บมันไว้แล้วก็ผลักดันให้ตัวเองให้มันไปในด้านที่ดีดีกว่า เพราะว่ายิ่งไปทำให้ตัวเองแย่ อย่างบางคนที่ติดยาบ้าง ไปในด้านที่ไม่ดีบ้าง หรือว่าเกเร ผลาญเงินพ่อแม่บ้าง หรืออะไรก็แล้วแต่ ส่วนมากที่เราได้เห็นในข่าวมาจะเป็นประมาณนี้ เพราะฉะนั้น เดียร์รู้สึกว่าอย่าทำอย่างนั้นเลยดีกว่า พ่อแม่จะยิ่งเสียใจหนักไปอีก เรามาทำอะไรที่มันสร้างสรรค์สังคม ทำให้ตัวเองไปในทิศทางที่ดีดีกว่า จะได้ไม่ทำร้ายตัวเองให้แย่ไปอีก เพราะแค่นี้ก็แย่มากพอแล้ว บางทีสิ่งที่มันไม่สมบูรณ์ สิ่งที่เราโหยหา อะไรที่มันขาดไป สิ่งที่มันสามารถจะเติมเต็มได้ คือทำตัวเองให้มันสมบูรณ์ ทำตัวเองให้เป็นคนดี อย่าไปเดือดร้อนคนอื่น เดียร์ว่ามันดีกว่าเยอะเลยค่ะ (ยิ้ม)

แต่จริงๆ เราก็เคยมีอารมณ์ที่อยากใช้ชีวิตทางด้านลบอยู่เหมือนกันนะคะ บางทีก็อยากจะดื้อ ไม่อยากเรียนแล้วได้ไหม เพราะเรียนไปก็เท่านั้น ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้น เรียนไปก็ไม่มีใครรักอยู่ดี ตอนเด็กก็มีแอบคิดบ้าง แต่พอเราเห็นคนอื่น เห็นรุ่นพี่คนหนึ่งเขาสวยจังเลย น่ารักจังเลย เขาทำเป็นทุกอย่างเลย ทำกิจกรรมด้วยอะไรด้วย เราก็เลยรู้สึกว่าเขาเป็นไอดอลเรา เราจะพยายามหาไอดอลให้กับตัวเอง ทำให้เราเดินตามเขาด้วย เพราะสังคมก็มีส่วนนะ ซึ่งโชคดีที่เดียร์เป็นคนชอบคบคนเก่ง คือเราอาจจะไม่ได้เลิศเลอเพอร์เฟกต์ แต่การที่เราเลือกคบคน ก็มีส่วนที่ทำให้เราไปทางด้านนั้นด้วย (ยิ้ม)

   • เพราะพื้นฐานครอบครัวเราไม่สมบูรณ์แบบ เราเลยผลักดันตัวเอง ทำทุกอย่างให้ดีขึ้นแม้กระทั่งในเรื่องของการทำงานด้วยใช่ไหมคะ

ใช่ค่ะ เลยกลายเป็นเหมือนคนที่เหมือนเสพติดความเพอร์เฟกต์ แต่จริงๆ ไม่ได้บ้าขนาดนั้น แต่ก็อยากเก่งทุกด้าน อย่างตอนเด็กๆ เราทำทุกกิจกรรมเลย เป็นทั้งประธานนักเรียน เป็นเชียร์ลีดเดอร์ เป็นดรัมเมเยอร์ ไปประกวดแข่งขันที่โรงเรียนต่างๆ คือทำทุกอย่าง พอมานั่งทบทวน เราคิดว่าลึกๆ แล้วเราอาจจะรู้สึกขาดในตอนนั้น เราต้องการการยอมรับ ฉันต้องครบนะ ทุกคนต้องยอมรับฉัน คือมันเนื่องมาด้วยความไม่สมบูรณ์ของครอบครัวเรา แต่สิ่งที่เราเลือกมันก็ถูกแล้ว เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่เราควรจะทำ เราก็แค่ไม่ได้ไปเรียกร้องด้านอื่นที่มันไม่ดีซะหน่อย เราเลยกลายเป็นเด็กกิจกรรมตั้งแต่เด็ก ทำทุกอย่าง ชอบมาก แล้วมันก็รู้สึกว่าเราได้เติมเต็มด้วย เราก็รู้สึกดีที่มันไม่ได้ไปทำร้ายสังคม

เราแค่อยากเป็นที่ยอมรับในตอนเด็กๆ เพราะเหมือนกับว่า...แม่คนนู้นก็มี คนนี้แม่ก็พามา เราก็เลยผลักดันตัวเองขึ้นมา ทุกคนต้องสนใจเราในตอนเด็กๆ แต่พอโตมาแล้วรู้สึกว่าเหนื่อยจริงๆ ที่จะเป็นอย่างนั้นต่อไป ก็เลยเดินทางสายกลาง อย่างที่บอกว่า เราเก่งด้านการพูด ด้านการสื่อสาร พูดแล้วคนอยากฟัง พูดแล้วคนเข้าใจ เราก็รู้สึกว่าด้านนี้แหละคือตัวฉัน (ยิ้ม)

   • แสดงว่าตอนเด็กเราต้องทำทุกอย่างให้เพอร์เฟกต์เลยใช่ไหมคะ

ใช่ค่ะ แต่ก็มีช่วงเฟลอยู่นะคะ คือช่วงเข้ามหาวิทยาลัย เพราะรู้สึกว่าตัวเองเกรดเฉลี่ยไม่ดีเลย สมัยก่อนจะเกรดเฉลี่ยดี ค่อนข้างดี มาเรื่อยๆ เกรด 3 กว่าบ้าง เกรด 4 บ้าง พ่อก็จะประทับใจ แต่พอมามหาวิทยาลัยมันเป็นช่วงผลัดเปลี่ยน จากที่เราเคยได้เกรดเท่านี้ เหลือแค่ 2 กว่า เหลือ 3 มันเป็นไปได้ยังไง อะไรอย่างนี้ พอเริ่มโตก็เริ่มหาความเป็นกลางให้ได้มากขึ้น จากตอนแรก ต้องเป็นที่สุด ต้องเก่ง ฉันต้องเก่ง กิจกรรมก็ต้องเอา ทุกอย่างต้องเป็นฉันนะ แต่พอโตมาเรารู้สึกว่าเหนื่อยไปไหม เราเดินทางสายกลางดีกว่า ไม่จำเป็นต้องดีที่สุด หาอะไรที่ตัวเองคิดว่าดี เราก็ทำตรงนั้นให้มันดี จะดีกว่า ไม่เหนื่อยกับชีวิตมากเกินไป (ยิ้ม)

แต่ตอนนั้นกดดันนะ เพราะคนเก่งมันมีเยอะ การที่เราจะเก่งเท่าทุกคนได้ เราต้องเตรียมตัวเอง เราเล่นประกวดทุกอย่าง อย่างเช่น พุทธศาสนาก็เอา (หัวเราะ) อันนี้คือเราต้องไปอ่านหนังสือ เพราะว่าครูจะพาไปประกวดที่โรงเรียนอื่น ตลกมาก เอาทุกอย่างจริงๆ มารยาทไทยฉันก็ไป คือได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่เราต้องการ เราอยากเป็นที่ยอมรับตอนนั้น มันเหมือนทำให้เรามีความสุข มันเหมือนปลอบประโลมเราได้ในอีกมุมหนึ่ง มุมที่เราขาดไป แต่เราไม่ได้เรียกร้องแบบลงไปดิ้นอะไรอย่างนั้น แต่เราเรียกร้องอีกด้านหนึ่ง ซึ่งมันตอบโจทย์ ณ ตอนนั้น รู้สึกว่าฟินจังเลย มีคนมารักเรา อะไรทำนองนี้ค่ะ (ยิ้ม)

   • เปรียบเทียบตอนนั้นกับตอนนี้ อารมณ์แบบ “เฟอร์เฟกชันนิสต์” ยังอยู่ครบไหม หรือว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง

ที่เราพยายามทำทุกอย่างตอนเด็กๆ มันก็เป็นความสุขจริงๆ นะ มันเหมือนทุกคนมารักเรา เหมือนตอนเด็กๆ เราขาดความรักไปมั้ง แล้วมีคนมารักเรา มาชื่นชมเรา มันก็มีความสุข แต่พออยู่ไปเรื่อยๆ เรารู้สึกว่า จริงๆ ความสุขที่แท้จริงมันคืออะไร มันอาจจะเป็นแค่อยากจะมีครอบครัวที่สมบูรณ์อะไรอย่างนี้ไหม ตอนนี้ก็เลยคิดถึงอนาคตว่าอีกหน่อยถ้าเรามีครอบครัว เราต้องสมบูรณ์ ก็บอกกับตัวเองว่าอย่าคิด เพราะมันจะทำให้เรากดดันครอบครัวในอนาคตอีก เพราะฉะนั้นก็พอเถอะ หยุดคิด หยุดความเพอร์เฟกต์ไว้ตรงนี้ ปล่อยให้มันเป็นไป ไปเรื่อยๆ สบายๆ ของมัน ไม่ต้องไปอยากเพอร์เฟกต์อะไรกับมันมาก เอาแค่สิ่งที่เราเด่น สิ่งเราถนัด แล้วเราก็ทำมันออกมาให้เพอร์เฟกต์ อย่างนั้นก็โอเคแล้ว

ตอนนี้เดียร์เปลี่ยนไปเยอะนะคะ เพราะประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา มันสอนเราว่าเราไม่เห็นจำเป็นจะต้องเพอร์เฟกต์อะไรทุกอย่างเลย ชีวิตมันไม่ใช่จะต้องเครียดอะไรขนาดนั้น ถามว่าเราเป็นเพอร์เฟกชันนิสต์ไหม เอาจริงๆ อีกนิดก็เกือบแล้วนะ (หัวเราะ) ยังดีที่ยังมีคนที่อยู่รอบๆ ข้างทำให้เราได้เตือนสติว่าจริงๆ ชีวิตไม่ต้องเพอร์เฟกต์ขนาดนั้นก็ได้ ก็อยู่ได้อย่างมีความสุขเช่นกัน เพราะเราเชื่อว่าความเพอร์เฟกต์ไม่มีในโลก มันไม่มีหรอก หาไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นก็อยู่อย่างนี้แหละ มีโอกาสได้ทำอะไรก็ทำ จะเพอร์เฟกต์ไหม อันนั้นก็แล้วแต่คน คนอ่าน คนดู จะตัดสินใจ แต่สำหรับตัวเดียร์คิดว่ายังไม่ได้เพอร์เฟกต์ขนาดนั้น

จะบอกว่าคำว่าเพอร์เฟกต์ของเราจริงๆ แล้วมันหมายถึงเราต้องเป็นคนที่สมบูรณ์แบบในแบบที่ไม่สมบูรณ์แบบ ซึ่งเราแค่เป็นคนดี ทำอะไรที่ถูกที่ถูกทาง ไม่เดือดร้อนสังคม และถ้ามีโอกาสได้ช่วยเหลือสังคมบ้าง ก็ช่วย มันแค่เป็นคำง่ายๆ ที่เราควรจำ สำหรับเรา เราจะจำแค่ไม่กี่อย่าง ก็จะมีเช่นว่า อย่าเดือดร้อนสังคม ถ้ามีโอกาสได้ช่วยเหลือสังคมอะไรช่วยได้ช่วย อย่าทำให้ตัวเองแย่ไปกว่านี้ และอย่าลืมคนข้างๆ ที่เขาเคยดูแลเราในยามที่เหนื่อยที่ท้อ มีแค่ 4-5 ประโยคในชีวิต เราจะคิดวนไปวนมา และเป็นแรงผลักดันเราไปในทางที่ดีขึ้น

   • จากคนที่เติบโตมาจากจุดซึ่งรู้สึกว่าชีวิตตนเองไม่สมบูรณ์แบบ เรามีคำแนะนำอย่างไรกับคนที่ตอนนี้เขาอาจจะอยู่ในจุดเดียวกันกับที่เราเคยผ่านมาก่อนบ้างคะ

เราไม่สามารถตอบแทนใครได้ว่าเขาจะเลือกทางไหน ความคิดของแต่ละคนคิดไม่เหมือนกัน เราไปห้ามอะไรเขาไม่ได้ อยู่ที่ว่าเขาคิดได้มากน้อยแค่ไหน อย่างเรา เราก็ไม่รู้ว่าถ้าเกิดปัญหาอย่างนั้นขึ้น เราจะเลือกทางไหน คือเราตอบแทนใครไม่ได้จริงๆ มันอยู่ที่ตัวเองด้วย ส่วนตัวเดียร์จะทำตัวเองให้มีจิตใจที่สงบ พยายามคิดในเรื่องดีๆ เพราะเรารู้สึกว่าเรามีคนเก่งๆ เป็นไอดอล มีแม่ตัวเองเป็นไอดอล อีกอย่าง เราไม่อยากทำอะไรให้แย่ไปกว่านี้ มันแย่อยู่แล้วชีวิต อันนี้คือสิ่งที่อยู่ในหัวเรานะ แต่คนอื่นเขาอาจไม่ได้คิดแบบเรา

อยากจะชวนดีกว่าค่ะว่า ตอนนี้ใครที่กำลังประชดชีวิตในด้านลบอยู่ เดียร์บอกได้เลยว่ามันมีอีกหลายวิธีที่ทำให้การประชดชีวิตเป็นไปอย่างสวยงามและชีวิตของคุณก็จะสวยงามขึ้นด้วย อย่างเช่น ตั้งใจทำงาน ตั้งใจทำมาหากิน ตั้งใจเรียน หรือหาอะไรที่ทำให้ตัวเองไม่ฟุ้งซ่าน ไม่เครียดกับตัวเองเกินไป พยายามทำอะไรที่ตัวเองรัก ก็ลองทำดู แต่อย่าไปทำอะไรให้สังคมเดือดร้อน อย่าไปทำอะไรที่มันกลายเป็นว่าไปเดือดร้อนคนอื่น (ยิ้ม)

 










Profile
ชื่อ สกุล : ลลิดา ทองหล่อ
ชื่อเล่น : เดียร์
วันเกิด : 7 พฤศจิกายน 2526
น้ำหนัก : 49 กิโลกรัม
ส่วนสูง : 170 เซนติเมตร
การศึกษา : ปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ โฆษณาการจัดการ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
ผลงานที่ผ่านมา : K group E-girls ของธนาคารกสิกรไทยรุ่น 4, ถ่ายโฆษณาโตโยต้า, แอร์โฮสเตสสายการบินบางกอก แอร์เวย์ส
ผลงานปัจจุบัน : พิธีกรรายการห้องข่าวบันเทิง ช่องเวิร์คพอยท์ หมายเลข 23, Club Friday The Series, โฆษณาเว็บไซต์ LAZADA


 

 


เรื่อง : วรัญญา งามขำ, กมลชนก บุญเพ็ง
ภาพ : วชิร สายจำปา

กำลังโหลดความคิดเห็น