ที่โบราณสถานกรุงศรีอยุธยาได้รับการประกาศเป็นมรดกโลก ต้องถือว่า พระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชะคุปต์) มีส่วนสำคัญอย่างมาก ท่านรับราชการที่มณฑลอยุธยาเมื่อแรกตั้งในปี พ.ศ.๒๔๓๙ ขณะที่มีอายุ ๒๕ ปี ในตำแหน่งข้าหลวงมหาดไทย ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้รักษากรุงศรีอยุธยา (ตำแหน่งเดียวกับผู้ว่าราชการจังหวัด) เป็นปลัดเทศาภิบาลมณฑลอยุธยา จนเป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลอยุธยา และได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระอนุรักษ์ภูเบศร์, พระยาโบราณบุรารักษ์ และพระยาโบราณราชธานินทร์ในรัชกาลที่ ๖ จนกระทั่งเกษียณเมื่ออายุ ๕๘ ปีในรัชกาลที่ ๗
ท่านจึงรับราชการอยู่ที่อยุธยาเพียงแห่งเดียวถึง ๓ รัชกาลเป็นเวลา ๓๓ ปีโดยไม่ถูกย้ายไปไหน และไม่ได้อยู่อย่างเฝ้าก้อนอิฐก้อนหิน แต่ศึกษาโบราณสถานของกรุงศรีอยุธยาและประวัติศาสตร์ความเป็นมา จนมีความเชี่ยวชาญอย่างไม่มีใครเทียบได้
นอกจากจะจัดการปกครองปราบปรามโจรผู้ร้ายสงบแล้ว พระยาโบราณฯซึ่งชอบอ่านพงศาวดารมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียน ยังออกดั้นด้นค้นหาสถานที่ต่างๆตามที่ปรากฏในพงศาวดาร แห่งใดหาไม่พบก็วานชาวบ้านช่วยพาบุกป่าฝ่าหนามเข้าค้นหา ทำให้ได้พบโบราณสถานที่คนอื่นหาไม่พบอีกมาก ส่วนโบราณวัตถุที่ควรรักษาแต่ถูกทอดทิ้งไว้ในรกในพงหรือจมอยู่ในดิน ท่านก็ให้เก็บมารักษาไว้ที่วังจันทร์เกษม จนสามารถจัดเป็น “อยุธยาพิพิธภัณฑ์สถาน”
พระพุทธเจ้าหลวงซึ่งทรงโปรดโบราณคดีมาก และสนพระทัยในเรื่องกรุงศรีอยุธยามาช้านาน ก็โปรดซักถามจากพระยาโบราณฯเป็นประจำ เมื่อครั้งเสด็จยุโรปในปี พ.ศ. ๒๔๕๑ ได้ทอดพระเนตรพิพิธภัณฑ์ที่เมืองฮัมบูร์กในเยอรมัน ยังทรงมีพระราชโทรเลขมาถึงกรมพระยาดำรงฯว่า
“มิวเซียมที่นี่เหมือนมิวเซียมกรุงเก่า ออกคิดถึงพระยาโบราณฯ ฉันจะแต่งหนังสือเรื่องมิวเซียมนี้”
บรรดาเจ้านายและแขกเมืองชั้นสูงก็มักจะขึ้นไปดูพระราชวังกรุงศรีอยุธยาที่พระยาโบราณฯขุดตบแต่งไว้ ทำให้ท่านได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศหลายประเทศ
กรมพระยาดำรงราชานุภาพ “พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย”ได้เขียนถึงพระยาโบราณฯไว้ว่า
“...จึงนับถือกันว่า พระยาโบราณฯอยู่ในเทศาฯ ที่มีสติปัญญาคนหนึ่ง ถึงกระนั้นความสามารถของพระยาโบราณฯในการปกครองบ้านเมืองก็ยังมีเทศาฯมณฑลอื่นพอเปรียบได้ แต่ความสามารถด้วยรอบรู้โบราณคดีของมณฑลอยุธยา ข้อนี้ไม่มีผู้อื่นเปรียบได้ทีเดียว”
นอกจากจะอ่านเรื่องกรุงศรีอยุธยาในหนังสือไทยหมดแล้ว พระยาโบราณฯ ยังพยายามศึกษาภาษาอังกฤษ อ่านหนังสือที่ฝรั่งแต่งไว้อีก และจดจำเรื่องที่อ่านได้อย่างแม่นยำ
ทุกครั้งที่ ร.๕ เสด็จประทับ ณ พระราชวังบางปะอิน นอกจากพระยาโบราณฯจะมีหน้าที่ต้องมาเฝ้าและตามเสด็จอยู่เป็นประจำแล้ว พระพุทธเจ้าหลวงยังทรงตรัสประภาษกับพระยาโบราณฯในเรื่องโบราณคดีเป็นประจำ กรมพระยาดำรงฯ ทรงเล่าไว้ตอนหนึ่งว่า
“สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงสังเกตเห็นว่าพระยาโบราณฯยำเกรงพระเจ้าแผ่นดินครั้งกรุงศรีอยุธยาอยู่มาก ถ้าเรื่องที่สนทนาเกี่ยวเนื่องไปถึงพระราชปฏิบัติอันร้ายกาจเลวทรามของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใด พระยาโบราณฯเป็นแก้แทนเสมอ
ข้อนี้แหละเป็นมูลเหตุ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๙ สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จประทับ ณ พระราชวังบางปะอิน วันหนึ่งตรัสประภาษเรื่องพงศาวดาร ทรงติเตียนพระเจ้าปราสาททอง พระยาโบราณฯทูลแก้ จึงมีพระราชดำรัสว่า พระยาโบราณฯชอบแก้ก็ดีแล้ว ฉันจะเป็นโจทก์ฟ้องพระเจ้าปราสาททองให้พระยาโบราณฯเป็นทนายแก้ แล้วมาอ่านฟังกันเล่น.....”
การกล่าวหา “เป็นโจทก์ฟ้องพระเจ้าปราสาททอง”ไม่น่าจะเป็นพระราชวินิจฉัยอันแท้จริง ทรงตั้งข้อหาขึ้นมาให้พระยาโบราณฯแก้ต่าง เพื่อ “มาอ่านฟังกันเล่น”เท่านั้น เพราะพระพุทธเจ้าหลวงเองก็ทรงยกย่องพระเจ้าปราสาททอง ทรงสร้างศาลพระเจ้าปราสาททองไว้ในพระราชวังบางปะอิน และเคยบนบาลเรื่องสำคัญ
พระราชกระทู้ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่าด้วยพระราชอัธยาศัยของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ซึ่งโปรดเกล้าฯให้พระยาโบราณบุรานุรักษ์แก้ถวายความคิดเห็น ขณะที่ท่านอยู่ในตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลมณฑลอยุธยาด้วยวัย ๓๕ ปีนั้น มีข้อความดังนี้
“ฉลาดในทางอุบายมารยา ฉลาดในทางที่จะเรียนวิชาความรู้ว่องไว แต่ไม่มีความอุตสาหะที่จะเรียนให้รู้จริง คือปากรู้มากกว่าใจ จนที่ไหนเดาที่นั่นด้วยความเชื่อว่าคงถูก เชื่อตัวว่ามีสติปัญญา มีบุญไม่มีผู้ใดเสมอ ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งชอบยอและกล้าทำอะไรๆไม่มีความละอาย ด้วยนึกว่าไม่มีใครรู้เท่า เป็นไพร่ตามสันดานเดิม ในเมื่อเวลากริ้ว รวบรวมอัธยาศัยทั้งปวงนี้ จะอ้างพยานให้เห็นได้ดังต่อไปนี้
“ฉลาดในอุบายมารยานั้น คือเมื่อเวลาพระเจ้าทรงธรรมสวรรคต มีความปรารถนาจะใคร่ได้ราชสมบัติ ข้อนี้ควรจะยกเว้นไม่ติเตียน เพราะพระเจ้าทรงธรรมไม่ได้เป็นผู้ที่ควรจะเป็นเจ้าแผ่นดินยิ่งกว่าพระเจ้าปราสาททอง วิชาก็มีด้วยกัน ฝ่ายหนึ่งถนัดข้างพระไตรปิฎก ฝ่ายหนึ่งเชื่อว่ามีเวทมนตร์ขลัง และสติปัญญามากกว่า เอาเป็นตีรั้งกันควรปรารถนา
“อาการที่จะเอาแผ่นดินนั้น เอาโดยทางมารยาคือยกพระเชษฐาซึ่งคงเป็นคนโง่กว่าพระศรีสิน พระบิดาคงมุ่งหมายจะให้พระศรีสินรับสมบัติ จึงแกล้งไม่ยกสมบัติให้พระศรีสินซึ่งเป็นคนฉลาด แต่มิใช่ฉลาดดี ฉลาดอย่างกักขฬะ พระศรีสินจึงได้หนีออกไป คงจะด้วยถูกอุบายอย่างหนึ่งอย่างใด จึงไม่ได้ทันต่อรบอย่างหนึ่งอย่างใดให้สมกับที่ว่าเป็นขบถ หลอกให้พี่น้องแหนงกัน ฆ่ากันสมประสงค์
“แกล้งทำการศพให้คึกกัก แต่งคนให้ลือให้เจ้าแผ่นดินตกใจ ผู้ที่ลือนั้นคือจมื่นสรรเพชญ์ ซึ่งเป็นผู้ส่งข่าวนั้นเองเข้ามาเป็นไส้ศึก พอหลอกให้ตกใจให้ไปรับสั่งให้หา ก็เลยพาลเป็นขบถ หาว่าเจ้าแผ่นดินตระเตรียมให้คนขึ้นป้อมล้อมวัง ความนี้ก็ไม่จริง ปรากฏเมื่อยกมาแต่เวลาบ่าย ๓ โมงอยู่จน ๘ ทุ่มเข้าไปฟันประตูไม่มีใครทันรู้สึก ไม่ได้ต่อสู้กันเลย
“คำอธิษฐานซึ่งอ้างเอาความปรารถนาโพธิญาณเป็นสัจจาธิษฐาน นี่ก็เป็นการแสดงให้เห็นว่าเย่อหยิ่งมาก
“ตั้งพระอาทิตยวงศ์ขึ้นเป็นเจ้าแผ่นดิน จนกระทั่งถอดเสีย เป็นการมารยาทั้งนั้น
“ให้ช่างออกไปถ่ายอย่างพระนครหลวงจะมาสร้างเป็นที่ประทับร้อน รู้ว่าเจ้าแผ่นดินเขมรมีบุญมาก เป็นไพร่ๆ ลอยมาเป็นผู้มีบุญเหมือนตัว จึงอยากจะเอาอย่าง รู้ว่าใหญ่โตและทำด้วยศิลาทั้งนั้น แต่ไม่รู้ว่ารูปร่างสัณฐานเป็นอย่างไร หมายว่าจะอยู่ได้สบาย ครั้นไปถ่ายมาหน้าตาเป็นวัดมากกว่าเป็นบ้าน แต่จะไม่ทำก็เสียเกียรติยศ จึงทำไปตามเลยเล็กๆไม่เอาพระทัยใส่เหมือนวัดชัยวัฒนาราม ด้วยผิดหมายจึงได้เลยค้างมาจนเดี๋ยวนี้ เป็นพยานให้เห็นว่ารู้เร็วแต่ไม่ใช่รู้จริง
“เรื่องมีลูกออกมาเห็นเป็น ๔ กร ไม่ควรเชื่อก็เชื่อ หรือถ้าไม่ใช่เชื่อจริง แกล้งเชื่อก็หาเกียรติยศอย่างฟุ้งสร้าน ลงโทษพระอาทิตยวงศ์ว่านั่งบนกำแพงแก้วต่ำสูง ให้ไปปลูกเรือนไม้ไผ่สองห้องอยู่วัดท่าทราย ด้วยหลงว่าตัวมีบุญและคนนับถือมากคงไม่มีใครนับถือพระอาทิตยวงศ์ ครั้นพระอาทิตยวงศ์ได้พวกพ้อง ๒๐๐ คน พระเจ้าปราสาททองไม่ได้คิดต่อสู้ หนีด้วยความขลาด
“เผาลูกเธอ พบเนื้อในท้อง เชื่อว่าต้องคุณ เป็นพยานให้เห็นว่าเชื่ออะไรยับเยินมาก เป็นคนเอาตำราทิ้งน้ำเสียมาก จึงมีผู้คิดทำตำราขึ้นใหม่ ยิ่งเป็นวิชากระซิบกระซาบ คนก็ยิ่งเชื่อมากขึ้น
“เห็นจะเป็นคนขี้กลัวฟ้าร้องฟ้าผ่ามาก ได้ยินเสียงฟ้าผ่ายังนึกว่าในวังแล้วกลับเข้ามาดู ก็พอพบพระนารายณ์ไม่ถูกสายฟ้า สมประสงค์ไปข้างทางพระบารมีต่อไปอีก เลยตื่นไปจนถึงฟ้าผ่าโรงช้างไม่ถูกช้าง ฟ้าผ่าที่บางปะอินไม่เป็นอันตราย ยิ่งรู้สึกพระบารมีกล้าขึ้น
“ลบศักราช ฟังงูๆ ปลาๆ มาแต่ไหน จากวิชาพราหมณ์ๆ ที่เขาว่าเวทมนตร์คาถาอะไรอ่อนไปหมด เพราะเป็นกลียุค ไม่เหมือนทวาบรยุค จึงคิดจะเปลี่ยนศักราชเป็นปีต้นให้เป็นทวาบรยุค คือเร่งให้เป็นทวาบรยุคเร็วๆ เพราะยุคนั้นนัยเป็นอนุโลมปฏิโลมเป็นกลียุค แล้วก็เลื่อนขึ้นเป็นทวารบรยุคแล้วเลื่อนขึ้นเป็นไตรดายุค แล้วเลื่อนขึ้นเป็นกัตยุค นี่เป็นปฏิโลม จึงไม่หมายจะเปลี่ยนให้เลื่อนขึ้นไปตามปฏิโลม ด้วยบุญบารมีมากอาจจะเปลี่ยนกาลของโลก ซึ่งไม่ดีให้กลับเป็นดีได้ จึงต้องว่าเสี่ยงบารมีลบศักราช และยกย่องตัวเองว่า การที่ทำนั้นเป็นการสงเคราะห์แก่สัตว์โลก แต่ไม่รู้วิชานับของการโหรว่าจะเป็นเหตุให้วันคืนเดือนปีศักราชเลอะเทอะได้เท่าใด ครั้นเมื่อลบแล้ว ศักราชนั้นใช้ไปไม่ได้เท่าไร จนแผ่นดินพระนารายณ์ต้องหันไปใช้พุทธศักราช นี่เป็นสุดยอดของความเย่อหยิ่งเชื่อบุญบารมี และปรากฏว่าความรู้ไม่มีอะไรที่รู้จริง
“ไม่แต่เท่านั้น ใช้อุบายหลวมๆ จะทึกทักตึงตังเอาเมืองพะม่าเป็นเมืองขึ้น โดยรู้เรื่องว่า พระเจ้าอโนรธามังช่อมีชัยชะนะแก่เมืองที่ใกล้เคียงทั่วกัน จึงตั้งจุลศักราช เมืองใดที่ใช้จุลศักราชเมืองนั้นเคยอยู่ในอำนาจอโนรธามังช่อ ไม่พิจารณาว่าอโนรธามังช่อนั้นมีบุญด้วยบารมีสร้างมาแต่ปางหลัง มาอบรมให้เป็นผู้มีบุญใหญ่ขึ้นเอง หรือด้วยกำลังปราบปราม เชื่อเอาฝ่ายบ้างที่ว่าเหาะได้ ซึ่งเป็นการอัศจรรย์ อยากจะใคร่เชื่ออยู่แล้วมาเอาอย่างพะม่าไม่ยอมใช้ เพราะใครเลยจะไม่รู้เท่า เขาไม่ได้อยู่ในอำนาจ ไม่จำเป็นที่จะต้องทำไม่รู้เท่า เขาไม่ยอมใช้ทรงฉุน
“เลยพาลเปะปะให้เอากับข้าวรดหัวทูต ซึ่งเป็นการหยาบคายเหลือเกิน โกรธอย่างไพร่ หากพะม่าเวลานั้นกำลังบ้านเมืองไม่ปกติ มอญเป็นขบถ จึงไม่ได้เกิดรบกันขึ้น ก็ไม่สืบดูเหตุผลว่าทำไมเขาจึงไม่มารบ กลับเชื่อว่าเพราะเขากลัวบารมี
“โหรถวายฎีกาว่าไฟจะไหม้วัง ตื่นเต้นขนของและหนีออกไปอยู่วัด บางคนเขาคิดเห็นว่าจะเป็นแกล้งเผา แต่เห็นจะไม่กล้าเผาเพราะขลาดมากอยู่ มีแต่ไฟไหม้เจ้าแผ่นดินจะเสด็จไปดับ นี่เจ้าแผ่นดินกลับหนีไฟ
“รวมใจความว่า แผ่นดินนี้ไม่ได้ทำการอะไร เคยอย่างไรก็เปนไปอย่างนั้น ตื่นแต่บารมีกันอย่างเดียว แต่ความดีของพระเจ้าปราสาททองคงมีในทางที่รู้จักใช้คน ชุบเลี้ยงคนเปนการงาน อะไรที่เปนการธรรมดาบังคับบัญชาได้แข็งแรง สิทธิขาดไม่โลเล จึงอยู่ในราชสมบัติได้ช้านาน ไม่มีภัยอันตรายอันใด
ความที่ว่ามานี้ เปนกล่าวโทษพระเจ้าปราสาททอง และชมพระเจ้าปราสาททองตามความเห็น ให้พระยาโบราณฯผู้เปนเทศากรุงเก่า แก้ไขว่า คำที่กล่าวติเตียนนั้น ไม่เป็นความจริงอย่างไรก็ตามความเห็น จะได้เปลี่ยนความคิดที่หมิ่นประมาทนั้น”
พระพุทธเจ้าหลวงทรงตั้งข้อหาพระเจ้าปราสาททองไว้รุนแรง แต่พระยาโบราณฯซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องให้ความเคารพและแก้ต่างแทนพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยาทุกพระองค์ ก็กล้าพอจะปฏิเสธข้อกล่าวหาของพระพุทธเจ้าหลวงทุกข้อเช่นกัน กรมพระยาดำรงฯได้กล่าวถึงคำสนองพระราชกระทู้ของพระยาโบราณบุรานุรักษ์ครั้งนี้ว่า
“...แต่เมื่ออ่านคำแก้ของพระยาโบราณฯ ต้องชมที่กล้าปฏิเสธข้อหาทุกข้อ แต่ใช้ถ้อยคำและอุปมากราบทูลอย่างเรียบร้อย ควรนับว่าเป็นหนังสือแต่งดี แม้สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงก็โปรดคำแก้ของพระยาโบราณ...”
คำสนองพระราชกระทู้ของพระยาโบราณบุรานุรักษ์ ได้เรียบเรียงเป็น ๑๔ ข้อ ดังรายละเอียด คือ
บางปะอิน
วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน รัตนโกสินทรศก ๑๒๕
ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม
ด้วยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระกระแสพระราชดำริที่ทรงเห็นในพระราชอัธยาศัยของพระเจ้าปราสาททองมาให้ข้าพระพุทธเจ้าแก้ไขตามความเห็นนั้น พระเดชพระคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมหาที่สุดมิได้
ข้าพระพุทธเจ้าได้รับใส่เกล้าใส่กระหม่อม พิเคราะห์ใคร่ครวญดูแล้ว เห็นด้วยเกล้าฯว่า การที่จะแก้ไขพระราชดำริที่ได้ทรงกล่าวไว้นั้น เป็นความยากอย่างยิ่ง พ้นจากวิสัยภูมิวิชาซึ่งข้าพระพุทธเจ้าได้เล่าเรียนมา แต่เหตุด้วยมีพระบรมราชโองการเฉพาะแก่ข้าพระพุทธเจ้า จึงจำเป็นต้องแก้ไขไปตามความเห็น แม้การที่ได้กราบบังคมทูลพระกรุณามานี้ จะมีข้อที่ไม่ถูกต้องตามแบบฉบับและพระราชอัธยาศัยประการใด ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานพระมหากรุณาพระราชทานอภัยแก่ข้าพระพุทธเจ้า ผู้ซึ่งแรกศึกษาวิชาพงศาวดาร ยังมีความรู้น้อยอยู่นั้น
๑. ตามที่ทรงพระราชดำริเห็นว่า อาการที่พระเจ้าปราสาททองจะเอาแผ่นดินนั้นเอาโดยทางมารยา คือ แกล้งยกพระเชษฐาซึ่งคงเป็นคนโง่กว่าพระศรีสินที่พระบิดาคงมุ่งหมายจะให้รับราชสมบัติ และหลอกให้พี่น้องแหนงกันจนฆ่ากันสมประสงค์นั้น ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯว่า ถ้าพระเจ้าปราสาททองปองที่จะเอาราชสมบัติอยู่แล้ว ถึงพระศรีสินจะเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ก็คงจะรักษาพระองค์ไม่รอดไปเหมือนกัน เพราะกำลังวิชาและอำนาจของพระเจ้าปราสาททองในเวลานั้นมีมากนัก ซึ่งยกพระเชษฐาขึ้นครองราชย์สมบัตินั้นเห็นด้วยเกล้าฯว่า คงทำตามโบราณราชประเพณี ที่ต้องยกพี่ขึ้นเป็นใหญ่กว่าน้อง ประการหนึ่งถ้าหากยกพระศรีสินขึ้นครองราชย์สมบัติแล้ว พระเชษฐากับพระศรีสินก็คงจะบาดหมางไม่ปรองดอง คิดฆ่าฟันกันไปเหมือนกัน
๒. ตามที่ทรงพระราชดำริว่า พระเจ้าปราสาททองแกล้งทำการศพให้คึกคัก แต่งคนให้ลือให้พระเจ้าแผ่นดินตกพระทัย พอให้รับสั่งให้หาก็เลยพาลเป็นขบถนั้น ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯว่า ในเวลานั้นพระเจ้าปราสาททองเป็นเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ เป็นประธานราชการแผ่นดิน จะทำการงานอันใดก็คงมีผู้ไปช่วยเหลือเพื่อการประจบ และพระเชษฐาในเวลานั้นก็คงจะง่อนแง่นเต็มที่อยู่แล้ว ถึงในข้อที่ว่าตระเตรียมคนให้ขึ้นป้อมล้อมวังนั้น ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯว่าน่าจะรับสั่งให้ตระเตรียมจริง เพราะทรงตกพระทัยและหวาดอยู่แล้ว แต่เห็นด้วยเกล้าฯว่าคงจะไม่ได้นำคนมาขึ้นป้อมล้อมวังตามรับสั่ง ด้วยข้าราชการคงจะไปฝักฝ่ายกับพระเจ้าปราสาททองเสียหมดจึงไม่ได้ต่อสู้กัน
๓. ซึ่งทรงพระราชดำริเห็นว่า ที่ตั้งพระอาทิตยวงศ์ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินจนกระทั่งถอดเสีย เป็นการมารยานั้น ข้าพระพุทธเห็นด้วยเกล้าฯว่า ในเรื่องนี้จำเป็น พระเจ้าปราสาททองจะต้องทรงทำเช่นนั้น ด้วยพระอาทิตยวงศ์ยังมีอยู่ ถ้าหากจะเอาราชสมบัติเสียทีเดียว คนทั้งปวงก็จะเห็นว่าเป็นขบถ ฆ่าพระเชษฐาเพื่อเอาราชสมบัติ
๔. ในข้อที่ให้ช่างออกไปถ่ายอย่างพระนครหลวงจะมาทำเป็นที่ประทับร้อน ครั้นไปถ่ายมาหน้าตาเป็นวัดมากกว่าเป็นวัง จึงทำไปตามเล็กๆ ไม่เอาพระทัยใส่เหมือนวัดชัยวัฒนาราม ทรงพระราชดำริเห็นว่า เป็นพะยานให้เห็นว่า รู้เร็วแต่ไม่ใช่รู้จริงนั้น ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯว่า การที่ให้ช่างไปถ่ายอย่างพระนคนครหลวงมาสร้างในพระนครนั้น ก็ด้วยเหตุที่จะแสดงพระเกียรติยศว่า กรุงศรีอยุธยาในเวลานั้นมีกำลังและอำนาจมาก ถึงกับไปถ่ายเอาอย่างปราสาทศิลาพระนครหลวง ซึ่งคนในเวลานั้นถือว่าเป็นของเทวดาสร้าง มาไว้ในบ้านเมืองได้ ถึงจะประทับในนั้นไม่ได้ ดูก็น่าจะไม่เป็นที่เสียหายอย่างไร
๕. เรื่องมีพระราชบุตรออกมาเห็นเป็นสี่กรไม่ควรเชื่อก็เชื่อนั้น ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯว่า ถ้าไม่ทรงเชื่อและไปทรงคัดค้านผู้อื่นที่เขาเชื่อจนแพร่หลายออกไปแล้ว ก็น่าจะเป็นข้อลดทอนพระเกียรติยศอยู่ และน่าจะทรงเห็นว่าในการที่เชื่อหรือแกล้งทรงเชื่อนั้น ก็คงเป็นแต่พระเกียรติยศไปอย่างเดียว เป็นทางที่จะเพิ่มพระบารมีให้แก่กล้าขึ้น
ู๖. ในข้อซึ่งทรงหลงว่ามีบุญและคนนับถือมาก ครั้นพระอาทิตยวงศ์ได้พวก ๒๐๐ คนยกมา พระเจ้าปราสาททองก็มิได้ต่อสู้ หนีด้วยความขลาดนั้น ข้าพระพุทธจ้าเห็นด้วยเกล้าฯว่า ในเวลานั้นคงจะทรงวางพระทัยว่าจะไม่มีผู้ใดกล้าคิดทำอันตราย จึงมิได้จัดการป้องกันรักษาให้กวดขัน พระอาทิตย์วงศ์จึงยกเข้าไปในวังได้โดยไม่ทันรู้พระองค์ ก็ควรจะเสด็จหลบหนีออกเสียจากวัง ซึ่งใกล้ต่อข้าศึกเพื่อไปรวบรวมกำลังต่อสู้ และการที่เสด็จนั้นก็มิได้ไปไกลจากวังเพียงใด เสด็จลงประทับอยู่ในเรือพระที่นั่งลอยลำอยู่ที่หน้าพระฉนวนเท่านั้น จะถือเอาเป็นขลาดแท้ทีเดียวยังไม่ได้ ถ้าตกพระทัยใหญ่ก็คงเสด็จเปิดไปจนถึงเกาะมหาพราหมณ์
๗. พระราชทานเพลิงพระเจ้าลูกเธอ ได้เนื้อในพระอุทรเชื่อว่าต้องคุณ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯว่า ในเวลานั้นเป็นสมัยที่เล่นเวทมนตร์คาถา และตำรับตำราทำคุณไสยก็คงมีอยู่เป็นอันมาก ก็เมื่อได้พบสิ่งที่ต้องในตำราก็น่าจะเชื่ออยู่ โดยเหตุว่าในชั้นต้นได้เชื่อและนับถือเวทมนตร์คาถาเสียแล้ว และทั้งเวทมนตร์ในเวลานั้นก็ขลังให้ผลแก่ผู้ถือ กล่าวคือพระเจ้าทรงธรรมกับพระเจ้าปราสาททองนั้นเองเป็นผู้ที่ถือเวทมนตร์จัด และเห็นกันว่าได้ราชสมบัติเพราะเวทมนตร์
๘. เรื่องฟ้าผ่าไม่ถูกพระองค์กับพระนารายณ์และช้างนั้น ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯว่า ถึงจะผ่าห่างหน่อยใกล้นิด ก็ควรจะทรงปลื้มในพระบารมี ด้วยเหตุถือกันว่า ไฟฟ้าเป็นของสำคัญอันร้ายแรง ก็เมื่อทำให้คนเข้าใจกันไปว่า แต่ฟ้าผ่าก็ยังไม่ถูกต้องพระองค์และพระราชบุตรโดยที่สุดแต่ข้างต้นก็มิได้เป็นอันตรายเช่นนี้ ก็เป็นการเพิ่มพระบารมีที่จะทำให้คนเกรงกลัวพระเดชานุภาพมากขึ้น
๙. เรื่องลบศักราช ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯว่า ก็เป็นการตั้งพระทัยในทางดี และเพื่อที่จะแสดงพระกรุณาแก่ราษฎร ซึ่งเป็นเหตุที่จะให้ราษฎรมีความนิยมนับถือมากขึ้น แต่ในข้อที่จะทำให้วันคืนเดือนปีศักราชเลอะเทอะไปนั้น จะโทษแต่พระเจ้าปราสาททองพระองค์เดียวเห็นจะไม่ได้ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯว่า น่าจะเป็นจากพระโหราธิบดี ด้วยเป็นคนที่ทรงเชื่อถือมากอยู่
๑๐. ในข้อที่ใช้อุบายจะเอาเมืองพะม่าเป็นเมืองขึ้นนั้น เห็นด้วยเกล้าฯว่า พระเจ้าปราสาททองคงจะทรงทราบอยู่แล้วว่า พะม่าเวลานั้นบ้านเมืองกำลังรวนเรไม่เป็นปกติ ก็เป็นช่องที่ควรลองดู ถ้าสำเร็จตามพระราชดำริก็เป็นทางดีแก่ไทย ถ้าไม่สำเร็จก็คงทรงนึกว่าไม่เป็นการเสียหายอะไร
๑๑. เรื่องเอากับข้าวรดศีรษะทูตพะม่า ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯว่า ท่านทูตที่จะมาเป็นคนกักขฬะ และมาทำการหรือพูดจาหมิ่นประมาทอย่างแรงขึ้นอย่างไร และเป็นด้วยเหตุเข้าพระทัยอยู่แล้ว่า เมืองพม่าเวลานั้นอ่อนแอ แต่กิริยาของทูตโอหังเกินกำลังของบ้านเมือง จึงลงโทษทูตเพื่อให้รู้สึก มิได้ให้เจ็บปวดอย่างใด เห็นจะนับว่าเป็นโทษอย่างเบาในเวลานั้น
๑๒. ในข้อที่ทรงพระราชดำริเห็นว่า การที่เอาข้าวราดศีรษะทูตเป็นการหยาบคายเหลือเกิน โกรธเหมือนไพร่นั้น ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯว่า สันดานของบุคคลนั้นก็เป็นเหมือนดังวาสนา ซึ่งมีมาในพระบาลีว่า จะตัดขาดได้ก็เฉพาะแต่พระพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น แต่ถึงชั้นพระอรหันต์ก็ยังขาดไม่ได้ ดังเช่น พระสารีบุตรเดิมเคยเป็นวานร เมื่อถึงชาติที่สุดก็ยังมีกิริยาวานรติดอยู่ในพระองค์
๑๓. เรื่องโหรถวายฎีกาว่าไฟจะไหม้วัง ขนของหนีออกไปอยู่วัดนั้น ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯว่า คงจะเป็นด้วยเชื่อพระโหราธิบดี ด้วยท่านโหรผู้นี้ดูแม่นยำนัก และครั้งนี้ดูว่าไฟจะไหม้วัง ก็เมื่อทรงเชื่อแล้วจะประทับอยู่ในวังซึ่งจะถูกไฟไหม้อย่างไรได้ เป็นการจำเป็นที่จะต้องเสด็จออกไปเสียให้ห่างสักหน่อย แต่ถึงกระนั้น ก็ปรากฏว่าได้เตรียมการป้องกันไว้เต็มที่ และทั้งไฟก็ไหม้วังจริงด้วย จะหาว่าตื่นและขลาดก็ไม่สู้ถนัดกัน
๑๔. คำอธิษฐานซึ่งอ้างเอาความปรารถนาโพธิญาณ ซึ่งทรงพระราชดำริเห็นว่า เป็นการเย่อหยิ่งนั้น ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯว่า คงจะทรงตามๆกันไป เช่นพระเจ้าทรงธรรมเองก็น่าจะได้กล่าวอย่างนี้เหมือนกัน
รวบรวมใจความในแผ่นดินพระเจ้าปราสาททอง ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯว่า ถ้าในสมัยนั้นน่าจะนับเอาว่าเป็นการเรียบร้อยกว่าบางแผ่นดิน เพราะบ้านเมืองก็ราบคาบเป็นปกติ ปราศจากข้าศึกภายนอกภายใน และจะเป็นแผ่นดินที่มีอำนาจแข็งแรงอยู่ จะทำอะไรก็ทำได้ เช่นกริ้วทูตพะม่าเอากับข้าวรดศีรษะ พะม่าก็ไม่อาจมาทำอะไรได้ จึงเห็นด้วยเกล้าฯว่า คนในสมัยนั้นคงจะเห็นว่าเป็นเกียรติยศและอำนาจของเมืองไทย และน่าจะไม่มีผู้ใดติเตียนในเวลานั้นเลย เพราะความนิยมของคนชั้นเป็นเช่นนั้น ครั้นต่อมาบัดนี้ เมื่อคิดดูศักราชก็เป็นเวลาที่สิ้นแผ่นดินพระเจ้าปราสาททองมาแล้วถึง ๒๕๐ ปีเศษ เป็นคนละสมัย ความนิยมก็เปลี่ยนแปลงกันไปกว่าแต่ก่อนเป็นอันมาก ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมดังนี้
ควรมิควรแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้า พระยาโบราณบุรานุรักษ์
อ่านคำสนองพระราชกระทู้ของพระยาโบราณบุรานุรักษ์นี้แล้ว ก็ต้องยอมรับว่า นอกจากท่านจะศึกษาข้อมูลในพงศาวดารเหมือนหลับตาเห็นเหตุการณ์ในสมัยนั้น และวิเคราะห์สถานการณ์ได้ทะลุปรุโปร่งแล้ว ยังมีความกล้าที่จะแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา และใช้ถ้อยคำได้นุ่มนวลสมที่กรมพระยาดำรงฯได้ทรงชมไว้ และทรงยืนยันว่าสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงก็โปรดคำแก้ของพระยาโบราณฯ
มีเรื่องแปลกที่กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงเล่าเกี่ยวกับพระยาโบราณราชธานินทร์ก็คือ ในขณะที่ท่านดำรงตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลมณฑลอยุธยา การเข้าถึงชาวบ้านก็ทำให้ท่านได้รับเลือกจากราษฎรหมู่ ๑ ตำบลหอรัตนไชยให้เป็นผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งท่านก็รับตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านควบไปกับตำแหน่งสมุหเทศา และไปประชุมร่วมกับกำนันผู้ใหญ่บ้านในตำบลนั้นตามหน้าที่ และต่อมาเมื่อมีประกาศพระราชบัญญัติปกครองคณะสงฆ์ พระสงฆ์วัดสุวรรณดาราม วัดมณฑป และวัดพุทไธสวรรย์ในอยุธยาก็เลือกพระยาโบราณฯเป็นมรรคนายก รวมกันถึง ๓ วัด ซึ่งท่านก็ยอมรับตำแหน่งและทำงานให้ตามหน้าที่
นอกจากจะขุดและตกแต่งพระราชวังเก่าและสถานที่สำคัญทางประวัตศาสตร์ของอยุธยาแล้ว พระยาโบราณฯยังสำรวจพบวัดร้างของกรุงศรีอยุธยาอีกถึง ๕๔๓ วัด เป็นเนื้อที่รวมกันถึง ๒,๑๓๘ไร่ ส่วนใหญ่จะถูกบุกรุกเข้าไปปลูกบ้านและเรือกสวนไร่นา บ้างก็เข้ารื้อขุดเจดีย์หรือนำอิฐไปใช้ประโยชน์ ท่านจึงให้ผู้บุกรุกเหล่านั้นมาทำสัญญาเช่าเอาเงินเข้าหลวง ซึ่งผู้บุกรุกก็ยินดีที่จะได้ทำสิทธิครอบครองเสียให้ถูกต้อง ส่วนการรื้อเอาอิฐวัดร้างไปใช้ประโยชน์นั้น ท่านห้ามโดยเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นกรุงศรีอยุธยาคงจะเหลือซากโบราณสถานน้อยกว่านี้แน่
หลังจากขอเกษียณราชการในวัย ๕๘ พระยาโบราณราชธานินทร์กลับมาอยู่กรุงเทพฯได้ไม่นาน ก็เริ่มป่วยกระเสาะกระแสะอย่างที่เรียกว่า “สามวันดีสี่วันไข้” อาการค่อยๆ ทรุดลงตามลำดับจนถึงอนิจกรรมเมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ขณะอายุได้ ๖๔ ปี พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานโกศ ๘ เหลี่ยมเป็นเกียรติยศเสมอชั้นเจ้าพระยา