ใครอาจมองว่าบ้าหรือว่าเพี้ยน แต่นั่นคงไม่อาจสั่นคลอนพวกเขาเหล่านี้ได้ จากคนที่สนใจในการทำความดี และรักชอบในวิถีแห่งฮีโร่เหมือนๆ กัน นำพาให้พวกเขาเหล่านี้ก้าวเข้าสู่วิถีเดียวกัน นั่นคือการตระเวนไปตามถนนสายต่างๆ เพื่อช่วยเหลือผู้คน ภายใต้เครื่องแบบฮีโร่ ตั้งแต่แบทแมน สไปเดอร์แมน ไปจนถึงมดเอ็กซ์ และอีกหลายฮีโร่
เมื่อเดือนธันวาคมของปีที่ผ่านมา เราๆ ท่านๆ อาจได้ยินได้ฟังเรื่องราวที่ชายคนหนึ่งถูกจับพร้อมกับรถคันหนึ่งซึ่งแต่งทรงลงสีเหมือนกับรถของฮีโร่แห่งรัตติกาลนามว่าแบทแมน ขณะที่ชายเจ้าของรถก็สวมเครื่องแบบแห่งมนุษย์ค้างคาวอย่างเต็มยศ แต่กับข่าวที่ปรากฏว่าเขาถูกจับ เป็นจริงเช่นนั้นไหม? บทสนทนาของ “กัมปนาท จันทร์แก้ว” เจ้าของรถคันดังกล่าว คงให้ความกระจ่างได้อย่างดี
นอกเหนือจากนี้ ใช่จะมีเพียงแค่ “แบทแมนกัมปนาท” เท่านั้น เพราะอันที่จริง ยังมีแบทแมนคนอื่นๆ และผองเพื่อนซูเปอร์ฮีโร่อย่างสไปเดอร์แมน กัปตันอเมริกา มดเอ๊กซ์ เด๊ดพูล ฯ ที่ในยามปกติ พวกเขาและเธออาจเป็นใครสักคนที่เดินผ่านพวกเราไปมา ทั้งข้าราชการ หนุ่มพนักงาน เจ้าของธุรกิจ เด็กนักเรียนมัธยมต้น กระทั่งแม่บ้านแม่ศรีเรือน แต่ทว่าในอีกเวลานาที พวกเขาอาจสวมชุดฮีโร่ออกปฏิบัติภารกิจ
อะไรคือความรู้สึกนึกคิดของ “ฮีโร่” เหล่านี้
ให้พวกเขาให้ความกระจ่าง จึงประเสริฐ...
• จุดแรกเริ่มต้นในการสวมชุดฮีโร่ออกมาปรากฏตัวของเรามาจากอะไร
กัมปนาท : โดยปกติ เราชอบช่วยเหลือผู้คนอยู่แล้ว ซึ่งก่อนหน้าที่ผมจะมาทำตรงนี้ผมก็ทำค่ายอาสาพัฒนาเกี่ยวกับนักศึกษาในช่วงที่เรียนปริญญาตรี พอจบออกมา เราก็ยังช่วยเหลือผู้คนตลอดที่พบเห็น ก็เลยอยากที่จะสร้างเอกลักษณ์ สัญลักษณ์เป็นรูปแบบของตัวเองเวลาไปช่วยเหลือในงานต่างๆ แต่ละที่ เพื่อที่จะง่ายแก่การจดจำ การเข้าหา และบังเอิญผมเองก็ชอบขี่มอเตอร์ไซค์ตอนกลางคืน เจอะเจอคนข้างทางเข้าประสบเหตุอะไรต่างๆ เราก็เข้าไปช่วยเหลือ ก็เลยคิดว่าแบทแมนเนี่ยเหมาะกับเรา คือบางทีที่เราทำความดีก็ไม่จำเป็นต้องใครรู้หรือจำเป็นต้องบอกใครก็ได้ เสน่ห์ของตัวแบทแมนอยู่ที่ตรงนี้แหละ เหมือนปิดทองหลังพระ คนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่ใจเรารู้คนเดียวก็พอ ก็เลยสร้างชุดขึ้นมา
จริงๆ มันเป็นการตอบโจทย์ความต้องการของเราเองด้วย เพราะอย่างตอนเด็กๆ อาจารย์เคยให้เราตอบว่าเราอยากจะเป็นอะไร แล้วผมบอกกับอาจารย์ว่าอยากเป็นแบทแมน แต่กลับถูกอาจารย์ตำหนิว่าทำไมไม่ตอบแบบจริงจังเหมือนคนอื่นเขา ทำไมถึงไมอยากเป็นหมอ ไม่ไปเป็นครู เหมือนที่เพื่อนตอบ ผมก็เลยบอกไปว่าถ้าอย่างนั้นขอเป็นทหารก็ได้ แต่จริงๆ คำตอบนั้นมันมาจากใจของเราเลยว่าอยากที่จะเป็นแบทแมน
อนันต์ ธนกร เหลืองประสิทธิ์ : ผมก็คล้ายๆ กันครับ จุดเริ่มของผมเป็นคนชอบทำบุญ ทำหมดทั้งที่วัดและตามสถานที่ต่างๆ อย่างวันหยุดก็จะพาครอบครัวไปทำบุญเสมอ แล้วทีนี้การแต่งตัวธรรมดาๆ ไปทำบุญ มันก็เป็นเรื่องปกติ ก็เลยคิดขึ้นได้ว่าถ้าเราใส่ชุดเท่ๆ แปลกๆ อย่างตอนแรกผมใส่ชุดพรีเดเตอร์ (Predator) ก็ช่วยสร้างรอยยิ้มให้กับผู้พบเห็นได้ ก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ตอนหลังๆ ผมก็มาเปลี่ยนเป็นแบทแมนเพราะด้วยความที่เราชอบด้วยส่วนหนึ่ง แล้วตัวละครแบทแมนก็เป็นคนดีอย่างที่รู้ๆ กัน ก็เลยไปหาชุดมาใส่ใหม่ ผลตอบรับกลับมาก็คือเวลาเด็กๆ เห็นก็ดีใจ เขาก็มีความสุขเมื่อเขาเห็นก็จะเข้ามากอด อย่างเช่นเด็กกำพร้าเวลาที่เห็นก็จะวิ่งเข้ามากอดเลย (ยิ้ม)
ก็ประมาณ 1 ปี ตรงนี้ที่เราใส่ชุดแบทแมน แล้วก็ชวนครอบครัว เริ่มจากลูกชาย (เก่ง แสงชัย เหลืองประดิษฐ์) อายุ 15 ปี ตอนนี้เขาแต่งเป็นมดเอ๊กซ์ V5 ภรรยาคุณกัญญ์ฐพิมพ์ แซ่โง้ว เป็นแค็ท วูแม็น) แล้วก็หลานอีกคน (บิ๊ก วันรัก จันทร์ภาสุข) เป็นสไปเดอร์แมน เพราะเราจะไปคนเดียวหรือไป 2 คนกับลูกก็คิดว่ามันน้อย เด็กๆ ตั้งหลายคน เขาจะได้ไม่ต้องแย่งกันเข้ามาหา แรกๆ ภรรยาก็รับไม่ได้ เขาคิดว่าบ้า เพราะด้วยความที่เราเป็นเถ้าแก่ เขาก็อายลูกน้อง (หัวเราะ) ต่อมาพอเราไปทำแล้วเขาก็รู้สึกว่ามันดี ไปช่วยเหลือเด็กที่สถานสงเคราะห์ เด็กพิการหรือเด็กที่ถูกทิ้ง ถ้าเราใส่ชุดธรรมดาไปมันก็ดูปกติ แต่ถ้าเราใส่ชุดฮีโร่พวกนี้ไปก็เท่ากับว่าไปสร้างสีสันในงานผู้คนก็จะเข้ามาถ่ายรูปเด็กๆ ก็จะมีความสุขและเราก็จะมีความสุขด้วยเมื่อเห็นคนอื่นมีความสุข เพราะเราเป็นเป็นผู้ให้เลยมีความสุขตามมา วันหยุดเราก็จะไปเป็นทีมของเรา พูดง่ายๆ ว่าทั้งบ้านเป็นยอดมนุษย์ทั้งหมดเลยเพื่อไปทำบุญ จนมาได้รู้จักกับกลุ่ม
• คือเราไม่เคยเจอกันมาก่อน แล้วมารวมตัวกันได้อย่างไร
เด๊ดพูล : ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนครับ ผมก็ทำของผมแล้วบังเอิญเพื่อนในเฟซบุ๊กผมรู้จักพวกพี่เขา คือมีเพื่อนคนหนึ่งเขาแนะนำว่ามีพี่อนันต์ ซึ่งเมื่อก่อนพี่เขาก็ใส่ชุดพรีเดเตอร์เหมือนกันแล้วจึงเปลี่ยนมาใส่ชุดแบทแมน ก็เลยติดต่อเวลาเขาไป ทำอะไรที่ไหนก็ไปด้วย จนมาเจอกับคุณกัมปนาทเมื่อไม่นานมานี้
พี่นกข้าราชการ : คือลึกๆ เรารู้สึกว่าเราอยากทำความดี แต่เรากลับไม่กล้ามาตลอดเพราะอะไรก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ แล้ววันนั้นเห็นคนใส่ชุดแบทแมนแล้วทำความดี ก็รู้สึกอยากที่จะลุกมาทำความดีบ้าง เราไม่ได้ไปทำให้ใครเดือดร้อนแล้วจะมัวไปอายทำไม เราติดคิดว่าอาย อยากจะทำดีมาตลอด พอมาปั่นจักรยานงาน Blike For Dad เห็นคนใส่ชุดฮีโร่ จากนั้นก็ขอแอดเฟซบุ๊กเป็นเพื่อนกันแล้วก็มีการนัดกันพอดีผมว่างๆ ก็มาเลยก็ได้มาเจอเพื่อนๆ ได้มาแต่งเป็นชุดสไปเดอร์แมน
อนันต์ : เราก็จะรู้จักกันต่อๆ อย่างผมที่ทำตอนแรกก็ไม่รู้ว่ามีใครบ้าง เราต่างคนต่างทำกันมา อย่างผมกับคุณกัมปนาท ถ้าย้อนไปจะเคยมีข่าวงานวันแม่ที่แต่งตัวเป็นแบทแมน นักข่าวก็พอรู้จักเรา ต่อจากนั้นไม่นานก็มีนักข่าวติดต่อมาถามว่าใช่เราที่ราชประสงค์หรือเปล่าที่เป็นข่าว เราก็บอกว่าไม่ใช่ เราก็เลยหาช่องทางติดต่อ ก็เลยทำให้เจอกับคุณกัมปนาท ทีนี้พอรู้จักกับคุณกัมปนาทก็ได้รู้จักกับคุณอ๊อดที่ใส่ชุดซูเปอร์แมนอีกคน ก็เลยชวนเข้ามาอยู่กลุ่มเดียวกัน ทำอะไรร่วมกัน ตอนนี้กลุ่มเรา ถ้ามากันครบก็จะร่วมๆ 20 คน
แค็ท วูแมน : จากตอนแรกที่เราตั้งชื่อเป็นกลุ่มบิ๊กไบค์เฉยๆ ตอนที่ยังไม่ได้เจอคุณกัมปนาท พอมาเจอกันตอนนี้เราก็เปลี่ยนชื่อเป็นกลุ่ม "ฮีโร่จิตอาสา" เพราะเราก็อยากเจอกันอยู่แล้วเรามีความคล้ายกันในเรื่องของจิตใจ นั่นก็เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นของการรวมกลุ่มและคิดว่าครั้งต่อไปที่เราจะเดินทางก็จะเป็นกันเป็นกลุ่มแบบนี้ เวลามีใครจะไปงานที่ไหนก็จะแจ้งข่าวกันทางเฟซบุ๊กว่าผมจะไปที่นั่นที่นี่ถ้าใครไม่ติดธุระอะไรก็จะไป
• หลักๆ แล้วคุณอนันต์กับคุณกัมปนาทจะเป็นแกนกลุ่ม พอเรามาเจอกันมีการเพิ่มเติมในส่วนของการช่วยเหลืออย่างไร
อนันต์ : ก็ชักชวนกันไปทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ทำบุญบ้านเด็กกำพร้าแถวราชวิถีและแถวต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น
กัมปนาท : ตอนนี้เรามีแผนการใหม่ครับ อย่างในช่วงวันเด็กที่จะถึงนี้ เราจะตระเวนทั่วกรุงเทพเพื่อกระจายความสุขให้กับเด็กๆ ตามโรงเรียนหรือสถานที่ต่างๆ ของทางรัฐสภาต้องการให้เราไปโชว์ให้เด็กๆ แต่หลังจากที่เสร็จงานนี้คิดว่าเราจะกระจายตัวกันไปตามที่ต่างๆ โรงเรียนเล็กๆ อะไรแบบนี้เพราะถ้าเรารวมกันเป็นจุดเดียวก็จะมีความสุขเพียงจุดเดียว แต่ถ้าเรากระจายกันไปกรุงเทพฯ ก็จะมีความสุขทั้งหมดเลย
• ในการออกช่วยเหลือที่ต่างๆ เราใช้เกณฑ์อะไรเป็นตัววัดว่าจะไปที่นั่นที่นี่ก่อนกัน
ทุกคน : ตอนนี้ ความช่วยเหลือจะวิ่งเข้ามาหาเราเอง ก็มีการอินบ็อกซ์เข้ามาหาเยอะมาก อย่างเช่นเมื่อเดือนที่แล้วกลุ่มบิ๊กไบค์นับร้อยคันก็ติดต่อเข้ามาเพื่อเชิญไปทำบุญ ก็มีผู้ร่วมขณะเดินไปร่วมๆ 300 คน มีไปเชียงใหม่เป็นทริปทำบุญที่อำเภอเชียงดาวที่หน่วยพิทักษ์เคลื่อนที่ 32 ของทหารไปบริจาคสิ่งของในพื้นที่ห่างไกล เป็นทริปที่ไปร่วมกับ Honda Big Wing ที่เขาเชิญไปร่วมกิจกรรม
อนันต์ : มันก็เป็นสิ่งที่เรามุ่งหวัง มันคือความสุข อยากเห็นผู้คนมีความสุข มีรอยยิ้ม บางที เราเห็นเขากำลังเครียด พอเราเข้าไปหาแล้วเขายิ้ม เราก็มีความสุข ได้ทำแล้วสบายใจ ได้เห็นว่าสิ่งที่เราทำแล้วผู้คนมีความสุข เราก็สบายใจคืออยากให้เด็กที่เห็นเราทำเป็นตัวอย่างที่ดีแล้วเด็กก็ทำตาม สิ่งที่มี่ก็ให้มองข้ามไปเราพยายามจะไม่แสดงสิ่งเหล่านั้นออกมาให้เด็กเห็นซึ่งก็ไม่เคยทำ
กัปนาท : คือเป็นฟันเฟืองเล็กๆ แต่ในฟันเฟืองตัวนี้เราจะทำแบบไม่มีการหยุดพัก ทำแบบไม่มีวันอวสานในสิ่งเล็กๆ ที่เราทำ ไม่แน่ว่าในอนาคต อาจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็ได้ เหมือนอย่างที่ผมเคยบอกว่ามีเหตุการณ์หนึ่งวัยรุ่นทำร้ายร่างกายกันอยู่ แต่พอเราแต่งชุดแบบนี้แล้วก็หยุดเลย เขาหันมาเห็นผมมีหนึ่งในนั้นตะโกนมาว่า “นอกเครื่องแบบมาแล้ว” เด็กพวกนั้นก็หันมาดูเป็นตาเดียวกันจากนั้นก็วงแตกหายไปหมดเลย (หัวเราะ) ผมก็เลยเดินเข้าไปบอกว่ากลับบ้านดีๆ นั่งแท็กซี่ไปเลยนะอย่านั่งรถเมล์เดี๋ยวจะโดนทำร้ายอีก เด็กก็ยกมือไหว้ขอบคุณแล้วก็รีบวิ่งไปเลย คือดีที่เด็กนั่นไม่โดนทำร้ายอะไรมากกว่านั้น
แต่ที่เจอบ่อยสุด ตอนที่ผมใส่ชุดก็พวกปัญหาผัวๆ เมียๆ ตบกันกลางถนน ทะเลาะๆ กันอยู่พอผมเดินเข้าไปผัวเขาก็มองแล้วแบบว่ามีปฏิกิริยาอ่อนลงจากนั้นก็เดินจูงมือกันกลับไป
• ส่วนตัวรู้สึกอย่างไร เมื่อเรามอบบางสิ่งบางอย่างให้พวกเขาแต่ก็มีบางกระแสบอกว่าเราเพี้ยน สติไม่เต็ม
อนันต์ : เราเจอปัญหาแบบนี้บ่อยมาก บางที่เจอคำถามว่า เฮ้ย...บ้าหรือเปล่า ผมก็เลยตอบกลับไปว่าคนบ้าอะไรจะขี่มอเตอร์ไซค์คันละเกือบล้าน (หัวเราะ) คนบ้าที่ไหจะมาซื้อมอเตอร์ไซค์คันละเกือบล้านแบบนี้ แต่ผมทำแล้วผมมีความสุข ผมขี่บิ๊กไบค์ไปชะอำ คนก็แห่ถ่ายรูปตลอดทาง เขาก็หัวเราะยิ้มแย้ม พอกลับมาถึงบ้านผมก็นั่งนึกว่า เออเรานี่ยิ่งกว่าหม่ำ จ๊กมก ซะอีก ไม่ต้องพูดคนก็หัวเราะได้ แล้วมีการนำภาพไปแชร์ลงเฟซบุ๊กและเขียนว่า แบทแมนโดนพรีเดเตอร์ขับไล่ เพราะลูกเราสวมชุดเพรีเดเตอร์ขับตามหลังกันมา ก็ดูตลกดี หรืออย่างคุณกัมปนาท เขาเคยเจอขับรถไปเข้าด่านตำรวจแล้วก็มีตำรวจหญิงทานหนึ่งพูดว่า “ขอโทษนะค่ะ ปกติดีใช่ไหม” (หัวเราะ)
กัมปนาท : คือผมก็ไม่ได้พูด เพราะถ้าเป็นคนบ้าก็จะตอบว่าผมไม่ได้บ้า แต่ผมก็ได้แต่หันไปพยักหน้าแล้วยิ้มให้แค่นั้นเอง (หัวเราะ) คือเราไม่ต้องไปต่อล้อต่อเถียงอะไร นี่คือสิ่งที่เราทำได้ เราคือฮีโร่ แต่ถ้าสมมุติว่าเราเพี้ยนจริง บ้าจริง แต่เราก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ก็ดีกว่าคนปกติที่ปกติจริง แต่ทำความชั่วพวกนี้มีเยอะแยะไป ปล้นฆ่าคนอื่น แต่ถามว่าคนบ้าอย่างพวกผมนี้ไม่เคยเห็นว่าเขาไปทำร้ายใครด้วยนะ
• คิดว่า การรวมกลุ่มฮีโร่จิตอาสาของเราออกช่วยเหลือสังคมจะนำไปสู่อะไรได้บ้าง
อนันต์ : ผมว่ามันจะช่วยกระตุ้นให้ทุกคนทำความดีเพราะว่า เด็กบางคนที่ทักมาในเพจบอกว่าพี่ทำดีมากครับ พี่เป็นไอดอล จะบอกว่าผมเป็นคนแรกที่นำร่องสวมชุดฮีโร่ขี่บิ๊กไบค์และตอนนี้ก็มีคนทำตามอยู่เรื่อยๆ หรือบางทีในคลิปที่เห็นว่าใส่ชุดฮีโร่ขี่รถเล่นตอนกลางต้องบอกว่าไม่ใช่ผม ต้องดูรถที่ขี่ด้วยของผมจะเป็นบิ๊กไบค์คันใหญ่ไม่ใช่รถเล็ก แต่มันก็ยังช่วยกระตุ้นความรู้สึกคน เพราะตอนนี้ก็มีเพิ่มเข้ามาแทบทุกวัน บางคนก็อยากเข้าร่วมกลุ่ม บางคนก็บอกว่าถ้ามีอะไรให้ช่วยเหลือเกี่ยวกับของบริจาคก็ติดต่อไปได้เขาพร้อมที่จะช่วยเหลือ
• คือจะบอกว่าทุกวันนี้คนต้องการตัวแทนที่จะกล้าทำความดีให้เห็นในสังคม
อนันต์ : ผมว่าบางคนเขามีจิตอาสาอยู่แล้ว
กัมปนาท : คือมันอาจจะไม่ได้มาในรูปแบบที่ว่าใครจะมาทำตามแบบของเรา แต่คืออยากให้เขาเจอในสิ่งที่เราเชื่อแบบเดียวกันนั่นคือ ความดี ความยุติธรรม ความถูกต้อง คือตรงนี้อยากให้เป็นจิตใต้สำนึกของวัยรุ่น จริงๆ แล้วคนที่ไม่ได้ใส่หน้ากากทำความดีได้ง่ายกว่าคนใส่หน้ากากอีกนะ แค่เรามีใจที่จะทำอย่างเช่น ช่วยคุณป้าเข็นของหรืออะไรก็ว่าไป ผมว่ามันเข้าถึงได้ง่ายกว่าพวกฮีโร่อีกนะ
การใส่ชุดฮีโร่เป็นแค่สัญญลักษณ์ในการทำดี แต่ว่าเวลาที่ไปทำจริงๆ แล้วถอดหน้ากากทำมันจะเข้าถึงง่ายกว่า เพราะเราใส่หน้ากากแค่บางวันแต่ในวันที่เราไม่ใส่นั่นแหละมักจะพบเจอปัญหาเยอะกว่า แต่คนส่วนมากก็ยังอายไม่กล้าที่จะทำ เราก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงที่จะให้วัยรุ่นเลิกอาย แม้ว่าเราจะออกมาทำให้ดูแล้วว่าเรามีความกล้า คืออยากให้วัยรุ่นเหล่านั้นมีความกล้าที่จะทำดีขึ้นมาสักนิดหนึ่ง อยู่ในสังคมนี้แล้วก็ช่วยให้สังคมดีขึ้น เหมือนในหลายๆ ปีที่แล้วที่คนยังช่วยเหลือซึ่งกันและกันอยู่ แต่ยุคนี้เหมือนว่าการใช้ชีวิตจะตัวใครตัวมันซะมากกว่า
ผมคิดว่าทุกวันนี้คนทำความดีน้อยลงหรือบางคนก็ไม่กล้าทำความดี มันก็แปลกนะ แต่พอเรื่องที่ไม่ดีกลับกล้าที่จะทำ และคิดว่ามันมีเส้นความอายบางๆ ขวางอยู่เลยไม่กล้า เหมือนอย่างตอนที่มีคลิปโคโยตี้เต้นยั่วแล้วมีคนบันทึกไว้ คลิปนั้นก็เลยดัง เออ ทีแบบนั้นกลับกล้าที่จะทำ เพราะอะไร ก็เพราะมันมีแต่เรื่องที่ไม่ดีให้ดู คนเราก็เลยทำตาม แต่พอเรื่องที่ดีๆ คนกลับไม่สน ไม่ถ่ายคลิป ไม่บันทึกกัน มันก็เลยไม่มีตัวอย่างให้เห็น ผมก็เลยอยากที่จะเป็นตัวอย่าง เป็นสัญญลักษณ์ของการทำความดี เราไปช่วยเหลือเด็กกำพร้า เราไปให้กำลังใจพ่อค้าแม่ค้า เราออกไปทำดีทำจิตอาสา อย่างน้อยก็ช่วยกระตุ้นได้ซักนิดหนึ่งก็ยังดี
กอลฟ์ ปฐพี สกุลธนพัฒน์ : ทุกวันนี้มองเห็นเด็กสมัยนี้กล้าคิดกล้าแสดงออกเยอะ แต่กับเรื่องที่ไม่ดี จึงอยากให้กล้าคิด กล้าแสดงออกในเรื่องที่สร้างสรรค์ โดยให้เป็นไปตามธรรมชาติคือไม่ต้องมีใครมาบังคับนั่นจะดีที่สุด
ไม่ต้องห่วงเลยว่าสิ่งที่ทำดีจะไม่มีคนเห็น เดี๋ยวคนที่ชอบสิ่งที่เราทำเหล่านั้นก็จะมาตามดูเองโดยที่ไม่ต้องถอดหน้ากากเลยด้วยซ้ำ เพราะเขาจะตามให้ได้ว่าจริงๆ แล้วเป็นใคร อย่างวันที่ผมใส่หน้ากาก ยังไม่ทันได้ถอดเลยก็มีคนรู้แล้วว่าผมเป็นใคร ซึ่งมันก็เป็นบทสรุปแล้วว่าการทำความดีที่เป็นการปิดทองหลังพระ สักวันหนึ่งเดี๋ยวทองหลังพระก็จะนูนออกมาให้คนได้เห็นเอง เป็นการกระทำความดีโดยที่ไม่หวังผลและไม่มีเงื่อนไขใดๆ และเชื่อว่าสิ่งที่คุณทำสังคมจะได้รับรู้ในวันข้างหน้า
อนันต์ : แล้วอีกอย่างหนึ่งคือมันรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าเราเป็นคนทำ เป็นความประทับใจของตัวเราเอง จริงๆ ก็ไม่ได้ปกปิดอะไรอยู่แล้ว ที่เราใส่เพราะเราชอบ จะให้ถอดก็ได้ถ้าอยากให้ถอด อีกอย่างว่าผมใส่หน้ากากแล้วมันดูเท่กว่า ตอนถอดออกหน้าผมขี้เหร่ (หัวเราะ) ก็เท่านั้นเอง
• แล้วจากข่าวที่เราโดนจับเรื่องแต่งรถผิดประเภทไม่เหมาะสมในการขับขี่เป็นถนนเป็นอย่างไร
กัมปนาท : ต้องขอบอกและเรียนอีกครั้งเลยว่า ไม่ได้โดนจังและผิดกฎหมาย ย้ำอีกครั้งนะครับอยากจะให้เข้าใจตรงกัน คือรถของเราถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง ได้จากศูนย์มายังไงก็แบบนั้น แต่ที่เห็นว่ามันมีรูปลักษณ์คล้ายกับรถของฮีโร่ก็เพราะตัวรถออกแบบมาได้เหมือนมาก มันใช่เลย ผมก็เลยลงทุนซื้อมาขี่ แต่ที่เห็นในข่าวคันนั้นเป็นรถยนต์ จริงๆ แล้ว ภาพนั้นไม่ได้โดนจับนะ แต่เป็นการนำข่าวสองข่าวมายำใส่กันแล้วในวัน Bike or Dad จริงๆ ผมก็ไม่ได้ถูกจับ เขาขอให้ผมเข้าไปถ่ายรูปแต่มุมภาพเหมือนผมกับกำลังถูกจับ ส่วนรถที่นักข่าวบอกว่ารถสภาพแบบนี้ขับได้หรือ ผมต้องบอกว่าจริงๆ แล้วเขาไม่ได้ขับทุกวัน จะนำออกมาโชว์เฉพาะเวลาที่มีงานอีเว้นท์สามารถขับไปร่วมงานได้เลยโดยที่ไม่ต้องมีรถมายกไป เพราะรถคันนั้นสามารถใช้งานได้ตามปกติ มีเลขทะเบียน เลขตัวถังอะไรต่างๆ ครบถ้วน
แต่เข้าใจได้ว่าในสภาพรถที่ถูกดัดแปลงมามันไม่สามารถใช้ขับบนถนนแบบทุกวันๆ ได้อยู่แล้ว หรืออย่างเวลาที่มีด่าน อย่างเช่นด่านความมั่นคง ผมจะลงไปทักทายพี่เจ้าหน้าที่เองเลย ยกมือไหว้สวัสดี เหมือนเจอเพื่อนเหมือนคนรู้จักกันและผมก็ยินดีที่จะให้เจ้าหน้าที่ตรวจค้นเพราะผมไม่ได้ทำผิดกฎหมายอะไร ไม่ได้พกอาวุธหรือของผิดกฎอะไรเลย ยกเว้นก็แต่ไพ่สำรับหนึ่งแค่นั้นเองก็แค่เอาไว้ร่อนเล่นๆ จะไปทำอะไรใครได้ (หัวเราะ)
• แน่นอนว่ายังมีคนมองว่าเราเพี้ยนๆ อยู่ และถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ จะยังทำแบบนี้ต่อไปหรือเปล่า
อนันต์ : บางครั้งมันก็ท้อนะ แต่ก็อย่างที่ผมบอกคนบางพวกก็อิจฉาเห็นคนอื่นได้ดิบได้ดีกว่าไม่ได้อิจฉาหมด แต่สำหรับผมถ้าเห็นใครได้ดีผมจะสนับสนุน ถึงยังไงผมก็ปฏิญาณตนไว้แล้วว่าผมจะทำจนกว่าผมจะหมดแรงไม่ว่าใครจะมองยังไงก็ช่างเขา ผมจะขี่บิ๊กไบค์ตระเวนไปช่วยเหลือเด็กแบบนี้ไปเรื่อยๆ เพราะเด็กคืออนาคตของชาติ ด้วยความที่ว่าผมเรียนมาน้อยจึงอยากให้เด็กมีการศึกษา ถ้าเด็กพวกนี้ได้รับการศึกษาที่ดีประเทศชาติก็จะพัฒนาไปในทางที่ดีและถูกต้องตามไปด้วย
กัมปนาท : ผมก็จะทำไปเรื่อยๆ นั่นแหละเพราะใจรักที่จะทำความดีเหมือนเป็นงาอดิเรกของผมไปแล้ว มันก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องโกหกตัวเองผมก็ขอทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ดีกว่า ทุกวันนี้ผมก็ยังขี่ตระเวนแถวๆ นนทบุรี เพราะที่นี่ยาเสพติดเยอะ ผมเคยขี่ผ่านไปแถวท่าน้ำนนท์เห็นวัยรุ่นอันธพาลตีกัน เสพยาบ้า ดูดกัญชา ผมก็สงสัยว่าเจ้าหน้าไปอยู่ที่ไหนทั้งๆ ที่โรงพักก็อยู่แค่ใกล้แค่นั้นเองแต่ทำไมถึงปล่อยให้เด็กๆ พวกนี้มามั่วสุม ผมก็แอบสงสัยยังคิดเล่นๆ เลยว่าถ้าไม่มีเจ้าหน้าที่มาตรวจตราเดี๋ยวจะแต่งชุดแบทแมนมายืนอยู่ตรงนี้เลยดีไหม ถ้าเจอใครไม่ดีหรือเป็นภัยต่อสังคมผมจะหวดซะตรงนั้นเลย แต่ชีวิตจริงไม่สามารถทำแบบนั้นเลยก็เลยได้แต่มโนอยู่ในหัว (หัวเราะ)
คือในการที่เราออกมาทำแบบนี้ เราได้เห็นอีกมิติหนึ่งของสังคม โสเภณี ยาเสพติด มันแสดงให้เห็นถึงจุดบอดของสังคมว่ามันบกพร่องถึงขนาดที่ต้องมีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมา สะท้อนให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ยังทำงานได้ไม่เต็มที่หรือเปล่า ผมไม่ได้ตำหนิการทำงานของเจ้าหน้าที่นะ เพียงแต่อย่างให้เพิ่มศักยภาพในการทำงานให้มากกว่านี้หน่อย และไม่ใช่แค่เจ้าหน้าที่คนในสังคมก็ต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตาด้วย ไม่ใช่ว่าเจอคนกำลังทำร้ายร่างกายกันอยู่แล้วยืนดูเฉยๆ ก็ควรที่จะหาทางช่วยหรือไปแจ้งเจ้าหน้าที่ ไม่ใช่มายืนดูถ่ายคลิปถ่ายอะไรกันไปทำไมทำแบบนั้นได้แต่ทำไมคิดที่จะช่วยไม่ได้
• แผนการในอนาคตอย่างที่ฟังมาตอนช่วงต้นๆ ของการกระจายความสุขให้ทั่วทุกพื้นที่ เรามีอะไรจะเสริมอีกหรือไม่
กัมปนาท : ผมจะรวมกลุ่มคนที่คิดเหมือนกันให้เยอะขึ้น แล้วกระจายกันออกไปทำดีตามจุดต่างๆ อย่างเช่น แบทแมน จังหวัดปทุมธานี แบทแมน พระราม 2 แบทแมน จังหวัดนนทบุรีอะไรแบบนี้ หรือฮีโร่ต่างๆ หลายๆ ท่าน อย่างผมจะคอยดูผลงานของเขาตลอดเป็นการสนับสนุน จริงๆ ยังมีอีกหลายคนตามต่างจังหวัดก็มีเหมือนกัน อย่างภูเก็ต มหาสารคาม ที่สารคามเราก็เพิ่งจะได้รูปมาวันนี้เอง ซึ่งเขาก็มีชื่อเสียง มีวีรกรรมในพื้นที่ของเขา และเขาก็เป็นฮีโร่ในแบบฉบับของเขา
ถ้าเรารวมร่วมกันทำได้ ก็จะก่อให้เกิดโครงข่ายและติดต่อสื่อสารกันตลอด ไม่จำเป็นต้องมาร่วมกันเป็นจุดใหญ่แต่จะให้กระจายตัวเป็นจุดๆ ไป นี่คือแผนที่ผมวางไว้ในอนาคตแต่ตอนนี้เรายังทำแบบนั้นไม่ได้เพราะสมาชิกเราไม่ได้เยอะขนาดนั้น ผมอยากให้ทุกภาคส่วนมีคนแบบพวกเราอยู่เช่นว่าเวลาไปรังสิตหรือไปพระราม 2 ก็เจอกลุ่มแบบนี้แล้วถ้าเกิดวันหนึ่งมีกิจกรรมเราก็จะนัดรวมตัวกันมาร่วมทำกิจกรรมด้วยกัน อยู่ภายใต้แนวความคิดเดียวกัน คือเป็นฮีโร่คอยช่วยเหลือสังคมอะไร
เพราะอย่างที่บอก มันเป็นเหมือนฟันเฟืองเล็กๆ ที่สำคัญตัวหนึ่งที่มีประสิทธิภาพ เพราะเราค่อยข้างชัดเจนในการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ซึ่งอาจจะเป็นแปลงพฤติกรรมของเด็กๆ ที่กำลังจะโตเพราะในความรู้สึกของเด็กๆ เมื่อดูฮีโร่เหล่านี้จากจอทีวีแต่วันหนึ่งได้เจอตัวเป็นๆ ผมว่ามันซึมซับได้ง่ายกว่า ได้สัมผัสได้อะไรต่างๆ แล้วเด็กก็จะรู้ว่าฮีโร่ไม่จำเป็นต้องมีพลังพิเศษ คนธรรมดาก็เป็นฮีโร่ได้เหมือนกันเพียงแค่มีใจที่อยากจะช่วยเหลือผู้อื่นแค่นั้นเอง
และไม่จำเป็นว่าคุณจะต้องมีกล้ามใหญ่โต ดูมีภูมิฐาน คนผอมๆ แห้งๆ ก็เป็นฮีโร่ได้แค่มีใจอยากจะช่วย
เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : ธัชกร กิจไชยภณ
เมื่อเดือนธันวาคมของปีที่ผ่านมา เราๆ ท่านๆ อาจได้ยินได้ฟังเรื่องราวที่ชายคนหนึ่งถูกจับพร้อมกับรถคันหนึ่งซึ่งแต่งทรงลงสีเหมือนกับรถของฮีโร่แห่งรัตติกาลนามว่าแบทแมน ขณะที่ชายเจ้าของรถก็สวมเครื่องแบบแห่งมนุษย์ค้างคาวอย่างเต็มยศ แต่กับข่าวที่ปรากฏว่าเขาถูกจับ เป็นจริงเช่นนั้นไหม? บทสนทนาของ “กัมปนาท จันทร์แก้ว” เจ้าของรถคันดังกล่าว คงให้ความกระจ่างได้อย่างดี
นอกเหนือจากนี้ ใช่จะมีเพียงแค่ “แบทแมนกัมปนาท” เท่านั้น เพราะอันที่จริง ยังมีแบทแมนคนอื่นๆ และผองเพื่อนซูเปอร์ฮีโร่อย่างสไปเดอร์แมน กัปตันอเมริกา มดเอ๊กซ์ เด๊ดพูล ฯ ที่ในยามปกติ พวกเขาและเธออาจเป็นใครสักคนที่เดินผ่านพวกเราไปมา ทั้งข้าราชการ หนุ่มพนักงาน เจ้าของธุรกิจ เด็กนักเรียนมัธยมต้น กระทั่งแม่บ้านแม่ศรีเรือน แต่ทว่าในอีกเวลานาที พวกเขาอาจสวมชุดฮีโร่ออกปฏิบัติภารกิจ
อะไรคือความรู้สึกนึกคิดของ “ฮีโร่” เหล่านี้
ให้พวกเขาให้ความกระจ่าง จึงประเสริฐ...
• จุดแรกเริ่มต้นในการสวมชุดฮีโร่ออกมาปรากฏตัวของเรามาจากอะไร
กัมปนาท : โดยปกติ เราชอบช่วยเหลือผู้คนอยู่แล้ว ซึ่งก่อนหน้าที่ผมจะมาทำตรงนี้ผมก็ทำค่ายอาสาพัฒนาเกี่ยวกับนักศึกษาในช่วงที่เรียนปริญญาตรี พอจบออกมา เราก็ยังช่วยเหลือผู้คนตลอดที่พบเห็น ก็เลยอยากที่จะสร้างเอกลักษณ์ สัญลักษณ์เป็นรูปแบบของตัวเองเวลาไปช่วยเหลือในงานต่างๆ แต่ละที่ เพื่อที่จะง่ายแก่การจดจำ การเข้าหา และบังเอิญผมเองก็ชอบขี่มอเตอร์ไซค์ตอนกลางคืน เจอะเจอคนข้างทางเข้าประสบเหตุอะไรต่างๆ เราก็เข้าไปช่วยเหลือ ก็เลยคิดว่าแบทแมนเนี่ยเหมาะกับเรา คือบางทีที่เราทำความดีก็ไม่จำเป็นต้องใครรู้หรือจำเป็นต้องบอกใครก็ได้ เสน่ห์ของตัวแบทแมนอยู่ที่ตรงนี้แหละ เหมือนปิดทองหลังพระ คนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่ใจเรารู้คนเดียวก็พอ ก็เลยสร้างชุดขึ้นมา
จริงๆ มันเป็นการตอบโจทย์ความต้องการของเราเองด้วย เพราะอย่างตอนเด็กๆ อาจารย์เคยให้เราตอบว่าเราอยากจะเป็นอะไร แล้วผมบอกกับอาจารย์ว่าอยากเป็นแบทแมน แต่กลับถูกอาจารย์ตำหนิว่าทำไมไม่ตอบแบบจริงจังเหมือนคนอื่นเขา ทำไมถึงไมอยากเป็นหมอ ไม่ไปเป็นครู เหมือนที่เพื่อนตอบ ผมก็เลยบอกไปว่าถ้าอย่างนั้นขอเป็นทหารก็ได้ แต่จริงๆ คำตอบนั้นมันมาจากใจของเราเลยว่าอยากที่จะเป็นแบทแมน
อนันต์ ธนกร เหลืองประสิทธิ์ : ผมก็คล้ายๆ กันครับ จุดเริ่มของผมเป็นคนชอบทำบุญ ทำหมดทั้งที่วัดและตามสถานที่ต่างๆ อย่างวันหยุดก็จะพาครอบครัวไปทำบุญเสมอ แล้วทีนี้การแต่งตัวธรรมดาๆ ไปทำบุญ มันก็เป็นเรื่องปกติ ก็เลยคิดขึ้นได้ว่าถ้าเราใส่ชุดเท่ๆ แปลกๆ อย่างตอนแรกผมใส่ชุดพรีเดเตอร์ (Predator) ก็ช่วยสร้างรอยยิ้มให้กับผู้พบเห็นได้ ก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ตอนหลังๆ ผมก็มาเปลี่ยนเป็นแบทแมนเพราะด้วยความที่เราชอบด้วยส่วนหนึ่ง แล้วตัวละครแบทแมนก็เป็นคนดีอย่างที่รู้ๆ กัน ก็เลยไปหาชุดมาใส่ใหม่ ผลตอบรับกลับมาก็คือเวลาเด็กๆ เห็นก็ดีใจ เขาก็มีความสุขเมื่อเขาเห็นก็จะเข้ามากอด อย่างเช่นเด็กกำพร้าเวลาที่เห็นก็จะวิ่งเข้ามากอดเลย (ยิ้ม)
ก็ประมาณ 1 ปี ตรงนี้ที่เราใส่ชุดแบทแมน แล้วก็ชวนครอบครัว เริ่มจากลูกชาย (เก่ง แสงชัย เหลืองประดิษฐ์) อายุ 15 ปี ตอนนี้เขาแต่งเป็นมดเอ๊กซ์ V5 ภรรยาคุณกัญญ์ฐพิมพ์ แซ่โง้ว เป็นแค็ท วูแม็น) แล้วก็หลานอีกคน (บิ๊ก วันรัก จันทร์ภาสุข) เป็นสไปเดอร์แมน เพราะเราจะไปคนเดียวหรือไป 2 คนกับลูกก็คิดว่ามันน้อย เด็กๆ ตั้งหลายคน เขาจะได้ไม่ต้องแย่งกันเข้ามาหา แรกๆ ภรรยาก็รับไม่ได้ เขาคิดว่าบ้า เพราะด้วยความที่เราเป็นเถ้าแก่ เขาก็อายลูกน้อง (หัวเราะ) ต่อมาพอเราไปทำแล้วเขาก็รู้สึกว่ามันดี ไปช่วยเหลือเด็กที่สถานสงเคราะห์ เด็กพิการหรือเด็กที่ถูกทิ้ง ถ้าเราใส่ชุดธรรมดาไปมันก็ดูปกติ แต่ถ้าเราใส่ชุดฮีโร่พวกนี้ไปก็เท่ากับว่าไปสร้างสีสันในงานผู้คนก็จะเข้ามาถ่ายรูปเด็กๆ ก็จะมีความสุขและเราก็จะมีความสุขด้วยเมื่อเห็นคนอื่นมีความสุข เพราะเราเป็นเป็นผู้ให้เลยมีความสุขตามมา วันหยุดเราก็จะไปเป็นทีมของเรา พูดง่ายๆ ว่าทั้งบ้านเป็นยอดมนุษย์ทั้งหมดเลยเพื่อไปทำบุญ จนมาได้รู้จักกับกลุ่ม
• คือเราไม่เคยเจอกันมาก่อน แล้วมารวมตัวกันได้อย่างไร
เด๊ดพูล : ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนครับ ผมก็ทำของผมแล้วบังเอิญเพื่อนในเฟซบุ๊กผมรู้จักพวกพี่เขา คือมีเพื่อนคนหนึ่งเขาแนะนำว่ามีพี่อนันต์ ซึ่งเมื่อก่อนพี่เขาก็ใส่ชุดพรีเดเตอร์เหมือนกันแล้วจึงเปลี่ยนมาใส่ชุดแบทแมน ก็เลยติดต่อเวลาเขาไป ทำอะไรที่ไหนก็ไปด้วย จนมาเจอกับคุณกัมปนาทเมื่อไม่นานมานี้
พี่นกข้าราชการ : คือลึกๆ เรารู้สึกว่าเราอยากทำความดี แต่เรากลับไม่กล้ามาตลอดเพราะอะไรก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ แล้ววันนั้นเห็นคนใส่ชุดแบทแมนแล้วทำความดี ก็รู้สึกอยากที่จะลุกมาทำความดีบ้าง เราไม่ได้ไปทำให้ใครเดือดร้อนแล้วจะมัวไปอายทำไม เราติดคิดว่าอาย อยากจะทำดีมาตลอด พอมาปั่นจักรยานงาน Blike For Dad เห็นคนใส่ชุดฮีโร่ จากนั้นก็ขอแอดเฟซบุ๊กเป็นเพื่อนกันแล้วก็มีการนัดกันพอดีผมว่างๆ ก็มาเลยก็ได้มาเจอเพื่อนๆ ได้มาแต่งเป็นชุดสไปเดอร์แมน
อนันต์ : เราก็จะรู้จักกันต่อๆ อย่างผมที่ทำตอนแรกก็ไม่รู้ว่ามีใครบ้าง เราต่างคนต่างทำกันมา อย่างผมกับคุณกัมปนาท ถ้าย้อนไปจะเคยมีข่าวงานวันแม่ที่แต่งตัวเป็นแบทแมน นักข่าวก็พอรู้จักเรา ต่อจากนั้นไม่นานก็มีนักข่าวติดต่อมาถามว่าใช่เราที่ราชประสงค์หรือเปล่าที่เป็นข่าว เราก็บอกว่าไม่ใช่ เราก็เลยหาช่องทางติดต่อ ก็เลยทำให้เจอกับคุณกัมปนาท ทีนี้พอรู้จักกับคุณกัมปนาทก็ได้รู้จักกับคุณอ๊อดที่ใส่ชุดซูเปอร์แมนอีกคน ก็เลยชวนเข้ามาอยู่กลุ่มเดียวกัน ทำอะไรร่วมกัน ตอนนี้กลุ่มเรา ถ้ามากันครบก็จะร่วมๆ 20 คน
แค็ท วูแมน : จากตอนแรกที่เราตั้งชื่อเป็นกลุ่มบิ๊กไบค์เฉยๆ ตอนที่ยังไม่ได้เจอคุณกัมปนาท พอมาเจอกันตอนนี้เราก็เปลี่ยนชื่อเป็นกลุ่ม "ฮีโร่จิตอาสา" เพราะเราก็อยากเจอกันอยู่แล้วเรามีความคล้ายกันในเรื่องของจิตใจ นั่นก็เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นของการรวมกลุ่มและคิดว่าครั้งต่อไปที่เราจะเดินทางก็จะเป็นกันเป็นกลุ่มแบบนี้ เวลามีใครจะไปงานที่ไหนก็จะแจ้งข่าวกันทางเฟซบุ๊กว่าผมจะไปที่นั่นที่นี่ถ้าใครไม่ติดธุระอะไรก็จะไป
• หลักๆ แล้วคุณอนันต์กับคุณกัมปนาทจะเป็นแกนกลุ่ม พอเรามาเจอกันมีการเพิ่มเติมในส่วนของการช่วยเหลืออย่างไร
อนันต์ : ก็ชักชวนกันไปทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ทำบุญบ้านเด็กกำพร้าแถวราชวิถีและแถวต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น
กัมปนาท : ตอนนี้เรามีแผนการใหม่ครับ อย่างในช่วงวันเด็กที่จะถึงนี้ เราจะตระเวนทั่วกรุงเทพเพื่อกระจายความสุขให้กับเด็กๆ ตามโรงเรียนหรือสถานที่ต่างๆ ของทางรัฐสภาต้องการให้เราไปโชว์ให้เด็กๆ แต่หลังจากที่เสร็จงานนี้คิดว่าเราจะกระจายตัวกันไปตามที่ต่างๆ โรงเรียนเล็กๆ อะไรแบบนี้เพราะถ้าเรารวมกันเป็นจุดเดียวก็จะมีความสุขเพียงจุดเดียว แต่ถ้าเรากระจายกันไปกรุงเทพฯ ก็จะมีความสุขทั้งหมดเลย
• ในการออกช่วยเหลือที่ต่างๆ เราใช้เกณฑ์อะไรเป็นตัววัดว่าจะไปที่นั่นที่นี่ก่อนกัน
ทุกคน : ตอนนี้ ความช่วยเหลือจะวิ่งเข้ามาหาเราเอง ก็มีการอินบ็อกซ์เข้ามาหาเยอะมาก อย่างเช่นเมื่อเดือนที่แล้วกลุ่มบิ๊กไบค์นับร้อยคันก็ติดต่อเข้ามาเพื่อเชิญไปทำบุญ ก็มีผู้ร่วมขณะเดินไปร่วมๆ 300 คน มีไปเชียงใหม่เป็นทริปทำบุญที่อำเภอเชียงดาวที่หน่วยพิทักษ์เคลื่อนที่ 32 ของทหารไปบริจาคสิ่งของในพื้นที่ห่างไกล เป็นทริปที่ไปร่วมกับ Honda Big Wing ที่เขาเชิญไปร่วมกิจกรรม
อนันต์ : มันก็เป็นสิ่งที่เรามุ่งหวัง มันคือความสุข อยากเห็นผู้คนมีความสุข มีรอยยิ้ม บางที เราเห็นเขากำลังเครียด พอเราเข้าไปหาแล้วเขายิ้ม เราก็มีความสุข ได้ทำแล้วสบายใจ ได้เห็นว่าสิ่งที่เราทำแล้วผู้คนมีความสุข เราก็สบายใจคืออยากให้เด็กที่เห็นเราทำเป็นตัวอย่างที่ดีแล้วเด็กก็ทำตาม สิ่งที่มี่ก็ให้มองข้ามไปเราพยายามจะไม่แสดงสิ่งเหล่านั้นออกมาให้เด็กเห็นซึ่งก็ไม่เคยทำ
กัปนาท : คือเป็นฟันเฟืองเล็กๆ แต่ในฟันเฟืองตัวนี้เราจะทำแบบไม่มีการหยุดพัก ทำแบบไม่มีวันอวสานในสิ่งเล็กๆ ที่เราทำ ไม่แน่ว่าในอนาคต อาจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็ได้ เหมือนอย่างที่ผมเคยบอกว่ามีเหตุการณ์หนึ่งวัยรุ่นทำร้ายร่างกายกันอยู่ แต่พอเราแต่งชุดแบบนี้แล้วก็หยุดเลย เขาหันมาเห็นผมมีหนึ่งในนั้นตะโกนมาว่า “นอกเครื่องแบบมาแล้ว” เด็กพวกนั้นก็หันมาดูเป็นตาเดียวกันจากนั้นก็วงแตกหายไปหมดเลย (หัวเราะ) ผมก็เลยเดินเข้าไปบอกว่ากลับบ้านดีๆ นั่งแท็กซี่ไปเลยนะอย่านั่งรถเมล์เดี๋ยวจะโดนทำร้ายอีก เด็กก็ยกมือไหว้ขอบคุณแล้วก็รีบวิ่งไปเลย คือดีที่เด็กนั่นไม่โดนทำร้ายอะไรมากกว่านั้น
แต่ที่เจอบ่อยสุด ตอนที่ผมใส่ชุดก็พวกปัญหาผัวๆ เมียๆ ตบกันกลางถนน ทะเลาะๆ กันอยู่พอผมเดินเข้าไปผัวเขาก็มองแล้วแบบว่ามีปฏิกิริยาอ่อนลงจากนั้นก็เดินจูงมือกันกลับไป
• ส่วนตัวรู้สึกอย่างไร เมื่อเรามอบบางสิ่งบางอย่างให้พวกเขาแต่ก็มีบางกระแสบอกว่าเราเพี้ยน สติไม่เต็ม
อนันต์ : เราเจอปัญหาแบบนี้บ่อยมาก บางที่เจอคำถามว่า เฮ้ย...บ้าหรือเปล่า ผมก็เลยตอบกลับไปว่าคนบ้าอะไรจะขี่มอเตอร์ไซค์คันละเกือบล้าน (หัวเราะ) คนบ้าที่ไหจะมาซื้อมอเตอร์ไซค์คันละเกือบล้านแบบนี้ แต่ผมทำแล้วผมมีความสุข ผมขี่บิ๊กไบค์ไปชะอำ คนก็แห่ถ่ายรูปตลอดทาง เขาก็หัวเราะยิ้มแย้ม พอกลับมาถึงบ้านผมก็นั่งนึกว่า เออเรานี่ยิ่งกว่าหม่ำ จ๊กมก ซะอีก ไม่ต้องพูดคนก็หัวเราะได้ แล้วมีการนำภาพไปแชร์ลงเฟซบุ๊กและเขียนว่า แบทแมนโดนพรีเดเตอร์ขับไล่ เพราะลูกเราสวมชุดเพรีเดเตอร์ขับตามหลังกันมา ก็ดูตลกดี หรืออย่างคุณกัมปนาท เขาเคยเจอขับรถไปเข้าด่านตำรวจแล้วก็มีตำรวจหญิงทานหนึ่งพูดว่า “ขอโทษนะค่ะ ปกติดีใช่ไหม” (หัวเราะ)
กัมปนาท : คือผมก็ไม่ได้พูด เพราะถ้าเป็นคนบ้าก็จะตอบว่าผมไม่ได้บ้า แต่ผมก็ได้แต่หันไปพยักหน้าแล้วยิ้มให้แค่นั้นเอง (หัวเราะ) คือเราไม่ต้องไปต่อล้อต่อเถียงอะไร นี่คือสิ่งที่เราทำได้ เราคือฮีโร่ แต่ถ้าสมมุติว่าเราเพี้ยนจริง บ้าจริง แต่เราก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ก็ดีกว่าคนปกติที่ปกติจริง แต่ทำความชั่วพวกนี้มีเยอะแยะไป ปล้นฆ่าคนอื่น แต่ถามว่าคนบ้าอย่างพวกผมนี้ไม่เคยเห็นว่าเขาไปทำร้ายใครด้วยนะ
• คิดว่า การรวมกลุ่มฮีโร่จิตอาสาของเราออกช่วยเหลือสังคมจะนำไปสู่อะไรได้บ้าง
อนันต์ : ผมว่ามันจะช่วยกระตุ้นให้ทุกคนทำความดีเพราะว่า เด็กบางคนที่ทักมาในเพจบอกว่าพี่ทำดีมากครับ พี่เป็นไอดอล จะบอกว่าผมเป็นคนแรกที่นำร่องสวมชุดฮีโร่ขี่บิ๊กไบค์และตอนนี้ก็มีคนทำตามอยู่เรื่อยๆ หรือบางทีในคลิปที่เห็นว่าใส่ชุดฮีโร่ขี่รถเล่นตอนกลางต้องบอกว่าไม่ใช่ผม ต้องดูรถที่ขี่ด้วยของผมจะเป็นบิ๊กไบค์คันใหญ่ไม่ใช่รถเล็ก แต่มันก็ยังช่วยกระตุ้นความรู้สึกคน เพราะตอนนี้ก็มีเพิ่มเข้ามาแทบทุกวัน บางคนก็อยากเข้าร่วมกลุ่ม บางคนก็บอกว่าถ้ามีอะไรให้ช่วยเหลือเกี่ยวกับของบริจาคก็ติดต่อไปได้เขาพร้อมที่จะช่วยเหลือ
• คือจะบอกว่าทุกวันนี้คนต้องการตัวแทนที่จะกล้าทำความดีให้เห็นในสังคม
อนันต์ : ผมว่าบางคนเขามีจิตอาสาอยู่แล้ว
กัมปนาท : คือมันอาจจะไม่ได้มาในรูปแบบที่ว่าใครจะมาทำตามแบบของเรา แต่คืออยากให้เขาเจอในสิ่งที่เราเชื่อแบบเดียวกันนั่นคือ ความดี ความยุติธรรม ความถูกต้อง คือตรงนี้อยากให้เป็นจิตใต้สำนึกของวัยรุ่น จริงๆ แล้วคนที่ไม่ได้ใส่หน้ากากทำความดีได้ง่ายกว่าคนใส่หน้ากากอีกนะ แค่เรามีใจที่จะทำอย่างเช่น ช่วยคุณป้าเข็นของหรืออะไรก็ว่าไป ผมว่ามันเข้าถึงได้ง่ายกว่าพวกฮีโร่อีกนะ
การใส่ชุดฮีโร่เป็นแค่สัญญลักษณ์ในการทำดี แต่ว่าเวลาที่ไปทำจริงๆ แล้วถอดหน้ากากทำมันจะเข้าถึงง่ายกว่า เพราะเราใส่หน้ากากแค่บางวันแต่ในวันที่เราไม่ใส่นั่นแหละมักจะพบเจอปัญหาเยอะกว่า แต่คนส่วนมากก็ยังอายไม่กล้าที่จะทำ เราก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงที่จะให้วัยรุ่นเลิกอาย แม้ว่าเราจะออกมาทำให้ดูแล้วว่าเรามีความกล้า คืออยากให้วัยรุ่นเหล่านั้นมีความกล้าที่จะทำดีขึ้นมาสักนิดหนึ่ง อยู่ในสังคมนี้แล้วก็ช่วยให้สังคมดีขึ้น เหมือนในหลายๆ ปีที่แล้วที่คนยังช่วยเหลือซึ่งกันและกันอยู่ แต่ยุคนี้เหมือนว่าการใช้ชีวิตจะตัวใครตัวมันซะมากกว่า
ผมคิดว่าทุกวันนี้คนทำความดีน้อยลงหรือบางคนก็ไม่กล้าทำความดี มันก็แปลกนะ แต่พอเรื่องที่ไม่ดีกลับกล้าที่จะทำ และคิดว่ามันมีเส้นความอายบางๆ ขวางอยู่เลยไม่กล้า เหมือนอย่างตอนที่มีคลิปโคโยตี้เต้นยั่วแล้วมีคนบันทึกไว้ คลิปนั้นก็เลยดัง เออ ทีแบบนั้นกลับกล้าที่จะทำ เพราะอะไร ก็เพราะมันมีแต่เรื่องที่ไม่ดีให้ดู คนเราก็เลยทำตาม แต่พอเรื่องที่ดีๆ คนกลับไม่สน ไม่ถ่ายคลิป ไม่บันทึกกัน มันก็เลยไม่มีตัวอย่างให้เห็น ผมก็เลยอยากที่จะเป็นตัวอย่าง เป็นสัญญลักษณ์ของการทำความดี เราไปช่วยเหลือเด็กกำพร้า เราไปให้กำลังใจพ่อค้าแม่ค้า เราออกไปทำดีทำจิตอาสา อย่างน้อยก็ช่วยกระตุ้นได้ซักนิดหนึ่งก็ยังดี
กอลฟ์ ปฐพี สกุลธนพัฒน์ : ทุกวันนี้มองเห็นเด็กสมัยนี้กล้าคิดกล้าแสดงออกเยอะ แต่กับเรื่องที่ไม่ดี จึงอยากให้กล้าคิด กล้าแสดงออกในเรื่องที่สร้างสรรค์ โดยให้เป็นไปตามธรรมชาติคือไม่ต้องมีใครมาบังคับนั่นจะดีที่สุด
ไม่ต้องห่วงเลยว่าสิ่งที่ทำดีจะไม่มีคนเห็น เดี๋ยวคนที่ชอบสิ่งที่เราทำเหล่านั้นก็จะมาตามดูเองโดยที่ไม่ต้องถอดหน้ากากเลยด้วยซ้ำ เพราะเขาจะตามให้ได้ว่าจริงๆ แล้วเป็นใคร อย่างวันที่ผมใส่หน้ากาก ยังไม่ทันได้ถอดเลยก็มีคนรู้แล้วว่าผมเป็นใคร ซึ่งมันก็เป็นบทสรุปแล้วว่าการทำความดีที่เป็นการปิดทองหลังพระ สักวันหนึ่งเดี๋ยวทองหลังพระก็จะนูนออกมาให้คนได้เห็นเอง เป็นการกระทำความดีโดยที่ไม่หวังผลและไม่มีเงื่อนไขใดๆ และเชื่อว่าสิ่งที่คุณทำสังคมจะได้รับรู้ในวันข้างหน้า
อนันต์ : แล้วอีกอย่างหนึ่งคือมันรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าเราเป็นคนทำ เป็นความประทับใจของตัวเราเอง จริงๆ ก็ไม่ได้ปกปิดอะไรอยู่แล้ว ที่เราใส่เพราะเราชอบ จะให้ถอดก็ได้ถ้าอยากให้ถอด อีกอย่างว่าผมใส่หน้ากากแล้วมันดูเท่กว่า ตอนถอดออกหน้าผมขี้เหร่ (หัวเราะ) ก็เท่านั้นเอง
• แล้วจากข่าวที่เราโดนจับเรื่องแต่งรถผิดประเภทไม่เหมาะสมในการขับขี่เป็นถนนเป็นอย่างไร
กัมปนาท : ต้องขอบอกและเรียนอีกครั้งเลยว่า ไม่ได้โดนจังและผิดกฎหมาย ย้ำอีกครั้งนะครับอยากจะให้เข้าใจตรงกัน คือรถของเราถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง ได้จากศูนย์มายังไงก็แบบนั้น แต่ที่เห็นว่ามันมีรูปลักษณ์คล้ายกับรถของฮีโร่ก็เพราะตัวรถออกแบบมาได้เหมือนมาก มันใช่เลย ผมก็เลยลงทุนซื้อมาขี่ แต่ที่เห็นในข่าวคันนั้นเป็นรถยนต์ จริงๆ แล้ว ภาพนั้นไม่ได้โดนจับนะ แต่เป็นการนำข่าวสองข่าวมายำใส่กันแล้วในวัน Bike or Dad จริงๆ ผมก็ไม่ได้ถูกจับ เขาขอให้ผมเข้าไปถ่ายรูปแต่มุมภาพเหมือนผมกับกำลังถูกจับ ส่วนรถที่นักข่าวบอกว่ารถสภาพแบบนี้ขับได้หรือ ผมต้องบอกว่าจริงๆ แล้วเขาไม่ได้ขับทุกวัน จะนำออกมาโชว์เฉพาะเวลาที่มีงานอีเว้นท์สามารถขับไปร่วมงานได้เลยโดยที่ไม่ต้องมีรถมายกไป เพราะรถคันนั้นสามารถใช้งานได้ตามปกติ มีเลขทะเบียน เลขตัวถังอะไรต่างๆ ครบถ้วน
แต่เข้าใจได้ว่าในสภาพรถที่ถูกดัดแปลงมามันไม่สามารถใช้ขับบนถนนแบบทุกวันๆ ได้อยู่แล้ว หรืออย่างเวลาที่มีด่าน อย่างเช่นด่านความมั่นคง ผมจะลงไปทักทายพี่เจ้าหน้าที่เองเลย ยกมือไหว้สวัสดี เหมือนเจอเพื่อนเหมือนคนรู้จักกันและผมก็ยินดีที่จะให้เจ้าหน้าที่ตรวจค้นเพราะผมไม่ได้ทำผิดกฎหมายอะไร ไม่ได้พกอาวุธหรือของผิดกฎอะไรเลย ยกเว้นก็แต่ไพ่สำรับหนึ่งแค่นั้นเองก็แค่เอาไว้ร่อนเล่นๆ จะไปทำอะไรใครได้ (หัวเราะ)
• แน่นอนว่ายังมีคนมองว่าเราเพี้ยนๆ อยู่ และถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ จะยังทำแบบนี้ต่อไปหรือเปล่า
อนันต์ : บางครั้งมันก็ท้อนะ แต่ก็อย่างที่ผมบอกคนบางพวกก็อิจฉาเห็นคนอื่นได้ดิบได้ดีกว่าไม่ได้อิจฉาหมด แต่สำหรับผมถ้าเห็นใครได้ดีผมจะสนับสนุน ถึงยังไงผมก็ปฏิญาณตนไว้แล้วว่าผมจะทำจนกว่าผมจะหมดแรงไม่ว่าใครจะมองยังไงก็ช่างเขา ผมจะขี่บิ๊กไบค์ตระเวนไปช่วยเหลือเด็กแบบนี้ไปเรื่อยๆ เพราะเด็กคืออนาคตของชาติ ด้วยความที่ว่าผมเรียนมาน้อยจึงอยากให้เด็กมีการศึกษา ถ้าเด็กพวกนี้ได้รับการศึกษาที่ดีประเทศชาติก็จะพัฒนาไปในทางที่ดีและถูกต้องตามไปด้วย
กัมปนาท : ผมก็จะทำไปเรื่อยๆ นั่นแหละเพราะใจรักที่จะทำความดีเหมือนเป็นงาอดิเรกของผมไปแล้ว มันก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องโกหกตัวเองผมก็ขอทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ดีกว่า ทุกวันนี้ผมก็ยังขี่ตระเวนแถวๆ นนทบุรี เพราะที่นี่ยาเสพติดเยอะ ผมเคยขี่ผ่านไปแถวท่าน้ำนนท์เห็นวัยรุ่นอันธพาลตีกัน เสพยาบ้า ดูดกัญชา ผมก็สงสัยว่าเจ้าหน้าไปอยู่ที่ไหนทั้งๆ ที่โรงพักก็อยู่แค่ใกล้แค่นั้นเองแต่ทำไมถึงปล่อยให้เด็กๆ พวกนี้มามั่วสุม ผมก็แอบสงสัยยังคิดเล่นๆ เลยว่าถ้าไม่มีเจ้าหน้าที่มาตรวจตราเดี๋ยวจะแต่งชุดแบทแมนมายืนอยู่ตรงนี้เลยดีไหม ถ้าเจอใครไม่ดีหรือเป็นภัยต่อสังคมผมจะหวดซะตรงนั้นเลย แต่ชีวิตจริงไม่สามารถทำแบบนั้นเลยก็เลยได้แต่มโนอยู่ในหัว (หัวเราะ)
คือในการที่เราออกมาทำแบบนี้ เราได้เห็นอีกมิติหนึ่งของสังคม โสเภณี ยาเสพติด มันแสดงให้เห็นถึงจุดบอดของสังคมว่ามันบกพร่องถึงขนาดที่ต้องมีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมา สะท้อนให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ยังทำงานได้ไม่เต็มที่หรือเปล่า ผมไม่ได้ตำหนิการทำงานของเจ้าหน้าที่นะ เพียงแต่อย่างให้เพิ่มศักยภาพในการทำงานให้มากกว่านี้หน่อย และไม่ใช่แค่เจ้าหน้าที่คนในสังคมก็ต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตาด้วย ไม่ใช่ว่าเจอคนกำลังทำร้ายร่างกายกันอยู่แล้วยืนดูเฉยๆ ก็ควรที่จะหาทางช่วยหรือไปแจ้งเจ้าหน้าที่ ไม่ใช่มายืนดูถ่ายคลิปถ่ายอะไรกันไปทำไมทำแบบนั้นได้แต่ทำไมคิดที่จะช่วยไม่ได้
• แผนการในอนาคตอย่างที่ฟังมาตอนช่วงต้นๆ ของการกระจายความสุขให้ทั่วทุกพื้นที่ เรามีอะไรจะเสริมอีกหรือไม่
กัมปนาท : ผมจะรวมกลุ่มคนที่คิดเหมือนกันให้เยอะขึ้น แล้วกระจายกันออกไปทำดีตามจุดต่างๆ อย่างเช่น แบทแมน จังหวัดปทุมธานี แบทแมน พระราม 2 แบทแมน จังหวัดนนทบุรีอะไรแบบนี้ หรือฮีโร่ต่างๆ หลายๆ ท่าน อย่างผมจะคอยดูผลงานของเขาตลอดเป็นการสนับสนุน จริงๆ ยังมีอีกหลายคนตามต่างจังหวัดก็มีเหมือนกัน อย่างภูเก็ต มหาสารคาม ที่สารคามเราก็เพิ่งจะได้รูปมาวันนี้เอง ซึ่งเขาก็มีชื่อเสียง มีวีรกรรมในพื้นที่ของเขา และเขาก็เป็นฮีโร่ในแบบฉบับของเขา
ถ้าเรารวมร่วมกันทำได้ ก็จะก่อให้เกิดโครงข่ายและติดต่อสื่อสารกันตลอด ไม่จำเป็นต้องมาร่วมกันเป็นจุดใหญ่แต่จะให้กระจายตัวเป็นจุดๆ ไป นี่คือแผนที่ผมวางไว้ในอนาคตแต่ตอนนี้เรายังทำแบบนั้นไม่ได้เพราะสมาชิกเราไม่ได้เยอะขนาดนั้น ผมอยากให้ทุกภาคส่วนมีคนแบบพวกเราอยู่เช่นว่าเวลาไปรังสิตหรือไปพระราม 2 ก็เจอกลุ่มแบบนี้แล้วถ้าเกิดวันหนึ่งมีกิจกรรมเราก็จะนัดรวมตัวกันมาร่วมทำกิจกรรมด้วยกัน อยู่ภายใต้แนวความคิดเดียวกัน คือเป็นฮีโร่คอยช่วยเหลือสังคมอะไร
เพราะอย่างที่บอก มันเป็นเหมือนฟันเฟืองเล็กๆ ที่สำคัญตัวหนึ่งที่มีประสิทธิภาพ เพราะเราค่อยข้างชัดเจนในการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ซึ่งอาจจะเป็นแปลงพฤติกรรมของเด็กๆ ที่กำลังจะโตเพราะในความรู้สึกของเด็กๆ เมื่อดูฮีโร่เหล่านี้จากจอทีวีแต่วันหนึ่งได้เจอตัวเป็นๆ ผมว่ามันซึมซับได้ง่ายกว่า ได้สัมผัสได้อะไรต่างๆ แล้วเด็กก็จะรู้ว่าฮีโร่ไม่จำเป็นต้องมีพลังพิเศษ คนธรรมดาก็เป็นฮีโร่ได้เหมือนกันเพียงแค่มีใจที่อยากจะช่วยเหลือผู้อื่นแค่นั้นเอง
และไม่จำเป็นว่าคุณจะต้องมีกล้ามใหญ่โต ดูมีภูมิฐาน คนผอมๆ แห้งๆ ก็เป็นฮีโร่ได้แค่มีใจอยากจะช่วย
เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : ธัชกร กิจไชยภณ