xs
xsm
sm
md
lg

งดงามที่ความคิด “เพลง-ธนิสสา” แก้วตาดวงใจของเสือ-ธนพล อินทฤทธิ์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เปิดใจลูกสาวศิลปินขาร็อกที่บอกชื่อ หลายคนต้องรู้จัก และแม้ไม่ใช่ชาวร็อก แต่ก็เจริญเดินตามรอยเท้าพ่อในด้านการร้องเพลง..เธอคือ “เพลง-ธนิสสา อินทฤทธิ์” ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของ “เสือ-ธนพล”

เพราะเกิดในครอบครัวศิลปิน “เพลง-ธนิสสา” จึงหลงรักการร้องเพลงเป็นชีวิตจิตใจ จากการฝึกฝนตนเองสู่การประกวดร้องเพลงตามเวทีต่างๆ กระทั่งกลายมาหนึ่งในสมาชิกสังกัดวง “ไกอา” (GAIA) เกิร์ลกรุ๊ปเมืองไทยที่ดังไกลไปถึงต่างประเทศ

แม้กระทั่งชื่อเล่นยังชื่อ “เพลง”
แต่ “เพลง” เพลงนี้จะมีเนื้อหาอย่างไร
เราไปฟัง “เพลง” พร้อมกันเลยดีกว่า...

 การเติบโตมาในบรรยากาศครอบครัวศิลปินนักร้อง ส่งผลต่อเราอย่างไรบ้างไหมคะ

เอาจริงๆ คุณพ่อจะไม่บังคับให้เพลงเป็นนักร้อง ไม่ได้ป้อนว่าเราต้องเป็นนักร้องหรือต้องเรียนดนตรี ต้องเล่นกีตาร์นะ หรืออะไรอย่างนั้น แต่เขาจะปล่อยให้เราสนใจเองมากกว่า เพราะว่าสุดท้ายแล้ว อะไรที่เราไม่ได้สนใจจริงๆ เราก็จะทำได้แป๊บเดียว เราจะอยู่กับมันได้ไม่นาน บ้านของเพลงจะเลี้ยงลูกแบบเป็นเพื่อนกัน มีอะไรปรึกษากันได้ ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร พ่อแม่จะรู้อยู่แล้ว เพลงว่าตัวเองเป็นคนที่ค่อนข้างโชคดีอย่างหนึ่งนะคะ เพราะคุณพ่อ คุณแม่เขาจะไม่บังคับให้เรียนสายนั้นสายนี้ เขาจะดูว่าเราชอบอะไรแล้วเขาก็จะรอจนกว่าเราจะบอกเขาเองว่าเราชอบแบบนี้เพราะอะไร เราไม่เหมาะกับอันนั้นเพราะอะไร ส่วนใหญ่เราจะใช้เหตุและผลคุยกันมากกว่าค่ะ แต่เขาก็มีถามนะคะว่าเราอยากลองไหม สุดท้ายก็เลยได้ลองดูค่ะ

ตอนนั้นพ่อบอกเพลงว่า ถ้าอยากเป็นนักร้องจริงๆ จะให้พ่อเดินเข้าไปฝากกับทางผู้ใหญ่ก็ได้ แต่เขาไม่ทำเพราะเขาคิดว่ามันไม่ใช่ทางที่ถูกต้อง แล้วเราเองก็จะไม่ภูมิใจกับสิ่งที่เราได้มา ซึ่งต่อไป ถ้าใครเขาถามหรือถูกคนสัมภาษณ์ว่าเราเข้ามาวงการนี้ได้ยังไง เราจะไปตอบเขาอย่างไร คุณพ่อก็เลยพูดว่าเมื่อมันถึงเวลา โอกาสก็จะมาเอง คือคุณพ่อของเพลงไม่ได้เป็นคนที่จะผลักดันเราขนาดนั้น ไม่ได้พาเราไปฝากกับทางผู้ใหญ่ ทั้งๆ ที่เขาก็ทำได้นะคะ แต่เขาเลือกที่จะไม่ทำ (ยิ้ม)

 จุดเริ่มต้นการเป็นนักร้องของเราจริงๆ น่าจะเริ่มจากตอนไหนคะ

คือเพลงเคยผ่านการประกวดร้องเพลงมาก่อน ในช่วงอายุ 8-10 ขวบ เป็นเด็กอยู่เลยค่ะ ตอนนั้นไปประกวดเวที KPN Junior Award เราก็เข็ดมาตลอด (หัวเราะ) เข็ดมาเป็นสิบปี จนกว่าจะได้มาประกวดอีกครั้ง เพราะตอนนั้นเรายังเด็กมากแล้วเราไปเจอการประกวดที่เข้มงวด เราเลยกลัวและคิดว่าไม่เอาแล้วดีกว่า (หัวเราะ) เลยได้แต่ร้องเพลงเล่น เต้นที่บ้าน จนมีอยู่ครั้งหนึ่ง ช่วงมัธยมปลายก็ได้ไปประกวดอีกครั้ง

ตอนนั้นประมาณ ม.5 เพลงไปแข่งรายการคล้ายๆ เรียลิตี้โชว์ของเกาหลี เมื่อปี พ.ศ. 2012 รายการนั้นชื่อว่า Global Super Idol ค่ะ รายการจะคล้ายกับการประกวด The Star หรือ AF ของเมืองไทยเลย มีโชว์ทุกอาทิตย์ เป็นการรวมทีมกัน ซึ่งรายการนี้จะมีทั้งคนเกาหลี คนไทย คนจีน ซึ่งเราก็เป็นตัวแทนจากคนไทยที่ไปอยู่ในรายการค่ะ

เพลงสมัครไปเอง แต่อาจจะเกิดจากความบังเอิญด้วยนะคะ เพราะที่บ้านของเพลง ทั้งตัวเพลงและน้องสาวก็จะสนใจเกี่ยวกับเพลงเกาหลีกันอยู่แล้ว พอมีข่าวเกี่ยวกับการประกวด เราก็รู้ เลยส่งเทปไปออดิชั่นดูค่ะ สรุปว่าก็ได้เข้าไปค่ะ และทีมของเพลงได้ที่ 3 เป็น 3 ทีมสุดท้ายที่อยู่ในวีกสุดท้ายของรายการ จากนั้นเราก็ได้มาเป็นนักร้อง เพราะเขาไปเห็นเราจากการประกวดครั้งนั้น

 ชอบการร้องเพลงมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้วใช่ไหมคะ

ใช่ค่ะ ชอบอยู่แล้ว (ยิ้ม) เพราะด้วยความที่คุณพ่อก็เป็นศิลปินอยู่แล้ว มันทำให้เราคุ้นเคยกับเสียงเพลง หลายคนอาจจะอาย ไม่กล้าร้องเพลงให้คนอื่นฟัง แต่เราเป็นคนที่อยากร้องก็ร้อง เพราะเราชอบร้องเพลง ตอนนั้นไม่ได้คิดว่าตัวเองร้องเพลงดีกว่าคนอื่นหรือคิดว่าตัวเองร้องเพราะไม่เพราะเลยนะคะ แต่เราแค่รู้สึกว่าการร้องเพลงมันทำให้เรามีความสุขและสนุก เราก็ทำ ก็เลยกลายเป็นว่าเราจะชอบมาตั้งแต่จำความได้เลย คุณพ่อจะชอบเปิดพวกโฮมวิดีโอเก่าๆ ให้ดู ก็จะเห็นตัวเองตั้งแต่อายุ 4-5 ขวบ จะชอบมาร้องเพลงเล่นใส่วิดีโอที่พ่อถ่าย (หัวเราะ) ที่บ้านเพลงจะร้องเพลงให้กันฟังอยู่บ่อยๆ เพราะเราสนิทกันด้วยมั้งคะ อยากร้องก็ร้อง บางทีก็เปิดคาราโอเกะร้องกัน ที่บ้านเราจะเป็นสายนี้กันหมด จะเป็นสายศิลปินกันหมดเลย จะไม่มีใครขัดขวางการร้องเพลงของกันและกัน (หัวเราะ)

พอเราได้คลุกคลีกับอะไรมากๆ มันก็ซึมซับเข้าไปเองโดยที่เราไม่ได้พยายาม บางวันตื่นเช้ามา คุณพ่อก็จะต่อกีตาร์ไฟฟ้า ต่อแอมป์เล่นแจมไปกับอะไรก็ตามที่อยู่ในทีวีหรือว่าบางวันคุณพ่อก็จะนั่งเล่นกีตาร์โปร่งให้เราฟัง เลยทำให้เราชอบไปเอง บวกกับที่เราทำมันได้ดีด้วย โดยที่คุณพ่อไม่ได้ป้อน พอโตขึ้นมา ความชอบนั้นก็ยังอยู่ เพราะเรื่องการร้องเพลง เรื่องดนตรี มันอยู่กับเราตลอด ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม เหมือนว่าสิ่งนี้เราทำได้ดี เราเลยชอบและไม่คิดว่าจะเลิกทำ เคยมีไปเรียนบ้างตอนเด็กๆ แต่พอโตขึ้น เพลงจะชอบฝึกเอง ร้องเอง แต่ถึงจะไม่มีครู พ่อก็จะแอบดูอยู่ตลอด (หัวเราะ) เขาจะคอยดูตลอดว่าเราเล่นเป็นยังไงแล้ว เล่นได้ถึงขั้นไหนแล้ว

 พอมาเป็นนักร้องแล้ว เราได้แรงบันดาลใจในการทำเพลงมาจากพ่อไหมคะ

จริงๆ คุณพ่อมีส่วนตลอดนะคะ เพราะว่าอยู่บ้านเราก็อยู่ด้วยกันตลอด พอเราโตขึ้นมาหน่อย ตอนนั้นเป็นช่วงประมาณมัธยมปลายที่ทั้งเพลง น้องสาว และน้องชาย เรามีผลการเรียนอยู่ในจุดที่โอเคแล้ว เข้ามัธยมกันหมดแล้ว คุณพ่อก็โอเค เริ่มกลับมารับงานคอนเสิร์ตอีกครั้ง มันจึงเป็นครั้งแรกๆ ที่ทำให้เรารู้สึกว่า เอ๊ย พ่อเราดังนะ (หัวเราะ) มีคอนเสิร์ต มีแฟนคลับ ไปคอนเสิร์ตติดๆ กัน ไปคอนเสิร์ตเมืองนอก อะไรทำนองนี้ เราเลยรู้สึกอยากจะเป็นแบบพ่อบ้าง เพราะเป็นสิ่งที่เราอยากทำ และที่สำคัญ เวลาไปตามที่ต่างๆ แล้วมีแฟนเพลงที่เขาชื่นชอบชื่นชมพ่อมากๆ บางคนเจอคุณพ่อแล้วร้องไห้ เราเลยรู้สึกว่าการที่คนคนหนึ่งสามารถเป็นไอดอลให้กับคนหลายคนได้ มันเป็นอะไรที่สุดยอดมากเลยสำหรับเรา เราเลยอยากเป็น อยากทำแบบนั้นให้ได้ค่ะ

 เทคนิคการร้องเพลง คุณพ่อฝึกให้บ้างไหม

คุณพ่อจะไม่สอนเทคนิคการร้องเพลงใดๆ เลยค่ะ (หัวเราะ) แต่บางครั้งก็มีร้องเพลงให้พ่อฟังบ้าง พ่อก็จะคอยฟังจากตรงนั้นว่าเราร้องเพลงเป็นยังไงบ้าง ตรงไหนที่ดีก็จะบอกว่าร้องแบบนี้ดีนะ ลองเอาไปร้องกับเพลงไทยดูสิ ลองทำเสียงสไตล์นี้ดูบ้าง ก็จะดูเท่ ดูมีเสน่ห์อะไรแบบนี้ค่ะ หรือว่าตรงไหนที่ไม่ค่อยโอเค ก็จะบอกว่าลองปรับดูสิ ก็จะเป็นการบอกแบบนี้ค่ะ แต่ไม่ได้ถึงกับสอนวิธีการเป๊ะๆ ว่าต้องร้องยังไง บางทีเราเล่นกีตาร์ร้องเพลงปิดประตูอยู่ในห้อง แต่เสียงก็อาจจะเล็ดลอดออกไปข้างนอกอยู่แล้ว พ่อก็จะแอบเปิดประตูเข้ามาบอกว่าอันนี้ดีนะ อะไรแบบนี้ค่ะ (หัวเราะ)

หลักๆ คุณพ่อจะแนะนำเรื่องการอยู่ในวงการยังไงมากกว่าค่ะ เพราะพ่อก็เข้าวงการตั้งแต่ยังวัยรุ่น พ่อจึงสอนวิธีการวางตัวมากกว่าว่าไปข้างนอก เราต้องระวังยังไงบ้าง หรือไปเจอผู้ใหญ่ เราควรทำยังไงบ้าง อะไรที่ควรทำ ไม่ควรทำ หรือเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เวลาที่ขึ้นไปบนเวทีมีคนมาขอเพลง เราควรจะทำยังไง เพราะว่าในชีวิตจริง เวลาเราไปเล่นคอนเสิร์ต มันจะมีบ้างที่มีคนมาขอเพลงนี้เพลงนั้นหน่อย แล้วเราอาจจะไม่ได้ซ้อมมา เขาก็จะบอกวิธีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าต่างๆ ว่าจะต้องทำยังไงมากกว่าค่ะ

• ตอนนี้เราเป็นเกิร์ลกรุ๊ป อยากเป็นศิลปินเดี่ยวแบบพ่อหรือเปล่าค

ความจริง เพลงชอบการร้องเพลงกับวงนะคะเพราะว่ามันเป็นอะไรที่ได้อารมณ์มากกว่า เพลงอยากลองร้องเพลงร็อกดูเหมือนกันนะคะ เพราะสายนี้ดูเท่ เป็นสิ่งที่เราว่าน่าสนใจและน่าลอง มันท้าทายดีค่ะ คิดว่าน่าจะทำได้นะ (หัวเราะ) ส่วนเรื่องมีชื่อเสียง เพลงมองว่ามันเป็นเรื่องยากมากในปัจจุบันกับจุดที่เราอยู่ เพราะเราเป็นเกิร์ลกรุ๊ป เป็นผู้หญิง 5 คนรวมกัน มันไม่เหมือนสมัยก่อนที่อย่างคุณพ่อเป็นศิลปินเดี่ยว ศิลปินร็อก มันเป็นคนละสายกัน ถ้าให้เพลงเป็นคนมีชื่อเสียงแบบคุณพ่อเลยก็คงจะยาก แต่ว่าเราทำตรงนี้เพราะเราอยากทำ เราอยากพิสูจน์ตัวเองว่าเราทำได้แล้วเราก็มีความสุขกับตรงนี้ เราเลยไม่ได้หวังว่าจะต้องดังขนาดนั้นอยู่แล้วค่ะ

ขณะนี้ เพลงก็ไม่คิดว่าตัวเองดังนะคะ แต่เรียกได้ว่ามีคนรู้จักมากขึ้นมากกว่า แต่ถ้าถามว่าเราอยากมีชื่อเสียงขนาดนั้นไหม เพลงว่ามันเป็นเรื่องของโอกาสที่จะได้รับมากกว่า ถ้าได้เป็นก็ดี แต่ถ้าไม่ได้เป็น ก็ไม่ได้มีข้อติดค้างอะไร เพราะว่าเราทำตรงนี้ด้วยใจรักอยู่แล้ว

 คิดว่าคุณพ่อเป็นไอดอลให้กับเราในด้านไหนบ้าง

น่าจะเป็นเรื่องของการที่เขาสามารถอยู่ในวงการนี้ได้นานค่ะ นานเป็น 20 ปีแล้วนะคะ มีคนรักเยอะ เท่าที่เพลงรู้นะคะ เจ๋งนะ ไม่รู้ว่าทำไปได้ยังไงที่ทำให้คนรักเยอะขนาดนี้ (หัวเราะ) เพลงเลยรู้สึกว่าอาชีพนี้มันเป็นมากกว่าแค่การร้องเพลง แต่เป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้ด้วย ทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้จักกัน คุณพ่อเคยเล่าให้ฟังว่ามีแฟนคลับคนหนึ่งที่คลั่งไคล้คุณพ่อมากๆ ถึงขั้นจะฆ่าตัวตาย ซึ่งพ่อแม่ของคนนั้นก็พยายามติดต่อคุณพ่อของเราเพื่อให้คุณพ่อไปพูดกับเขา และคุณพ่อก็สามารถทำให้เขาเลิกคิดฆ่าตัวตายได้ เราจึงรู้สึกว่ามันมีพลัง อันนี้คือตัวอย่างส่วนหนึ่งซึ่งคุณพ่อทำให้เพลงได้เห็น ในความคิดเพลง คุณพ่อเลยดูเหมือนจะเป็นซูเปอร์ฮีโร่ มีคนรัก มีคนเชื่อ ทำให้เรามองพ่อว่าเท่ (หัวเราะ)

 การมีนามสกุล “อินทฤทธิ์” ส่งแรงกดดันต่อเราอย่างไรบ้างไหมคะ

มีค่ะ มีแน่นอน เพราะคุณพ่อเขาเป็นคนที่มีคนรักมานาน เยอะด้วย มันทำให้เรารู้สึกว่าการที่เรามีนามสกุลนี้ เราจะต้องรักษามันนะ คือไม่ใช่ว่าเรามาอยู่ตรงนี้แล้วเราจะทำตัวยังไงก็ได้ เราจะออกสื่อยังไงก็ได้ สุดท้ายแล้ว เราก็ต้องมีการวางตัวให้ดี เพราะถ้าไม่อย่างงั้น ไม่ใช่แค่มันจะทำร้ายตัวเราเอง แต่ยังจะไปโยงถึงคุณพ่อด้วย

แต่แรงกดดันนั้น มันเป็นแรงกดดันที่จะผลักดันให้เราทำอะไรที่ดีขึ้น ตอนแรก เพลงกลัวนะตอนที่มาเป็นนักร้องใหม่ๆ กลัวจะมีคนบอกว่าเข้ามาเป็นนักร้องได้เพราะมีคุณพ่อคอยช่วย แต่เราก็มาย้อนดูว่ามีจุดไหนที่เป็นจุดบกพร่องให้เขาว่าได้ไหม เราก็มาคิดย้อนว่าเราเข้ามาด้วยตัวเราเอง เราเข้ามาเพราะเราร้องเพลงได้จริง เต้นได้จริง เราจึงคิดว่า ถึงเขาจะพูดมา แต่เราก็สามารถพูดกลับไปได้ว่าเรามาจากไหนอย่างไร และการที่เราจะอยู่ในวงการนี้ได้ เราต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถทำได้ แล้วมันจะลบข้อครหาต่างๆ ไปได้เองค่ะ (ยิ้ม)

 เรื่องวงการเพลงยุคนี้ เรามีความคิดเห็นอย่างไรบ้างคะ

เพลงโตมาตั้งแต่ยังมีตลับเทป (cassette) ที่บ้านเพลงจะมีเยอะมาก เพราะบ้านเราชอบฟังเพลง และเราก็ชอบฟังเพลงจากเทป ฟังจากแผ่นซีดีมากเลยนะคะ เพราะคุณภาพมันดี ส่วนใหญ่คนที่ชอบฟังเพลงในแบบที่ลึกลงไปมากกว่าฟังเพื่อความเพลิดเพลิน อย่างเพลง เพลงจะฟังเอารายละเอียด ฟังเสียงเบส ฟังเสียงจุกๆ จิกๆ ต่างๆ นานา รายละเอียดเขาจะเยอะมากๆ

แต่ทุกวันนี้ เพลงว่ามันเปลี่ยนไปเยอะมาก นี่ขนาดแค่ 20 ปีที่เกิดมาเองนะคะ รู้สึกว่ามันเปลี่ยนไปจนมูลค่าของศิลปิน มูลค่าของดนตรีที่ทำออกมามันลดลงเรื่อยๆ ดูจากตอนนี้ คนที่ซื้อซีดีก็แทบไม่มีแล้ว ยอมเสียเงินโหลดกันหรือเปล่าก็ไม่รู้ มันเลยทำให้ศิลปินหลายๆ คนทำผลงานออกมาแล้วเหนื่อย อันนี้เราเข้าใจเลยนะคะว่าทำออกมาแล้วจะได้เงินหรือเปล่า ความรู้สึกนั้นมันมีแน่นอน และสุดท้ายแล้วมันจะอยู่ได้หรือไม่ได้ ก็ด้วยใจตัวเองล้วนๆ ศิลปินต้องใจจริงๆ นะ

แต่วงการเพลงไม่ได้แย่ลงนะคะ เพลงว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันดีขึ้น เทคนิคการทำเพลง การอัดเสียงอะไรต่างๆ ดีขึ้นหมด ตามเทคโนโลยี แต่เราคิดว่าการบริโภคของลูกค้า ต่างไปจากเดิมเยอะ สิ่งที่จะขายได้สมัยนี้ ส่วนใหญ่จึงเป็นงานจ้าง คอนเสิร์ต อีเวนต์อะไรต่างๆ มากกว่าค่ะ

 ถ้ามีน้องๆ ที่ติดตามเรา อยากเป็นนักร้องอย่างเราบ้าง มีข้อแนะนำอย่างไรบ้างคะ

เพลงว่ามันเป็นเรื่องโอกาสนะคะ ไม่ว่าโอกาสจะเล็กแค่ไหน โชว์ในเวทีที่เล็กแค่ไหน ทำไปเถอะค่ะ เพราะว่าสุดท้ายแล้วมันก็คือการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เหมือนเป็นการฝึกตัวเอง เดี๋ยวโอกาสใหญ่ๆ มันก็เข้ามาเอง ถ้ามันจะมา มันต้องมาแน่นอน หรือถ้าโอกาสไม่มา ก็วิ่งใส่เลย วิ่งชนเลยค่ะ ลองทำดูค่ะ

ที่ผ่านมา มีน้องๆ ถามตลอดว่าอยากเป็นนักร้องต้องทำยังไง เพลงจะบอกว่าทำสิ อยากเป็นนักร้องก็ทำเลย ทำตัวเองให้เป็นนักร้อง ฝึกตัวเอง พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ สุดท้ายแล้ววันหนึ่ง คนที่เป็นแมวมองคนจากค่ายนู้นค่ายนี้ เขามาเห็นว่าเราดี มีความสามารถจริงๆ เขารับอยู่แล้ว เพราะเด็กที่มีความชอบ มันมีอะไรที่เหนือกว่านะ ถ้าชอบจริงๆ ฝึกหนักแค่ไหน ก็จะไม่หยุดทำและไม่ท้อ (ยิ้ม)

สามสิ่งเกี่ยวกับ “เพลง” ที่เพลงรัก

1.การร้องเพลง
เป็นสิ่งที่ตัวเองทำได้ดี และเป็นสิ่งที่อยากทำอยู่ตลอดค่ะ

2.คอนเสิร์ต
เพลงชอบทั้งการอยู่บนเวทีคอนเสิร์ตที่เราเป็นคนร้อง และการเข้าไปนั่งดูคอนเสิร์ต เพราะส่วนตัวชอบการแสดง รู้สึกเป็นศาสตร์ที่เจ๋งนะคะ มันสามารถทำให้ทุกคนที่ดูรับรู้ได้อย่างเต็มที่ว่าความสามารถของเราดีแค่ไหน สามารถควบคุมคนดูได้มากแค่ไหน (ยิ้ม) ตรงนี้คือที่สุดแล้วค่ะ ฟินมาก

3.มิตรภาพที่ได้จากวงการเพลง
เพลงได้มิตรภาพในวงการนี้เยอะมากค่ะ ทั้งเพื่อนในวง ทั้งโปรดิวเซอร์ที่มาทำงานกับเรา ถ้าเราไม่ได้มาอยู่ตรงนี้ เราก็จะไม่ได้รู้จักใคร เราได้รู้จักคนเยอะมาก จากการที่เราเข้ามาอยู่ตรงนี้

 









Profile

ชื่อ : ธนิสสา อินทฤทธิ์
ชื่อเล่น : เพลง
อายุ : 21 ปี
วันเกิด : 8 มิถุนายน 2537
น้ำหนัก : 49 กิโลกรัม
ส่วนสูง : 164 เซนติเมตร
ศิลปินในดวงใจ : Beyonce, CL(2Net), คุณพ่อเสือ ธนพล อินทฤทธิ์
การศึกษา : ชั้นปีที่ 3 คณะนิเทศศาสตร์ (อินเตอร์) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ผลงานที่ผ่านมา : รายการ Global Super Idol @South Korea
ผลงานปัจจุบัน : วง GAIA, พิธีกรรายการ “สตูดิโอโกแกง” ทางช่องเวิร์คพอยท์หมายเลข 23


 
 
เพลง-ธนิสสา กับ พ่อเสือ-ธนพล
เพลง-ธนิสสา กับ พ่อเสือ-ธนพล
สมาชิกวง GAIA

เรื่อง : วรัญญา งามขำ, กมลชนก บุญเพ็ง
ภาพ : ธัชกร กิจไชยภณ และ อินสตาแกรม : pleng_gaia

กำลังโหลดความคิดเห็น